ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #29 : ChapT26 ("Hidden;") ; เหมันต์ลวงตา

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.พ. 56


    คิมหันต์ตามมนัสวีไปจนถึงห้องผู้อำนวยการ  เขารู้สึกหัวเสียเล็กน้อยกับท่าทีมีพิรุธของชายผู้นี้  เขายังคงสงสัยอยู่ว่าการที่มนัสวีนัดพบเขาที่ห้องปฏิบัติการณ์เคมีนั้นจะต้องมีนัยสำคัญอะไรที่มากกว่าการเรียกตัวไปตามเรื่องกวีเป็นแน่

    พอมนัสวีนั่งลง  คิมหันต์ก็นั่งลงตรงหน้าเขาเช่นกัน  ทั้งคู่จ้องตากันอยู่ในความเงียบสักพักแล้วมนัสวีจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้น “เอาละ  เอาเป็นว่า...เข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะ”

    “มีอะไรกับผมหรือ”

    “คือ...ครูพอได้ยินมาบ้างเรื่องงานอดิเรกของเธอ...” เขาประสานมือเข้าด้วยกันอย่างที่ชอบทำ  คิมหันต์รู้สึกอึดอัดกับหัวข้อการสนทนานี้ “...ความสามารถพิเศษน่ะ”

    คิมหันต์ไม่แน่ใจว่าความสามารถพิเศษที่มนัสวีพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร  อาจจะเป็นเรื่องที่เขามีพรวิเศษกับตัว  หรือเรื่องอื่นๆที่เขาทำได้  ดังนั้นคิมหันต์จึงถามเพื่อหยั่งเชิงไว้ก่อน “ความสามารถพิเศษหรอครับ”

    มนัสวีดูอึดอัด “ก็...การสืบค้นข้อมูลเบื้องลึก  เรื่องส่วนตัว  ความลับ  ประวัติการใช้อินเตอร์เน็ตของแต่ละบุคคล...อะไรทำนองนี้”

    คิมหันต์ยิ้มน้อยๆในใจ  เขาไม่นึกว่าความสามารถด้านมืดแบบนั้นของเขาจะเป็นที่รู้จักไปถึงผู้อำนวยการของโรงเรียนและไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเปล่าแต่เขาก็รู้สึกได้ใจนิดๆกับเรื่องนี้ “คุณกำลังพูดถึง  การแฮ็ค?”

    มนัสวีก้มหน้า  ดูเหมือนเขาจะเกรงกลัวที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ออกมา “ใช่...เรื่องนั้นแหละ” และเขาแทบไม่มองหน้าคิมหันต์เลยตอนพูด

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ” คิมหันต์กระตุ้นให้บทสนทนาดำเนินต่อ

    “คือ...ครูอยากจะพึ่งความสามารถของเธอล้วงข้อมูลอะไรบางอย่างออกมาน่ะ  เป็นเรื่องง่ายๆจำพวก...บันทึกการสนทนาในอินเตอร์เน็ต  พอจะทำได้หรือเปล่า...”

    คิมหันต์ยังไม่เข้าใจว่าด้วยเหตุใดผู้อำนวยการโรงเรียนถึงกับมาขอร้องเขากับตัวเองแบบนี้น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับเขาอยู่เหมือนกัน “ที่ครูกำลังพูดเนี่ยมันเป็นเรื่องธุรกิจใช่มั้ยครับ  คุณจ้างผม  ผมทำให้คุณ”

    “ก็ทำนองนั้นแหละ” มนัสวีพยักหน้า

    “งั้นแปลว่าผมกับคุณ  ตอนนี้เรายืนอยู่ในจุดๆเดียวกันแล้ว” พอคิมหันต์พูดจบ  สีหน้าของมนัสวีก็แสดงทีท่าไม่พอใจ  เขาคงไม่ชอบที่คิมหันต์เปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกทันทีที่รู้ว่าเรื่องนี้เขาสามารถเล่นตัวเท่าไหร่ก็ได้

