คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Dream Control / Lucid Dream ฝันได้แบบใจนึก
twin prince
ตอนแรกว่าจะลงเรื่อง Mind control/Brain Washing (ทั้งสองอย่างหมายถึงล้างสมอง)แต่มันยาวเวอร์ๆยิ่งกว่าเรื่องนี้อีก เลยขี้เกียจ....
ส่วนเรื่องนี้ มีคนบอกมาว่ามันทำได้จริงๆแล้วสนุกด้วยนะเออ =o= ขอแบ่งออกเป็นหลักแบบปกติและหลักแบบการแพทย์แล้วกันนะค่ะ ขอขึ้นด้วยแบบธรรมดาเข้าใจง่ายๆก่อน การแพทย์อยู่ล่างสุดเลย
THx INFO : การควบคุมความฝัน หรือ "lucid dreaming" วิธีควบคุมฝัน ประสบการณ์ควบคุมฝัน (ถ้าจะอ่านสนุกๆ แนะนำ จุใจ)
More info : เมื่อผมตื่นขึ้นในฝันแบบเต็มตัว วิกิพิเดีย วิกิพิเดีย Oneirology
- รวบรวมข้อมูล และเรียบเรียงใหม่+โปรยเองเป็นบางส่วน
Dream Control / Lucid Dream ฝันในฝัน-ที่-ฝันได้แบบใจนึก
คือยุทธวิธีที่จะทำให้คุณทำอะไรก็ได้ อิสระในความฝันของตัวเอง
นาย Stepen LaBerge ซึ่งเป็นนักเขียน และนักทดลองชื่อดัง ได้อธิบายไว้สั้นๆเกี่ยวกับ Lucid dream ว่าเป็นสภาวะ "ที่คุณสามารถฝัน ในขณะที่รู้ว่าตัวคุณเองกำลังฝันอยู่"
Lucid dreaming(รู้ตัวขณะฝัน) และ Dream control(ควบคุมฝัน) เป็นความเป็นไปได้ที่ใช้หลักจิตวิทยา และวิทยาศาสตร์ปนกันไป ภาษากรีกเรียกกลุ่มคนที่ศึกษาหรือใช้วิธีหล่านี้ได้ว่าOneirology (
โดย Lucid Dreaming คือการรู้ตัวว่าฝันอยู่ในขณะที่คุณกำลังฝัน เป็นขั้นตอนแรกที่จะนำเราไปสู่การ ควบคุมความฝันให้เป็นไปได้อย่างใจเรานึกอยากจะทำ คือเมื่อเรารู้ตัวว่าฝันแล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ในฝันของเราเอง เราสามารถที่จะบิน จะเหาะ จะตบหัวคนที่หมันไส้ จะพบกับคนที่แอบชอบ หรือจะเปลี่ยนสิงโตให้เป็นแมว เปลี่ยนแมวให้เป็นหมา หรืออะไรก็ทำได้ทั้งนั้น(ปล่อยพลังแบบในการ์ตูนหรือแม้แต่เข้าฝันคนอื่นก็ยังได้น่ะ) ทั้งนี้เพราะฝันก็คือจินตนาการของคุณเอง แบบนี้เรียกว่าวิธี Dream Control แต่พอรู้ตัวมากเกินไป ทำอะไรโลดโผนหรือตื่นเต้นไปมักจะตื่น
ซึ่งประโยชน์ของมันนอกจากจะเล่นสนุกแล้ว ยังช่วยให้สามารถเปลี่ยนฝันร้ายให้เป็นฝันดีได้ ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นตามไปด้วยแบบไม่น่าเชื่อ
เรื่องที่เขียนไว้ข้างต้นนี้ บางครั้งก็อาจจะเกิดขึ้นเองกับใครก็ได้ (ส่วนใหญ่แล้วต้องเป็นคนที่มีสติ สมาธิพอควร) อาจจะเกิดหรือไม่เกิดกับเราก็ได้ แต่ที่น่าสนุกคือ ถ้าเราอยากทำ เราก็ทำให้มันเกิดขึ้นกับเราได้
ความสามารถในการประสบสภาวะ lucid dreaming นั้น นักวิจัยกล่าวว่าขึ้นอยู่กับ
· บุคคลเอง ซึ่งบางคนสามารถมีสภาวะ lucid dreaming ได้ดีกว่าคนอื่นๆ
· การทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถจะทำได้เกิดสภาวะ lucid dreaming ได้ง่ายขึ้น
· เทคนิคเหนี่ยวนำ ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป
เทคนิคที่ใช้โดยทั่วไป
วิธีทดสอบสภาวะความเป็นจริง (Reality Testing)
วิธีนี้จะใช้ทดสอบว่ากำลังฝันไปหรือไม่ โดยในความฝัน ผู้ฝันจะพยายามที่จะจดจำ คีย์เวิร์ด พอเราฝันไปเจอคีย์เวิร์ดต้องพยายามตั้งสติในฝันให้ดี ตั้งสติให้มากๆแล้วเราจะเริ่มรู้ตัวเองว่ากำลังฝัน
ตัวอย่างคีย์เวิร์ด
หนังสือ - ตัวหนังสือในฝันจะออกเลือนลาง ไม่ชัดเจน บางทีตัวหนังสือก้วิ่งแบบป้ายไฟโฆษณา แต่ก้ยังอ่านออกได้ตามปกติ
เสื้อผ้า- คล้ายกัหนังสือ แค่เราหันไปทางนึง แล้วหันกลับมาเสื้อผ้าเรา หรือคนอื่นก้เปลี่ยนไปแล้ว
"เวลาในนาฬิกา" และ ข้อความในหนังสือ "เวลาในนาฬิกา" และ "ข้อความในหนังสือ" นั้น มักจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอ ถ้าพบว่าดูข้อความในหนังสือเล่มเดียวกัน หรือ ก้มลงดูนาฬิกาในเวลาที่ไม่แตกต่างกัน แต่ข้อความในหนังสือ หรือ เวลาเปลี่ยนไป ก็ให้รู้ว่าคุณอยู่ในความฝันแล้ว
นอกจากนี้ยังมีการมองภาพของตัวเองในกระจก ซึ่งก็มีการกล่าวอ้างว่า ในความฝันนั้น คุณจะไม่สามารถมองหน้าตัวเองในกระจกได้ชัดเจน เหมือนในความเป็นจริงเลย
วิธีการสังเกตเครื่องหมายแสดงถึงความฝัน (Dream Signs)
การทดสอบอีกวิธีหนึ่งก็คือการสังเกต "สัญลักษณ์ความฝัน" เช่น ถ้าคุณพบช้างสีชมพูกำลังเดินพาเหรด หรือกระทั่งคุณกำลังคุยกับสุนัขตัวโปรดอยู่ นั่นแหละ "คุณกำลังฝันไป"
วิธีเทคนิคเหนี่ยวนำ (Mnemonic Induction)
วิธีนี้จะใช้ความตั้งใจในการสังเกตเครื่องหมายแสดงถึงความฝัน (dream signs) เวลาที่กำลังใกล้จะหลับ
วิธีเหนี่ยวนำโดยการกลับไปนอนใหม่ (Wake Back To Bed Induction technique (WBTB))
วิธีนี้ผู้ฝันจะกลับไปนอนใหม่ หลังจากที่ตื่นขึ้น โดยจะทำการวิเคราะห์ความฝันที่ได้ฝันในเมื่อครู่เป็นเวลาสัก 1 ชม. แล้วก็กลับไปนอนใหม่ ซึ่งนักผจญภัยความฝันได้กล่าวว่าจะเกิดสภาวะ lucid dreaming ได้ง่ายขึ้น
วิธีเหนี่ยวนำด้วยเข้าสู่สภาวะ lucid dreaming ในฉับพลัน (Waking Induction of Lucid Dreaming (WILD))
WILD เป็นวิธีที่ใช้กันมากที่สุด โดย ผู้ทดสอบจะพยายามเข้าสู่สภาวะ lucid dreaming ทันที โดยการพยายามทำตัวเองให้อยู่ในสภาวะ "hypnagogic" ซึ่งอยู่ในเส้นแบ่งระหว่างการหลับ กับไม่หลับ หรือสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ถ้าผู้ทดสอบสามารถอยู่ในสภาวะดังกล่าวได้ ก็จะสามารถควบคุมความฝันได้ โดยรู้ว่ากำลังอยู่ในความฝันอยู่ โดย นักผจญภัยความฝันกล่าวไว้ว่า มีขั้นตอน 3 ขั้นตอน ที่จะทำให้อยู่ในสภาวะนี้ได้ นั่นคือ
· ผ่อนคลาย (Relax)
· พยายามทำตัวให้มีสติ (Stay awake)
· แล้วก็เข้าสู่ความฝัน (Enter your dream)
จากการทดสอบพบว่า วิธีนี้จะใช้ดีที่สุดในตอนกลางวัน เพราะตอนกลางคืน ผู้ทดสอบมักจะผลอยหลับไปซะก่อน
สิ่งที่ผู้ผจญภัยความฝันมักจะทำ เมื่ออยู่ในสภาวะ lucid dreaming
