คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : ChapT26 ("Hidden;") ; เหมันต์ลวงตา
คิมหันต์ตามมนัสวีไปจนถึงห้องผู้อำนวยการ เขารู้สึกหัวเสียเล็กน้อยกับท่าทีมีพิรุธของชายผู้นี้ เขายังคงสงสัยอยู่ว่าการที่มนัสวีนัดพบเขาที่ห้องปฏิบัติการณ์เคมีนั้นจะต้องมีนัยสำคัญอะไรที่มากกว่าการเรียกตัวไปตามเรื่องกวีเป็นแน่
พอมนัสวีนั่งลง คิมหันต์ก็นั่งลงตรงหน้าเขาเช่นกัน ทั้งคู่จ้องตากันอยู่ในความเงียบสักพักแล้วมนัสวีจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้น “เอาละ เอาเป็นว่า...เข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะ”
“มีอะไรกับผมหรือ”
“คือ...ครูพอได้ยินมาบ้างเรื่องงานอดิเรกของเธอ...” เขาประสานมือเข้าด้วยกันอย่างที่ชอบทำ คิมหันต์รู้สึกอึดอัดกับหัวข้อการสนทนานี้ “...ความสามารถพิเศษน่ะ”
คิมหันต์ไม่แน่ใจว่าความสามารถพิเศษที่มนัสวีพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร อาจจะเป็นเรื่องที่เขามีพรวิเศษกับตัว หรือเรื่องอื่นๆที่เขาทำได้ ดังนั้นคิมหันต์จึงถามเพื่อหยั่งเชิงไว้ก่อน “ความสามารถพิเศษหรอครับ”
มนัสวีดูอึดอัด “ก็...การสืบค้นข้อมูลเบื้องลึก เรื่องส่วนตัว ความลับ ประวัติการใช้อินเตอร์เน็ตของแต่ละบุคคล...อะไรทำนองนี้”
คิมหันต์ยิ้มน้อยๆในใจ เขาไม่นึกว่าความสามารถด้านมืดแบบนั้นของเขาจะเป็นที่รู้จักไปถึงผู้อำนวยการของโรงเรียนและไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเปล่าแต่เขาก็รู้สึกได้ใจนิดๆกับเรื่องนี้ “คุณกำลังพูดถึง การแฮ็ค?”
มนัสวีก้มหน้า ดูเหมือนเขาจะเกรงกลัวที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ออกมา “ใช่...เรื่องนั้นแหละ” และเขาแทบไม่มองหน้าคิมหันต์เลยตอนพูด
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” คิมหันต์กระตุ้นให้บทสนทนาดำเนินต่อ
“คือ...ครูอยากจะพึ่งความสามารถของเธอล้วงข้อมูลอะไรบางอย่างออกมาน่ะ เป็นเรื่องง่ายๆจำพวก...บันทึกการสนทนาในอินเตอร์เน็ต พอจะทำได้หรือเปล่า...”