    “เธอต้องการอะไรล่ะ  คิมหันต์” มนัสวีค่อยๆพูด

    “ก่อนอื่นคุณก็ต้องให้ข้อมูลที่ดึงดูดใจผมพอที่ผมจะตอบตกลงรับงานก่อน  ซึ่งถ้าเรื่องนั้นมันพื้นเพเกินไป  หรือเป็นเรื่องที่คนอื่นก็ทำได้  ผมคงจะไม่อยู่ให้เห็นหน้าบ่อยนักน่ะครับ” รอยยิ้มน้อยปรากฏบนมุมปากของคิมหันต์ตอนที่เขาพูดขึ้น  มนัสวีคงจะตะเพิดเขาออกจากห้องไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องพึ่งเด็กปากดีคนนี้

    “คนที่ฉันจะให้สืบก็คือ...ลูกชายฉันเอง”

    คิมหันต์ยืดลำตัวสูงขึ้น  รู้สึกว่าการสนทนานี้เริ่มทำให้ห้องร้อนขึ้นแล้ว “ลูกชาย”

    “เขาชื่อ สายฟ้า อยู่ม.5ห้องสาม ปีเดียวกับเธอ...” คิมหันต์จำเด็กผู้ชายท่าทางอวดดี  ตัดผมทรงสกินเฮด ตาขวางๆ แล้วก็ชอบเดินกร่างๆรอบโรงเรียนคนนั้นได้ เขาไม่นึกเลยว่าหมอนั่นจะเป็นถึงลูกชายผู้อำนวยการโรงเรียน  เขานึกสมเพชมนัสวีในใจเล็กๆแล้วสิ “...หลายวันมานี้  จริงๆก็น่าจะครึ่งเดือนได้แล้ว  เขาก็เริ่มอยู่ไม่ติดบ้าน  กลับบ้านช้า ไปไหนมาไหนตัวคนเดียว  แล้วก็มีท่าทีซึมและเหม่อลอย  ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา  จนกระทั่ง...”

    คิมหันต์เงียบเพื่อรอให้มนัสวีพูดต่อไป  แต่อีกฝ่ายก็เริ่มหายใจหน่วงแรงขึ้น “จนกระทั่ง  เขาหายตัวไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อสองอาทิตย์ก่อน  ตอนนั้นฉันรู้สึกเคว้งคว้าง  ฉันให้ความอบอุ่นทุกอย่าง  ความรักความเอาใจใส่  ฉันไม่รู้ว่าเขาหนีออกจากบ้านไปหรือว่าโดนลักพาตัวกันแน่ แต่ที่รู้ๆมันจะต้องเกี่ยวกับคนรอบตัวของเขาแน่ๆ  เพราะว่าแฟนสาวของเขาก็หายตัวไป...”

    “สายฟ้ามีแฟนงั้นหรือ”

    “ใช่  เป็นเด็กผู้หญิง ม.สี่ ห้องหนึ่งชื่อว่า ริศาตัวเล็กๆ  ตาโตๆ  เธออาจจะไม่เคยเห็นนะ  แม้สายฟ้าจะไม่เคยบอกฉันว่าคบหากันอยู่  แต่ฉันรู้มาจากปากนักเรียนทั้งโรงเรียนนั่นแหละ  ตอนที่ฉันตระหนักว่าสายฟ้าไม่ได้กลับบ้านฉันก็กำลังจะไปถามริศาว่าเขาอยู่ที่ไหนแต่ก็เพิ่งมารู้ว่าริศาเองก็ไม่ได้มาโรงเรียนมาสักพักเช่นกัน...” ระหว่างที่มนัสวีเล่าอยู่เขาก็มีท่าทีหัวเสียและวิตกกังวลอยู่ในน้ำเสียงไปด้วย

    คิมหันต์ครุ่นคิด “อาจจะเป็นการหนีตามกันก็ได้”

    “ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น แต่นักเรียนที่รู้จักริศากับสายฟ้าดีก็บอกกันว่า พักหลังมานี้ทั้งคู่มีปากมีเสียงกันบ่อยมาก  จนถึงขั้นจะเลิกลา  คงเป็นเพราะมีมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เธออีกคนคือ นัยนรินห้องเดียวกับเธอนั่นแหละคิมหันต์  แต่พอฉันไปหาเธอวันนี้...”

