ปิดเทอมฤดูร้อนที่หายไป (สงกรานต์ 2557) - ปิดเทอมฤดูร้อนที่หายไป (สงกรานต์ 2557) นิยาย ปิดเทอมฤดูร้อนที่หายไป (สงกรานต์ 2557) : Dek-D.com - Writer

    ปิดเทอมฤดูร้อนที่หายไป (สงกรานต์ 2557)

    โดย v-kun

    คุณเคยมีปิดเทอมฤดูร้อนไหม? ผมไม่เคยมีปิดเทอมฤดูร้อน แต่สงกรานต์ปีนี้ ทั้งที่ไม่ใช่วันหยุด ผมกลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังหลอกหลอนผม...

    ผู้เข้าชมรวม

    231

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    231

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 เม.ย. 57 / 18:12 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ปิดเทอมฤดูร้อนที่หายไป

      [ปิดเทอมฤดูร้อน] คำๆนี้มีความหมายสำหรับคุณอย่างไร?

      สำหรับคนบางคน อาจจะเป็นช่วงเวลาแห่งความฝันที่งดงามจนไม่อยากให้จบลง

      ขณะที่บางส่วนกลับใช้ช่วงเวลานี้ไปอย่างไร้ค่า

       แต่คำๆนี้ไม่มีความหมายใดๆสำหรับผมอยู่แล้วเพราะชีวิตของผมนั้นมีแต่ มีด เลือด และความตาย

      กึ่งกลางในห้องสีขาวที่มีไฟสว่างจ้าไม่ว่าจะยามรุ่งเช้าหรือเที่ยงคืน มีร่างหนึ่งนอนอยู่เขาเป็นชายร่างผอม ที่อกขวาของเขามีลายสลักเหมือนจะเป็นรูปเสือ ฝีมือสักนั้นแย่มาก ผมจึงไม่อาจบอกได้ชัดว่ามันเป็นสัตว์อะไรกันแน่แต่นั่นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับงานของผมทั้งนั้น

      ผมหยิบมีดขนาดเล็กที่คมกริบราวมีดโกนขึ้นมา ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ

      ผมแทงมีดนั้นเข้าไปตรงบริเวณซี่โครงด้านขวาดังฉัวะ ตวัดมือกรีดเปิดผิวหนังออกมาเป็นแผลยาวราวนิ้วครึ่ง ผมสูดหายใจอีกที แล้วแทงนิ้วชี้ลงไปในรอยแผลนั้นทันทีฉับพลันก็บังเกิดเสียงฟู่วยาวดั่งอากาศทั้งปอดกำลังรั่วไหลออก ก่อนที่เลือดสีแดงสดจะพุ่งทะลักออกมา            

      ผมยิ้มมุมปากอย่างพึงใจ มือข้างที่ว่างเอื้อมไปหยิบท่อใสขนาดประมาณเท่านิ้วชี้แต่ยาวราวหนึ่งไม้บรรทัด แล้วจึงแทงมันเข้าไปตามบาดแผลตรงที่อีกมือใส่นิ้วลงไปก่อนหน้า

      “ใส่ไอซีดี(ICD)*แล้ว” ผมแจ้งกับหญิงสาวชุดขาวที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ก่อนจะตัดและต่อปลายสายขอท่อนั้นกับขวดอุปกรณ์ที่เตรียมไว้แล้ว “แมสซีฟฮีโมทอแรค** กรุ๊ปแพ็คเรดเซล 2 ยูนิต***”

      ผมขยับมือไปจับที่หนีบเข็ม (Needle holder) และด้าย ก่อนจะเริ่มเย็บรั้งให้ท่อใส่นั้นอยู่กับที่ ขณะนั้นสมาธิที่เฉียบคมของผมที่มุ่งแต่กับร่างตรงหน้าก็เริ่มจางลง

      และสรรพเสียงแห่งความวุ่นวายก็ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ภาพต่างๆที่หายวับไปยามผมตั้งสมาธิถึงขีดสุดก็เริ่มหวนกลับคืนมา ชายและหญิงในชุดสีขาวที่วิ่งขวักไขว่ไปทั่ว มีคนสองสามคนในชุดธรรมดากำลังร้องไห้ปานขาดใจ เจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์แจ้งว่ามีอุบัติเหตุหมู่เกิดขึ้น และผู้คนมากมายกำลังถูกพาเข้ามาไม่ว่าจะในรถนอนหรือรถเข็นอย่างไม่ขาดสาย ผ่านประตูที่มีอักษรตัวใหญ่เขียนไว้ด้านบน

      [ห้องฉุกเฉิน]

      ชายลายสักที่ผมไม่รู้จักชื่อคนนี้กำลังบาดเจ็บสาหัส หากไม่มีใครช่วยเหลือ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่ผมปฏิเสธที่จะให้มันเป็นอย่างนั้น เพราะการเอื้อมมือไปฉุดรั้งดวงวิญญาณที่กำลังหลุดลอยแย่งยื้อชีวิตจากเงื้อมมือของมัจจุราช ยอมสละทุกสิ่งตนเองให้กับผู้อื่นโดยไม่สนใจความต่างใดๆไม่ว่าชาติพันธุ์ ฐานะ หรือศาสนา

      นั่นคือการเป็นแพทย์

                      ผมไม่ใช่หมอวิเศษเลิศเลออะไรจากไหน ผมก็เป็นเพียงศัลยแพทย์อ่อนประสบการณ์คนหนึ่ง ภารกิจหนึ่งเดียวชั่วชีวิตของผม คือการช่วยชีวิตคน

      หลังจากใส่สายระบายปอดและเขียนสั่งการรักษาผู้ป่วยแล้ว พยาบาลคนหนึ่งก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผม เจ้าหน้าที่ปลายสายแจ้งว่าห้องผ่าตัดพร้อมแล้ว ผมถอดเสื้อกาวน์สีขาวที่มีรอยเลือดเปราะอยู่เต็มไปหมดออก ข้างในนั้นคือชุดผ่าตัดสีเขียว ผมถูกเรียกลงมาจากห้องผ่าตัดเพื่อให้มาดูคนไข้ที่น่าจะความรับผิดชอบของหน่วยงานศัลยกรรม เมื่อผมเห็นห้องฉุกเฉินมีคนไข้เยอะจนดูแลไม่ไหวผมจึงตัดสินใจอยู่ช่วงซักครู่หนึ่ง แต่นี่ก็ถึงเวลาที่ผมจะกลับไปทำหน้าที่หลักของตนเองแล้ว

      “เดี๋ยวผมผ่าเอง ขอผู้ช่วยเป็นอินเทิร์นกับเอ็กซเทิร์นอย่างละคน” ผมแจ้งกับพยาบาล เท้าก้าวเดินออกจากห้องฉุกเฉินจะไปทางห้องผ่าตัด ขณะนั้นเองที่ผมรู้สึกถึงสัมผัสเย็นวูบที่หลังศีรษะ...อีกแล้วงั้นหรือ?

