ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุหงาตุนาหงัน

    ลำดับตอนที่ #1 : การเดินทาง(ใจ)เริ่มต้น 75%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.01K
      11
      3 ม.ค. 58

        เสียงทุ้มกระหึ่มของรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ไม่ใช่ว่าจะได้ยินทุกวันในอาณาบริเวณบ้านเป็นสัญญาณบอกเจ้าของบ้านว่าตอนนี้กำลังมี "แขก" มาเยี่ยมเยียน

        "เสียงรถใคร" บารมีผู้เป็นเจ้าของบ้านชะเง้อคอมองไปที่ลานจอดรถหน้าบ้านทว่าไม่สามารถเห็นได้เพราะรถจอดอยู่ในตำแหน่งหลบหลังพุ่มไม้พอดิบพอดี

        "เดี๋ยวสาไปดูเองค่ะคุณพ่อ" มิสาอาสาโดยมิต้องให้ใครไหว้วานเพราะภายในบ้านหลังนี้โดยปกติจะมีแค่เธอเอง นายบารมีซึ่งเป็นบิดาและพวงมุกซึ่งเป็นมารดา ไม่บ่อยนักที่ไทรทองซึ่งเป็นพี่ชายจะกลับมานอนค้างที่บ้านด้วยสาเหตุที่ว่าต้องทำงานและนอนค้างคอนโดมิเนียมใกล้ที่ทำงานสะดวกกว่า ถึงอย่างนั้นก็ยังกลับมาทานอาหารที่บ้านทุกวันหยุดเสาร์หรืออาทิตย์สัปดาห์ละหนึ่งวันเป็นอย่างน้อย และถึงแม้วันนี้จะเป็นวันอาทิตย์แต่เสียงรถที่มาจอดไม่น่าจะใช่เสียงรถของไทรทองเพราะไทรทองค่อนข้างจะเจ้าสำอางสักหน่อย เรื่องที่จะขับรถให้ผิวไหม้นั้นเป็นไปได้ยากมาก
       
        ไม่กี่นาทีต่อมามิสาก็เดินกลับเข้ามาภายในห้องรับแขกที่บิดานั่งอยู่พร้อมแขกพิเศษสาวสวยซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับบุคคลภายในบ้านเป็นอย่างดี

       "สวัสดีค่ะอาจารย์" สาวสวยยกมือไหว้ทำความเคารพบารมีที่เป็นทั้งอาจารย์และพ่อของเพื่อน

       "อ้อ! มะลินั่นเองคิดว่าใคร นั่งก่อนๆยัยสาไปเอาน้ำท่ามาให้เพื่อนสิไป" บารมีกวักมือเรียกให้มะลิหรือมัลลิกาเพื่อนรักของบุตรสาวมานั่งที่โซฟาเนื้อนุ่มระหว่างที่มิสาไปยกน้ำและขนมมาต้อนรับ

        "อาจารย์สบายดีนะคะ" มัลลิกาทักทายผู้ใหญ่ที่รักและเคารพในอาการสำรวมเช่นที่พึงกระทำ และทุกครั้งที่พบเจออาจารย์ท่านนี้ก็ยังคงเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือเสมอ

        "ก็สบายดีตามประสาคนแก่ล่ะนะ มะลิล่ะหายไปนานเชียวไม่เห็นแวะมาบ้างเลย"

        "หนูมากรุงเทพครั้งล่าสุดก็เมื่อต้นปีค่ะ แต่มาเช้าเย็นกลับเพราะมาทำธุระให้นายหญิง" มัลลิกาตอบเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่ามัลลิกานั้นเป็นเด็กในอุปการะของนายหญิงดวงยิหวาและนายหัวนฤบดินทร์

        "มาแล้วมะลิ น้ำเย็นชื่นใจกับขนมต้มป้าน้อมเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆยังร้อนอยู่เลย ลาภปากนะเราน่ะมาถึงขนมก็เสร็จพอดี" มิสาหยอกเย้าเพื่อนสนิท แม้ไม่ได้เห็นตัวเป็นๆแต่ก็ไม่เคยขาดการติดต่อกัน ทว่าการมาครั้งนี้ทำให้มิสาแปลกใจเพราะไม่รู้มาก่อน

