คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ❥ o s - g o o d b y e s u m m e r .
บอกเล่า : เนื้อเรื่องมันเชื่อมโยงกับเรื่อง ซันเดย์มันเดย์ แนะนำให้อ่าน ซดมดก่อนนะจ้ะ ♥ ( ลิงค์อยู่มุมซ้ายล่างอิอิ )
ปลายดินสอถูกบรรจงลากตามภาพที่เห็นตรงหน้า แสงแดดของยามเช้า ก้อนเมฆสีขาวนวลตา สีฟ้าใสของน้ำทะเลหรือแม้กระทั่งหาดทรายขาวยาวสุดลูกหูลูกตา แสงที่สะท้อนจากแดด และเสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งมา พาความเย็นและกลิ่นธรรมชาติของมันเข้ากระทบกับใบหน้า ริมฝีปากยกยิ้มอย่างพอใจในผลงาน และธรรมชาติด้านหน้า
ของเหลวข้นหลากสีถูกบีบออกมาใช้ตามแต่ต้องการ พู่กันทั้งเล็กและใหญ่ถูกใช้สลับปนเปกันทั้งหมด เหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่ถอดวางไว้ เห็นแล้วก็อดที่จะเสียใจไม่ได้ นานๆทีจะมีเวลาว่างแบบนี้ แต่ดันใกล้เวลาที่จะเรียกรวมตัวแล้ว จึงจำใจจะต้องเก็บอุปกรณ์ต่างๆที่ได้ใช้ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นคนคนหนึ่ง ที่นอนอยู่บนเปลไม่ใกล้ไม่ไกลจากตนนัก
หนังสือเล่มไม่หนามากถูกเปิดแล้วถือไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว แขนอีกทางทำหน้าที่เป็นหมอนที่ดีให้กับเจ้าของร่างกาย ริมฝีปากยกยิ้มอย่างพอใจในเนื้อหาของหนังสือที่ได้อ่าน ก่อนที่มันจะถูกเม้มเข้าหากันจนแถบจะกลายเป็นเส้นตรง ยิ่งมองยิ่งละสายตาจากคนตรงหน้าได้ยาก ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นที่เห็นท่าทางของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ได้แต่มองอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเพื่อนสนิทของตัวเองมาเรียก
เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน หลังจากที่เข้าไปรวมตัวที่ห้องประชุมของทางบ้านพักมาแล้ว ก็ถึงเวลาว่างตามที่รอคอย จึงทำให้ทุกคนรีบออกไปพักกันอย่างรวดเร็ว บ้างก็ไปเดินเล่น บ้างก็ไปหาอะไรรองท้องเพื่อรอกิจกรรมยามบ่าย คงจะมีเพียงแค่เขาและเพื่อนร่วมกลุ่มไม่กี่คนที่หยิบกล้องคู่ใจขึ้นมาโฟกัสตามจุดต่างๆ และกดชัตเตอร์เมื่อเจอจุดที่สนใจ
ดวงตาคู่คมเลิกมองภาพผ่านทางช่องเล็งภาพทันทีที่พบว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้มีเพียงธรรมชาติเหมือนก่อนหน้านี้ ร่างของใครบางคนที่นอนอ่านหนังสืออยู่เมื่อเช้า บัดนี้ในมือกลับถือดินสอหนึ่งแท่งพร้อมกับไดอารี่คู่ใจ เหลือบมองไปด้านข้างก็จะพบกับกล้องตัวโปรดของอีกฝ่ายเช่นกัน
“เขียนไดอารี่อีกแล้วหรอฮ่ะ (:”
“อื้ม นั่งก่อนสิ”
ใบหน้าน่ารักยิ้มให้กับคนเข้ามาทักใหม่ ก่อนที่จะก้มลงเขียนไดอารี่ในมือริมฝีปากฮัมเพลงออกมาเบาๆอย่างมีความสุข ทำเอาคนที่นั่งอยู่ข้างๆขมวดคิ้วจนแทบจะติดกันเพราะความอยากจะรู้ว่าอะไรทำให้คนข้างๆมีความสุขมากขนาดนี้