      ถึงผมจะกำลังจะต้องต่อสู้กับความตายตรงหน้า และกำลังเหนื่อยล้าอ่อนแรงสุดใจโดยไม่รู้ว่าคืนนี้จะได้นอนซักนาทีหรือไม่แต่ผมก็ยังคงสัมผัสได้ถึงสายตาอันเยือกเย็นจนเหมือนมุ่งร้าย จ้องตรงมาจากมุมมืดของห้องฉุกเฉินผมเป็นคนเดียวที่รับรู้ถึงการมีอยู่ของสายตานี้ ซึ่งอยู่กับผมมาหลายเดือนแล้ว

      ราวกับจะตอกย้ำความผิดพลาดของผม

      ***********

      อาชีพแพทย์ไม่มีวันหยุด

      ในฐานะที่ผมเป็นหมอ ผมคงบอกไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกว่าคนอื่นที่ไม่ได้ประกอบอาชีพในด้านสาธารณสุขจะมองอาชีพแพทย์อย่างไรแต่ผมก็พอคาดคะเนได้ว่าคนทั่วไปมองว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ รายได้สูง เป็นแล้วไม่มีวันอดตาย ทั้งสามอย่างนี้เป็นสาเหตุที่เด็กนักเรียนมากมายฝันอยากจะเป็นแพทย์ ข้อมูลเหล่านี้ถึงจะถูกต้อง แต่ก็ถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

      เมื่อคุณเป็นหมอ เวลาส่วนหนึ่งของชีวิตคุณจะถูกกระชากไปอย่างไม่มีวันเอากลับมาได้ แพทย์มีรายได้เหนือกว่าอาชีพอื่นหลังจบหลายเท่า ซึ่งก็มีเหตุผลอันสมควรเพราะหมอทำงานหนักกว่าวิชาชีพอื่นหลายเท่า อาชีพอื่นๆมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่เมื่อเป็นหมอแม้ในวันหยุดราชการคุณก็ต้องไปยังโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูคนไข้ตอนเช้า ช่วงเวลาที่คนอื่นหลับนอน หมอก็ต้องอยู่เวรดูคนไข้ข้ามคืนโดยไม่รู้ว่าจะได้หลับแม้ซักตื่นไหม

      แต่บางทีเวลาที่สูญเสียไปอาจจะเริ่มตั้งแต่ก่อนจะเป็นหมอแล้วด้วยซ้ำ นักเรียนหลายคนที่วาดฝันว่าจะสอบเข้าแพทย์นั้นจะมีวิธีชีวิตต่างจากเด็กนักเรียนทั่วไป เวลาที่ควรจะเอาไปเที่ยวเล่น ก็ต้องทุ่มให้กับการอ่านหนังสือ แม้แต่ช่วงเวลาแห่งความฝันอย่างปิดเทอมหน้าร้อนก็ต้องสูญเสียไปให้กับการเรียนรู้เพื่อที่จะนำสิ่งที่ได้มาช่วยในการปีนป่ายไปสู่ความฝันที่เรียกว่าอาชีพแพทย์ โดยที่นักเรียนส่วนใหญ่นั้นไม่รู้เลยว่าปลายทางที่รออยู่นั้นเป็นอย่างไร

      ผมก็เคยเป็นเช่นนั้น กาลเวลาที่ไหลผ่านอย่างไม่มีวันหยุดทำให้ผมรู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นผ่านมาแล้วเนิ่นนานเหลือเกิน ในอดีตผมทุ่มทุกสิ่งให้กับการเรียน อ่านหนังสือ ทำข้อสอบ แม้ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนผมก็ทำได้เพียงนั่นจมอยู่กับกองหนังสือ หูแว่วได้ยินเสียงเด็กหนุ่มเด็กสาวหัวเราะดังมาจากที่ไกลๆ ซึ่งผมคงไม่มีวันไปถึง จึงอาจกล่าวได้ว่าปิดเทอมฤดูร้อนของผมไม่เคยมีอยู่แต่แรกแล้วก็ได้

      หากจะพูดถึงสิ่งที่คล้ายกับปิดเทอมฤดูร้อนที่สุดสำหรับผม คงต้องย้อนไปตอนที่ผมไปเที่ยวกับเพื่อนในวันสงกรานต์ ผมจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อไหร่ แต่ก็คงจะหลายปีพอสมควรแล้ว เป็นที่รู้กันในหมู่แพทย์ว่าเมื่อทำงานไปเรื่อยๆ โดยเสมือนว่าไม่มีวันหยุด หมอก็จะเริ่มสับสนเรื่องวันและเวลา แต่ผมคงอาการหนักกว่าเพื่อน เพราะผมลืมแม้แต่ปี แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับกระจ่างชัดราวภาพถ่าย เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผม

      วันนั้นเป็นช่วงหยุดพักหลังจากเรียนจบและผ่านการสอบบอร์ดการเป็นศัลยแพทย์ พวกผมจึงมีวันหยุดให้เที่ยวสนุกสนานบ้าง เพื่อนผมที่เพิ่งซื้อรถใหม่ก็ชวนผมให้ขึ้นรถไปเล่นสงกรานต์ด้วยกันแต่ขณะรถของพวกเรากำลังเลี้ยงซ้ายบริเวณสี่แยกใหญ่ ก็มีรถทางตรงพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง ชนรถที่ผมนั่งจนพังยับเยิน เพื่อนผมซึ่งเป็นคนขับบาดเจ็บสาหัส แต่ผมบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ผมตามเจ้าหน้าที่กู้ภัยซึ่งนำเพื่อนผมไปส่งโรงพยาบาล และก็ต้องตระหนักกับความจริงที่น่ากลัว

      สภาพของโรงพยาบาลในช่วงสงกรานต์นั้นไม่ต่างอะไรกับนรก ผู้ป่วยนับสิบนอนเรียงรายอยู่ในห้องฉุกเฉิน และก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกนาที มีเสียงเอะอะโวยวายดังไปหมด เลือด เสมหะ น้ำเหลือง กระจายอยู่หลายจุดในห้อง เพื่อนของผมซึ่งบาดเจ็บสาหัสจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดด่วน ผมซึ่งเป็นหมอรู้ดี แต่กลับพบว่าไม่สามารถผ่าได้ทันทีเพราะหมอไม่พอ ผมจึงเสนอตนเองให้เป็นคนผ่า ผมจำเหตุการณ์ไม่ค่อยได้แล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทางโรงพยาบาลได้ยอมทำตามคำขออย่างสิ้นหวังของผม และให้หมอไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้าผ่าตัด

