"[WFcontest] รถจักรแห่งกาลเวลา" - "[WFcontest] รถจักรแห่งกาลเวลา" นิยาย "[WFcontest] รถจักรแห่งกาลเวลา" : Dek-D.com - Writer

    "[WFcontest] รถจักรแห่งกาลเวลา"

    โดย Stupid-bear

    ถ้าหากคุณสามารถที่จะย้อนอดีตเพื่อกลับไปแก้ไขชะตาชีวิต แต่ต้องแลกด้วยชีวิตคนที่คุณรัก1คน และเธอคนนั้นจะต้องจากคุณไปตลอดกาล คุณคิดว่ามันคุ้มที่จะแลกกันไหม

    ผู้เข้าชมรวม

    144

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    144

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ม.ค. 58 / 00:29 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เรื่อง รถจักรแห่งกาลเวลา

      รถจักรหรือที่เราเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่ารถไฟนั้น ได้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อนานแสนนาน ซึ่งมันได้ถูกนำมาใช้ในการคมนาคมขนส่งสิ่งต่างๆในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้า หรือแม้แต่เป็นพาหนะในการเดินทางของผู้คนจำนวนมาก แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป สิ่งใหม่ที่สะดวกและรวดเร็วกว่าก็มาแทนที่ ดังนั้นรถไฟจึงกลายเป็นเพียงอดีตที่ผู้คนต่างพากันลืมเลือน สุดท้ายรถไฟก็ได้หายไปจากโลกใบนี้ จนกระทั้ง...

      'ข่าวใหญ่ๆ บริษัทไทม์มิงเชิญชวนทุกท่านร่วมย้อนอดีต นึกถึงวันวานในวันปีใหม่ นั่งรถไฟชมดวงจันทร์ยามค่ำคืน...'

      เสียงตะโกนที่ดังออกมาจากมาสคอตรถไฟเต้นดุ๊กดิ๊ก ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในย่านการค้าชื่อดังแห่งนี้พากันมามุงดูด้วยความสนใจ ไม่ต่างอะไรกับเขาคนนี้

      "น่าสนใจดีนะ สุดสัปดาห์นี้เราไปดูรายละเอียดกัน"

      ชายหนุ่มหันไปบอกกับสาวผมทองที่เดินควงกันมาอย่างกระหนุงกระหนิงตามภาษาคู่รักที่กำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

      "แล้วแต่คุณเลยค่ะ ฉันเห็นด้วยกับคุณอยู่แล้ว"

      "แหม่ แฟนของผมนี่น่ารักจริงเชียว งั้นเดี๋ยวผมชวนแม่ไปด้วยดีกว่า ท่านต้องชอบมากแน่ๆ"

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      1 มกราคม พ.ศ.3000

      เช้าวันแรกของปี มีแสงแดดอ่อนๆและอากาศที่แสนเย็นสบายเช่นเดียวกับทุกๆวัน อย่างที่รู้กันดีว่าโลกใบนี้ไม่เคยมีสภาพภูมิอากาศแบบอื่นมานานแล้ว ตั้งแต่ที่โลกร้อนระอุจนฆ่าชีวิตคนไปเกือบครึ่งโลก จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์มากมายร่วมกันคิดค้น และสร้างชั้นบรรยากาศเทียมขึ้นมาปกคลุมโลก พร้อมทั้งสร้างภูมิอากาศเทียมนี้ขึ้นมา

      "อากาศวันนี้ดีจริงๆ เหมาะที่จะไปเที่ยวสุดๆ แม่ว่าไหม" ชายหนุ่มที่เปิดประตูบ้านออกมาอย่างครื้นเครง ถามหญิงชราที่กำลังเดินตามมา

      "จ้าๆ ทำอย่างกับโลกเรามีอากาศแบบอื่น"

      "โถ่แม่ครับ อย่าทำลายบรรยากาศสิ"

      "ไม่ลืมของอะไรแล้วใช่ไหมริว"

      "ครับๆ แต่ถ้าลืมผมก็ไม่รู้หรอก เพราะถ้ารู้จะเรียกว่าลืมได้ไง"

      "ไอ้นี่ กวนแม่แต่เช้า ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยเปลี่ยน"

      สองแม่ลูกหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ดูแล้วช่างเป็นครอบครัวที่แสนอบอุ่น ผู้เป็นลูกชายไม่รอช้ารีบยกข้าวของขึ้นรถอย่างรวดเร็ว และตอนนี้พวกเขาก็พร้อมออกเดินทางแล้ว

      "คริสรอนานไหม"

      "ไม่เลยค่ะ ถ้าเป็นคุณต่อให้รอนานกว่านี้ฉันก็รอได้"