    “เธอก็หายตัวไปเช่นกัน” คิมหันต์พูดเดาทาง

    มนัสวีพยักหน้าเนิบๆ  ในตอนนี้ทั้งห้องดูร้อนอบอ้าว  คิมหันต์มีคำถามมากมายอยู่ในใจ  เขายอมรับว่าตัวเองเริ่มสนใจที่จะรับงานนี้แล้ว  แต่เขายังไม่อาจตอบตกลงได้ทันทีถ้ายังไม่ได้เห็นผลตอบแทน

    “เธอมีความเห็นยังไงล่ะ?” มนัสวีถามขึ้น

    “เปล่าผมแค่ยังสงสัยอยู่ว่า  ทำไมคุณไม่แจ้งเรื่องนี้กับตำรวจ”

    มนัสวีถอดสีหน้า  ซ่อนสายตาไว้เบื้องหลังมือที่ประสานกัน “ฉันแจ้งแล้ว  แต่ว่าแม้แต่พวกตำรวจก็ยังทำอะไรไม่ได้  เมื่อไม่มีเบาะแสหรือหลักฐานเลย  คดีนี้ก็เลยยังปิดไม่ได้”

    คิมหันต์ไม่คิดว่าจะมีใครที่หายไปแบบไร้ร่องรอยจริงๆเว้นเสียแต่ว่าคนๆนั้นจะหายตัวได้ซึ่งนั่นก็คงเป็นไปได้ยาก  แต่พักหลังๆมานี้อะไรที่เป็นไปได้ยากก็เหมือนจะเกิดขึ้นบ่อยๆในชีวิตของคิม  เพราะฉะนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาควรจะรับคำขอของพ่อผู้ห่วงใยลูกชายดีหรือไม่ “แล้วค่าตอบแทนล่ะ”

    “เธอต้องการอะไรล่ะ  ว่ามาได้เลย”

    คิมหันต์พอจะมีหนึ่งสิ่งที่เขาอยากรู้มานานแล้ว  มันค่อนข้างเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาเอะใจมาเนิ่นนานและเมื่อคนที่สามารถจะหยิบยื่นสิ่งนั้นได้มาอยู่ตรงหน้า เขาก็ควรจะต้องคว้าเอาไว้ “ผมไม่รู้ว่าคำขอของผมจะง่ายเกินไปหรือยากเย็นสำหรับคุณนะ  แต่มีอยู่สองอย่างที่ผมต้องการ”

    “ว่ามาสิ” มนัสวีพยักหน้า ดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับสิ่งที่คิมหันต์จะพูด

    “อย่างแรก  ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบผมกับเพื่อนๆผมนัก  แต่ผมต้องการสิทธิในการพักการเรียนของผมจำนวนสามสิบวันสำหรับผมเอง ส่วนเพื่อนของผมอีกสองคนลลิตา  กับกวี  พวกเขาจะมีสิทธิในการถูกพักการเรียนยี่สิบวัน...”

    แต่มนัสวีขัดขึ้น “เดี๋ยวนะ! จะให้ฉันสั่งพักการเรียนพวกเธอทั้งๆที่ไม่มีความผิดน่ะหรือ” อันที่จริงเขาก็อยากจะสั่งพักการเรียนเจ้ากวีปากเสียมาตั้งนานแล้ว  แต่ในกรณีนี้เขาดันถูกขอร้องเสียเองนั่นทำให้เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบเท่าไหร่ 

    “...ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะอ้างเหตุผลอะไรในการสั่งพักการเรียนพวกเรา  แต่นั่นเป็นเพียงข้อแรก...”