คิมหันต์ยังไม่เข้าใจว่าด้วยเหตุใดผู้อำนวยการโรงเรียนถึงกับมาขอร้องเขากับตัวเองแบบนี้น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับเขาอยู่เหมือนกัน “ที่ครูกำลังพูดเนี่ยมันเป็นเรื่องธุรกิจใช่มั้ยครับ คุณจ้างผม ผมทำให้คุณ”
“ก็ทำนองนั้นแหละ” มนัสวีพยักหน้า
“งั้นแปลว่าผมกับคุณ ตอนนี้เรายืนอยู่ในจุดๆเดียวกันแล้ว” พอคิมหันต์พูดจบ สีหน้าของมนัสวีก็แสดงทีท่าไม่พอใจ เขาคงไม่ชอบที่คิมหันต์เปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกทันทีที่รู้ว่าเรื่องนี้เขาสามารถเล่นตัวเท่าไหร่ก็ได้
“เธอต้องการอะไรล่ะ คิมหันต์” มนัสวีค่อยๆพูด
“ก่อนอื่นคุณก็ต้องให้ข้อมูลที่ดึงดูดใจผมพอที่ผมจะตอบตกลงรับงานก่อน ซึ่งถ้าเรื่องนั้นมันพื้นเพเกินไป หรือเป็นเรื่องที่คนอื่นก็ทำได้ ผมคงจะไม่อยู่ให้เห็นหน้าบ่อยนักน่ะครับ” รอยยิ้มน้อยปรากฏบนมุมปากของคิมหันต์ตอนที่เขาพูดขึ้น มนัสวีคงจะตะเพิดเขาออกจากห้องไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องพึ่งเด็กปากดีคนนี้
“คนที่ฉันจะให้สืบก็คือ...ลูกชายฉันเอง”
คิมหันต์ยืดลำตัวสูงขึ้น รู้สึกว่าการสนทนานี้เริ่มทำให้ห้องร้อนขึ้นแล้ว “ลูกชาย”
“เขาชื่อ สายฟ้า อยู่ม.5ห้องสาม ปีเดียวกับเธอ...” คิมหันต์จำเด็กผู้ชายท่าทางอวดดี ตัดผมทรงสกินเฮด ตาขวางๆ แล้วก็ชอบเดินกร่างๆรอบโรงเรียนคนนั้นได้ เขาไม่นึกเลยว่าหมอนั่นจะเป็นถึงลูกชายผู้อำนวยการโรงเรียน เขานึกสมเพชมนัสวีในใจเล็กๆแล้วสิ “...หลายวันมานี้ จริงๆก็น่าจะครึ่งเดือนได้แล้ว เขาก็เริ่มอยู่ไม่ติดบ้าน กลับบ้านช้า ไปไหนมาไหนตัวคนเดียว แล้วก็มีท่าทีซึมและเหม่อลอย ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา จนกระทั่ง...”
คิมหันต์เงียบเพื่อรอให้มนัสวีพูดต่อไป แต่อีกฝ่ายก็เริ่มหายใจหน่วงแรงขึ้น “จนกระทั่ง เขาหายตัวไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ตอนนั้นฉันรู้สึกเคว้งคว้าง ฉันให้ความอบอุ่นทุกอย่าง ความรักความเอาใจใส่ ฉันไม่รู้ว่าเขาหนีออกจากบ้านไปหรือว่าโดนลักพาตัวกันแน่ แต่ที่รู้ๆมันจะต้องเกี่ยวกับคนรอบตัวของเขาแน่ๆ เพราะว่าแฟนสาวของเขาก็หายตัวไป...”
“สายฟ้ามีแฟนงั้นหรือ”
“ใช่ เป็นเด็กผู้หญิง ม.สี่ ห้องหนึ่งชื่อว่า ‘ริศา’ ตัวเล็กๆ ตาโตๆ เธออาจจะไม่เคยเห็นนะ แม้สายฟ้าจะไม่เคยบอกฉันว่าคบหากันอยู่ แต่ฉันรู้มาจากปากนักเรียนทั้งโรงเรียนนั่นแหละ ตอนที่ฉันตระหนักว่าสายฟ้าไม่ได้กลับบ้านฉันก็กำลังจะไปถามริศาว่าเขาอยู่ที่ไหนแต่ก็เพิ่งมารู้ว่าริศาเองก็ไม่ได้มาโรงเรียนมาสักพักเช่นกัน...” ระหว่างที่มนัสวีเล่าอยู่เขาก็มีท่าทีหัวเสียและวิตกกังวลอยู่ในน้ำเสียงไปด้วย
คิมหันต์ครุ่นคิด “อาจจะเป็นการหนีตามกันก็ได้”
“ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น แต่นักเรียนที่รู้จักริศากับสายฟ้าดีก็บอกกันว่า พักหลังมานี้ทั้งคู่มีปากมีเสียงกันบ่อยมาก จนถึงขั้นจะเลิกลา คงเป็นเพราะมีมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เธออีกคนคือ ‘นัยนริน’ ห้องเดียวกับเธอนั่นแหละคิมหันต์ แต่พอฉันไปหาเธอวันนี้...”