        "ขอบใจจ๊ะ" มัลลิกายิ้มให้เพื่อนและรู้ดีว่าอีกไม่นานคงโดนเพื่อนสนิทคนนี้บ่นแน่นอนที่ไม่บอกล่วงหน้าว่าจะมา

        "ร้ายนะมะลิ คุยกันเมื่อคืนทำไมไม่บอกสาว่าจะมาหาวันนี้จะได้ไปรับ แล้วนี่ขับรถมาจากพังงาเลยหรือ" มัลลิกาได้แต่ยิ้มรับเพราะคิดเสร็จปุ๊บก็โดนเพื่อนรักแจกค้อนวงใหญ่ปั๊บเลย

        "ถ้าบอกก่อนก็ไม่ตื่นเต้นใช่ไหมล่ะ ก็ถามแล้วว่าเย็นวันนี้สาออกไปไหนไหม พอสาบอกว่าไม่ไปไหนก็เข้าแผน" มัลลิกาตอบพร้อมกับขยิบตาให้หนึ่งครั้ง "คิดถึงสานะรู้ป่าว" ไม่วายหยอดคำหวานพร้อมกอดเพื่อนอย่างเอาใจ

        "ไม่ต้องมาพูดดีเลยมะลิ ถ้าคืนนี้ไม่ค้างที่นี่สาจะงอนจริงด้วย" มิสาตั้งกติกาอย่างเป็นต่อ

        "แต่มะลิ..."มัลลิกาออกเสียงได้เพียงแค่นั้นมิสาก็ท้วงขึ้นในทันที

        "ห้าม 'แต่' นะมะลิอะไรกันไม่เจอกันตั้งเป็นปี มาหาสาแป๊บเดียวแล้วจะกลับอย่างไรสาก็ไม่ยอม" มิสาประท้วงเสียงดังกว่าเดิม

        "ยัยสา..ไม่เอาน่ะเพื่อนแวะมาก็ดีแล้ว" บารมีจำต้องออกโรงปรามบุตรสาวที่เริ่มทำตัวเป็นเด็ก "มะลิไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรหรอก อย่าไปสนใจยัยสาเลย รายนั้นเป็นครูบาอาจารย์คนแล้วยังเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ"

        "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูก็กำลังจะบอกสาว่าตั้งใจมาค้างด้วยอยู่เหมือนกัน"

        "อ้าว! ก็ใครจะไปรู้ก็เห็นพูดเหมือนจะไม่ค้างที่นี่" มิสาที่เมื่อสักครู่พูดเสียงดังฟังชัดค้อนแล้วค้อนอีกกลับเป็นพูดอุบอิบในลำคอเสียอย่างนั้น

        "เห็นไหมล่ะ เรานี่ชอบฟังไม่ได้ศัพท์" บารมีถือโอกาสสอนบุตรสาวอีกหนึ่งประโยคพอดีกับเสียงของยานพาหนะเคลื่อนตัวเข้ามาจอด

        "สงสัยพี่ไทรแน่เลยค่ะคุณพ่อ" มิสารีบทักขึ้นเสียก่อนที่บารมีจะร่ายยาว "เดี๋ยวสาไปดูก่อนนะคะ" ว่าแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งออกไปหน้าบ้านทันที

        "แล้วคุณแม่ล่ะคะอาจารย์" มัลลิกาถามถึงพวงมุกมารดาบังเกิดเกล้าของมิสาเนื่องจากตั้งแต่มายังไม่เห็นแม่ของเพื่อนคนนี้เลย

        "ไปเที่ยวบ้านเพื่อนเขาที่เชียงใหม่น่ะมะลิ ตั้งแต่หายป่วยเมื่อหลายปีก่อนเขาก็เกิดมีความคิดว่าอยากเที่ยวที่นั่นที่นี่อยู่เรื่อย เห็นว่ากลัวใช้ชีวิตไม่คุ้ม"
       