    “แล้วผู้ปกครองพวกเธอล่ะ” มนัสวีถาม

    “ผู้ปกครองหรอ...” คิมหันต์คิด  เขารู้มาว่าลลิตมีพ่อแต่ไม่มีแม่ซึ่งพ่อของเธอก็ทิ้งให้เธออยู่คนเดียวมาตลอดตั้งแต่แรก  ส่วนกวีนั้นครอบครัวเสียชีวิตจนหมดตั้งแต่เด็กๆแล้วนั่นทำให้ทั้งคู่ไม่มีผู้ปกครองเช่นเดียวกับคิมเอง “...ถ้าเป็นการถูกพักการเรียนพวกเขาก็ไม่มีสิทธิจะแย้งอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”

    “ไอ้เรื่องพักการเรียนน่ะมันก็ได้อยู่...” มนัสวีเอนหลังพิงเก้าอี้นวม “...แต่อยู่ๆจะให้พวกเธอหยุดไปเกือบเดือน  ฉันคงต้องทราบเหตุผลล่ะ”

    คิมหันต์หงุดหงิดในใจกับการที่มนัสวีถามซอกแซกเช่นนี้ “คุณมาเป็นห่วงพวกเราอะไรตอนนี้ละเนี่ย”

    “เธอพูดเองนี่ว่านี่คือธุรกิจ  จะให้ฉันตอบตกลงฉันก็ต้องทราบเหตุผลก่อน”

    เจ้าผู้อำนวยการนี่เล่นยากกว่าที่คิมหันต์คิด  แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะนึกข้ออ้างไม่ออกแต่อย่างใด “เราว่าจะหางานพิเศษทำกันน่ะ  ซึ่งถ้าจะทำงานพิเศษไปด้วยเรียนไปด้วยคุณก็รู้ดีว่ามันเหนื่อย  แล้วอีกอย่างพวกเราสัญญาว่าจะมาเรียนชดเชยหลังจากกลับมาเรียนต่อ”

    มนัสวีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถอนหายใจ “ก็ได้  ข้อแรกฉันพอไหว  แล้วอีกข้อล่ะ”

    คิมหันต์อดยิ้มกริ่มในใจไม่ได้  มนัสวีดูเป็นคุณพ่อที่ร้อนรนพอที่จะยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ลูกกลับมา  เพราะฉะนั้นคิมหันต์จึงคิดว่าไม่ว่าเขาจะขออะไร  มนัสวีก็คงต้องยอม “เรื่องที่สอง  เรื่องเกี่ยวกับธารินน่ะ  ได้ยินมาว่าเขาย้ายโรงเรียนไป  รวมถึงย้ายที่อยู่ด้วย  ทั้งโรงเรียนใหม่และที่อยู่ใหม่ก็ถูกปิดให้เป็นความลับ  เพื่ออะไรกันหรือครับ”

    “ข้อสองนี่ง่ายกว่าที่ฉันคิดนะ”

    “เปล่า  นี่ไม่ใช่คำขอหรอก  ผมแค่อยากรู้น่ะ”

    “ก็เพราะกวีไง  อย่างที่เห็นว่าหมอนั่นทำให้ธารินเป็นยังไงตอนนี้  ครอบครัวของธารินกลัวหมอนั่นยิ่งกว่าอะไรดี  และทางนั้นก็คงอยากจะลืมๆเรื่องนี้แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่หมดละนะ” คิมหันต์นึกปฏิเสธในใจ  ที่ธารินควรจะกลัวก็คือตัวของเขาเองไม่ใช่กวี  เพราะที่เขาต้องมาเป็นอย่างนี้ก็เพราะตัวเองทั้งสิ้น

    “ที่ผมอยากจะได้ก็คือ  ชื่อสถาบันใหม่ของธาริน  แล้วก็ที่อยู่ใหม่ของเขา  และผมก็ต้องการก่อนเริ่มงานด้วยมันคงไม่ยากเกินไปใช่มั้ยครับ”

    “ฮ่ะฮ่ะ  ฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่าเธอจะไปขุดเรื่องเก่าๆมารื้อฟื้นอีกทำไม  แต่ว่าเรื่องนี้ฉันพอจะช่วยได้” ผอ.ลุกจากเก้าอี้แล้วไปค้นตรงบริเวณตู้เอกสาร  ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับแฟ้มสีน้ำตาล  มันถูกส่งให้คิมหันต์อย่างง่ายดายและไม่มีการขัดขืน

