ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #32 : ChapT29 ("Swept Away;") ; เหมันต์ลวงตา

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 56


    ทั้งคิมหันต์และลลิตรีบตรงไปยังโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  ตลอดเวลาที่เดินทางแม้คิมหันต์จะรู้อยู่แก่ใจว่ากวีคงไม่ตายง่ายๆด้วยเรื่องแค่นี้แต่ถึงอย่างนั้นในใจเขาก็กลับรู้สึกร้อนรุ่มอย่างผิดปกติ  บางทีสิ่งเหล่านี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเกมส์ที่แอสโมดิ้วส์พูดถึง  ถ้านี่คือคำท้าทายจากปีศาจคิมหันต์ก็พร้อมที่จะยอมรับคำท้านั้น

    ที่โรงพยาบาลยามค่ำคืนนั้นเงียบและค่อนข้างปลอดคน  นั่นจึงทำให้คิมหันต์ตรงเข้าไปถึงแผนกต้อนรับได้อย่างรวดเร็ว “ขอโทษนะครับ  คนไข้ที่ชื่อกวีพักอยู่ที่ห้องไหนครับ”

    พนักงานต้อนรับสาวเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารแล้วมองหน้าคิมหันต์ก่อนที่จะหันไปพิมพ์อะไรสักอย่างลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนจึงตอบ “อะเอ่อ...คุณกวีเหมือนจะอยู่ที่ห้อง ICU นะคะ  คงเข้าเยี่ยมไม่ได้”

    ลลิตแทรกตัวมาเกาะที่เค้าเตอร์ต้อนรับอย่างร้อนใจ “ถ้าอย่างงั้นแค่บอกว่าอยู่ห้องไหน  ชั้นไหนก็พอค่ะ”

    “เอ่อ...ชั้นสองค่ะ  ห้องแรกสุดทางขวามือ”

    แล้วทั้งลลิตและคิมหันต์ก็รีบวิ่งไปยังบันไดโดยที่ไม่ได้ขอบคุณหรือทิ้งท้ายอะไร  และเมื่อขึ้นมาจนถึงชั้นสอง  ที่แห่งนี้ดูเงียบสงัดเสียจนน่ากลัว  กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งไปทั่วบริเวณ  คิมหันต์พยายามมองหาใครก็ตามที่น่าจะถามไถ่ความได้บ้าง  แล้วทันทีนั้นเอง  ใครบางคนก็สะกิดเข้าที่หลังของคิมหันต์ก่อนจะเรียก “ขอโทษนะครับ”

    พอหันกลับไปเขาเห็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันยืนจ้องอยู่  มีผมหยักศกใส่แว่นตาหนาเตอะและสภาพมอมแมมราวกับถูกจับคลุกขี้เถ้ามา  ตามตัวเต็มไปด้วยแผลถลอกแม้จะไม่มากแต่ก็เป็นหย่อมๆเกือบจะทั่วทั้งตัว  คิมหันต์เคยเห็นเด็กผู้ชายคนนี้มาก่อนที่โรงเรียน  แต่ดูเหมือนลลิตจะแปลกใจเป็นพิเศษที่ได้เจอเขาคนนี้  เธอขมวดคิ้วแล้วอ้าปากต่อว่าแทบจะในทันที “นี่นาย!

    “ขะขอโทษคร้าบ!” จินต์โค้งคำนับแทบสุดตัวจนลลิตไม่มีโอกาสได้พูดต่อ  เธออ้าปากค้างไว้อย่างงั้น “ขอโทษที่พาทุกคนมาเดือดร้อนนะครับผมนี่โง่จริงๆ  โง่มากๆ  ผมเดินตามเกมส์คนร้ายเสียหมด  ขอโทษด้วยผมน่าจะเชื่อคุณกวีแล้วก็...”

    “เดี๋ยวนะ” คิมหันต์ขัดขึ้นก่อนที่จินต์จะพูดอะไรไปมากว่านั้น “นายเป็นใคร?  แล้วอีกอย่างช่วยอธิบายมาก่อนที่จะขอโทษอะไรได้มั้ย?”