“เธอก็หายตัวไปเช่นกัน” คิมหันต์พูดเดาทาง
มนัสวีพยักหน้าเนิบๆ ในตอนนี้ทั้งห้องดูร้อนอบอ้าว คิมหันต์มีคำถามมากมายอยู่ในใจ เขายอมรับว่าตัวเองเริ่มสนใจที่จะรับงานนี้แล้ว แต่เขายังไม่อาจตอบตกลงได้ทันทีถ้ายังไม่ได้เห็นผลตอบแทน
“เธอมีความเห็นยังไงล่ะ?” มนัสวีถามขึ้น
“เปล่าผมแค่ยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมคุณไม่แจ้งเรื่องนี้กับตำรวจ”
มนัสวีถอดสีหน้า ซ่อนสายตาไว้เบื้องหลังมือที่ประสานกัน “ฉันแจ้งแล้ว แต่ว่าแม้แต่พวกตำรวจก็ยังทำอะไรไม่ได้ เมื่อไม่มีเบาะแสหรือหลักฐานเลย คดีนี้ก็เลยยังปิดไม่ได้”
คิมหันต์ไม่คิดว่าจะมีใครที่หายไปแบบไร้ร่องรอยจริงๆเว้นเสียแต่ว่าคนๆนั้นจะหายตัวได้ซึ่งนั่นก็คงเป็นไปได้ยาก แต่พักหลังๆมานี้อะไรที่เป็นไปได้ยากก็เหมือนจะเกิดขึ้นบ่อยๆในชีวิตของคิม เพราะฉะนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาควรจะรับคำขอของพ่อผู้ห่วงใยลูกชายดีหรือไม่ “แล้วค่าตอบแทนล่ะ”
“เธอต้องการอะไรล่ะ ว่ามาได้เลย”
คิมหันต์พอจะมีหนึ่งสิ่งที่เขาอยากรู้มานานแล้ว มันค่อนข้างเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาเอะใจมาเนิ่นนานและเมื่อคนที่สามารถจะหยิบยื่นสิ่งนั้นได้มาอยู่ตรงหน้า เขาก็ควรจะต้องคว้าเอาไว้ “ผมไม่รู้ว่าคำขอของผมจะง่ายเกินไปหรือยากเย็นสำหรับคุณนะ แต่มีอยู่สองอย่างที่ผมต้องการ”
“ว่ามาสิ” มนัสวีพยักหน้า ดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับสิ่งที่คิมหันต์จะพูด
“อย่างแรก ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบผมกับเพื่อนๆผมนัก แต่ผมต้องการสิทธิในการพักการเรียนของผมจำนวนสามสิบวันสำหรับผมเอง ส่วนเพื่อนของผมอีกสองคนลลิตา กับกวี พวกเขาจะมีสิทธิในการถูกพักการเรียนยี่สิบวัน...”
แต่มนัสวีขัดขึ้น “เดี๋ยวนะ! จะให้ฉันสั่งพักการเรียนพวกเธอทั้งๆที่ไม่มีความผิดน่ะหรือ” อันที่จริงเขาก็อยากจะสั่งพักการเรียนเจ้ากวีปากเสียมาตั้งนานแล้ว แต่ในกรณีนี้เขาดันถูกขอร้องเสียเองนั่นทำให้เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบเท่าไหร่
“...ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะอ้างเหตุผลอะไรในการสั่งพักการเรียนพวกเรา แต่นั่นเป็นเพียงข้อแรก...”