    “นี่ของเธอ...” คิมหันต์รับไว้และตอนนั้นเองมนัสวีก็ชะโงกหน้ามากระซิบที่หูของคิม “และสุดท้ายทำตามสัญญาด้วยล่ะ  ถ้าเกิดมีการเบี้ยวหรือผิดสัญญาเกิดขึ้น  ฉันเนี่ยแหละจะเล่นงานเพื่อนๆพวกเธอให้อยู่ไม่สุขแน่...” คิมหันต์รับแฟ้มนั้นมา  รู้ดีว่ามนัสวีคงไม่ได้แค่ขู่แน่ๆ

    “แน่นอนครับ  ผมไม่เบี้ยวหรอก”

     

    หลังจากนั้นสองวัน

    กวีกำลังยืนอยู่ตรงหน้าห้องปฎิบัติการเคมีที่ถูกปิดตายโดยสิ้นเชิง  ณ ประตูทางเข้ามันถูกกั้นไว้ด้วยแผ่นไม้หนาๆสองสามชั้นอย่างแน่นหนา  คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะงัดแงะผ่านแผ่นไม้พวกนี้เข้าไปโดยไม่ถูกพบเห็นเสียก่อน พอกวีตั้งใจจะเดินกลับออกไป  เสียงหนึ่งก็เรียกเขา

    “สรุปแล้วเราก็แพ้ทั้งคู่เลยสินะครับ”

    จินต์เด็กหนุ่มชั้น ม.4 ยืนอยู่ตรงนั้น  ในมือถือกล้องโพราลอยเอาไว้ แล้วก็ แชะ! ชัตเตอร์ถูกกดแสงแฟลชสาดเข้าใส่กวีจนเขาสะดุ้ง  แล้วรูปใบหนึ่งก็ไหลออกมาจากตัวกล้อง

    กวีพ่นลมหายใจออกทางจมูกก่อนพูด “ใครใช้ให้ถ่ายไม่ทราบ”

    “เอ่อขอโทษครับ...” เขาเก็บรูปและปล่อยกล้องให้ห้อยต่องแต่งอยู่บนคอโดยเร็วก่อนจะปั้นสีหน้ายิ้มแย้มใส่ “...สวัสดีตอนบ่ายคุณกวี”

    กวีไม่แม้แต่จะสนใจคำพูดของจินต์  เขาเบี่ยงตัวเดินผ่านจินต์ไป

    “ช้าก่อนครับคุณกวี  คือผมยังมีเรื่องต้องคุยอยู่นะ”

    “แต่ฉันไม่มีนิ” กวีเพียงแต่ตอบห้วนๆ

    “นะครับ...รับรองว่าไม่ใช่เรื่องชมรมหรอก”

    เงียบไปชั่วอึดใจ กวีถอนหายใจแล้วพูด “มีอะไร”

    “จนถึงตอนนี้แล้วต่อให้ผมจะได้ชมรมของคุณมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้ว...ผมแค่อยากจะถามถึงอะไรนิดหน่อย” น้ำเสียงของจินต์ดูสั่นเครือ ณ ประโยคสุดท้าย

    “ว่ามาสิ”

    “เรื่องเกี่ยวกับกระดาษแผ่นนั่นน่ะครับ”

    กระดาษ? จินต์คงกำลังหมายถึงแผ่นกระดาษที่มีวงเวทย์ของคัมภีร์มรณะที่มนัสวีให้เขาดูเมื่อวันก่อน “ทำไมล่ะ”

    “มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ?  ที่ถ้าหากฆ่าคนแล้วจะได้รับพรวิเศษ  เรื่องราวที่กำลังโด่งดังอยู่ในอินเตอร์เน็ต”

    กวีเงียบ  สายตาของจินต์ดูวิงวอนและใคร่รู้  เขาจ้องมองกวีราวกับว่าถ้ากวียืนยันเรื่องนี้ได้  สิ่งที่ค้างคาเขามาตลอดก็จะได้รับคำตอบ “ไร้สาระ  ไม่มีอะไรทำแบบนั้นได้หรอก”

    “จริงหรือครับ  แต่เรื่องของคุณเมื่อเทอมก่อน...”