        "ดีเหมือนกันนะคะ โลกกว้างยังมีอีกเยอะเหมือนกันที่มะลิอยากไปให้เห็นกับตาสักครั้ง" มะลิมีความฝันเช่นนั้นแต่ในความเป็นจริงมะลินั้นรู้ดีว่าคงทำได้แค่ฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นมะลิก็มีรอยยิ้มที่เฝื่อนลงไปถนัดจนบารมีจับสังเกตได้

        "ความฝันมันทำให้คนเรามีแรงผลักไปข้างหน้า อย่าหยุดฝันนะมะลิ" บารมีให้กำลังใจเพราะเขาเองพอจะรู้จักพื้นเพของมัลลิกาพอสมควร สืบเนื่องมาจากอาการป่วยของภรรยาของเขาทำให้มัลลิกาได้เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับครอบครัว เพราะมิสาและมัลลิกาอาสาสลับกันเฝ้าดูแลจนออกจากโรงพยาบาลและหายเป็นปกติ
       
        เมื่อครั้งที่มัลลิกาเรียนในระดับอุดมศึกษาในชั้นปีสุดท้ายอยู่ๆเพื่อนรักอย่างมิสาก็บอกกับมัลลิกาว่าจะพักการเรียนไว้สักหนึ่งเทอมการศึกษาเพราะต้องดูแลมารดาที่ป่วย นั่นก็เท่ากับว่ามิสาไม่สามารถเรียนจบและรับปริญญาได้พร้อมเพื่อนในรุ่นเดียวกัน ประกอบกับมันเป็นเวลาพอดิบพอดีที่บารมีต้องเดินทางไปดูงานในต่างประเทศในโครงการของมหาวิทยาลัยที่ทำอยู่ขณะที่พวงมุกต้องเข้ารับการผ่าตัดเนื้องอก อีกทั้งไทรทองเองก็เพิ่งเริ่มงานใหม่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นจึงไม่ค่อยมีเวลามาเฝ้ามากนัก

        มัลลิกาจึงออกความคิดว่าสลับกันไปเรียนแล้วช่วยกันอ่านกับมิสา ตรงไหนเป็นข้อสงสัยค่อยถามกับอาจารย์ประจำวิชานอกรอบ ซึ่งก็ได้รับความเมตตาจากคณะอาจารย์เป็นอย่างดี มัลลิกานั้นดูแลพวงมุกเหมือนปฏิบัติต่อญาติผู้ใหญ่ไม่รังเกียจไม่เคยบ่นหรือทำสีหน้าที่ทำให้พวงมุกรู้สึกว่ากำลังเป็นภาระของคนอื่นเลย จากความใกล้ชิดกันคราวนั้นทำให้พอจะทราบว่าพ่อและแม่ของมัลลิกาประกอบอาชีพรับจ้างเป็นคนงานของนายหัวใหญ่แห่งแดนใต้นามว่านฤบดินทร์และนายหญิงนามว่าดวงยิหวา เป็นความโชคดีของมัลลิกาที่รักเรียนบุคคลทั้งคู่จึงเมตตาส่งเสียให้เรียนจนจบการศึกษาปริญญาตรี จากสิ่งที่บารมีรู้นั้นทำให้ประมวลผลได้ว่ายากนักที่มัลลิกาจะได้เดินทางท่องเที่ยวไปแดนไกลอย่างที่หวัง