      เวลาผ่านไปกว่าหกชั่วโมง หลังความพยายามเลือดตาแทบกระเด็น ผมก็ช่วยชีวิตเพื่อนของผมได้ ขณะที่เดินออกจากห้องผ่าตัด และสายตายังคนเห็นคนไข้ที่กำลังรอรับการผ่าตัดนอนเรียงรายอยู่ ผมรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด...มีคนมากมายเหลือเกินที่ต้องเจ็บป่วย ต้องทุกข์ทรมาน แต่ผมกลับใช้เวลานี้ทำอะไร เที่ยวเล่น? ทั้งๆที่ผมสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตคนจากตายไปเป็นได้เนี่ยนะ

      ผมจึงตั้งปฏิญาณกับตนเองว่าจากนี้ไป ผมพร้อมจะยอมสละทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือผู้คน เพื่อไม่ให้ภาพและความรู้สึกผิดเหมือนในวันนั้นกลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง

      ตั้งแต่วันนั้นมาถึงตอนนี้...นี่ก็กี่ปีแล้วนะ? ที่วันสงกรานต์เวียนกลับมาบรรจบกันอีกครั้ง

                      ผมหันไปมองนาฬิกาในห้องที่มีแสงไฟเพียงสลัวๆ เข็มชั่วโมงชี้ไปที่เลขสาม ขณะที่หน้าปัดวันบอกว่าเป็นวันที่ 15 เมษายน วันสุดท้ายของสงกรานต์

      “ตีสามแล้วหรือเนี่ย” ผมเอ่ยพลางจิบกาแฟ ดูเหมือนเมื่อครู่ผมจะคิดเพ้อเจ้อไปไกลเชียวล่ะ

      ผมอยู่ในห้องพักแพทย์ห่างห้องผ่าตัดไปนิดเดียว เพื่อนๆแพทย์คนอื่นต่างนอนหลับเป็นตายบนโซฟา พยายามเก็บแรงในช่วงพักราว 10 นาทีนี้ให้มากที่สุด แต่ไม่ใช่ผม การหลับตอนนี้มันจะทำให้ประสาทสัมผัสทื่อไปซะมากกว่า

      ตอนนั้นเอง ประตูห้องพักแพทย์ก็พลันแง้มออกเป็นเสียงเอี้ยดยาวๆ ชั่วขณะผมรู้สึกเย็นยะเยือกราวกับเลือดจับตัวเป็นน้ำแข็ง ผมหันขวับไปมองตามเสียง และจึงเห็นเธอ

      หญิงสาวในชุดวันพีชสีขาวที่ดูราวกับจะล่องลอยอยู่ปรากฏตัวขึ้นจากเบื้องหลังประตู ผมสีดำยาวปรกไหล่ของเธอสะบัดไปตามสายลมที่ตีระหว่างบริเวณห้องผ่าตัดและห้องพักแพทย์

      ถ้าผมบรรยายเธอสั้นๆเพียงเท่านี้ คุณคงจินตนาการว่าเธองดงามเหมือนนางฟ้า แต่นั่นไกลจากความเป็นจริงมากนัก เพราะนัยน์ตาของเธอที่มองผ่านปลายผมม้ามานั้นไม่มีประกายใดๆ ไม่เหมือนนัยน์ตามนุษย์ ใบหน้าด้านขวาของเธอก็มีรอยฉีกขาดลึกไปถึงกระดูก ของเหลวสีแดงฉานที่ไหลออกจากแผลนั้นสัมผัสกับผมยาวจนเปียกชื้น ซึมลงมาจนชุดวันพีชส่วนหนึ่งเปลี่ยนจากสีขาวบริสุทธิ์เป็นสีเลือด

      เธอมองมาทางผม  ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกเย็นสันหลังวาบและขนลุกซู่วขึ้นบริเวณท้ายทอย อากาศที่เย็นอยู่แล้วหนาวขึ้นราวกับเป็นขั้วโลก ผมสูดหายใจลึกๆตั้งสติ มองเพ่งไปข้างหน้า แต่เธอก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ผมพยายามควบคุมหัวใจที่เต้นรัวเหมือนจะระเบิดให้ช้าลง ซึ่งผมก็ทำได้

      “เธออีกแล้วหรือ?” ผมกระซิบ หวังว่าเพื่อนหมอของผมจะไม่ตื่นขึ้น

      นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอกับเธอ

      ไม่ เธอไม่ใช่คนรักของผมที่ตายไปอย่างน่าสยดสยอง และไม่ เธอไม่ใช่วิญญาณอาฆาตที่ถูกหมอโรคจิตฆ่าหั่นศพ

                      ในช่วงชีวิตการเป็นหมอของผม ผมเห็นคนไข้ตายมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่โดยมากมักจะเป็นคนไข้ที่หมดปัญญารักษาแล้ว แต่มีเธอคนเดียวที่ต่างออกไป ผมยังจำได้ดี เมื่อสามเดือนก่อนมีอุบัติเหตุรถยนต์ และเธอเป็นหนึ่งในผู้ประสบอุบัติเหตุในคราวนั้น ผมจะไม่ขอเล่ารายละเอียดทางการแพทย์ให้ยืดยาว แต่เธออาการสาหัสมาก ที่สำคัญคือแผลที่ใบหน้าของเธอนั้นไม่ได้ร้ายแรงมาก ที่อันตรายจริงๆคือเธอมีภาวะเลือดออกในช่องท้องและความดันตกลงอย่างน่ากลัว ต้องได้รับการผ่าเปิดช่องท้องในทันที ซึ่งในวันนั้นผมก็เป็นศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัด

                      ในช่วงแรกการผ่าตัดดำเนินไปด้วยดี แต่แล้วความดันก็ตกอีกโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งห้องผ่าตัดอยู่ในภาวะความสับสนวุ่นวาย ผมพยายามแล้วพยายามอีกเพื่อหาจุดเลือดออก ให้เลือดกับเธอเต็มที่อย่างเร็วที่สุดเพื่อยื้อชีวิตของเธอไว้ แต่ความดันก็กลับดิ่งลงเรื่อยๆ และในที่สุดสัญญาณชีพจรก็กลับแบนราบกลายเป็นเส้นตรง...ผมช่วยเธอไว้ไม่ได้  

                      ผมมารู้ในภายหลังว่าเลือดที่สั่งมาให้เธอนั้นมีความผิดพลาดในกระบวนการจองเลือด เป็นความผิดพลาดหนึ่งในล้าน แต่ผลคือทำให้ได้เลือดที่ไม่ได้เข้ากับผู้ป่วยโดยสมบูรณ์ และเมื่อเธอได้เลือดเหล่านี้ไป ร่างกายจึงเกิดปฏิกิริยาต่อต้านทำให้ความดันตกลง อาการที่แย่อยู่แล้วจากการบาดเจ็บจึงทวีความสาหัสจนถึงขึ้นตรีทูต และผมก็ยื้อชีวิตเธอไว้ไม่ได้