    กวีชะงัก “ทำไมล่ะ”

    “ผอ.มนัสวีเปิดบันทึกกล้องวงจรปิดตัวนึงให้ผมดู  มันเป็นภาพของคนๆนึงกำลังฆ่าแมวอย่างโหดเหี้ยม  แล้วก็อย่างที่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น...มันมีหิมะตกตามมา  แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยนะที่อยู่จะมีหิมะตกในประเทศนี้   แม้จะเพียงเวลาสั้นๆ  ประกอบกับข่าวที่แพร่ไปทั่วอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับกระดาษพวกนั้น  สรุปแล้วมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ...”

    เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจ  กวีคิดว่าแม้จะโกหกไปก็ป่วยการ  แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องบอกความจริงกับคนอีกคน  ให้เด็กคนนี้เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกต่อไปคงจะดีที่สุด “ฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอกนะ”

    “ไม่จริงหรอก” อีกฝ่ายค้าน “คุณตกลงมาจากตึกสูงอาการสาหัสแต่ยังไม่ตาย  ใช้เวลาไม่นานคุณก็กลับมาจากโรงพยาบาลแล้วเข้าเรียนตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ช่วยบอกผมได้ไหมว่านั่นเป็นเรื่องปกติของมนุษย์อย่างคุณ  เว้นเสียแต่ว่าคุณเองจะไม่ใช่...”

    ก่อนที่จินต์จะพูดจบประโยค กวีตัดบททันที “มันแปลกหรือยังไง การที่ฉันรอดตายมาได้นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อกับเด็กที่เพิ่งอย่านมแม่อย่างนายเลยสิท่า”

    “ครับ! เหลือเชื่อ...” จินต์พนักหน้าแน่วแน่ “แต่คงจะไม่มีอะไรเหลือเชื่อไปกว่า...การที่คุณรู้ว่าเพื่อนสนิทคนใหม่ของคนเองก็คิดไม่ซื่อกับคุณเหมือนกัน  ถ้าไม่ใช่เพราะเขาห้องเคมีนี้ก็จะไม่ถูกปิดใช่มั้ยล่ะ”

    จินต์กำลังพูดถึงรูปถ่ายที่เป็นหลักฐานว่าคิมหันต์เป็นต้นเหตุของการปิดห้องปฏิบัติการเคมี  แต่ในใจแล้วกวีปฏิเสธสิ่งที่ได้เห็นอยู่แล้ว  เขาจึงไม่สนใจแม้ว่าจินต์จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาขู่ “อยากจะคิดอย่างนั้นก็ตามใจ”

    กวีกำลังจะเดินจากไปแล้ว  เขาหันหลังใส่จินต์อย่างไม่ใยดี

    “คุณไม่รู้หรอกว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น...” จินต์พูดขึ้นจากข้างหลังของกวี “...จะมีคนอีกหลายคนจะต้องเดือดร้อน  ผมเพียงแค่อยากได้คำตอบจากคุณ  เท่านั้นเอง...”

    กวีหยุดเดินอีกครั้ง  คราวนี้ทุกอย่างดูเงียบงันและอึมครึม  เขาค่อยๆใช้มือขวากุมรอบโทเท็มบนคอแล้วทันใดนั้นยามที่แสงสว่างสีม่วงดูลึกลับเปล่งออกมา  กวีหันควับมาพลันตวัดคมดาบฟันเข้าหากลางลำตัวของจินต์  กล้องโพลารอยด์แตกกระจายเป็นเศษพลาสติก  แล้วร่างของเด็กชายก็ล้มหงายลงที่พื้นเย็นๆ

    “ถ้าไม่อยากให้ใครเดือดร้อนก็เก็บเจ้ากล้องต้นเรื่องนั้นสิ”
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×