สมุดขนาดปานกลางถูกปิดลงพร้อมกับดินสอที่ถูกวางไว้ด้านบนตัวสมุด ก่อนที่มันจะถูกดันจนบนโต๊ะเป็นระเบียบ ในห้องมีเพียงแสงของไฟสลัวๆที่มาจากโดมไฟบนหัวเตียง กับร่างที่หลับสนิทของเพื่อน อยากจะนอนแต่ก็นอนไม่หลับ ทั้งยังเกรงใจเพื่อน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ออกมายืนหน้าบ้านพักซะแล้ว
แสงดาวที่ระยิบระยับบนท้องฟ้ายิ่งสร้างความผ่อนคลายได้เป็นอย่างมากทั้งกับร่างกาย และจิตใจ แสงสว่างจากจันทร์ที่เต็มดวงบนท้องฟ้ายิ่งทำให้ค่ำคืนนี้ดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น ไอเย็นจากทะเลถูกพัดเข้ากระทบกายจนรู้สึกเย็น ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างพอใจกับความงดงามใต้แสงจันทร์ของค่ำคืนนี้ ดวงตาคู่ใสมองไปรอบๆ ได้แต่นึกถึงวันเวลาที่หมดไป
สามวันแล้วที่มาเข้าค่าย สามวันแล้วที่มาอยู่ที่นี่ สามวันแล้วที่ได้มิตรภาพใหม่ๆเข้ามา สามวันที่ทุกคนได้มาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ได้ถ่ายรูป ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ต่างคนต่างที่มา ทั้งไม่รู้จักกันมาก่อน แต่กลับผูกพัน หากคืนนี้หมดไปอีกคืนก็คงเหลือเพียงแค่สองวัน ก่อนที่ค่ายฤดูร้อนนี้จะปิด
.
.
“กอดคอกันให้แน่นแน่นเลย แล้วยืนขาเดียวสิบนาที” เสียงตะโกนสั่งทำโทษดังขึ้นทุกครั้งเมื่อคุณทำผิดกติกาที่ตั้งไว้ ทั้งที่โดนทำโทษแต่ทุกคนกลับมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ไม่ต่างจากตัวเขาเอง
คงเป็นเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของค่ายนี้ ทำให้ทุกคนคุยกันมากขึ้น กล้าที่จะพูดสิ่งที่คิดออกไป กล้าที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้คุยกันแม้ไม่ได้เจอหน้า ดวงตาลอบมองใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่าย แขนที่กอดคอกันแน่นยิ่งทำให้ระยะห่างน้อยลง ความคิดแปลกๆที่เข้ามาในหัว ทำเอาส่ายหัวสะลัดความคิดแทบไม่ทัน แล้วถึงได้หัวเราะเยาะตัวเอง แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างซะเลย เมื่อโดนสั่งให้ยืนต่ออีกห้านาที ได้แต่ทำปากเบะใส่คนด้านหน้าที่ทำท่าพร้อมจะพุ่งเข้ามาเต็มที่ เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ไม่ยาก
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าช่วงเวลาของวันสุดท้ายมันจะผ่านไปเร็ว แตกต่างจากวันแรกๆที่ผ่านมา ทันทีที่เข็มสั้นชี้เข้าที่เลขสิบสอง ตัวรถบัสเคลื่อนที่ออกจากที่พักทันที ไม่คิดว่าจะต้องบอกลาที่นี่เร็วขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะต้องบอกลาทั้งที่ยังไม่ได้ทำให้มันชัดเจน..