                      ทุกคนบอกว่าไม่ใช่ความผิดของผม แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ถ้าผมสังเกตถึงความผิดปกติได้ชัดกว่านี้ และหยุดการผ่าตัดทันที เธอจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่านะ นี่เป็นคำถามที่หลอกหลอนผมเรื่อยมา และต่อมาสิ่งที่หลอกหลอนผม ก็กลายเป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนกว่านั้นมาก นั่นคือเธอ วิญญาณของเธอ ซึ่งปรากฏให้ผมเห็นเรื่อยๆอยู่แทบทุกเวลา หรือมันจะเป็นภาพหลอนที่ผมสร้างขึ้นเองจากความรู้สึกผิดในจิตใจ? ผมคงไม่มีวันหาคำตอบได้

      “เธอยังแค้นฉันอยู่หรือ?” ผมกระซิบ พยายามมองหลบดวงตาคู่นั้นของวิญญาณ “ที่ฉันช่วยเธอไม่ได้”

      วิญญาณสาวมองมาทางผมโดยไม่กล่าวคำใด

      ทันใดนั้นเองก็มีเสียงปัง และประตูห้องพักแพทย์ก็เปิดออก ประตูวัดผ่าร่างวิญญาณของหญิงสาวไป ทำผมตกใจจนสะดุ้งเล็กๆ เจ้าหน้าที่หญิงในชุดผ่าตัดเดินเข้ามาแจ้งว่า

      “คุณหมอคะ ดมยาพร้อมแล้วค่ะ”

      ผมพยักหน้ารับ จากนั้นจึงกระดกกาแฟที่เหลือหมดแก้ว ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย และปลุกเพื่อนที่นอนตายให้ตื่นมาในสภาพซอมบี้ บอกให้เตรียมผ่าตัด

      “ไปก่อนนะ” ผมกล่าวขณะที่เดินผ่านผีสาว ซึ่งเธอก็มองตามมา จนผมเดินไปลับสายตา

      ผมใส่หน้ากาก หมวกและเริ่มฟอกมือเตรียมผ่าตัด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอดสะกิดใจไม่ได้ ทำไม ในชั่วขณะที่ผมเตรียมตัวจะไปผ่าตัดช่วยชีวิตคน... สายตาของผีตนนั้น ถึงดูเศร้าเหลือเกิน?

      ***************

      “เหนื่อยเป็นบ้า...” ผมกล่าวพึมพำกับตัวเองด้วยความอ่อนแรงขณะที่เดินออกจากอาคารผ่าตัด ตรงไปยังหอพักแพทย์ นี่เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว เป็นอีกวันที่ผมไม่มีโอกาสได้พักผ่อนเหมือนมนุษย์ปุถุชนธรรมดา สมองผมเบลอสับสนไปหมดจนเริ่มไม่รับรู้ถึงผู้คนหรือทิศทางแล้ว จะว่าไปหลังๆผมชักจำช่วงเวลาที่นอนหลับพักผ่อนที่หอไม่ค่อยได้แล้ว เหมือนกับทั้งชีวิตมีแต่การผ่าตัดต่อเนื่องไปมีวันจบ แต่นั่นผมคงคิดไปเองมากกว่า

      ขณะที่ผมเดินเลี้ยวตรงทางโค้งที่นำไปทางหอนั่นเอง... ร่างหญิงสาวในชุดขาวที่มีเลือดเปราะไปทั้งตัวก็ปรากฏตัวต่อหน้าต่อตา

      “เฮ้ย!!” ผมกรีดร้องสุดเสียง ตาสว่างทันที

      ผมทำใจให้สงบลงในเสี้ยววินาที แล้วหันไปมองรอบๆทันที มีคนเดินอยู่บ้าง แต่ไม่เยอะ และพวกเขาดูไม่สนใจกับการกรีดร้องราวกับอาการทางจิตกำเริบของผมเมื่อครู่นี้ เป็นโชคดีไป

      นี่เป็นครั้งแรกที่เธอปรากฏตัวให้ผมเห็นต่อหน้าต่อตาในที่ๆมีผู้คนเยอะขนาดนี้ เมื่อเธอมาแบบนี้ ผมคงเลี่ยงที่จะไม่สบตาเธอไม่ได้แล้ว... ผมมองไปหาวิญญาณสาว ตาของผมประสานดวงตาสีนิลอันแสนเศร้าสร้อยของเธอ นี่ทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดในจิตใจของผมเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง

      “คุณยังเกลียดแค้นผมอยู่หรือ?” ผมกระซิบคำถามที่ผมคงถามไปเกินสิบรอบแล้ว และไม่เคยได้รับคำตอบ แต่วันนี้มีอะไรบางอย่างต่างออกไป เพราะสีหน้าของวิญญาณสาวเลือดเต็มตัวพลันอ่อนโยนลง

      “...ไม่” เสียงเบาที่สดใสราวระฆังดังรอดริมฝีปากของเธอออกมา

      นี่ทำให้ผมตกใจจนเผลอจะร้องออกมาอีกรอบแล้ว ธ...เธอตอบได้ด้วย “ถ้าเธอพูดได้ แล้วทำไมเธอถึงไม่พูดกับฉันตั้งแต่ตอนแรก?” ผมพยายามระงับความตื่นเต้นไว้แล้วพูดออกไปให้ไวที่สุดและเบาที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจคำถามที่สองของผม

      “ฉันไม่เคียดแค้นคุณหรอก” เธอเอ่ยเสียงเบา มีประกายในนัยน์ตาคู่นั้นของเธอ “ฉันถือเป็นบุญคุณมากกว่าที่คุณหมอพยายามจะช่วยชีวิตฉัน”

                      นี่ไม่ใช่คำตอบที่ผมคาดไว้เลย  “ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมเธอถึงตามรังความผมมาตลอด”

      “เพราะมันเป็นความปรารถนาสุดท้ายของฉัน” เธอเอ่ยเสียงเรียบ “หากวิญญาณหมดห่วงในโลกใบนี้ ก็ควรจะไปยังสวรรค์หรือภพหน้า แต่ที่ฉันไม่ไป เพราะฉันยังมีความหวังบางอย่างที่ยังไม่สำฤทธิ์ผล”

      “ความปรารถนาของเธอ? แล้วการโผล่มาให้ผมเห็นนี่มันเกี่ยวอะไรกับความหวังของเธอ ผมอาจจะไม่รู้ คือเรื่องวิญญาณอะไรนี่ผมก็ไม่ได้สันทัดหรอกนะ แต่บอกผมหน่อยได้ไหม... เผื่อผมจะช่วยได้”

                      เมื่อผมพูดว่า [เผื่อผมจะช่วยได้] ไปเท่านั้น ดวงตาของวิญญาณสาวก็ฉายแววเศร้าใบหน้าเธอราวกับกำลังจะร้องไห้ เธอเม้มริมฝีปาก แล้วกล่าวว่า

      “คุณหมอไม่ต้องช่วยใครอีกแล้วค่ะ เป็นคราวของฉันต่างหากที่จะช่วยคุณหมอ”

      “ช่วย? ช่วยผมยังไง? ชีวิตปกติของผมก็ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่มีเธอมาหลอนน่ะนะ” ผมกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ ผมคงชินกับตัวตนของเธอแล้วถึงล้อแบบนี้ได้ “เธอไปสู่สุคติเถอะ ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรหรอก”

      แต่ผมพูดเท่านั้นเอง ความมุ่งมั่นก็กลับแทนที่ความเศร้าของวิญญาณสาวในทันที “ไม่ค่ะ ฉันต้องทำสิ่งนี้ให้ได้ เพราะสิ่งที่คุณหมอทำอยู่ ถึงมันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็เถอะ แต่มันจะทำให้คุณหมอทนทรมานไปชั่วนิรันดร์”

      “ห...หา?” ผมอ้าปากค้าง นี่เธอพูดบ้าอะไรเนี่ย?

