คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Rubble and Ruin: Chapter 2 | chanyeol x baekhyun
rubble and ruin
chanyeol x baekhyun / pg-15 / angst, a bit of fluff, flashback included
*
Chapter 2
บรรยากาศของห้องทำงานดูท่าจะอึมครึมเป็นพิเศษในเวลานี้ ชายหนุ่มทั้งสองยืนอยู่กันคนละหัวมุมห้อง ที่เหมือนกันคือต่างฝ่ายต่างเบนหน้าหนีซึ่งกันและกัน ทั้ง ๆ ที่อากาศออกจะร้อนขนาดนี้แต่ชายร่างท่วมบนเก้าอี้หมุนกลับรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกรอบตัวพิกล
“แบคฮยอน แนะนำตัวให้คุณปาร์คหน่อยสิ”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ เขารู้จักผมดีอยู่แล้ว... อ้อ แต่ก็ดีเหมือนกันนะครับ เพราะบางทีเขาอาจจะลืมผมไปแล้วก็ได้ว่าผมคือใคร”
คำตอบที่ได้ทำเอาผู้ถามถึงกับอึ้ง เขารู้ดีว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กปวกเปียก อ่อนแอ แต่เขาเองก็เคยเจอด้านที่หยาบกระด้างขนาดนี้ของอีกฝ่ายมาก่อนเช่นเดียวกัน เด็กหนุ่มเจ้าของคำตอบส่งสายตาจิกกัดเด็กหนุ่มอีกคนจนฝ่านที่ถูกจ้องถึงกับทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“นี่ บยอนแบคฮยอน ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกนาย แต่ที่นี่เรามาทำงาน นายบอกเองไม่ใช่เหรอไง หืม แบคฮยอน? ยังไงก็แล้วแต่ฉันต้องการให้นายดูแลคุณปาร์คในที่ทำงานนี้ นี่คืองานที่ฉันมอบหมายและหน้าที่ของนายคือทำให้บรรลุ ฉันไม่สนว่าพวกนายจะเป็นศัตรูเก่ากันมาก่อนหรือเปล่า ทำงานให้เสร็จ นอกเหนือจากนั้นคือเรื่องของพวกนาย”
เสียงปรามของผู้เป็นใหญ่ที่สุดในห้องดังฉอด ๆ แต่ดูท่าว่าร่างบางตรงหน้ากลับทำหน้าเพิกเฉยก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยปราศจากการโค้งลาตามมารยาท ตรงกันข้ามอีกคนหนึ่งที่ก้มหัวให้เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะเดินจากไป
“แบคฮยอน… แบคฮยอน ฟังฉันก่อน”
ฝ่ามือใหญ่เกาะกุมแขนเล็กของร่างบางจนมิด แรงฉุดของคนตัวสูงทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเสียหลักแต่เมื่อแบคฮยอนทรงตัวได้ก็ถือโอกาสปลดมือนั่นออกจากแขนของเขา
“โต๊ะของนายอยู่ตัวที่สองถัดขวามือติดประตูทางเข้า ทีนี้ก็ออกไปจากชีวิตฉันซะปาร์คชานยอล”
อารมณ์โทสะถูกแสดงออกมาทางใบหน้าของคนตัวเล็ก เสียงที่ถูกเปล่งออกมานั้นก็ฟังดูรู้ว่าถูกข่มเก็บเอาไว้ขนาดไหน แต่ความพยายามของร่างสูงกลับไม่ลดลงไปเลยซักนิด เขากลับใช้มืออีกข้างกุมแขนเรียวอีกครั้งก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีฉุดร่างอีกร่างออกไปจากสายตาของคนนับสิบที่ต่างสงสัยถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้
ชานยอลลากอีกฝ่ายออกมาจากบริเวณโต๊ะทำงานของเหล่าพนักงานได้สำเร็จท่ามกลางสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนที่เดินผ่านและเสียงร้องขัดขืนของแบคฮยอน ในที่สุดทั้งคู่ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าลิฟท์ ไม่ทันที่ริมฝีปากหนาจะได้เอ่ยคำพูดใด ๆ เสียงแหบกร้านของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น
“ชานยอล นายต้องการอะไรจากฉัน?! ที่ผ่านมามันยังไม่พออีกเหรอไง??”