“เขียนไดอารี่อีกแล้วหรอ”
“อือ”
“เอสเปรสโซร้อนหนึ่งแก้ว ได้แล้วครับ”
แก้วกาแฟขนาดพอดีถูกวางลงบนโต๊ะของลูกค้าคนสำคัญ บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยชีทเพลงต่างๆ ดูคล้ายกับนักดนตรี หลังจากที่เขากลับจากค่ายเมื่อสองอาทิตย์ก่อน แล้วมาช่วยงานที่ร้านของพี่ชายข้างบ้านก็พบว่าคุณนักดนตรีตรงหน้ามักจะมาที่นี่ทุกเช้า ช่วงเวลาแปดโมงกว่า และเลือกที่นั่งที่มองออกไปยังด้านนอกได้ชัดเจน ถึงจะเคยลองแอบมองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เห็นว่าด้านนอกนั่นจะมีอะไรให้น่าสนใจ
รอยยิ้มจากคุณลูกค้านักดนตรียิ้มกลับมาแทนคำขอบคุณก่อนที่จะหันไปมองด้านนอกเหมือนอย่างทุกวัน เห็นดังนั้นจึงเลือกที่จะโค้งเล็กๆให้อีกฝ่ายแล้วเดินกลับมาที่เคาท์เตอร์ดังเดิม
เสียงกริ่งจากประตูหน้าร้านดังขึ้น พร้อมกับร่างของเด็กน้อยที่วิ่งเข้ามาเกาะตู้กระจกใส่ขนมหวานหลากชนิดทันที คำพูดทักทายที่เหมือนกับถูกอัดเอาไว้ดังขึ้น เมื่อคุณแม่ของเด็กน้อยที่เดินตามเข้ามา เดินเข้ามาถึงตู้กระจกที่หนูน้อยยืนดูพร้อมกับดวงตาใสที่เปล่งประกายเมื่อเห็นขนมหวานหลากชนิดตรงหน้า นิ้วเล็กชี้ไปมาเมื่อคุณแม่คนสวยให้เลือกขนม จนเขาเองก็อดที่จะยิ้มให้กับการกระทำนั้นไม่ได้
จานขนมหวานถูกวางลงบนโต๊ะ เสียงร้องดีใจของเด็กน้อยดังขึ้นจนเขานึกเอ็นดู รอยยิ้มส่งไปให้เด็กน้อยกับคุณแม่ก่อนที่จะโค้งลา โดยไม่ลืมที่จะทวนรายการที่สั่ง แล้วบอกให้เจ้าตัวเล็กกินให้อะไร ใบหน้าเปื้อนยิ้มพยักหน้าให้พี่ชายพนักงานแล้วหันไปสนใจเจ้าขนมหวานในจานต่อ จนมุมปากเปื้อนไปด้วยครีมสดรสนุ่มจนคนเป็นแม่อดที่จะดุไม่ได้
ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ร้านนี่มานานเท่าไหร่แล้ว ต่อให้นึกก็จำไม่ได้หรอก ที่จำได้ก็คงมีแต่สิ่งที่เขาต้องทำทุกเช้าเช่นการนำเอาแก้ว‘เอสเปรสโซ’ ไปเสิร์ฟให้กับคุณนักดนตรี ทุกวันก็ยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่วันนี้ตอนใกล้จะปิดร้าน กลับเห็นชายคนนั้นอีกครั้ง เขามาพร้อมกับกระเป๋าเครื่องดนตรีที่สะพายไว้ด้านหลัง อีกฝ่ายเดินเข้ามาทำหน้านึกอยู่สักครู่ที่แล้วก้มมองไปยังขนมหวานที่เหลืออยู่ไม่กี่ชนิด นิ้วเรียวยาวจรดลงที่ขนมหวานอย่างเค้กสองชิ้น และบอกให้ห่อกลับบ้าน กล่องเค้กสีสวยถูกรับไปพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนที่เสียงกระดิ่งจะเบาลงหลังจากประตูถูกเปิด
หนังสือแต่ละเล่มถูกจัดให้เข้าที่ตามชั้นของมัน ทั้งหนังสือที่มีวางไว้และหนังสือที่ต้องนำมาเติมใหม่ ทั้งนิตยสาร หนังสืออ่านเล่น ความรู้ ตั้งแต่กลับจากเข้าค่ายเขายังไม่ได้พักเลยนะ ให้ตายเหอะ แต่ก็นั่นแหละมันเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่จะมาทำงานให้จนกว่าพี่สาวคนสวยจะกลับจากการท่องเที่ยว.. เขาไปห้าวันเอง แต่ยัยพี่นั่นไปเป็นเดือนเลยนะ มาตรฐานอยู่ไหนกัน
“แฮร่ !”