      หญิงสาวผมทองที่นั่งรออยู่ในรถตอบด้วยใบหน้าที่เบิกบาน ไม่ต่างจากชายหนุ่มและแม่หญิงชราที่พึ่งขึ้นรถมา วันนี้พวกเขาทั้งสามคนจะได้ไปเที่ยวชมดวงจันทร์ และที่สำคัญไปกว่านั้นคือพวกเขาจะไปโดย 'รถไฟ' แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      'บริษัทไทม์มิงยินดีต้อนรับ'

      เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามายังตึกสูงแห่งนี้ หรือก็คือบริษัทไทม์มิง จะมีเสียงต้อนรับอัตโนมัติดังขึ้น และตอนนี้เสียงนี้ก็ดังต่อเนื่องไม่ขาดตอน แสดงให้เห็นว่ามีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายนั่นเอง

      "เหมือนเข้าเซเว่นเลย" หญิงชราพูดขึ้น

      "เซ-เว่น มันคืออะไรครับแม่" คนที่เดินมาด้วยทำหน้ามึนงง

      "มันคือร้านสะดวกซื้อสมัยก่อนค่ะ เป็นร้านที่มีสาขาไปทั่วโลก แต่ปิดตัวลงไปนานมากแล้ว ถ้าทุกท่านอยากจะเห็นว่าเซเว่นนั้นเป็นอย่างไร เชิญที่ชั้น3นะคะ บริษัทไทม์มิงของเราได้สร้างร้านแบบเก่ามากมาย เพื่อให้ทุกท่านนึกย้อนถึงวันวานค่ะ"

      หุ่นยนต์ต้อนรับรูปร่างเสมือนคนเข้ามาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ถ้ามองดูผ่านๆอาจจะคิดได้ว่าหุ่นยนต์ตัวนี้เป็นคนจริงๆเลยทีเดียว แต่ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่าที่คอของมันมีบาร์โค้ดและรหัสเครื่องติดอยู่

      'ขณะนี้ รถไฟที่จะไปชมดวงจันทร์พร้อมให้บริการแล้ว ผู้ใดที่สนใจ ขอเชิญซื้อตั๋วได้ที่ชั้นใต้ดินค่ะ'

      เมื่อเสียงประกาศเงียบลง ผู้คนมากมายต่างพากันลงไปยังชั้นใต้ดินอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันได้ถูกเนรมิตให้กลายเป็นชานชาลารถไฟ ที่ดูคลาสสิค คล้ายกับได้ย้อนเวลากลับไปราว500ปี

      "โห่ แถวยาวเป็นวาเลย"

      "ทำไมเขาไม่ขายตั๋วผ่านระบบASนะ ทั้งที่สะดวกกว่าแท้ๆ"

      ระบบAir Shop หรือ AS ถูกคิดค้นขึ้นมาราวๆ50ปีได้ เป็นระบบการสั่งของออนไลน์ เมื่อกดเลือกซื้อของภายในระบบ ของจะถูกส่งมาให้ทันที ข้อเสียของระบบนี้คือ ใช้อากาศเป็นสื่อกลางทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าคุณไปเที่ยวในอวกาศจะใช้งานมันไม่ได้

      "เสื้อตัวนี้สวยจัง คุณคิดว่าไง" คริสที่กำลังใช้งานระบบAS เลือกซื้อเสื้อผ้าอย่างสนุกสนาน นิ้วมือเลื่อนดูภาพเสื้อผ้ามากมายในอากาศ และในที่สุดก็เจอตัวที่ถูกใจ

      "อืม สวยดี แต่แฟนผมสวยกว่า"

      "ปากหวานจริงเชียว แม่คุณอยู่นะ อายบ้างสิ"

      "ผมพูดความจริงตั้งหาก แม่ก็คิดเหมือนผมใช่ม่ะ"

      "อย่ามาดึงแม่ไปเป็นพวกซะให้ยาก" หญิงชราหัวเราะ ตลกในความทะเล้นของลูกชายที่ตอนนี้ก็อายุย่างเข้า30แต่ยังทำตัวไม่รู้จักโตสักที

      'ขอบคุณที่ใช้บริการ ระบบAir Shopจะส่งสินค้าให้ภายในอีก5วินาที'

      คริสยื่นมือไปด้านหน้าเพื่อรอรับสินค้า และเมื่อครบ5วินาทีสินค้าก็ปรากฏออกมาบนมือของเธอทันที

      "ทำไมแถวมันไม่ขยับเลยเนี่ย" เสียงโวยวายดังขึ้นมาจากด้านหลัง เนื่องด้วยแถวไม่ขยับมาร่วมชั่วโมงนึงแล้ว และเมื่อมีคนเริ่มโวยวาย ก็ย่อมมีเสียงเออออตามมา ทำให้ชั้นใต้ดินตอนนี้เสียงดังระงมไปทั่ว