“แบคฮยอน… ฟังฉันก่อนได้มั้ย”
“ไม่! ฉันไม่ฟัง! ฉันไม่ฟังอะไรจากนายทั้งนั้น!”
เมื่อเห็นว่าร่างบางตรงหน้ามีที่ท่าจะเดินไปจากเขา ชานยอลต้องจำใจใช้มือฉุดไหล่ของคนตัวเล็กและดูว่ามันจะได้ผลเกินคาด ร่างทั้งร่างเสียหลักกว่าครั้งก่อนจนมืออีกข้างชานยอลกุมไหล่บางอีกข้างที่ว่างอยู่และดึงคนตรงหน้าเข้าหาเขา
“บยอนแบคยอน!!!”
ร่างสูงรู้สึกได้ว่าระดับความดังของเสียงของเขาพุ่งทะลุจนเกินไป ทำให้ใบหน้าหวานของอีกฝ่ายเริ่มสั่นคลอน ดวงตากลมทั้งสองเริ่มไล้ไปด้วยน้ำใส ๆ บวกกับความหวาดกลัวต่อการกระทำของร่างสูงที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ท่าทางของแบคฮยอนจึงสงบลงกว่าเดิมมาก คนตัวสูงจึงตัดสินใจเอ่ยสิ่งที่ค้างคาในใจ
.
.
.
“ฉันกำลังจะแต่งงาน
...เพราะฉะนั้นนายวางใจได้เลยว่าฉันจะไม่เข้าไปวุ่นวายชีวิตของนายอีก”
ชานยอลเดินจากร่างบางไปโดยไม่หันกลับไปมองว่าน้ำตาที่เอ่อล้นตอนนั้น ขณะนี้ได้ไหลพรูอาบแก้มใสทั้งสองข้างแล้ว ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นใด ๆ ไร้ซึ่งเสียงหอบหายใจใด ๆ มีเพียงแต่หยาดน้ำที่เจ้าตัวยังไม่รู้เลยว่ามาได้อย่างไร แบคฮยอนสงสัยแต่เพียงว่าความเจ็บปวดที่กัดกร่อนหัวใจของเขาตอนนี้ทำไมถึงไม่ยอมจากไปเสียที เขาควรจะมีความสุขไม่ใช่หรือที่เขาจะได้ตัดใจจากชานยอลซักที
...ไม่ใช่เหรอ?
update 100% - 13.12.12
*
แบคฮยอนกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานของเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ จมูกโค้งงุ้มเจือสีระเรื่อ ร่างบางรู้สึกได้สายตาของคนนับสิบที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ยั้ง นิ้วเรียวที่เคยกดแป้นพิมพ์อย่างชำนาญบัดนี้กลับสั่นเทาและไร้เรี่ยวแรง
“นี่ นายน่ะ”
เจ้าของชื่อหันไปหาต้นเสียง ชายหนุ่มอีกคนที่ดูจะอายุรุ่นราคราเดียวกันกับเขาใช้เท้าดันเก้าอี้หมุนให้อยู่ตำแหน่งข้างเคียงกันกับเขา
“นายรู้จักกับแบคฮยอนมาก่อนหน้านี้แล้วเหรอ?”