    “นะ  นั่นสินะครับ” จินต์โงหัวขึ้นแล้วยิ้มแห้งๆ “ดูเหมือนเรื่องที่เราจะคุยคงยาวมาก  เป็นว่าเราหาที่นั่งคุยกันก่อนจะดีหรือเปล่าครับ”

    “เมื่อกี้ฉัน  ตรงชั้นหนึ่งมีร้านกาแฟเงียบๆอยู่” ลลิตชำเลืองมาทางคิมหันต์เป็นเชิงถาม

    “ก็ไม่เลวนะ”

     

    พอทั้งสามมาถึงร้านกาแฟที่ตกแต่งร้านแบบทึบๆและย้อนยุคเล็กน้อย  วอลเปเปอร์ของร้านทำจากขนสัตว์สีน้ำตาลพร้อมกับแขวนรูปวาดคาวบอยหรือหัวสัตว์ตลอดทางร้าน  ในร้านหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นกาแฟแถมยังเย็นสบาย  ที่นี่มืดสลัวและดูเหมือนจะปลอดคนพอสมควร  คิมหันต์จึงรีบเข้าไปจับจองที่บริเวณมุมสุดของร้านแล้วสั่งกาแฟอุ่นๆมาสามแก้วเพื่อไม่ให้เป็นการน่าเกลียดเกินไป

    “เอ่อ...ของผมเอสเปรสโซ่นะ...” จินต์ขัดขึ้นแต่พอเห็นสายตาจิกๆของลลิตแล้วก็รีบเปลี่ยนทันควัน “แต่สั่งไปแล้วก็ไม่เป็นไรครับ”

    “นายบอกว่า นายเดินตามเกมส์คนร้ายงั้นหรอ?  นายกำลังหมายถึงใครกัน” คิมหันต์เข้าประเด็นแทบจะในทันทีที่บริกรหนุ่มเดินจากไปจากโต๊ะ

    จินต์ดูกระสับกระส่ายเล็กน้อยแล้วค่อยๆพูดขึ้นอย่างสุภาพ “ก่อนอื่นต้องแนะนำตัวก่อนนะครับ  ผมชื่อ จินต์ จากห้อง 4/1 ยินดีที่ได้รู้จัก...”

    “เอ่อฉันลลิตา  ห้อง 5/2...” ลลิตพูด “ส่วนนี่คิมหันต์จากห้องเดียวกัน”

    “นายเป็นรุ่นน้องนี่เอง...” คิมหันต์พิจารณาดูจินต์อย่างสงสัย “มิน่าล่ะดูตัวเล็ก”

    “แหะๆ แต่ผมก็ถือว่าสูงนะถ้าดูจากรุ่นเดียวกัน  แต่จะว่าไปคุณสองคนเป็นเพื่อนกับคุณกวีใช่มั้ยครับ” จินต์เข้าเรื่อง

    “อืมม์ ใช่” คิมหันต์ตอบ

    “เป็นเพื่อนกันแต่พอรู้ว่าเพื่อนตัวเองประสบอุบัติเหตุร้ายแรง  แต่กลับแสดงปฏิกิริยานิ่งเฉยเกินคาด...” สายตาหยั่งรู้ซึ่งพิจารณาคิมหันต์อยู่ใต้กรอบแว่นกำลังสอดส่ายไปมาระหว่างคิมหันต์และลลิต  “...งั้นแปลว่าเรื่องความสามารถเหนือมนุษย์ของคุณกวีเป็นของจริงสินะครับ”

    ลลิตมองหน้าคิมหันต์เลิกลักก่อนที่จะค่อยๆถอดโทเท็มบนคอออก  ความคิดของจินต์ดังในสมองของเธอทันที คุณกวีเป็นอมตะใช่มั้ยครับ

    คิมหันต์กระแอมเบาๆแล้วยืดตัวตอบ “ต้องยอมรับว่านายช่างสังเกตดีมากนะ  แต่บางเรื่องมันค่อนข้างอธิบายได้ยาก  เอาเป็นว่ามันอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ฉันไม่ขออธิบายนะ”