“แล้วผู้ปกครองพวกเธอล่ะ” มนัสวีถาม
“ผู้ปกครองหรอ...” คิมหันต์คิด เขารู้มาว่าลลิตมีพ่อแต่ไม่มีแม่ซึ่งพ่อของเธอก็ทิ้งให้เธออยู่คนเดียวมาตลอดตั้งแต่แรก ส่วนกวีนั้นครอบครัวเสียชีวิตจนหมดตั้งแต่เด็กๆแล้วนั่นทำให้ทั้งคู่ไม่มีผู้ปกครองเช่นเดียวกับคิมเอง “...ถ้าเป็นการถูกพักการเรียนพวกเขาก็ไม่มีสิทธิจะแย้งอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”
“ไอ้เรื่องพักการเรียนน่ะมันก็ได้อยู่...” มนัสวีเอนหลังพิงเก้าอี้นวม “...แต่อยู่ๆจะให้พวกเธอหยุดไปเกือบเดือน ฉันคงต้องทราบเหตุผลล่ะ”
คิมหันต์หงุดหงิดในใจกับการที่มนัสวีถามซอกแซกเช่นนี้ “คุณมาเป็นห่วงพวกเราอะไรตอนนี้ละเนี่ย”
“เธอพูดเองนี่ว่านี่คือธุรกิจ จะให้ฉันตอบตกลงฉันก็ต้องทราบเหตุผลก่อน”
เจ้าผู้อำนวยการนี่เล่นยากกว่าที่คิมหันต์คิด แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะนึกข้ออ้างไม่ออกแต่อย่างใด “เราว่าจะหางานพิเศษทำกันน่ะ ซึ่งถ้าจะทำงานพิเศษไปด้วยเรียนไปด้วยคุณก็รู้ดีว่ามันเหนื่อย แล้วอีกอย่างพวกเราสัญญาว่าจะมาเรียนชดเชยหลังจากกลับมาเรียนต่อ”
มนัสวีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถอนหายใจ “ก็ได้ ข้อแรกฉันพอไหว แล้วอีกข้อล่ะ”
คิมหันต์อดยิ้มกริ่มในใจไม่ได้ มนัสวีดูเป็นคุณพ่อที่ร้อนรนพอที่จะยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ลูกกลับมา เพราะฉะนั้นคิมหันต์จึงคิดว่าไม่ว่าเขาจะขออะไร มนัสวีก็คงต้องยอม “เรื่องที่สอง เรื่องเกี่ยวกับธารินน่ะ ได้ยินมาว่าเขาย้ายโรงเรียนไป รวมถึงย้ายที่อยู่ด้วย ทั้งโรงเรียนใหม่และที่อยู่ใหม่ก็ถูกปิดให้เป็นความลับ เพื่ออะไรกันหรือครับ”
“ข้อสองนี่ง่ายกว่าที่ฉันคิดนะ”
“เปล่า นี่ไม่ใช่คำขอหรอก ผมแค่อยากรู้น่ะ”
“ก็เพราะกวีไง อย่างที่เห็นว่าหมอนั่นทำให้ธารินเป็นยังไงตอนนี้ ครอบครัวของธารินกลัวหมอนั่นยิ่งกว่าอะไรดี และทางนั้นก็คงอยากจะลืมๆเรื่องนี้แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่หมดละนะ” คิมหันต์นึกปฏิเสธในใจ ที่ธารินควรจะกลัวก็คือตัวของเขาเองไม่ใช่กวี เพราะที่เขาต้องมาเป็นอย่างนี้ก็เพราะตัวเองทั้งสิ้น
“ที่ผมอยากจะได้ก็คือ ชื่อสถาบันใหม่ของธาริน แล้วก็ที่อยู่ใหม่ของเขา และผมก็ต้องการก่อนเริ่มงานด้วยมันคงไม่ยากเกินไปใช่มั้ยครับ”