      'บริษัทไทม์มิงขออภัยในความไม่สะดวก ขณะนี้ทางเราได้ทำการเปิดช่องทางในการซื้อตั๋วเพิ่มอีก2ช่องทางแล้ว'

      "เชิญต่อแถวซื้อตั๋วทางช่องบริการนี้ได้เลยครับ" พนักงานชายที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนนายสถานีสมัยก่อนออกมาบอกผู้คนที่ที่กำลังโวยวายหลังจากที่เสียงประกาศจบลง ผู้คนรีบวิ่งไปยังช่องบริการที่เปิดใหม่อย่างรวดเร็ว

      "อ้าว ริวนายก็พาแม่มาเที่ยวเหมือนกันหรอ" ชายที่พึ่งวิ่งมาต่อแถวข้างๆทักทันทีที่เห็นพวกเขา

      "สวัสดีครับคุณป้า ไม่เจอกันนาน สบายดีนะครับ" ชายหนุ่มที่ถูกทักหันไปหาหญิงชรารุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของตนที่อยู่ข้างๆคนที่มาทักทันที

      "สบายดีจ๊ะ เราล่ะเป็นไง จะแต่งงานเมื่อไหร่ล่ะเนี่ย"

      "คงเร็วๆนี้ล่ะครับ ผมกับคริสเรายังคุยๆกันอยู่ ยังไงก็เชิญคุณป้ามางานแต่งของผมล่วงหน้าเลยนะครับ"

      "ป้าต้องไปอยู่แล้วล่ะจ๊ะ"

      "เฮ้ยๆ ฉันทักแกนะเว้ย ทำไมไม่สนใจฉันว่ะ" คนที่มาทักเริ่มโวยวายขึ้นอย่างน้อยใจ

      "อ้าว นี่คนรึ"

      "ไอ้คุณริวครับ คุณมึงเห็นผมเป็นน้องหมาหรือยังไงครับ"

      "ไหนขอมือสิ"

      "โฮ่ง! ไอ้บ้า" ชายหนุ่มที่ยกมือขึ้นมาวางบนมือของริวอย่างว่าง่ายสะบัดมือออกอย่างรวดเร็ว ท่าทีของเพื่อนคนนี้ยังทำให้เขาหัวเราะได้ทุกเมื่อจริงๆ

      "เจตต์นายเป็นไงบ้าง สบายดีนะ" สาวสวยเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มพูดขึ้นหลังจากที่เงียบมานานเพราะมัวแต่ชื่นชมเสื้อตัวใหม่

      "กายนะสบาย แต่ใจนี่สิยังขาดคนมาดูแล"

      "แล้วน้องกิ๊บ กิ๊ก ก้อย เกด เค้ก แคท แนท แนน แฟนของแกล่ะไปไหน" ผมสาธยายบรรดาชื่อแฟนเก่าที่เคยทิ้งมันไปออกมาทั้งหมด เน้นว่าเป็นฝ่ายทิ้งมันไป

      "แกยังขาดน้องสาอีกคน พึ่งทิ้งฉันไปเมื่อวานเอง" ชายตรงหน้าเขาพูดออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่เสียงกลับสั่นเครือ

      "อย่าเศร้าไปเลยนะเจตต์ สักวันนายจะต้องเจอคนที่ใช่ และพร้อมจะอยู่ด้วยกันกับนายไปตลอดชีวิต เหมือนฉันกับริว"

      "ทำไมเธอไม่เจอกับฉันก่อนนะคริส ฉันนะหล่อกว่าไอ้ริวตั้งเยอะ" เจตต์จับมือคริสยกขึ้นพร้อมกับทำสายตาเว้าวอนเหมือนลูกหมาที่อยากกินขนม

      ระหว่างที่หนุ่มสาวคุยกันอย่างสนุกสนาน พวกแม่ๆที่มาด้วยก็เมาท์มอยกันอย่างเมามันไม่แพ้กัน

      "คิดถึงสมัยก่อนตอนเรายังเป็นเด็กเนอะ"

      "ตอนนั้นคนไม่เยอะแบบนี้หรอก แถมทั้งเก่าทั้งสกปรกด้วย"

      "คุณยายๆ ผมอยากลองเล่นไอ้นั้นอ่ะครับ"

      อยู่ๆก็มีเด็กชายวัยประมาณ4-5ขวบ รูปร่างอ้วนกลม น่ารักน่าหยิกวิ่งมาดึงแขนแม่ของเจตต์พร้อมทั้งชี้ไปที่ตู้ของเล่นอะไรสักอย่างที่อยู่ตรงเสาต้นหนึ่งในชั้นใต้ดิน