    “ตอบผมแค่ว่าใช่หรือไม่ใช่ก็พอแล้วครับ” จินต์รับกาแฟจากบริกรแล้วจิบเบาๆ

    ถ้าคุณบอกว่ากวีเป็นอมตะจริงๆ  ก็แปลว่าคัมภีร์มรณะมันใช้งานได้จริงๆ  เท่านี้ผมก็ได้จิกซอว์มาอีกชิ้นความคิดของจินต์ฟ้องขึ้นมา

    ได้ยินดังนั้นลลิตจึงรีบขัดจินต์ก่อนที่อะไรจะไปกันใหญ่ “ใช่กวีเป็นอมตะ  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาใช้คัมภีร์มรณะไปฆ่าใครมานะช่วยเข้าใจใหม่ด้วย”

    จินต์ชำเลืองมองลลิตอย่างสงสัย เธอคนนี้ถ้าไม่ฉลาดระดับอัจฉริยะ  ก็คงต้องเรียนจิตวิทยามาแน่ๆ  อะไรจะมองคนออกอย่างงั้น

    “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นซะหน่อย” จินต์แก้ตัว

    “อืมม์ฉันเข้าใจว่านายไม่ได้หมายความแบบนั้น  ความคิดคนเรามันห้ามกันได้ยาก  ฉันเข้าใจ” ลลิตพูดหยั่งเชิง

    ตอนนั้นเองที่จินต์หรี่ตาลงอย่างสงสัย  เขาหงุดหงิดพิกลที่ถูกลลิตเดาความคิดออกหมด “นี่ผมถามตรงๆนะครับ  คุณเองก็มีพลังเหนือมนุษย์เช่นเดียวกันใช่หรือเปล่าครับคุณลลิต”

    “พูดเรื่องอะไรของนาย  พลังเหนือมนุษย์น่ะแค่กวีคนเดียวแหละที่มี” ลลิตโกหกแม้จะรู้ว่านั่นคงไม่ได้ผลกับจินต์

    “เอาเถอะครับ  ผมเป็นคุณก็คงจะไม่บอกออกไปตรงๆหรอกว่าอ่านใจคนได้  เพราะมันคงน่าอายถ้าแฉตัวเองไปว่ายอมฆ่าคนเพื่อให้ได้ความสามารถแบบนั้นมา”

    ลลิตสะอึกแม้จะรู้ดีว่าคนตรงหน้าแค่พูดลองใจ  เธอขบฟันแล้วฟังความคิดของจินต์ ผมรู้ว่าอย่างคุณคงไม่ฆ่าคนเพื่อของแบบนั้นหรอกและไม่ว่าคุณได้พลังนั้นมาจากไหนผมก็ไม่แคร์  แต่ขอร้องช่วยอย่าแทรกแทรงสิทธิ์ทางความคิดผมจะได้มั้ยครับ  มันอึดอัดน่ะ

    “อืมม์นายชนะ  ฉันอ่านใจได้  มันไม่มีเหตุผลที่ต้องปกปิดแล้วล่ะ  แล้วฉันก็จะเคารพคำขอของนาย  สร้อยนี่จะระงับการทำงานของพลังจิตฉัน” ลลิตสวมโทเท็มกลับเข้าดังเดิม “เพียงแต่ว่าถ้าฉันสงสัยว่านายโกหกหรือเปล่า  ฉันจะใช้พลังนี้เค้นความจริงออกมาได้ทุกเมื่อโอเคมั้ย”

    “เข้าใจล่ะครับ  สร้อยนั่นเป็นอันเดียวกับที่เปลี่ยนเป็นดาบได้สินะครับ” จินต์ร้องทักออกมาอย่างสนใจ

    นั่นเป็นครั้งแรกที่ลลิตเพิ่งตระหนักว่าโทเท็มที่กวีให้มาของเธอสามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธได้  แต่เหตุใดกวีถึงไม่เคยสอนวิธีใช้งานมันให้เธอเลย  บางทีในบางสถานการณ์มันอาจจะดูมีประโยชน์กว่านี้ถ้ามันเปลี่ยนเป็นอาวุธอะไรสักอย่างได้  อย่างธนู  มีด  ดาบ หรือ โล่อะไรทำนองนั้น