“ฮ่ะฮ่ะ ฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่าเธอจะไปขุดเรื่องเก่าๆมารื้อฟื้นอีกทำไม แต่ว่าเรื่องนี้ฉันพอจะช่วยได้” ผอ.ลุกจากเก้าอี้แล้วไปค้นตรงบริเวณตู้เอกสาร ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับแฟ้มสีน้ำตาล มันถูกส่งให้คิมหันต์อย่างง่ายดายและไม่มีการขัดขืน
“นี่ของเธอ...” คิมหันต์รับไว้และตอนนั้นเองมนัสวีก็ชะโงกหน้ามากระซิบที่หูของคิม “และสุดท้ายทำตามสัญญาด้วยล่ะ ถ้าเกิดมีการเบี้ยวหรือผิดสัญญาเกิดขึ้น ฉันเนี่ยแหละจะเล่นงานเพื่อนๆพวกเธอให้อยู่ไม่สุขแน่...” คิมหันต์รับแฟ้มนั้นมา รู้ดีว่ามนัสวีคงไม่ได้แค่ขู่แน่ๆ
“แน่นอนครับ ผมไม่เบี้ยวหรอก”
หลังจากนั้นสองวัน
กวีกำลังยืนอยู่ตรงหน้าห้องปฎิบัติการเคมีที่ถูกปิดตายโดยสิ้นเชิง ณ ประตูทางเข้ามันถูกกั้นไว้ด้วยแผ่นไม้หนาๆสองสามชั้นอย่างแน่นหนา คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะงัดแงะผ่านแผ่นไม้พวกนี้เข้าไปโดยไม่ถูกพบเห็นเสียก่อน พอกวีตั้งใจจะเดินกลับออกไป เสียงหนึ่งก็เรียกเขา
“สรุปแล้วเราก็แพ้ทั้งคู่เลยสินะครับ”
จินต์เด็กหนุ่มชั้น ม.4 ยืนอยู่ตรงนั้น ในมือถือกล้องโพราลอยเอาไว้ แล้วก็ แชะ! ชัตเตอร์ถูกกดแสงแฟลชสาดเข้าใส่กวีจนเขาสะดุ้ง แล้วรูปใบหนึ่งก็ไหลออกมาจากตัวกล้อง
กวีพ่นลมหายใจออกทางจมูกก่อนพูด “ใครใช้ให้ถ่ายไม่ทราบ”
“เอ่อขอโทษครับ...” เขาเก็บรูปและปล่อยกล้องให้ห้อยต่องแต่งอยู่บนคอโดยเร็วก่อนจะปั้นสีหน้ายิ้มแย้มใส่ “...สวัสดีตอนบ่ายคุณกวี”
กวีไม่แม้แต่จะสนใจคำพูดของจินต์ เขาเบี่ยงตัวเดินผ่านจินต์ไป
“ช้าก่อนครับคุณกวี คือผมยังมีเรื่องต้องคุยอยู่นะ”
“แต่ฉันไม่มีนิ” กวีเพียงแต่ตอบห้วนๆ
“นะครับ...รับรองว่าไม่ใช่เรื่องชมรมหรอก”
เงียบไปชั่วอึดใจ กวีถอนหายใจแล้วพูด “มีอะไร”
“จนถึงตอนนี้แล้วต่อให้ผมจะได้ชมรมของคุณมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้ว...ผมแค่อยากจะถามถึงอะไรนิดหน่อย” น้ำเสียงของจินต์ดูสั่นเครือ ณ ประโยคสุดท้าย
“ว่ามาสิ”
“เรื่องเกี่ยวกับกระดาษแผ่นนั่นน่ะครับ”
กระดาษ? จินต์คงกำลังหมายถึงแผ่นกระดาษที่มีวงเวทย์ของคัมภีร์มรณะที่มนัสวีให้เขาดูเมื่อวันก่อน “ทำไมล่ะ”
“มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ? ที่ถ้าหากฆ่าคนแล้วจะได้รับพรวิเศษ เรื่องราวที่กำลังโด่งดังอยู่ในอินเตอร์เน็ต”
กวีเงียบ สายตาของจินต์ดูวิงวอนและใคร่รู้ เขาจ้องมองกวีราวกับว่าถ้ากวียืนยันเรื่องนี้ได้ สิ่งที่ค้างคาเขามาตลอดก็จะได้รับคำตอบ “ไร้สาระ ไม่มีอะไรทำแบบนั้นได้หรอก”
“จริงหรือครับ แต่เรื่องของคุณเมื่อเทอมก่อน...”