      ไม่สิ หรือว่าผมต่างหากที่บ้าไปแล้ว หรือว่าผมกำลังยืนอยู่ตัวตนเดียว พูดคุยกับภาพหลอนที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง ขณะนี่เริ่มมีคนมากขึ้นแล้ว ตอนนี้ผมยังคงทำตัวเป็นธรรมชาติอยู่ได้โดยการยืนพิงกำแพงเหมือนพักเหนื่อย แต่ถ้ามีคนเห็นเขาพูดคนเดียวจะๆนี่เป็นอย่างไง?

                      “...ผมต้องไปแล้ว ขอโทษนะ” ผมตัดบท แล้วรีบเดินตรงกลับไปทางหอพักทันที วิญญาณสาวก็ขยับมาขวางผมอย่างทันควัน แขนทั้งสองข้างกางออก บอกท่าชัดเจนว่าไม่ให้ผมไปไหนแน่

      “ไม่ค่ะ ฉันไม่ปล่อยให้คุณไปอีกแล้ว” เธอกล่าวอย่างมุ่งมั่น แล้วจึงสูดหายใจลึกๆ “เพื่อให้คุณเชื่อ ฉันคงต้องบอกสิ่งที่ฉันรู้... ถึงฉันจะเป็นผี แต่ฉันก็มีวิธีค้นหาข้อมูลของฉันเอง คุณจำวันหยุดฤดูร้อนครั้งสุดท้ายได้ไหม วันที่เพื่อนของคุณบาดเจ็บสาหัส แล้วคุณก็ผ่าตัดช่วยชีวิตเขา”

      “นี่เธอรู้ได้ยังไง...” ผมอุทาน แต่จะว่าไปผมก็ไม่ได้อยากรู้วิธีหาข้อมูลของวิญญาณเท่าไหร่หรอกนะ ในหัวนึกย้อนไป เหตุการณ์นั่นเนิ่นนานเหมือนผ่านมาสิบปีแล้วก็ไม่ปาน แต่ผมยังจำได้ดีเหมือนเมื่อวาน “จำได้ ทำไม?”

      “วันนั้น รถที่ขับ เป็นรถญี่ปุ่น หรือรถยุโรป?”

      ผมอยากจะถามกลับไปแล้วว่าจะอยากรู้ไปทำไม แต่คิดอีกทีตอบๆไปเถอะ ผมยังจำวันนั้นได้ถึงรายละเอียดปลีกย่อย วันนั้นรถใหม่ที่เพื่อนผมขับมาอวดนั้นเป็นรถราคาแพงทีเดียว “รถยุโรป บีเอ็มดับบลิว”

      “ถ้าเป็นรถยุโรป แล้วพวงมาลัยอยู่ข้างไหน?”

      “ซ้ายสิ” ผมตอบ “ทำไมหรือ?”

      “ถ้าอย่างนั้นคุณลองคิดดู ตอนเลี้ยวไปทางซ้าย รถทางตรงพุ่งเร็วเข้ามาใช่ไหม แรงกระแทกนั้นทำให้เพื่อนคุณที่อยู่ด้านซ้ายของรถบาดเจ็บสาหัส แต่ทำไมคุณที่อยู่ทางขวาของรถ ตรงที่ถูกรถชนเข้ามาเต็มๆกลับแทบไม่บาดเจ็บอะไรเลย?”

      เมื่อเธอพูดขึ้นมาแบบนั้นก็ทำให้ผมนึกขึ้นได้เหมือนนั่นว่าตอนนั้นตัวเองโชคดีขนาดไหน “นั่นมัน โชคดีน่ะ”

      “ถ้าอย่างนั้น โรงพยาบาลที่เพื่อนคุณถูกพาไปส่ง” วิญญาณสาวพูดต่ออย่างไม่ลดละ “ต่อให้คุณเป็นหมอก็เถอะ แต่ปกติหรือที่จะให้หมอที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมาผ่าตัด ลองนึกดู ไม่คิดว่ามันแปลกหรือ”

      ใช่ นั่นก็เป็นเหตุการณ์ประหลาดอีกข้อที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่ก่อนหน้าที่ผมจะอธิบายเรื่องความวุ่นวายและขาดกำลังคนของโรงพยาบาล เธอก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

      “คุณคงไม่รู้สินะว่าในรายงานของโรงพยาบาล คนที่เป็นผู้ผ่าตัดเพื่อนของคุณคือแพทย์ฝึกหัดศัลยกรรม ปี1” วิญญาณกล่าวเสียงเรียบ “เป็นข่าวใหญ่พอสมควรเลยล่ะ ที่แพทย์อ่อนประสบการณ์ขนาดนั้นผ่าตัดใหญ่ระดับที่อาจารย์ต้องผ่าสำเร็จ”

                      “นี่มัน...ประหลาดแล้ว” ผมหรี่ตา สมองทำงานอย่างรวดเร็ว “หรือว่าโรงพยาบาลพยายามปกปิดไม่ให้รู้ว่ามีคนนอกเข้ามาผ่าตัด?”

      “แล้วแค่คุณจะคิดแล้วกัน... แล้วเพื่อนคนนั้น คนที่บาดเจ็บสาหัสและคุณผ่าตัดช่วยชีวิตเขา เขาน่าจะซาบซึ้งในบุญคุณมากเลย ตอนนี้พวกคุณยังติดต่อกันอยู่ไหม?”

      “...ไม่”

      วิญญาณสาวมองหน้าผม “ทำไมล่ะ”

      “ไม่รู้สิ ก็ ห่างๆกันไป ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ”

      “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องแสดงความเสียใจด้วย” เธอเลื่อนสายตาราวกับมองไปยังที่ไกลแสนไกล “เพราะว่าเขาตายแล้ว”

      “หา!!” ผมร้อง อ้าปากค้าง “ต...ตายแล้ว? เมื่อไหร่? ทำไม?”

      วิญญาณสาวค่อยๆเลื่อนสายตากลับลงมาหาผม เธออ้าปากจะพูด ก่อนจะชะงักไป สีหน้าอมทุกข์พลันปรากฏขึ้น แต่เธอกลับข่มความรู้สึกนั้นไว้สำเร็จ และเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นๆ คำพูดที่จะเปลี่ยนทุกสิ่งไปตลอดกาล

       “สองปีก่อนค่ะ เสียชีวิตด้วยโรคชรา ในวัย 82 ปี”

      “ร... โรคชรา” ผมพึมพำ “82...ปี?