    คิมหันต์เริ่มพูดโดยไม่สนใจกาแฟตรงหน้าเลย “นายรู้เรื่องเยอะมากถ้าเทียบกับคนอื่นๆบนโลก  จำไว้ให้ดีนะว่าเรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้เด็ดขาดเข้าใจมั้ย”

    “ผมว่าคงยากนะครับ  ต่อให้เราจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับยังไง  ไม่นานคนบนโลกก็จะหาวิธีใช้มันจนเจอ  มนุษย์จะถูกผลักดันด้วยความต้องการมากล้นในตัว  ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่ามีคนใกล้ตัวผมตอนนี้ได้ใช้มันไปแล้ว”

    “เธอกำลังพูดถึง  คนร้าย ที่เธอบอกสินะ” ลลิตถาม

    “ฉันไม่แนะนำให้กล่าวหาคนอื่นว่าเป็นคนร้ายมั่วซั่วถ้ายังไม่มีหลักฐานหรอกนะ” เสียงเรียบๆที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลังของวงสนทนา  กวีในสภาพล่อแล่เต็มที่ยืนอยู่ตรงนั้น  เขาอยู่ในชุดผู้ป่วยสีเขียวอ่อนเนื้อตัวถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลที่ซับเลือดแดงๆเอาไว้  ไม่ต้องบอกแต่ก็พอเดาไว้ว่ากวีคงจะหนีการปฐมพยาบาลออกมาโดยพละกาลแน่ๆ

    “คุณกวี!” จินต์ดูตกใจที่สุดในกลุ่มจนเผลอร้องออกมา  เพราะจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้กวียังอยู่ในสภาพที่สลบเหมือดและเละเทะเหมือนผักเปื่อย  แต่ตอนนี้เขารู้สึกตัวแล้วเคลื่อนไหวได้แล้ว  แม้จะยังไม่แข็งแรงเต็มที่ก็ตาม

    “โย่วเพื่อนสภาพดูไม่จืดอีกแล้วนะ” คิมหันต์โบกมือทักทาย

    “เหอะ” กวีเพียงแค่หัวเราะหนักๆใส่ทีเดียวเท่านั้น

    พอจินต์เห็นว่ากวีกำลังเดินมานั่ง  เขาก็รีบยืนขึ้นแล้วโค้งตัวคำนับแทบจะหัวโขกพื้นพลางพูดเสียงดัง “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่พาคุณกวีมาเดือดร้อน  เป็นเพราะผมแท้ๆถ้าไม่ได้คุณกวีช่วยเอาไว้ผมคงตายไปแล้ว!  ขอโทษด้วยนะครับ  ขอโทษจริงๆ!

    กวีไม่แม้แต่จะหยุดมอง  เขาเดินไปยังเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างทุลักทุเลพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่  “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณอะไรทั้งนั้น  ที่ฉันช่วยนายเอาไว้เพราะนายอาจจะเป็นหนึ่งในคนร้ายซึ่งยังต้องไปรับโทษอยู่ดี  และต่อให้นายไม่ใช่นายก็ติดค้างคำขอโทษคนอื่นอยู่ด้วย”

    จินต์นิ่งนึกไปสักพักว่าเขาติดค้างคำขอโทษอะไรจากใคร  และเมื่อเขานึกขึ้นได้ก็รีบหันไปโค้งคำนับใส่คิมหันต์ด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดเต็มอัตรา “ผะ...ผมขอโทษคุณคิมด้วยนะครับ”

    “ขอโทษเรื่อง?” คิมหันต์ถามกลับอย่างงุนงง

    “คือเรื่องมันออกจะซับซ้อนนิดหน่อยนะครับ  คุณคิมพอจะจำตอนที่คุณเข้าไปคุยกับผอ.มนัสวีที่ห้องเคมีได้หรือเปล่าครับ  ตอนนั้นมนัสวีสั่งให้ผมบันทึกภาพถ่ายคุณตอนกำลังแตะมือกับถังแก๊สน่ะครับ  ผมไม่รู้ว่าเขาจะอยากได้ภาพนั้นไปทำอะไร  เพียงแต่ว่าผมคิดว่านั่นคงเป็นการจัดฉากอะไรสักอย่าง”