เสียงที่ดังจากโซนหน้าร้านดังขึ้น เดินไปมองก็เห็นเป็นเด็กผู้ชายสองคน จะว่าเด็กก็ไม่น่าจะใช่ เพราะดูจากชุดที่ใส่แล้ว น่าจะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาใกล้ๆที่นี่ซะมากกว่า จะว่าไปดูท่าแล้วคนที่ตัวโตกว่าคงจะแกล้งเพื่อนอยู่ เพราะมือเล็กหยิบหนังสือก่อนที่จะตีเข้าที่แขนของเพื่อนสนิท เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ ยืนมองอยู่สักพักก็กลับไปทำงานของตัวเองต่อ
จะว่าไปก็เห็นน้องคนตัวเล็กมานานจนจำหน้าได้แล้วหล่ะ น้องเขามาที่นี่ชอบไปยืนที่ริมกระจกมองนาฬิกาอย่างใจจดจ่อ แล้วก็เงยหน้ามองออกไปด้านนอก ทำหน้าตาที่ดูเหมือนจะ.. อ่า ฟินอยู่สักพักแล้วจึงออกจากร้านไป จะว่ายังไงหล่ะ เขาเห็นภาพนี้ทุกวันจนชินตาแล้วหล่ะ นึกแล้วก็อดเขาไม่ได้
“ขอโทษนะคะ หนังสือเล่มนี่ยังมีอีกมั้ย” เสียงใสของเด็กผู้หญิงวัยรุ่นถามขึ้น พร้อมกับยื่นเครื่องมิสื่อสารที่ภายในมีรูปหนังสือเล่มหนาออกมาให้ดู คิ้วขมวดเข้ามากันราวกับใช้ความคิด ก่อนจะบอกให้คุณลูกค้ารอสักครู่ แล้วตนเองถึงเดินเข้าไปในหลังร้าน เพื่อไปหยิบเจ้าหนังสือที่เหมือนในรูปมา
หนังสือท่องเที่ยวเล่มหนาถูกยื่นไปให้ใครบางคนที่ยืนรออยู่ก่อนหน้า ใบหน้าน่ารักยกยิ้มอย่างดีใจ กล่าวคำขอบคุณออกมาสองถึงสามที แล้วจึงเดินไปที่เคาท์เตอร์ด้านหน้าเพื่อคิดเงิน
วันนี้แปลก.. ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศที่แปลก หรืออะไร เพราะพักหลังมานี้เขามักจะเจอกับคุณลูกค้านักดนตรีเช้ากว่าเดิม ทั้งยังมีใครบางคนที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเข้ามาในร้านด้วยจากที่เมื่อก่อนมาเพียงคนเดียวตลอด นึกย้อนกลับไปคนที่มาใหม่ก็คุ้นหน้าอยู่ไม่น้อย แต่คิดไปก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่แล้วหล่ะ
มองไปรอบๆร้าน อากาศดูท่าจะแปลกจริงๆ อากาศมันดูอบอุ่นขึ้นทั้งที่ด้านนอกของร้านฟ้ากลับครึ้มขึ้นมาตั้งแต่เช้า โชคดีที่วันนี้เขาเอาร่มมาเพื่อ เพราะถ้ามันตกทั้งวันเขาคงได้นอนเฝ้าร้านแน่ เมื่อพบว่าภายในร้านไม่มีอะไรที่ยุ่งจนมากเกินจึงเลือกที่จะเดินไปหยิบกล้องที่วางไว้ที่ห้องพนักงานมาใช้
ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเมื่อมองดูรูปภาพที่ถ่าย ภาพบรรยากาศด้านในของร้านที่เต็มไปด้วยลูกค้ามากหน้าหลายตา ภาพที่ประกอบไปด้วยรอยยิ้มของคนที่มีความสุข หรืออาจจะเป็นใบหน้าที่บึ้งตึงของหนูน้อยที่โดนขัดใจ ทุกภาพที่ถ่ายออกมา บอกไม่ได้หรอกว่ามันเป็นภาพที่ดีที่สวยที่สุด แต่ภาพที่ถ่ายทุกคนเป็นธรรมชาติกัน มันก็กลายเป็นภาพที่มีค่าที่สุด
“ของโต๊ะนั้นนะ” มองตามนิ้วของพี่ชายผู้จัดการ ที่ชี้ไปยังมุมในสุดของร้าน พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเข้าใจแล้วจึงเดินไปเสิร์ฟเครื่องดื่มและของหวานให้ ก่อนที่จะทวนรายการแล้วเดินกลับมาวางถาดไว้ที่เดิม ตั้งใจว่าจะเหยิบโทรศัพท์มาเล่นเกมส์ แต่ก็ตั้งชะงักแล้วเบะปากใส่พี่ชาย เมื่อรับรู้ว่าตนต้องไปซื้อของให้ ทั้งยังมีการบอกให้เขาออกเงินไปก่อนอีก เดี๋ยวก็ขึ้นราคาให้เลยหนิ
“แหนะ เขียนไดอารี่อีกแล้ว ไหนขอดูหน่อยเด้ ~” ใบหน้าหวานยื่นเข้ามามองตัวหนังสือที่เรียงรายอย่างน่ารักในสมุด เกือบจะปิดสมุดทันแล้ว แต่ดูเหมือนเด็กตรงหน้าจะไว้กว่าเนี่ยสิ น้องนักศึกษามหา‘ลัยที่ไม่คิดว่าจะมาสนิทกันได้ คนที่เข้ามาภายในร้านที่ไม่ซื้ออะไรเลย ราวกลับมายืนตากแอร์ ซะมากกว่า อา.. นี่ไม่ได้แซะจริงๆนะ แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็เล่าให้ฟังมายืนมองใครบางคนอยู่
“เอาคืนมาเลย” ยื่นมือจนสุดแขนแต่เด็กตรงหน้าก็ยังสามารถหลบได้อยู่ตลอด ได้แต่ฮึดฮัดในใจ ทั้งที่เด็กนี่ก็ไม่สูงไปกว่าเขา แต่ทำไมเขาถึงหยิบมาไม่ได้กันนะ
“ใครอ่ะ จองกุก” ทั้งที่ปากก็พูดไป แต่สายตากลับยังคงอ่านไดอารี่เล่มโปรดของเขา ให้ตายเถอะอะไรที่เขาเขียนไว้นี่มันจะถูกเปิดเผยออกมาหมดแล้วนะ อุตส่าห์คิดว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่มายุ่งแล้วเชียว เจ้าเด็กตัวป่วน
.
.