      “คุณ... จำวันเวลาไม่ได้จริงๆสินะ” วิญญาณสาวกัดริมฝีปากด้วยท่าทางเศร้าสร้อย

      ฉับพลันนั้น ภาพหนึ่งที่ดูเหมือนจะหายไปเนิ่นนานแล้วก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของผม

      ในวันนั้นวันหยุดฤดูร้อนสุดท้ายของผม ผมนั่งอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ และกำลังคุยกับเพื่อนผมอย่างออกรส

      แต่รถที่เพื่อนผมขับนั้นไม่ใช่รถบีเอ็มดับบลิวทรงสปอร์ตแบบที่ผมเคยคิดถึงมาตลอด มันเป็นรถโบราณทรงทู่ๆที่เห็นในนิตยสารรถคลาสสิก บริเวณถนนตรงนั้นก็ดูต่างออกไป มีรถบนถนนเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับที่ควร ป้ายโฆษณาต่างๆก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแล้วในปัจจุบัน เขียนด้วยอักษรไทยทับศัพท์อังกฤษเหมือนหลุดมาจากละครย้อนยุค ทั้งหมดนี่ ราวกับผมได้เดินทางย้อนเวลา

      ทันใดนั้น ก็เกิดแรงกระแทกที่รุนแรงราวฟ้าถล่ม ตามมาด้วยเสียงดังกัมปนาท และประสาทสัมผัสต่างๆของผมก็ดับวูบลงไป

      รู้สึกตัวอีกที ผมก็เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนใช้เหล็กแท่งงัดประตูรถยนต์ด้านคนขับออก ก่อนจะพาเพื่อนของผมมีเลือดไหลออกจากศีรษะราวกับก๊อกน้ำแตกออกมา แต่เขายังพอมีสติอยู่

      “ละ...แล้วเพื่อนผมล่ะ” เขาเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก

      เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าเขาหันไปทางรถยนต์

      ไปยังเศษซากที่ด้านขวาของรถยุบลงไปอย่างกับถูกอัดด้วยเครื่องจักร มีก้อนอะไรบางอย่างติดอยู่ในกองเศษซากนั้น ดูหงิกงอเกินบรรยายเป็นคำพูด กระจกและกระโปรงรถที่บิดเบี้ยวถูกย้อมเป็นสีแดง มีชิ้นเนื้อสีชมพูอ่อนเล็กๆหลายชิ้นปรากฏอยู่ในบริเวณที่มีแต่สีชาด

      เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นพูดว่า

      “...ไม่ไหวหรอก สมองกระเด็นออกมาติดกระจกหน้าขนาดนั้น ไม่รอดแล้ว”

       

      “อ๊ากกกก!!” ผมกรีดร้องสุดเสียง มือกุมศีรษะ หัวเหมือนจะระเบิดออกมา เจ็บปวดจนน้ำตาไหล ภาพตรงหน้า ภาพอดีต ภาพปัจจุบัน เพื่อนของผม วิญญาณหญิงสาว และร่างที่บิดเบี้ยวเหมือนไม่ใช่มนุษย์นั้นทับซ้อนกัน และวิ่งซ้ำไปซ้ำมาในศีรษะของราวกับจะทำให้ผมบ้าให้ได้

      ภาพที่แวบเข้ามานี่คืออะไร?

      “อะ...อะ อ้าก” ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้ เรื่องพรรค์นั้นน่ะ... มันต้องเป็นภาพหลอนแน่ๆ ใช่แล้วมีคำอธิบายเดียว ผมทำงานหนักเกินไปจนเริ่มมีอาการทางประสาท ไม่อย่างนั้นผมคงไม่เห็นวิญญาณที่ไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรกแล้ว ผมมองไปยังวิญญาณสาวที่ดูพร่ามัวจากน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ยอมหยุด “โกหก...”

      “โกหกหรือไม่ คุณหมอลองดูรอบๆตัวเองก็คงจะรู้คำตอบแล้วล่ะ” วิญญาณกล่าวโดยไม่มองหน้าผม ราวกับเธอทนมองท่าทางของผมไม่ไหว ราวกับตัวเธอก็กำลังเจ็บปวดเช่นกัน

      “ร..รอบๆ?”

      ถึงความรู้สึกเจ็บที่แล่นผ่านมาทุกชีพจรเต้นจะยังทำร้ายประสาทผมอย่างสุดแสนทรมาน ผมก็ยังทนลืมตาขึ้นได้ และผมก็เห็นผู้คนมากมายเดินขวับไขว่ไปมาในโรงพยาบาล ส่วนมากอยู่ในชุดผู้ป่วยไม่ก็มากับผู้ป่วย และก็มีวัยรุ่นหลายคนเหมือนกันที่ใส่ชุดและถือปืนฉีดน้ำเตรียมจะไปเที่ยวเล่นในวันสงกรานต์ แต่...ไม่มีใครหันมาสบตากับผมแม้แต่คนเดียว

      ทั้งๆที่ผมเพิ่งงกรีดร้องจากความเจ็บปวดแทบขาดใจไปเนี่ยนะ? ราวกับว่า...

      ผมไม่ได้อยู่ที่นี่แต่แรกแล้ว

      ***********

                      60 ปีก่อน คุณหมอได้เสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุรถยนต์

                      แต่เนื่องจากความปรารถนาสุดท้ายของคุณหมอ ซึ่งก็คือ “การช่วยชีวิตคน” ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม รวมกับการที่เพื่อนของคุณหมอบาดเจ็บสาหัสเป็นตายเท่ากัน ทำให้วิญญาณของคุณหมอยังไม่สามารถก้าวไปสู่ภพต่อไปได้ เมื่อเพื่อนของคุณหมอถูกส่งไปโรงพยาบาล คุณหมอจึงทำสิ่งเดียวที่วิญญาณทำได้เพื่อช่วยชีวิตคนโดยตรง นั่นคือการเข้าสิง

                      คุณหมอเข้าสิงแพทย์ศัลกรรมฝึกหัดคนนั้น และใช้ความรู้ความสามารถที่มีช่วยผ่าตัดจนช่วยชีวิตเพื่อนของคุณหมอสำเร็จ

                      เมื่อช่วยชีวิตคนสำเร็จแล้ว คุณหมอควรจะไปสู่สุคติ แต่ภาพของผู้คนที่บาดเจ็บล้มตายมากมาย ทำให้ความปรารถนาของคุณหมอเปลี่ยนไป จากช่วยชีวิตคนเฉยๆ กลายเป็น “สละทุกอย่างของตนเองเพื่อช่วยชีวิตคน” และทุกอย่างของตนเองนั้นรวมถึงความสุขจากการไปสู่สุคติด้วย