    คิมหันต์นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาคุยกับมนัสวีในห้องปฏิบัติการณ์เคมีแล้วพูด “เข้าใจละ  มันเป็นแบบนี้นี่เอง”

    “ผมผิดเองที่ตอนนั้นผมดันหลงเชื่อว่าถ้าผมถ่ายภาพนั้นมาได้  เขาจะให้ผมตามที่ตกลงกันไว้  แต่ปรากฏว่าเขากลับดันผิดสัญญา” จินต์มุดหน้างุดเพื่อหลบสายตาของทั้งสามคน

    ลลิตประติดประต่อเรื่องราวในหัวจนนึกขึ้นมาได้ว่า  นั่นคงจะเป็นเวลาเดียวกับที่เธอแอบเข้าไปซ่อนตัวในห้องเคมีเพื่อดูว่าผอ.มนัสวีกำลังจะทำอะไรกับคิมหันต์  เธอได้ยินความคิดอันไม่ชอบมาพากลของมนัสวี  แต่เธอเลือกที่จะไม่พูดออกไปในตอนนี้เพื่อให้จินต์ชี้แจงต่อไป

    “แล้วเขาจะเอาภาพฉันตอนนั้นไปทำอะไรกัน” คิมหันต์พึมพำ

    “ทำให้ฉันกับนายเกิดการเข้าใจผิดกันน่ะสิ” กวีเปรยห้วนๆ  จนทั้งสามคนที่เหลือแสดงสีหน้าตกใจ “มนัสวีไม่ค่อยชอบหน้าฉันเท่าไหร่  ฉันรู้ดีว่าเจ้านั่นพยายามจะกลั่นแกล้งฉันทุกวิถีทาง  ยิ่งตอนนี้ลูกชายของหมอนั่นหายตัวไป  มันคงสงสัยฉันเอามากๆจนพยายามป้ายความผิดใส่ฉัน  เริ่มจากการที่ทำให้ฉันไม่มีจุดยืนจนต้องพึ่งพาหมอนั่น  และทำให้ฉันรู้สึกว่าต้องเสียเพื่อนตัวเองไปและไม่มีใคร  แต่นั่นก็นับว่าเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์มาก”

    พอได้ยินเช่นนั้นจินต์ก็รู้สึกเกลียดมนัสวีมากยิ่งขึ้นไปอีก  เขาน่าจะมองออกตั้งแต่แรกว่าตัวเองกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายกวีอยู่  เขาไม่น่าปล่อยให้ความต้องการของตัวเองปิดบังเหตุผลไปเลยในตอนนั้น  ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก

    “คือเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับอะไรกัน  ใครพอจะสรุปคร่าวๆให้ฉันตามทันได้บ้าง” ลลิตถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ

    “ผมเองครับ  ผมคงต้องเล่าเองในเมื่อทุกเหตุการณ์มันผ่านทางผมหมด” จินต์อาสาขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “มันเริ่มมาจากเรื่องของผมกับเพื่อนสนิทผู้หญิงคนหนึ่ง  เธอชื่อ ริศาผมรู้จักกับเธอมานานมาก  จนเธอเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเริ่มรู้จักกับ สายฟ้าลูกชายของผอ.มนัสวีนั่นแหละครับ  สองคนนั้นคบกันในฐานะคนรัก  ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่พักใหญ่ๆ  แต่เรื่องราวมันเริ่มเลวร้ายขึ้นตอนที่อยู่ดีๆทั้งคู่ก็เกิดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย...”

    “ตอนนั้นเองทั้งผมและมนัสวีต่างพยายามสืบหากันคนละไม้ละมือ  แต่ก็กลับไร้เบาะแสอะไรทั้งนั้น   พอการสืบสวนดำเนินมาถึงทางตัน  มนัสวียิ่งดูเหมือนจะเพ่งเล็งคุณกวีเป็นพิเศษอาจจะมีสาเหตุมาจากการที่คุณเคยทำร้ายสายฟ้าจนเป็นเรื่องมาเมื่อนานมาแล้ว  และการที่คุณมีเรื่องกับเพื่อนสนิทของคุณเมื่อเทอมที่แล้วเลยทำให้คุณดูไม่น่าไว้วางใจที่สุด  ไหนจะหลักฐานเรื่องคัมภีร์มรณะที่มนัสวีพยายามใส่ร้ายว่าคุณกวีเป็นคนนำของพวกนี้เข้ามาอีก  เขาจึงพยายามสร้างทางออกให้มีคนรับผิดในเรื่องราวเหล่านี้...”