ดวงตาก้มมองกระดาษในมืออีกครั้งจนมั่นใจว่าใช่ที่หมาย ลมหายใจพ้นออกมาเบาเบาจนเกิดเป็นควันเบาบาง เมื่อเช้าฝนตกลงมาก็ยิ่งทำให้อากาศเริ่มเย็นเข้าไปใหญ่เมื่อตกเย็น ประตูอัตโนมัติเปิดขึ้นเมื่อตัวสัญญาณจับได้ว่ามีคนมายืนใกล้ ขาที่ก้าวเข้าไปชะงักเล็กน้อย
“ใครอ่ะ จองกุก” จองกุก.. นั่นมันชื่อของเขาหนิ
หรืออาจจะเป็นแค่คนที่ชื่อเหมือนกันก็ได้ เพราะจากที่ดูแล้วเขาก็ไม่รู้จักกับคนพูดเลย.. จะว่าไม่รู้จักก็ไม่น่าจะใช่ซักทีเดียว เขาจำได้ว่าคนที่เรียกเขา คือคนที่มาร้านเมื่อเช้ากับคุณลูกค้านักดนตรี แต่ถึงจะสงสัยยังไงก็ไม่เข้าไปยุ่งดีกว่า มันค่อนข้างจะเสียมารยาทไป.. คิดได้ดังนั้นจึงเดินผ่านคนทั้งคู่ไป อ่อ อีกคนรู้สึกว่าน่าจะเป็นพนักงานในร้านนี่แหละ เห็นหน้าไม่ชัดหน่ะ เพราะอีกฝ่ายก็หันหลังอยู่ด้วย
เดินหาอยู่ได้ซักแปบนึงถึงได้เจอกับหนังสือตามที่ต้องการ แต่ก่อนจะจ่ายเงินเขาขอเดินดูก่อนแล้วกัน จะรีบกลับไปที่ร้านก็คงต้องไปทำงานตัวเป็นเกลี่ยวให้เหนื่อยเล่น สู้อู้อยู่ที่นี้ซักแปบแล้วกัน ดีกว่าเยอะ
‘ นี่มันคนที่ทำงานที่คอฟฟี้ช็อปใกล้คอนโดแบมหนิ ตรงXXXหน่ะ’ พูดตรงๆก็ไม่ได้ตั้งใจจะฟังเท่าไหร่ แต่เขากลับได้ยินมันเอง คงเป็นเพราะภายในร้านมันเงียบด้วยเลยทำให้ได้ยิน ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่สนแล้ว แต่สถานที่ที่พูดถึงนั่นมัน..
“ขอโทษนะครับ” หนังสือในมือถูกวางลงบนเคาท์เตอร์ ก่อนที่พนักงานจำเป็นจะเงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่ทำ.. “พี่แทฮยอง?”
“หื้อ? จะ.. จองกุก”
ต่างคนต่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าหลังจากวันนี้จะได้มาพบกันอีก จะว่ายังไงหล่ะ ไม่คิดว่าจะเจอกันง่ายขนาดนี้ ทั้งที่เคยถอดใจไปครั้งนึง เพราะความไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป จนสุดท้ายถึงได้นั่งดูรูปในกล้องที่แอบถ่ายไว้บางตอน บทจะเจอก็เจอกันง่ายจนหน้าใจหาย สัญญาเลยหล่ะว่าเขาจะรวบรวมความกล้าออกไป อย่างน้อยก็แค่ให้ได้ช่องทางการติดต่อบ้าง.. ใจเต้นแรงซะแล้วสิ สงสัยกลับร้านไปเขาต้องไปขอบคุณพี่ชายซะหน่อยแล้วหล่ะ
“หื้อ.. ใช่จริงด้วย” เสียงของบุคคลที่ดูเหมือนจะหลุดออกจากบทสนทนาไปชั่วครู่ดังขึ้น เรียกให้คนทั้งคู่ออกจากภวังค์ของตนเอง หนังสือที่วางไว้ถูกนำไปคิดเงินอย่างเร็ว แต่มันกลับดูเหมือนลุกลี้ลุกล้นซะมากกว่า ไม่นาน หนังสือก็ถูกใส่ถุงแล้วยื่นให้คนตรงหน้าพร้อมกับบอกราคาโดยรวม แต่กลับไม่เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย ตามอย่างที่ควรเป็น