“อืม ก็เคยเป็น... คนสนิทกันมาก่อนน่ะ ทำไมเหรอ?” สายตาของร่างสูงยังคงจับจ้องไปที่ตำแหน่งของคนที่กล่าวถึง
“อ๋อ เปล่าหรอก... เอ้อ ฉันลืมแนะนำตัวไปเลย ฉันชื่อคิมจงแดนะ”
“ปาร์คชานยอล ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“...อย่าหาว่าฉันจุ้นเรื่องชาวบ้านเลยนะ แต่เห็นท่าทางนายกับแบคฮยอนแล้ว ดูท่าหมอนั่นคงทำงานที่หัวหน้าให้ไว้ไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรก็บอกฉันได้แล้วกัน ไม่ต้องเกรงใจ”
ร่างสูงโค้งคำนับต่อไมตรีของอีกคน เมื่อเห็นว่าความเกร็งและความตะกุกตะกักของเพื่อนร่วมงานคนใหม่เริ่มจะถูกกำจัดไปทีละนิด คิมจงแดก็ตัดสินใจถือโอกาสนี้สร้างเพื่อนใหม่ตามสไตล์คนอัธยาศัยดีโดยการชวนคุยเรื่องนู่นเรื่องนี้ไปเรื่อย เสียงหัวเราะของสองหนุ่มดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ พร้อมกับเสียงกดคีย์บอร์ดที่อาจจะมีขาดช่วงไปบ้างแต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่าทั้งสองยังคงทำงานตรงหน้าอยู่ จู่ ๆ ร่างบางที่ชานยอลคุ้นเคยก็ปรากฎตัว สร้างความประหลาดใจให้แก่ชายหนุ่มทั้งสองที่นั่งทำงานอยู่เป็นอย่างมาก
“ตามฉันมา ฉันจะพานายไปชมรอบตึก”
ร่างสูงเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ปฏิบัติตามทันทีโดยไม่ลืมที่จะบอกลาเพื่อนใหม่ของเขา ใจนึงชานยอลก็อยากจะถามเจ้าของแผ่นหลังตรงหน้านี้ว่าทำไมถึงคิดจะมาคุยกับเขาอีก ทั้งที่คำพูดสุดท้ายที่เขาทิ้งให้แบคฮยอนเป็นเหมือนกรรไกรตัดขาดความสัมพันธ์ไปแล้วแท้ๆ
ถ้าเป็นแบคฮยอนที่เขารู้จักคงไม่ทำแบบนี้
ร่างบางทำหน้าที่ของตนไปเรื่อย ๆ โดยการพาพนักงานใหม่คนนี้ไปยังห้องต่าง ๆ ตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้นยี่สิบกว่า ไม่มีประโยคนอกเหนือจากการแนะนำห้องและจุดประสงค์การใช้ห้องแต่อย่างใด ชานยอลพยายามตัดความรู้สึกผิดออกไปจากหัวสมองแล้วดึงสมาธิมาที่คำพูดของคนตรงหน้า ดวงตาของคนทั้งคู่ไม่ได้บรรจบกันเลยอย่างที่ควรจะเป็นตามมารยาทของการพูดคุยสนทนา นั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดและแรงกดดันค่อย ๆ กัดกินหัวใจของร่างสูงอย่างเสียไม่ได้
“เอ่อ แบคฮยอน”
เจ้าของนามหันมาตอบต้นเสียงด้วยสายตาเย็นยะเยือก
“หยุดพักก่อนได้มั้ย พวกเราเดินขึ้น ๆ ลง ๆ มายี่สิบกว่าชั้นแล้วนะ”
“ฉันเดินไปพูดไป ยังไม่บ่นซักคำ”
ชานยอลได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับคำตอบที่ได้ก่อนจะเริ่มหอบหายใจต่อเพราะความเหนื่อย ร่างบางเห็นดังนั้นก็พอจะเข้าใจ แต่ไหนแต่ไรมาแล้วชานยอลมักจะเกิดอาการเมื่อยล้าตามกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว คงเพราะกระดูกที่ทั้งใหญ่ทั้งยาวนั่นมั้ง กว่าจะเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนคงจะต้องออกแรงหนักกว่าคนอื่น ๆ น่าดู
น่าแปลกที่เขายังจำเรื่องแบบนี้ได้อยู่