กวีชะงัก “ทำไมล่ะ”
“ผอ.มนัสวีเปิดบันทึกกล้องวงจรปิดตัวนึงให้ผมดู มันเป็นภาพของคนๆนึงกำลังฆ่าแมวอย่างโหดเหี้ยม แล้วก็อย่างที่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น...มันมีหิมะตกตามมา แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยนะที่อยู่จะมีหิมะตกในประเทศนี้ แม้จะเพียงเวลาสั้นๆ ประกอบกับข่าวที่แพร่ไปทั่วอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับกระดาษพวกนั้น สรุปแล้วมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ...”
เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจ กวีคิดว่าแม้จะโกหกไปก็ป่วยการ แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องบอกความจริงกับคนอีกคน ให้เด็กคนนี้เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกต่อไปคงจะดีที่สุด “ฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอกนะ”
“ไม่จริงหรอก” อีกฝ่ายค้าน “คุณตกลงมาจากตึกสูงอาการสาหัสแต่ยังไม่ตาย ใช้เวลาไม่นานคุณก็กลับมาจากโรงพยาบาลแล้วเข้าเรียนตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ช่วยบอกผมได้ไหมว่านั่นเป็นเรื่องปกติของมนุษย์อย่างคุณ เว้นเสียแต่ว่าคุณเองจะไม่ใช่...”
ก่อนที่จินต์จะพูดจบประโยค กวีตัดบททันที “มันแปลกหรือยังไง การที่ฉันรอดตายมาได้นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อกับเด็กที่เพิ่งอย่านมแม่อย่างนายเลยสิท่า”
“ครับ! เหลือเชื่อ...” จินต์พนักหน้าแน่วแน่ “แต่คงจะไม่มีอะไรเหลือเชื่อไปกว่า...การที่คุณรู้ว่าเพื่อนสนิทคนใหม่ของคนเองก็คิดไม่ซื่อกับคุณเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาห้องเคมีนี้ก็จะไม่ถูกปิดใช่มั้ยล่ะ”
จินต์กำลังพูดถึงรูปถ่ายที่เป็นหลักฐานว่าคิมหันต์เป็นต้นเหตุของการปิดห้องปฏิบัติการเคมี แต่ในใจแล้วกวีปฏิเสธสิ่งที่ได้เห็นอยู่แล้ว เขาจึงไม่สนใจแม้ว่าจินต์จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาขู่ “อยากจะคิดอย่างนั้นก็ตามใจ”
กวีกำลังจะเดินจากไปแล้ว เขาหันหลังใส่จินต์อย่างไม่ใยดี
“คุณไม่รู้หรอกว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น...” จินต์พูดขึ้นจากข้างหลังของกวี “...จะมีคนอีกหลายคนจะต้องเดือดร้อน ผมเพียงแค่อยากได้คำตอบจากคุณ เท่านั้นเอง...”
กวีหยุดเดินอีกครั้ง คราวนี้ทุกอย่างดูเงียบงันและอึมครึม เขาค่อยๆใช้มือขวากุมรอบโทเท็มบนคอแล้วทันใดนั้นยามที่แสงสว่างสีม่วงดูลึกลับเปล่งออกมา กวีหันควับมาพลันตวัดคมดาบฟันเข้าหากลางลำตัวของจินต์ กล้องโพลารอยด์แตกกระจายเป็นเศษพลาสติก แล้วร่างของเด็กชายก็ล้มหงายลงที่พื้นเย็นๆ
“ถ้าไม่อยากให้ใครเดือดร้อนก็เก็บเจ้ากล้องต้นเรื่องนั้นสิ”
ความคิดเห็น