      ตั้งแต่วันนั้นคุณหมอกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน เป้าหมายเดียวคือช่วยเหลือผู้คน คุณหมอจะไปปรากฏที่โรงพยาบาลต่างๆ เข้าสิงแพทย์ผู้ที่มีความสามารถด้อยกว่างานเบื้องหน้า และผ่าตัดช่วยชีวิตผู้คน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจและกลับไปยังหอพัก คุณหมอก็จะไปสิงแพทย์คนอื่น ในโรงพยาบาลอื่นที่ต้องการ เป็นแบบนี้เรื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด

                      เพราะเป้าหมายของคุณหมอคือการช่วยชีวิตคน ดังนั้นคนไข้ที่คุณหมอเจอทั้งหมดจึงเป็นคนไข้ที่สามารถช่วยชีวิตได้ แต่ฉันเป็นข้อยกเว้น การที่ฉันตายเป็นสิ่งที่นอกเหนือจากการควบคุมในความสามารถของคุณหมอโดยสิ้นเชิง เป็นเหตุบังเอิญหนึ่งในล้าน

      วันนั้น ขณะที่ฉันตายและวิญญาณได้ออกจากร่าง ฉันก็เห็นวิญญาณที่เศร้าสร้อยสุดจะประมาณ ทับซ้อนอยู่กับร่างของหมอผ่าตัดที่พยายามสุดหัวใจเพื่อช่วยชีวิตฉัน ความปรารถนาที่ขึ้นมาในใจของฉันในเวลานั้นก็คือ ฉันอยากช่วยเขา

                      “ฉัน...จึงยังอยู่ที่นี่ เพื่อช่วยคุณ” วิญญาณสาวกล่าว ผมรู้สึกหูอื้อไปหมดความรู้สึกก็ด้านชา แต่ผมก็สัมผัสได้จากไออุ่นขอเธอ เธอซึ่งเป็นวิญญาณแท้ๆ ที่กำลังช่วยพยุงผม ผมที่ซึ่งเป็นวิญญาณเช่นกัน “คุณหมอพยายามมามากพอแล้ว ทนทรมานมาไม่รู้เท่าไหร่ คุณหมอน่าจะพักได้แล้ว”

      เวลา 60 ปี อาจจะมากเกินไปแล้วจริงๆ มากเกินไปนานแล้ว แต่นี่มันคืออะไรกัน? ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว ผมควรจะไปสู่สุคติแล้ว แต่ยังเหมือนมีอะไรบางอย่างในตัวผมที่ยังไม่ได้เติมเต็ม ราวกับชีวิตผมขาดอะไรไป และทันใดนั้นผมก็รู้ มันคือเสียงหัวเราะของเด็กๆที่เล่นน้ำขณะที่ผมอ่านหนังสือเรียนแทบเป็นแทบตาย เสียงหยอกล้อของวัยรุ่นขณะที่ผมกำลังรักษาผู้คนไม่ได้หลับได้นอน

      มันคือปิดเทอมฤดูร้อนที่หายไป

      “ผม... ขออะไรซักอย่างได้ไหม” ผมกล่าวเบาๆ มือป้ายน้ำตาที่ไหลออกมาจนเหมือนไม่มีวันหยุด “ผมขอ [ปิดเทอมฤดูร้อน] สิ่งที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน จะขอมากไปไหม”

      เมื่อได้ยินคำของขอผม วิญญาณสาวก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะปรากฏบนใบหน้านั้น แววตาทอประกายเจิดจรัส จนแม้รอยเลือดบนใบหน้าก็ไม่สามารถบดบังความงามนี้ได้เลย

      “นี่แหละคือเหตุผลที่ฉันยังอยู่ที่นี่!” เธอหัวเราะ ก่อนจะยกขันน้ำขึ้นมาราดน้ำใส่ผมเข้าเต็มๆ

      “เหวอ” ผมร้องตกใจ ทั้งตัวโดนน้ำสาดจนเปียกไปหมด ว่าแต่นี่เธอเอาขันน้ำมาจากไหนกันเนี่ย? “นี่เธอทำอะไรน่ะ?”

      “หือ? นี่คือที่คุณต้องการไม่ใช่เหรอ” เธอยิ้มสีหน้าทะเล้น “เรามาเล่นกันให้เต็มที่เถอะ”

      และเธอก็จับมือผม ดึงผมไปสู่แสงสว่างและเสียงหัวเราะ

      ผีสาวใบหน้าเศร้าสร้อยในชุดวันพีชสีขาวเปื้อนเลือดไม่มีอีกแล้ว เช่นเดียวกับวิญญาณหมอซึ่งล่อยลอยไปในวงจรที่ไม่มีวันจบ เหลือเพียงหญิงสาวที่มีรอยยิ้มกระจ่างดุจแสงตะวัน และชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มจางๆ ขณะทั้งสองวิ่งเข้าไปสู่สมรภูมิสาดน้ำสงกรานต์

      ***************

       “วิญญาณทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยหรือเนี่ย” ผมกล่าวอย่างฉงนขณะมองปืนฉีดน้ำอันเล็กในมือ “แปลกดีแฮะ”

      ผมไม่รู้ว่านี่เป็นความสามารถของวิญญาณทุกตนหรือเปล่า แต่ดูเหมือนผมและวิญญาณสาวจะสามารถเสกอุปกรณ์ต่างๆออกมาจากความว่างเปล่าได้ตามจินตนาการ เหมือนตอนที่เธอเสกขันมาราดน้ำใส่ผม แน่นอนว่าอุปกรณ์เหล่านั้นไม่ส่งผลกับคนเป็น และผมก็ไม่สามารถถูกน้ำจากคนเป็นสาดโดนใส่ด้วย ดังนั้นถึงตอนนี้ผมและเธอกำลังอยู่ในช่วงถนนที่มีการเล่นสงกรานต์อย่างคึกคัก เสียงเพลงและเสียงหัวเราะดังไปทั่ว แต่เราก็สาดน้ำโดนกันแค่สองคน ฟังดูน่าเบื่อหรือ? คิดผิดล่ะ

      ตอนแรกผมเห็นเธอเป็นสุภาพสตรี จึงเสกแค่ปืนฉีดน้ำเล็กๆยิงใส่เธอ แต่เธอกลับใช้ปืนขนาดใหญ่มากยิงใส่ผมโดยเล็งที่หน้าเต็มๆ เพื่อเป็นการล้างแค้นผมจึงโยนปืนฉีดน้ำทิ้งและเสกสายยางขึ้นมาฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าใส่จนเธอเกือบปลิว

      ก่อนที่ผมจะทันขอโทษเธอก็ทำแก้มป่องอย่างโมโหสุดขีด เธอหลับตา ใช้จินตนาการ แล้วจึงปรากฏเงาของบางสิ่งที่ขนาดใหญ่มหึมาพาดทับร่าผม “ฮ...เฮ้ย เอาจริงเหรอ” ผมกล่าวเสียงสั่น เหงื่อแตกพลั่กๆ ขาก้าวถอยกรูด  