เมื่อเห็นว่าถ้าต้องพาไปทัวร์รอบตึกต่อร่างสูงที่ยืนหอบหายใจแฮ่ก ๆ อยู่นี่คงได้เป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาแน่ เป็นอะไรขึ้นมาเขาก็ต้องมาเสียเวลาดูแลอีก ให้นั่งพักซักหน่อยท่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แบคฮยอนพาร่างของตนไปที่เก้าอี้ยาวหน้าตรงห้องโถงใหญ่ สายตายังคงมองตรงไปข้างหน้าแม้ว่าเขาจะรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของอีกคนที่ค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ
“ชั้นยี่สิบหกนี้ไม่ค่อยมีใครขึ้นมาหรอก เพราะแผนกบัญชีทั้งหมดย้ายไปอยู่ชั้นล่างกันตั้งแต่เดือนที่แล้ว ชั้นนี้เลยถูกปล่อยร้างไว้ กว่าจะกลับมาคึกคักอีกทีก็คงจะต้นปีหน้า ท่านประธานอยากใช้ที่ตรงนี้นี้เปิดร้านคอฟฟี่ช็อปเล็ก ๆ อีกร้านให้พนักงานน่ะ จะได้ไม่ต้องลำบากลงไปชั้นล่างสุด”
เส้นผมสีน้ำตาลเข้มขยับพลิ้วตามแรงขยับหัวแสดงถึงการรับรู้ของอีกฝ่าย ชานยอลอดไม่ได้ที่จะเปรยตามองไปที่คนข้าง ๆ บยอนแบคฮยอนไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก ผิวหน้าขาวใสอิ่มน้ำที่ประดับไปด้วยดวงตากลมเล็กเข้าชุดกับจมูกรั้นและริมฝีปากสีทับทิมระเรื่อ สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือประกายระยิบระยับในลูกตาสีนิลคู่นั้น บัดนี้เหลือแต่เพียงความว่างเปล่า นั่นทำให้เขารู้สึกใจหายวูบ
“ชานยอล”
“ห.. หืม?”
ร่างสูงไม่รู้เลยว่าดวงตาของเขาถูกสะกดด้วยดวงตาของคนข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาต้องยอมรับเลยว่าเขาคิดถึงสายตาที่มักจะเต็มไปด้วยความร่าเริงของคน ๆ นี้อยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่ทันที่ชานยอลจะเก็บภาพตรงหน้าไว้ในหัวสมอง คนตัวเล็กตัดสินใจลุกออกจากที่นั่งทันที ใจหนึ่งเขาเองก็อยากที่จะปล่อยร่างบางให้เดินจากไปแต่อีกใจเขากลับปฏิเสธความคิดแรกอย่างไร้เยื่อใย ฉับพลันนั้นเองร่างกำยำนั้นก็ทนต่อแรงกระตุ้นภายในไม่ไหว ขายาวเก้งก้างออกแรงวิ่งอย่างสุดชีวิต ในที่สุดเขาก็เจอคนที่ตามหายืนเหนื่อยหอบอยู่หน้าลิฟท์
แบคฮยอนหันไปตามเสียงกระทืบเท้าปึงปัง จนเห็นคนที่เขาวิ่งหนีออกมาอ้าปากกอบโกยอากาศเข้าสู่ร่างกายเฉกเช่นเดียวกับเขา
“นายตามฉันมาทำไม?”
“……”
“ที่ฉันทำอยู่นี่มันคือหน้าที่ของฉัน ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะเห็นหน้านาย ได้ยินเสียงนาย… ให้ฉันได้ทำงานของฉันและนายก็ทำส่วนของนาย”
“...ฉันทำถูกแล้วใช่มั้ย ชานยอล?”
นี่เป็นครั้งที่สองของวันที่น้ำตาของคนตรงหน้าปรากฏตัวให้เขาเห็น แต่เขาไม่ทราบว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วในชีวิตของเขาที่เขาทำให้แบคฮยอนร้องไห้ ชานยอลรู้ดีและรู้มาตลอดว่าเขาทำร้ายจิตใจร่างบางนี้ไปขนาดไหน แต่เขาเองก็เจ็บเพราะแบคฮยอนไม่น้อยไปกว่ากัน
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่พวกเขาทั้งสองต้องยุติความสัมพันธ์ลง ต่างฝ่ายต่างเป็นหนามทิ่มแทงจิตใจซึ่งกันและกัน มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะรั้งกันไว้
แต่ที่ปาร์คชานยอลสับสนเวลานี้ก็คือคำพูดที่โพล่งออกมาจากปากของร่างบางต่างหาก
“ชานยอล...”
.
.
.