        "หนูคิดว่าคงมีโอกาสสักวันเหมือนกันค่ะ" มัลลิกาตอบด้วยใบหน้าที่แจ่มใส่กว่าเดิม นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มัลลิการักที่จะเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์คันใหญ่คู่ใจ สายลมที่ผ่านผิวกายขณะที่รถกำลังขับเคลื่อนแหวกอากาศไปนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าสิ่งใหม่รออยู่ข้างหน้า เธอนั้นกำลังโบยบินไปในอากาศมันทั้งอิสระและเสรี มิใช่ว่าเธอนั้นถูกบังคับกดขี่จากผู้มีพระคุณทั้งสองแต่อย่างใด ตรงกันข้างทั้งคู่อยากให้เธอมีโอกาสเรียนจนจบระดับสูงที่สุดเท่าที่เธอจะเรียนได้ด้วยซ้ำ แต่เพราะความเจียมตัวและระลึกถึงพระคุณท่วมหัวทุกลมหายใจเข้าออกทำให้ไม่สามารถทำใจละทิ้งและทำตามที่ใจต้องการได้ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือพยายามทดแทนพระคุณของทั้งคู่ให้มากที่สุด และการเดินทางในครั้งนี้ก็เช่นกัน
       
        "มะลิ..หายไปไหนมาตั้งนานไม่มาเยี่ยมคนแก่อย่างฉันบ้างเลย" เสียงแจ่มใสของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นแทรกระหว่างการสนทนา

        "สวัสดีค่ะคุณแม่" มัลลิกาพนมมือไหว้ผู้มาใหม่ด้วยความนอบน้อม

        "ไหว้พระเถอะลูก ไหนมาให้แม่กอดให้หายคิดถึงหน่อย" พวงมุกอ้าแขนทั้งสองข้างแล้วโอบไปรอบร่างบางของมัลลิกา

        "ยัยสาบอกแม่ว่ามะลิขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นมาจากพังงา จริงหรือลูก?" รถคันแปลกตาจอดอยู่ภายในบ้านทำให้เจ้าของบ้านรีบถามทันทีที่เห็นหน้าบุตรสาวว่าเป็นของใคร แว๊บแรกที่เห็นในใจนั้นคิดว่าต้องเป็นหนุ่มที่มาติดพันบุตรสาวเป็นแน่ ความรู้สึกเมื่อคิดเช่นนั้นมีทั้งดีใจและเสียดายปนกัน ดีใจเพราะในที่สุดลูกสาวที่รักคงไม่คิดจะไปเรียนต่อยังต่างแดนหากมีคนรักหรือหากเป็นคู่ครองไปเลยก็ยิ่งดีไปใหญ่ แต่อีกใจก็เสียดายอีกหนึ่งหนุ่มที่ติดตามมาส่งถึงบ้าน

        "จริงค่ะคุณแม่ พอดีมะลิต้องไปช่วยงานของนายหัวที่ภาคเหนือหลายวันจำเป็นต้องใช้รถจะได้ไปไหนมาไหนสะดวกเลยขับไปเองซะเลย"มะลิตอบพ่วงท้ายด้วยเหตุผลจะได้ไม่ถูกแม่ของเพื่อนรักที่เอ็นดูเธอเหมือนเป็นลูกเป็นหลานบ่นที่เสี่ยงในการเดินทางเช่นนี้

        "เอาเถอะๆแม่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยรีบบอกเชียว อย่างไรก็ต้องระวังตัวให้มาก ว่าแต่มาคราวนี้จะค้างกับแม่สักกี่วันดี" คำถามของพวงมุกทำให้บารมีและมัลลิกาคิดพร้อมกันว่าแม่ลูกช่างเหมือนกันอะไรอย่างนี้ หากแต่พวกมุกนั้นมาในชั้นเชิงที่เหนือกว่า

        "ก็ว่าจะรบกวนพักกับคุณแม่สักสองคืน"มัลลิกาตอบอย่างนอบน้อมเช่นเดิม

        "รบกงรบกวนอะไรกัน แม่เคยบอกแล้วว่าให้คิดว่าบ้านหลังนี้ก็บ้านหนู จะมาค้างวันไหนก็มาได้ตลอดเวลา มะลิเองต่างหากไม่ค่อยว่างมาหาแม่บ้างเลย ถามยัยสากี่ทีก็บอกว่ามะลิยุ่งงานรีสอร์ทยุ่งงานโรงแรมหลังสุดนี่บอกว่ายุ่งงานศพนี่ก็ไม่รู้พูดจริงหรืออำแม่เล่นนะเนี่ย"