      เธอเสกช้างตัวใหญ่มากขึ้นมาเชือกหนึ่ง!! เธอกระโจนขึ้นขี่มันด้วยสีหน้ามีชัย แล้วควบมันวิ่งไล่กวดผมไปตามถนนพร้อมกับพ่นน้ำจากงวงช้างใส่ผมตลอดเวลา ความจริงมันควรจะต้องดูดน้ำถึงจะพ่นได้ไม่ใช่หรือ นี่มันบ้าชัดๆ

      ถ้านี่เกิดขึ้นจริงในถนนที่ผู้คนพลุกพล่านคงมีคนตายแน่ แต่โชคดีที่นี่เป็นแค่ภาพในจินตนาการ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็วิ่งไล่จนผมต้องวิ่งหนีแทบขาดใจ เธอก็เร่งช้างเหมือนจะฆ่าผมซะให้ได้ ผมทนไม่ไหวจนตะโกนออกไปว่า

      “จะฆ่ากันหรือไง!!

      “ก็ตายอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นเป็นไรเลย” เธอตะโกนตอบกลับมาพร้อมเสียงหัวเราะ

      จริงด้วยสินะ...ถ้าอย่างนั้น ผมก็ไม่เกรงใจล่ะ! ผมหลับตาบ้าง และทันใดนั้นรถเกราะคุมฝูงชนที่มีเครื่องฉีดน้ำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น วิญญาณสาวดูจะเหวอไปเลย ผมขับมัน และยิงปืนฉีดน้ำเข้าใส่ช้างเต็มๆ

      “เล่นโกงนี่นา!” เธอร้องโวยวายทั้งๆที่น้ำเข้าปากเข้าจมูก

      “กล้าพูดนะ!” ผมหัวเราะใส่บ้าง

      “หนอย...อย่ายอมแพ้นะก้านกล้วย สู้ๆๆ” วิญญาณสาวกัดฟันพูด ก่อนจะบังคับให้ช้างพ่นน้ำสู้กับกับรถเกราะ

      “คิดหรือว่าช้างจะสู้กับเทคโนโลยีปราบการชุมนุมได้!” ผมหัวเราะเสียงดัง ภาพรถหุ้มเกราะฉีดน้ำสู้กับช้างคงเป็นภาพที่ไม่มีใครเห็นแน่ชั่วชีวิตนี้ และนี่เป็นครั้งแรก...

      ครั้งแรกจริงๆที่ผมได้หัวเราะมากขนาดนี้

      หลังจากนั้นวันสงกรานต์ก็ดำเนินต่อไปเหมือนไม่มีวันจบ ศึกจินตนาการของเราจบลงโดยผมเป็นฝ่ายแพ้เมื่อรถดังเพลิงสิบคันของผมโดนคลื่นสึนามิของเธอซัดจนพังราบ สิ่งต่อมาที่พวกเราทำคือสิ่งที่ผมทำทุกวันโดยธรรมชาตินั่นคือการสิงร่าง พวกเราสิ่งร่างหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่มาเที่ยวด้วยกันและก็สนุกกับการสาดน้ำเล่นสงกรานต์กับผู้คนรอบข้างจนเกือบเย็นแล้วจึงออกจากร่างพวกเขา

      หนุ่มสาวคู่นั้นคงกำลังสับสนว่าทำไมความจำในวันสงกรานต์ถึงเลือนรางแปลกๆ แต่ไม่นานพวกเขาก็คงคิดว่ามันเป็นสิ่งปกติธรรมดา เหมือนกับที่หมอนับร้อยนับพันคนที่เคยถูกผมสิงเป็นนั่นแหละ...เธอบอกกับผมแบบนั้น

      “สนุกจังเลยนะ” วิญญาณสาวเอ่ย ขณะนี้เธอกับผมกำลังนั่งชมวิวจากชั้นดาดฟ้าของตึกสูงกลางเมือง

      “ไม่มีข้อโต้แย้ง สนุกที่สุดในชีวิตเลยล่ะ” ผมตอบไป สายตามองไปยังเส้นขอบฟ้าและเมืองอันวุ่นวายแต่งดงาม ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ๊ะ ลืมไป ไม่มีชีวิตแล้วนี่นา”

      วิญญาณสาวหันมาหรี่ตามองผม “...นี่เป็นมุกตลกของหมอใช่มั้ย? ไม่ได้เรื่องเลยนะ”

       ผมหัวเราะตอบเสียง หึหึ ก่อนจะหลับตา สูดหายใจ ซึมซับบรรยากาศในเวลานี้ทั้งหมดไว้ในส่วนลึกของวิญญาณ แม้ชาติหน้าผมก็จะไม่ลืมความสุขในตอนนี้ไปเด็ดขาด และผมจะไม่ลืมเธอ วิญญาณสาวที่ช่วยชีวิตไปตลอดกาล

      “ขอบใจนะที่ทำให้วิญญาณฉันมีชีวิต” ผมกล่าว ขณะเลื่อนมือไปหาเธออย่างแช่มช้า

       

      ท่ามกลางบรรยากาศที่ยากจะหาคำบรรยาย มือของทั้งสองวิญญาณค่อยเลื่อนใกล้กันอย่างช้าๆจนประสานกัน พวกเขาไม่สบตากันแต่มีสีแดงจางเรื่อๆที่แก้มของทั้งคู่ ดวงตาของคู่หนุ่มสาวมองไปยังดวงอาทิตย์สีส้มยางมะตูมที่กำลังค่อยๆเคลื่อนต่ำลงอย่างแช่มช้า

      และแล้วท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง ในบรรยากาศที่แสงสีส้มส่องกับละอองน้ำจนกลายเป็นสีรุ้ง กึ่งกลางเสียงหัวเราะสังสรรค์

      วิญญาณทั้งสองก็หายไป

       

       

      ไอซีดี*(ICD – Intercostal drainage สายระบายในช่องเยื่อหุ้มปอด ใช้เพื่อระบายอากาศ ของเหลว หรือเลือดที่ค้างในบริเวณช่องปอด โดยใส่โดยแพทย์ และมักจะต้องต่อกับขวดระบาย)

      แมสซีฟฮีโมทอแรค** (massive hemothorax ภาวะเลือดออกปริมาณมากในเยื่อหุ้มปอด)

      แพ็คเรดเซล*** (packed red cell- องค์ประกอบของเลือดที่ประกอบด้วยเม็ดเลือดแดงเป็นหลัก ทั้งนี้ปัจจุบันในการให้เลือดผู้ป่วยนั้นไม่นิยมการใช้เลือดธรรมดา แต่จะให้เป็นองค์ประกอบเลือดเพื่อให้เหมาะสมต่อภาวะความเจ็บป่วย อาทิ Fresh Frozen Plasma, Platelet conc)

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×