“...ถ้าฉันย้อนเวลากลับไปได้ ฉันก็จะทำ”
*
“โอ้ย!!! ร้อนเหี้ยไรนักหนาวะ!”
แบคฮยอนมองเพื่อนรักของตนอย่างสมเพช จริงอยู่ที่ฤดูร้อนของเกาหลีนั้นค่อนข้างสาหัสเอาการ ไหนจะแสงแดดที่แรงพอจะเผาผิวหนังของมนุษย์จนไหม้เกรียม ไหนจะอากาศอบอ้าวปราศจากลมเย็นพัดผ่านชื่นใจ และวันนี้ก็เป็นวันที่ฤดูร้อนเล่นงานมนุษย์อย่างเจ็บแสบที่สุดอีกหนึ่งวัน
“ห่า หุบปากเลยมึงอ่ะ ยิ่งฟังมึงบ่นแล้วยิ่งร้อนว่ะสัด”
“เอ๊าไอ้นี่ แหม มึงก็พูดได้นิ เล่นเปิดพัดลมจอหน้าซะขนาดนี้”
แขนยาวเพรียวของเซฮุนยกขึ้นมาเพื่อที่จะหันใบพัดให้จ่อมาที่เขาแต่ก็ถูกร่างเล็กคู่สนทนาเข้ามาขัดขวางเสียก่อน
“กูปรับเอง เดี๋ยวมึงก็ปรับให้จ่อมึงอยู่คนเดียว”
“โห เหี้ยจริง ๆ เลยมึงนี่... เออมึงได้ข่าวป่ะวะ เรื่องที่โดคยองซู ว่าที่ประธานบริษัทฮุนไดอ่ะ แม่งโดนลักพาตัวเว่ย”
เปลือกตาเล็กถูกเบิกออกเล็กน้อยจนเผยลูกตากลมโต กล่องนมเปรี้ยวที่อยู่ในมือถูกวางบนโต๊ะอย่างแรงจนหยดนมในหลอดกระเด็นเลอะไปทั่ว
“เชี่ย จริงดิ ที่ว่าเป็นเซเลบ ออกงานบ่อย ๆ หน้าหล่อ ๆ นั่นอ่ะนะ”
“เออดิ แม่งน่ากลัวชิบหาย ตอนนี้ตำรวจเริ่มออกตามหาละ ถ้าตายห่าขึ้นมานี่ผู้หญิงทั้งประเทศแม่งคงฟูมฟามตายห่าหมดอ่ะสัด”
“เออว่ะ เชี่ย โลกนี้แม่งอันตรายชิบหาย กูไม่อยากอยู่ละ”
“อ้าว ๆ ปากหมาอีก เดี๋ยวสมพรปากหรอกมึง”
เสียงหัวเราะของชายหนุ่มทั้งสองดังขึ้นเรียกความสนใจให้แก่นักเรียนคนอื่น ๆ ในห้องได้ไม่น้อย แบคฮยอนและเซฮุนเป็นที่รู้จักดีในนามของคู่ซี้หนุ่มฮอตประจำรุ่น ทั้งสองหนุ่มยอมรับตามตรงเลยว่าพวกเขาเองก็รู้สึกภาคภูมิกับการถูกเรียกเช่นนี้ไม่น้อย แต่ถ้าจะให้จัดอันดับหนุ่มฮอตของรุ่นจริง ๆ นั้น โอเซฮุนก็คงจะได้รับเหรียญทองอันทรงเกียรติ ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งไปได้สบาย ๆ เพราะนอกจากจะหน้าตาดี มีฐานะ การเรียนดีแล้ว นิสัยกวน ๆ และความเป็นคนไม่ถือตัวของเขาก็ดูจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เขาได้ครองใจสาว ๆ และหนุ่ม ๆ บางคนอีกด้วย
ต่างจากบยอนแบคฮยอนที่ติดนิสัยโอหังและขี้หงุดหงิด นอกจากเซฮุนแล้ว เจ้าตัวก็ไม่มีเพื่อนคนไหนเลย คนจะเข้ามาคุยก็ไม่กล้าเพราะแบคฮยอนถือคติ ‘ ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทก็คนแปลกหน้า ’ และด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ เขาจึงเป็นคนที่พูดตรง ไม่มีการอ้อมค้อมหรือประณีประนอมเพื่อความไม่เจ็บช้ำหนำใจของผู้อื่นแต่อย่างใด นักเรียนในรุ่นส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแบคฮยอนมากนัก ส่วนเซฮุนนั้นต้อนรับโอกาศสร้างมิตรใหม่ ๆ อย่างเต็มที่หรือแม้กระทั่งการสานสัมพันธ์ฉันท์มิตรให้ดีกว่าเดิม เขาเองก็เต็มใจทำเช่นเดียวกัน