    “และในระหว่างนั้นผมก็ได้พบกับเบาะแสอย่างหนึ่ง  มันคือคัมภีร์มรณะที่ถูกใช้แล้วซึ่งมันยัดไว้ในกระเป๋านักเรียนของริศา  ซึ่งตอนนั้นสันนิษฐานได้ว่าอาจจะมีใครบางคนถูกฆาตกรรมไปแล้ว  กระเป๋าของริศามีร่องรอยถูกกรีดและยังมีกลิ่นสารเคมีติดอยู่แถมยังตารางเรียนคาบสุดท้ายของวันก่อนที่เธอจะหายตัวไปยังเป็นคาบเคมีที่เรียนในห้องปฏิบัติการณ์นั้น  ผมก็เลยสงสัยและอยากเข้าไปดูในห้องนั้นมากที่สุด  แต่มันติดอยู่ตรงที่ว่ามันเป็นห้องของคุณกวีและมนัสวีก็กำลังจะสั่งปิดมันด้วยสาเหตุที่ต้องการจะหาเรื่องบีบคั้นคุณกวี  ผมก็เลยต้องตกลงกับมนัสวีเพื่อให้เขายกห้องๆนั้นให้ผม...”

    “มนัสวียื่นข้อเสนอว่าถ้าหากผมเก็บภาพคิมหันต์ในห้องเคมีมาได้เขาจะยกห้องเคมีห้องนั้นให้ชมรมผม  ผมตกปากรับคำเพราะความที่อยากจะสืบเรื่องราวนี้โดยไม่เคลือบแคลงเลยว่ามนัสวีจะอยากได้ภาพนั้นไปทำอะไร  จนสิ่งที่ทำให้ผมสงสัยในตัวมนัสวีก็เริ่มเผยออกมาทีละน้อย  หนึ่งก็คือเขาพยายามป้ายความผิดให้คุณกวีอย่างน่าสงสัย  สองก็คือเขาพยายามกันทุกคนให้ออกห่างจากห้องปฏิบัติการณ์เคมีนั้นราวกับว่าซ่อนอะไรไว้อยู่  และสามเขาผิดข้อตกลงที่ให้กับผมไว้โดยการปิดตายห้องเคมีนั้นโดยไม่บอกกล่าวก่อน....”

    “จนเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมานี้  ผมพบกับคุณกวีเข้า  แล้วเราก็ลักลอบเข้าไปในห้องนั้นด้วยกัน  แต่สิ่งที่ตามมาก็คือเราถูกขัดขวางด้วยแรงระเบิดจนทำลายห้องเคมีเสียพินาศ  น่าสงสัยใช่มั้ยล่ะครับทุกเรื่องเลย”

    คำบอกเล่าจากปากของจินต์ทิ้งให้ทั้งวงสนทนาตกอยู่ในความตรึงเครียด  ไม่มีใครพูดอะไรออกมาจนลลิตต้องพูดขึ้นเอง “พูดถึงการหายตัวไป  ในห้องฉันก็มีนักเรียนที่หายตัวไปเหมือนกันนะ”

    “มีด้วยรึ” คิมหันต์ถามอย่างแปลกใจ

    “มีสิ  นายไม่ค่อยสนใจห้องเรียนอยู่แล้วเลยอาจจะไม่สังเกต  แต่เด็กผู้หญิงที่ชื่อ นัยนรินก็หายตัวไปเหมือนกัน  แถมเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ผอ.มนัสวีก็ดูเหมือนจะอยากพบเด็กคนนั้นด้วย  บางทีเธออาจจะเกี่ยวข้องอะไรก็ได้นะ”

    “นัยนรินหรอครับ” จินต์ถามอย่างแคลงใจ “เธอเป็นคนยังไงหรอ”