        "เราไปสระผมกันเถอะยัยสา" เสียงของไทรทองแทรกมาดังพอที่ทุกคนจะหันไปมองด้วยความสังสัย

        "ไปสระทำไมพี่ไทร หรือว่าผมสาเหม็น" มิสาถามพลางหยิบผมช่อหนึ่งของตนเองมาดม

        "ก็ไม่นะผมเค้าออกจะหอม" มิสาบอกหลังจากทดสอบกลิ่มผมตนเองเสร็จ

        "ต้องไปสระเพราะเรามันหัวเน่าแล้วไงยัยสา ดูสินั่นแม่เราเจอลูกสาวคนโปรดลืมเราสองคนไปเลย" ไทรทองหันมาตอบน้องสาวพร้อมยื่นมือไปขยี้ศรีษะของมิสาอย่างแรงอย่างที่ทำเป็นประจำ

        "ไอ้พี่ไทร ผมสายุ่งหมด" มิสาปัดมือของไทรทองออกแต่ไม่ทันเสียแล้ว ผมที่ไดร์มาอย่างดีเมื่อเที่ยงกลายเป็นยุ่งเหยิงพันกันไปมาทำให้มิสาต้องค่อยๆสางออกอย่างเบามือ

        "เล่นอะไรเป็นเด็กๆเจ้าสองคนนี้ไม่อายพ่อโมกข์เขา" พวงมุกกล่าวถึงอีกหนึ่งหนุ่มที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังแจกันลายครามใบใหญ่ซึ่งทำให้มัลลิกาหันไปมองหาบุคคลแปลกปลอมว่าเป็นใครกัน และเมื่อเห็นแล้วก็บอกกับตัวเองว่า 'ก็ดูดีอ่ะนะ'หลังจากนั้นก็เลิกสนใจ ก็แค่คนหน้าตาดีคนหนึ่ง

        "ไม่เป็นไรหรอกครับน่ารักดีออก ผมก็อยากมีพี่น้องให้ได้แกล้งเล่นแบบนี้บ้างแต่เสียดายที่ผมเป็นลูกโทน" โมกข์ยิ้มตอบให้กับมิสาที่กำลังอับอายกับการแกะผมที่พันกัน เนื่องจากทุนเดิมมิสานั้นมีผมเส้นเล็กแต่เป็นลอนใหญ่แบบธรรมชาติ ทว่าเจ้าตัวนอกจากไดร์แล้วไม่ค่อยได้บำรุงดูแลเท่าที่ควรเลยค่อนข้างแห้งเมื่อถูกขยีแรงๆจึงพันกัน อีกทั้งที่ไดร์เอาไว้ก็เริ่มคืนตัวแล้ว ต่างจากมัลลิกาที่มีผมดำเป็นเงาแม้ไม่ได้บำรุงมากนักแต่ด้วยหน้าที่การงานต้องพบปะติดต่อประสานงานและมีดวงยิหวาจัดการเรื่องครีมบำรุงตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้าทำให้ทั้งเรือนผมและเรือนกายละเอียดละออแม้ออกแดดบ่อย

        โมกข์มองใบหน้ามัลลิกาอย่างพิจารณาแล้วบอกกับตัวเองว่า 'สวยคม' เขาเองก็คิดว่าคงได้แค่มองไม่คิดจะทำตัวสนิทสนม เพราะว่าที่เจ้าสาวที่มารดาคาดหวังอยากจะได้มาเป็นสะใภ้นั้นชื่อมิสาไม่ใช่ชื่อมัลลิกา ดังนั้นคนที่ต้องมองคือมิสา แต่ 'โอ้ย!..ลูกกะตาเจ้ากรรมมันไม่ยอมเคลื่อนที่เลยครับแม่ 


    สวัสดีปีใหม่ค่ะทุกท่าน...ฝากหนูมะลิด้วยนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×