แต่ถึงทั้งสองจะมีอุปนิสัยต่างกัน แบคฮยอนและเซฮุนก็เป็นเพื่อนแท้ของกันและกันเสมอมา
หัวทุยที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีเทาหันไปมองผู้มาเยือนคนใหม่ก่อนจะกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง ร่างสูงใหญ่เทอะทะนามปาร์คชานยอลฉีกยิ้มกว้างให้กับเพื่อนใหม่อย่างจริงใจ มือขวาจับเก้าอี้จากโต๊ะข้าง ๆ มาเพื่อเข้าร่วมบทสนทนากับคนทั้งสอง รู้ ๆ กันอยู่ว่าเซฮุนนั้นชอบที่สร้างเพื่อนใหม่เสมอ ชานยอลเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่เขาเองก็แอบคิดสงสารเพื่อนร่างยักษ์คนนี้อยู่เหมือนกันที่มักจะโดนแบคฮยอนทำหน้าเย็นชาใส่ ขณะนี้เองเพื่อนตัวเล็กที่นั่งข้าง ๆ ก็กำลังทำสิ่งที่เขาทำมาตลอดทุกเมื่อที่นักเรียนใหม่คนนี้เข้ามาคุยกับเขา
“พวกนายไม่ลงไปกินข้าวเที่ยงกันเหรอ?”
“อ๋อ ฉันซื้อข้าวเที่ยงมากินบนห้องน่ะ ไอ้แบคฮยอนก็เหมือนกัน นายล่ะ ไม่ลงไปกินเหรอ?”
“ก็คิดว่ากำลังจะไปเหมือนกัน ...แต่ไม่รู้ทางอ่ะดิ”
รอยยิ้มแหย ๆ ของร่างสูงสร้างความหมั่นไส้ให้แบคฮยอนนิด ๆ ตรงกันข้ามกับเซฮุนที่หัวเราะออกมาเพราะความเอ็นดู
“โถ่ นึกว่าอะไร มาดิ เดี๋ยวฉันพาไป”
“มึงจะไปทำไม? นั่งอยู่เป็นเพื่อนกูในห้องนี่แหล่ะ มึง ชานยอล มึงเดินตามคนอื่นเขาไปดิวะ ถ้าหลงก็ถามคนแถวนั้นก็ได้นิ อยู่มาจะอาทิตย์นึงละ ยังไม่รู้อีกว่าโรงอาหารอยู่ไหน”
คำพูดของแบคฮยอนทำเอาเพื่อนรักที่ทำท่าจะลุกเกิดสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ก็เทียบไม่ได้กับใบหน้าของคนที่ถูกตอกกลับอย่างไร้เยื่อใย ไม่ช้ารอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ก็เผยโฉมให้เห็นอีกครั้ง แม้ว่าคราวนี้มันจะไม่สดใสเหมือนตอนแรก
“ฮ่า ๆ นั่นสิ ช่างเหอะ ฉันไม่ค่อยหิวนักหรอก” แบคฮยอนเชิดหน้าไปอีกทางทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ
“อ้าวเหรอ... เออ ๆ ถ้าหิวเดี๋ยวกินขนมฉันก็ได้ ซื้อมาเยอะ เห้ย! เชี่ยแบคฮยอน มึงดูตรงประตูๆๆๆ”
ทั้งคนถูกเอ่ยนามและคนที่ไม่ถูกเอ่ยต่างพากันจ้องไปที่ ๆ ปลายนิ้วของเซฮุนชี้ไป หญิงสาวร่างอรชรคนหนึ่งกำลังหัวเราะคิกคักกับเพื่อนอีกคน ใบหน้าของหล่อนเจิดจรัสผุดผ่องกว่านักเรียนหญิงที่เดินจามทางเดินคนไหน ๆ จนนักเรียนหนุ่มที่เดินสวนทางกันตามจับจ้องหล่อนตาเป็นมัน
“เหี้ยเอ๊ย นางฟ้านางสวรรค์จริง ๆ อ่ะแม่ง เขาชื่ออะไรนะ ...ฮเยริมใช่ปะ”
เซฮุนหันไปถามเพื่อนรักด้วยความตื่นเต้นแต่คำตอบที่ได้กลับมากลับเป็นแค่การเชิดหน้าขึ้นเบา ๆ ท่าทางหยิ่งยโสของแบคฮยอนในตอนนี้ทำให้เพื่อนรักที่นั่งมองอย่างเอือมระอารู้สึกหมั่นไส้เล็ก ๆ เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนคู่สนทนาโดยทันที
“เป็นไง ชานยอล สวยสะท้านฟ้าไปเลยใช่ปะ?”