    “อ๋อนิสัยดีมากเลยล่ะ” ลลิตตอบยิ้มๆ “คุยสนุก  เรียนเก่ง  หน้าตาใช้ได้ด้วย”

    “ถ้าไม่เป็นการรบกวน  ช่วยฟังข้อสันนิษฐานของผมหน่อยได้หรือเปล่าครับ” จินต์ขอขึ้นอย่างสุภาพ

    คิมหันต์และลลิตพยักหน้าตอบ  แล้วจินต์ก็ตั้งต้นพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

    “ผมลองคิดดูนะครับ  ว่าการที่สายฟ้าและนัยนรินคบกันทั้งๆที่ยังอยู่แค่ม.สี่  มันคงเป็นเรื่องที่คนเป็นพ่ออย่าง มนัสวีรับไม่ได้  ยิ่งถ้ามีเราเพิ่มปัจจัยบางอย่างเข้าไป  เหตุที่มนัสวีจะรังเกียจความสัมพันธ์ของลูกชายตัวเองกับผู้หญิงอื่นก็ยิ่งมีมาก  ถูกมั้ยครับ”

    “แล้วปัจจัยที่พูดถึงนี่คืออะไร” คิมหันต์ถาม

    “อย่างเช่น...” จินต์กระแอมแล้วดันแว่นตาขึ้นจนสะท้อนกับแสงไฟ “ความต้องการทางเพศ”

    “อะไรนะ!” ลลิตโพล่งออกมา

    “อาจจะฟังดูตลกนะครับ  แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย  ยิ่งในวัยอย่างพวกเราด้วยแล้ว  มันคงเป็นเรื่องที่ไม่เหนือความคาดคิดเท่าไหร่ถ้าสายฟ้าเกิดมีความสัมพันธ์เชิงลึกกับนัยนรินแล้วมนัสวีเกิดรู้เข้า  เมื่อถึงตอนนั้นคนเป็นพ่อย่อมต้องบีบบังคับให้ลูกชายตัวเองหยุดแน่ๆ  และถ้าสายฟ้าไม่ยอม  ด้วยความรักลูกตัวเองแบบไม่ลืมหูลืมตามนัสวีอาจจะจัดการที่ต้นเหตุซึ่งก็คือนัยนรินเอง...”

    คิมหันต์รู้สึกว่าบรรยากาศเย็นๆในห้องกาแฟเริ่มร้อนอบอ้าว  กาแฟตรงหน้าไม่มีไอลอยกรุ่นขึ้นมาอีกแล้ว  ทิ้งไว้แต่เพียงน้ำสีน้ำตาลข้นที่เย็นชืดและไร้รสชาติ “เป็นเรื่องราวที่วิปลาสมาก”

    “มันคงไม่ใช่เรื่องยากที่มนัสวีจะซ่อนลูกชายตัวเองเอาไว้ให้พ้นจากสายตาคนรอบข้าง  จากนั้นจึงลงไม้ลงมือกับนัยนริน  ผมไม่รู้ว่ามนัสวีจะใช้วิธีไหนกับเธอ  อาจจะขู่บังคับ  ทรมาน  แต่ในกรณีที่ผมคิดเอาไว้...”

    “ฆาตกรรม” กวีพูดแทรก

    “ครับ...และการฆาตกรรมที่ได้ผลประโยชน์ที่สุดก็คือ การสังเวยคนตายกับคัมภีร์มรณะ  เท่านี้มนัสวีก็จะกำจัดเสี้ยนหนามอนาคตของลูกชายตัวเองพร้อมกับครอบครองพรวิเศษสามข้อใช่มั้ยครับ  จากนั้นผมไม่รู้ว่ามนัสวีจะขอพรอะไรไป  แต่เขาอาจจะทำการซ่อนศพของนัยนรินไว้ที่ไหนสักแห่ง  ในที่นี้ผมคิดว่าเป็นห้องเคมี  แล้วจากนั้นจึงปั้นเรื่องเพื่อปิดตายห้องเคมีนั้นจากสายตาทุกคน...”