“พี่ควรเงยหน้ามองลูกค้าด้วยนะครับ”
“เงยๆขึ้นมาเหอะหน้า จะอายอะไรเล้า”
“แบม !” คนโดนเรียกชื่อกลับทำลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่ได้พูดอะไรออกไป เสมองไปยังด้านนอกเห็นคนที่รออยู่เดินมาก็อยากจะถอนหายใจแรงแรงใส่ เขายังอยากแกล้งพี่ชายร้านหนังสืออยู่เลยนะ รีบมาชะมัด
มือสวยตบเข้าที่ไหล่ของคุณลูกค้าของร้านอีกคน ก่อนที่จะคว้ามืออีกฝ่ายขึ้นมา พร้อมกับรอยยิ้มที่ทำเอาคนมองอดที่จะไม่ไว้ใจไม่ได้ รูปขนาดเท่านามบัตรสองถึงสามใบถูกวางบนมือของคนที่อยู่ในรูปซะเอง
“แบม ! ทำไมทำแบบนี้อ่ะ ไปเลยไปมาร์คมาแล้วนั่น”
“คร้าบคร้าบบบ อยากอยู่กับจองกุกสองคนก็บอก ไม่ต้องไล่แบมหรอกน่า”
มองตามหลังของคนที่พึ่งออกไปไม่นาน หันกลับมามองคุณลูกค้าที่ดูท่าว่าจะมีอิทธิพลต่อการเต้นของหัวใจมากเกินความจำเป็น ก็เห็นเป็นสายตาที่มองตรงมายังตัวเขาเอง ..ตึกตึกตึกตึก หัวใจไม่เคยเต้นรัวแบบนี้มานานเท่าไหนแล้วนะ ? ริมฝีปากยกยิ้มให้กับคุณลูกค้าที่เดินออกไปจากร้าน มองตามด้วยสายตาละห้อยเล็กน้อย
สุดท้าย.. ก็ไม่กล้าเหมือนเดิม :(
เสียงของมือที่วางบนเคาท์เตอร์ด้วยความเร็ว จนดังออกมา อดที่จะสงสารไม่ได้ คงเจ็บน่าดู เงยหน้ามองคนที่เป็นคนทำก็เห็นว่าเป็นคุณลูกค้าที่ออกจากร้านไปไม่ถึงสามนาที ถามออกไปว่าลืมอะไรหรือปล่าว แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็คือการส่ายหน้าเบาเบา ถ้าไม่ได้ลืมของแล้วจะกลับมาทำไมกัน ริมฝีปากที่เม้มจนกลายเป็นเส้นตรง เห็นแล้วก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ กลัวว่ามันจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง หากเจ้าตัวยังไม่พูดอะไรอยู่แบบนั้น..
“พี่แทฮยอง.. คือว่า ถ้าพรุ่งนี้พี่ว่าง..
เราไปเดทกันมั้ย♥”
t h e e n d . จบจริงนะเออ ไม่มีต่อละมโนเอง -..-
โอเอสก็ลงแล้ว.. ต่อไปเราจะไปลุยกันต่อกับเรื่องยาวอย่างเดียวเลยแล้วกันนะ55555555555555555555555. แต่ออกมาได้ง่อยมาอ่ะ ให้ตายเถ้อะ ถถถถถ แต่งไปเมาไปรู้สึกเหมือนจะหลับ แต่ก็ไม่ -[]- อิอิ ขอบคุณที่อ่านมาจนจบน้อวว
เนื้อเรื่องมันอาจจะดูสับสนมึนงงไปบ้าง แต่พยายามแยกแล้วกันว่าอันไหนคือของใคร :P สู้ๆเน้อะะ ก้ากกกกกก ~ แต่งเสร็จปุ๊บลงปั๊ปเลยนะว่อยยย ยังไงก็ฝากไว้ด้วยเล้าาา ~ ก่อนชี้แจงมีคนจำได้ด้วยว่ามันเชื่อมโยงกับ ซดมด วู้วววว ~
ไม่ซึนละกันว่า อยากได้คอมเม้น บายยยย ♥ 555555555555555555555555555 ปล. แต่งเอง งงเองอ่ะ = =
ความคิดเห็น