· บิน (flying) นักผจญภัยความฝันทุกคน มักจะฝันว่าตัวเองอยู่ในสภาวะที่ไร้แรงดึงดูด หลายๆ ท่านบอกว่าเขาสามารถบินได้ แล้วก็บินไปอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน บางท่านบินด้วยความเร็วแสง ซึ่ง สามารถแซงชนะ UFO แบบไม่มีความเฉื่อย
· เปลี่ยนแปลง (transforming) บางท่านพบว่า สามารถจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง สัตว์ หรือสิ่งของ ชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์หรือสิ่งของชนิดอื่นๆ ได้ บางท่านฝันว่าตัวเองสามารถมองได้ 360 องศา หรือมีโซน่าแบบค้างคาว เป็นต้น
เขาว่ากันว่า ความสามารถจะพัฒนาไปเรื่อยๆตามลำดับขั้นดังนี้
1.รู้สึกตัวในฝัน (อันนี้เกิดจากการฝันซ้ำซ้อนกัน บังเอิญน่ะเอง)
2.สามารถบังคับตื่นได้
3.สามารถบังคับตัวเองในฝันได้
4.เสกของ จนถึงบิน แต่เวลาวิ่งจะวิ่งได้ช้า ไม่รู้ทำไม หากกลัว จะปลุกตัวเองก่อน
5.สามารถกลับไปฝันเรื่องเดิมได้อีก
6.สามารถควบคุมฝันของเราได้ทั้งหมด อยากให้เรื่องเป็นแบบไหน
7.สามารถเห็นตัวเองตอนหลับได้
8.สามารถเข้าฝันคนอื่นได้
พลังในความฝัน ขึ้นอยู่กับจินตนาการ และสติของเรา
หลักทางการแพทย์
lucid Dream แปลเป็นภาษาไทยตรงๆ ว่า "ฝันสีขาว" สภาวะ ฝันสีขาวหรือ Lucid Dream นั้น อธิบายทางการแพทย์ได้ว่า คลื่นสมองและภาวะการหายใจอยู่ในระหว่าง 3-7 รอบต่อนาที
หรือ Theta stage ซึ่งสภาวะนี้เป็นสภาวะที่คนเรายังหลับไม่สนิท ยังมีสติรู้ตัว แต่อยู่ในภวังค์ลึก ไม่เหมือนการฝันจริงหรือ Deep sleepซึ่งเป็นการฝันเพื่อปลดปล่อยพลังงานที่เราจดจ่อกับเรื่องบางเรื่อง
ซึ่งคลื่นสมองอยู่ในช่วงระหว่าง 1-3 รอบต่อนาที หรือ Delta stage
สภาวะของ lucid Dream นั้นการจินตนาการชัดเจนมากเหมือนฝันกลางวัน จึงเรียกว่า"ฝันสีขาว"บางครั้งผู้ที่อยู่ในสภาวะนี้ ก็จินตนาการตัวเองเป็นผู้กำกับ โดยเห็นตัวเองแสดงอยู่ และบางครั้ง
ก็เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์เป็นผู้แสดงเสียเอง
ประโยชน์ : ภาวะนี้มีประโยชน์สำหรับนักสะกดจิตบำบัด คือช่วยให้
ผู้ป่วยมองเห็นว่าสิ่งที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ให้เป็น ทำได้ และทำได้ดีที่สุด
เช่น อาการกลัวที่สูง นักสะกดจิตจะนำพาผู้ป่วยให้เห็นในจินตนาการ
ที่ชัดเจนด้วยสภาวะ lucid dream ว่าอยู่ที่สูงทำอะไรได้บ้าง สนุกแค่ไหน ไม่เห็นน่ากลัว เป็นต้น
*เพิ่มเติม
เคยอ่านหนังสือซีโนโฟเบียค่ะ ซีโนโฟเบีย กลัวคนแปลกหน้า (ของสำนักพิมพ์มติชน) เขาเขียนเรื่องฝันร้ายไว้ว่า ในบางครั้ง การฝันร้ายเกิดขึ้นจากความต้องการของจิตใต้สำนึก เพื่อจะได้ถูกทำโทษและหมดโทษ(? แสดงว่ารู้สึกผิดกับอะไรซักอย่าง) เท่ากับละลายความผิดในใจให้หมดไป (ถึงจะเพียงในฝันก็เถอะ) ทำให้ในชีวิตจริงรู้สึกสบายใจขึ้น
FIN
ความคิดเห็น