“อืม... ก...ก็... สวยดีนะ”
“เหอะ! ใช้ตาหรือใช้ตีนคิดวะห๊า? หน้าจืดอย่างกะเต้าหู้ สวย ๆ กว่านี้มีอีกถมเถ เฮอะ”
“แบคฮยอน มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงวะ? เห็นมึงพูดจาหมา ๆ ตั้งแต่เช้าละ” เซฮุนอดไม่ได้ที่จะต่อว่าเพื่อนสนิทของตน ก็ในเมื่อมันผิดจริง ๆ ก็สมควรโดนด่านิ จริงมั้ย?
“เออกูมันเหี้ยเอง! กูก็ปากหมามาตั้งแต่เกิดละ มาเป็นเพื่อนกูทำไมล่ะ! ชิ!!!”
ร่างบางที่ถูกต่อว่าตะโกนตอบกลับใส่หน้าเพื่อนร่างเพรียวของตนจนแทบจะหงาย ใบหน้าหวานมุ่ยลงอย่างหงุดหงิดก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมาอ่านอย่างไม่สนใจคนรอบข้าง เซฮุนเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของเพื่อนรักก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายตาจับจ้องไปที่อีกคนที่กำลังทำหน้ามึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้
“ชานยอล มึง กูได้ยินมาจากพวกผู้หญิงในห้องว่าฮเยริมไม่เคยใช้โฟมล้างหน้าเลยเว่ย แม่ง คนเหี้ยอะไร เกิดมาผิวสวยแบบไม่ต้องดูแล โคตรเทพอ่ะว่าปะ”
“อ...เอ่อ....” ดูท่าชานยอลจะรู้สึกงง ๆ เล็กน้อยที่เพื่อนใหม่คนนี้เปลี่ยนมาใช้สรรพนามที่แสดงความสนิทสนมกับเขาทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้ยังมีการละระยะห่างในการพูดอยู่เลย
“เอ่อเหี้ยไร มึงคิดว่าไม่เจ๋งหรอวะ? ผิวขาวใสยังกะถูกปรนนิบัติมาเป็นอย่างดี กูนึกว่าเขาทำสปาหน้าก่อนมาโรงเรียนทุกเช้าซะอีก มึงคิดไงชานยอล?”
“เอ่อ... คือ...”
ดวงตากลมโตของคนถูกถามมองไปเพื่อนร่างเล็กอีกคนที่ขณะนี้เอาหนังสือเล่มใหญ่มาตั้งอ่านจนใบหน้าถูกซ่อนเอาไว้ ก่อนจะปราดสายตามาที่คนอีกคนที่ตั้งตารอคำพูดของเขาอยู่
“แต่ฉันว่าผิวของแบคฮยอนสวยกว่าอีก”
หัวทุยเล็กที่ซ่อนอยู่ระหว่างหนังสือค่อย ๆ ชะเง้อขึ้นมามองเจ้าของคำตอบด้วยดวงตากลมโตที่แทบจะหลุดออกจากเบ้า ดวงตากลมใสของชานยอลอดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปที่นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นก่อนที่จะพร้อมกันเบนสายตาไปทางอื่น คำตอบแปลก ๆ กับท่าทางพิลึก ๆ ของคนที่ทั้งคู่ทำเอาเจ้าของคำถามไปต่อไม่ถูก
“ฉ..ฉ...ฉันหมายความว่า... ฮเยริม ฮเยริมเอง...ก็..ก็มีผิวที่ขาวดีอยู่หรอกนะ... ต..แต่...แต่ว่า...