    “แล้วก็ปั้นเรื่องต่างๆนานาเพื่อป้ายความผิดใส่คุณกวี  ไม่นานเขาอาจจะใช้พรสามข้อของตัวเองเพื่อทำให้คุณกลายเป็นคนร้ายโดยสิ้นเชิงก็ได้นะครับคุณกวี”

    “แต่ฉันก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ดี” กวีตอบ “ถ้าเรื่องนี้มี นัยนรินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยล่ะ  สิ่งที่นายคิดคงจะแตกต่างออกไปจริงมั้ย”

    “ครับ...ตรงนั้นผมก็ยังหาเหตุผลดีๆมารองรับไม่ได้เหมือนกัน” จินต์ยอมรับ

    “ฉันขอค้านนะ” ลลิตขัดขึ้น “คือฉันมีความสามารถในการจำแนกว่าใครเป็นมนุษย์ธรรมดา  ใครคือผู้มีพรวิเศษ  และใครบ้างที่ครอบครองพรวิเศษอยู่  ถ้าเกิดว่าคนๆนั้นคือมนุษย์ธรรมดาฉันก็จะอ่านใจเขาได้  แต่ถ้าไม่ก็แปลว่าคนๆนั้นเป็นพวกที่เหลือ  ฉันเคยลองอ่านใจมนัสวีดูครั้งหนึ่ง  ปรากฏว่าฉันอ่านใจเขาได้ปกติ  เท่านี้คงพอจะยืนยันแล้วว่าเขาไม่ได้ครอบครองพรวิเศษใช่หรือเปล่า?”

    และพอได้ยินเช่นนั้นจินต์พลันนิ่วหน้าเครียด  ซุกใบหน้าลงบนฝ่ามือแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ...ผมยังคิดไม่ดีพอสินะครับ  ขอโทษด้วย”

    “ไม่หรอกที่นายพูดมันก็มีเหตุผลอยู่” คิมหันต์ปลอบ “อย่าลืมสิว่านายกำลังสืบเรื่องที่เหนือธรรมชาติอยู่นะ  พลังพวกนี้สามารถบิดเบือนความจริงได้เสมอนั่นล่ะ  ที่เราต้องทำคือประติดประต่อทุกอย่างให้ดีขึ้น  จะว่าไงดีเราคงต้องหาโอกาสไปที่ห้องเคมีนั้นเพื่อสืบดูจริงๆจังๆแล้วล่ะ”

    “ฉันต้องบอกหรือเปล่าว่าที่นั่นถูกระเบิดจนเละไปแล้ว” กวีขัดขึ้นด้วยท่าทีเย็นชา  คล้ายจะบอกว่าคิมหันต์ไม่รอบคอบ

    “งั้นนั่นคงเป็นการทำลายหลักฐาน  เห็นชัดเลยว่าคงมีอะไรซ่อนอยู่ที่ห้องนั้นจริงๆ” คิมหันต์ครุ่นคิด

    “เอ่อ...คือ  ฉันมีอย่างนึงที่ยังไม่ได้บอกพวกนาย...” ลลิตพูดขึ้นมา  ทำให้ทุกสายตาจับจ้องมายังเธอ “คือฉันได้ยินเสียงความคิดของคนๆนึงในห้องเคมีนั้นด้วยล่ะ”

    “จริงหรือครับ” จินต์ดูมีประกายแห่งความหวังมากขึ้นทันทีที่ได้ยิน

    “เป็นเสียงของเด็กผู้หญิงที่ฟังดูทรมานมาก  เธอถูกซ่อนไว้ในห้องนั้นแล้วดูเหมือนว่าอยากจะถูกพบเจอเอาซะด้วย  ฉันพยายามหาเธอนะแต่ว่าไม่พบอะไรเลย  มีก็แต่ความว่างเปล่า  มันน่ากลัวมาก  แถมยัง...”

    ทุกคนไม่พูดขัดขึ้นเพราะรอให้ลลิตเล่าจนจบ

    “ตอนนั้นฉันถูกมือที่มองไม่เห็นทำร้ายเอาด้วย  ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร  แต่เราคงเข้าไปพัวพันกับอะไรที่ไม่ใช่มนุษย์แล้วล่ะนะ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×