.
.
.
“ผิวของแบคฮยอนดู... น่าจับมากกว่า...”
ร่างสูงไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ถูกพาดพิงแม้แต่น้อย สายตาของเขาตกไปอยู่ที่เท้าใหญ่สองข้างอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ทันที่ชานยอลจะหันหน้าขึ้นมามองปฏิกิริยาของอีกคน แบคฮยอนก็พาร่างของตนออกจากห้องเรียนไปอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้ร่างสูงรู้สึกใจแป้วไปมากกว่าเดิม เขาตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่ขาทั้งสองข้างกลับรู้สึกหนักอึ้งแปลก ๆ
“แบคฮยอน! แบคฮยอน!! ด..เดี๋ยวสิ! แบคฮยอน!!!”
เสียงทุ้มใหญ่ถูกตะเบ็งออกมาจนนักเรียนบางส่วนที่อยู่ในห้องเรียนต่างมองมาที่เขาอย่างงวนงง เมื่อเห็นว่าการตะโกนเรียกชื่ออีกคนดูท่าจะไม่มีประโยชน์ ร่างใหญ่ทั้งร่างก็หล่นลงนั่งที่เก้าอี้อย่างแรก เขาหันกลับไปมองเพื่อนอีกคนที่ตอนนี้แข็งเป็นหินราวกับว่าถูกต้องมนตร์สะกดเอาไว้
“นี่ เซฮุน....”
“....”
“ฉัน... ทำอะไรผิดเหรอ?”
เซฮุนยังคงมองเพื่อนใหม่ที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความขาวโพลนของสมองเขาในตอนนี้
“ไอ้ชานยอล...”
.
.
.
“มึงชอบแบคฮยอนใช่มั้ย?”
―
FULL CHAPTER WILL BE UPDATED ON NEXT THURSDAY ♡
ขออัพแค่นี้ก่อนนะคะ ไรท์เตอร์ติดสอบมิดเทอม;_;
อีก 90% ที่เหลือจะมาพฤหัสหน้าน้า ขอบคุณค่ะ
UPDATE ! - 121213 :
ไรท์เตอร์กลับมาแล้ววววว ( ´ ▽ ` )ノ
ขอโทษที่ทิ้งรีดเดอร์ให้ค้าง5555 แต่หลังจากนี้ไปไร้ท์เตอร์คงว่างจากสอบแล้วหล่ะ
ดังนั้นไรท์เตอร์จะพยายามเข้ามาอัพบ่อย ๆ นะคะ
แล้วก็หวังว่าแชพเตอร์นี้จะไขข้อสงสัยอะไรได้บ้างแล้วนิดหน่อย
แชพเตอร์หน้าจะได้รู้อะไรใหม่ ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของชานยอลและแบคฮยอนแน่นอนค่ะ !
อ้อ แล้วก็เดี๋ยวแตอนต่อไปจะขอแทรกด้วยบทวิเคราะห์คาแรคเตอร์เล็กน้อย
อาจจะทำไม่ได้ทำให้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมมากนัก (อันนี้ต้องรออ่านตอนต่อไปน้า)
แต่กก็จะสรุปคร่าว ๆ เกี่ยวกับคาแรคเตอร์ + ประวัติความเป็นมาของเรื่องเล็กน้อย
อย่าลืมเข้ามาติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะ !
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นด้วยนะคะ หากมีอะไรอยากให้แก้ไขประการใดบอกไรท์เตอร์ได้เลยนะ
เจอกันใหม่แชพเตอร์หน้าค่ะ :-) ♡
ความคิดเห็น