      "อ้อ อยากเล่นตู้หมุนไข่รึจ๊ะ มาเดี๋ยวยายพาไปเล่น"

      เด็กชายปริศนาลากคุณแม่ของเจตต์ไปทันที

      "เด็กนั้นใคร" ผมถามขึ้น เพราะอดที่จะสงสัยไม่ได้

      "เจ้าปลาย เป็นลูกของน้องสาวฉันเอง"

      "มีลูกแล้วหรอ ฉันจำได้ว่าพึ่งไปงานแต่งน้องแกเมื่อปีที่แล้ว"งงดิครับ อะไรจะผลิตลูกและทำให้โตขนาดนี้ได้ภายในเวลาไม่ถึงปี

      "นั้นมันงานแต่งน้องคนเล็กเว้ย ฉันมีน้อง2คน"

      "เออว่ะ ลืมไป ก็น้องมนต์แกเล่นย้ายไปอยู่ที่ดาวอังคารตั้งนาน ใครจะไปจำได้"

      "เดี๋ยวแกเห็นมันก่อน แกจะจำไม่ได้ยิ่งกว่า มานั้นแล้วไง"

      ผมหันไปมองตามที่เพื่อนชี้ให้ดู และสิ่งที่ผมเห็นคือสาวสวยผิวขาว ตัวเล็กน่ารัก มัดผมแกะ ดูแล้วช่างมุ้งมิ้งกระดิ่งแมวเรียกพี่จริงๆ เธอเดินมากับชายหนุ่มร่างบึก กล้ามเป็นมัดๆ ดูจากหุ่นน่าจะล่มช้างได้ด้วยมือเปล่า

      "พี่ค่ะ รอนานไหม อ้าวพี่ริวสวัสดีค่ะ" ผมพยักหน้ารับไหว้อย่างงุนงงในความเปลี่ยนแปลงของน้องสาวเพื่อน แถมเธอยังอายุน้อยกว่าผมแค่ปีเดียว ที่สำคัญเธอมีลูกแล้วด้วย

      "สวัสดีครับ พี่เจตต์" ไอ้ล่ำกล้ามบึกผู้มีฝ่ามือพิฆาตช้างศึก(ตั้งชื่อให้เองเสร็จสรรพ) กล่าวสวัสดีด้วยท่าทางนอบน้อม

      "นี่เพื่อนพี่ชื่อริวจิกับแฟนของมันชื่อคริสตินา" เพื่อนผมเริ่มแนะนำผมและแฟนให้ทั้งคู่รู้จัก

      "สวัสดีคะพี่คริส พี่นี่สวยจังเลยนะคะ" ท่าทางสนิทสนมกับคนที่พึ่งรู้จักครั้งแรกแบบนี้นอกจากไอ้เจตต์ก็มีน้องสาวคนรองของมันเนี้ยล่ะ

      "สวัสดีครับคุณริวจิ คุณคริสตินา" ไอ้กล้ามยังคงดูน่ากลัวมากอยู่ดีถึงแม้จะทำตัวนอบน้อม

      "ส...สะ..สะ.สวัส..ด..ดะ.ดี" แข็งครับ แข็ง ลิ้นแข็งจนพูดแทบไม่เป็นคำ ส่วนคริสเองก็โดนสาวน้อยสุดมุ้งมิ้งกอดรัดนัวเนียอยู่ ผมว่าไอ้สองคนนี้มัน คู่รักมหาวิบัติชัดๆ

      "คุณพ่อครับ คุณแม่ครับดูนี่สิครับผมได้ไอ้นี่มาจากตู้นั้น" เด็กอ้วนผู้เป็นลูกชายวิ่งมาหาพ่อแม่เพื่ออวดของใหม่ทันที โดยไม่สนใจหญิงชราที่ตนเองลากให้ไปด้วยในตอนแรก

      "อะไรจ๊ะนั้น" คุณแม่ยังสวยถามลูกอย่างสงสัย

      "ไม่รู้อ่ะครับ พอหยอดเหรียญไปในตู้ ไอ้นี่ก็ล่วงลงมา" เด็กน้อยเองก็สงสัยไม่ต่างกัน

      "ไหนพ่อดูสิ มันแกะได้นี่" คุณพ่อร่างยักษ์แกะลูกกลมๆนั้นออก เผยให้เห็นบางอย่างภายใน

      "นั่นมัน! ลูกข่าง!" จู่ๆแม่ของผมก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น

      "ลูก-ข่าง" พวกเราพูดพร้อมกันอย่างงงงวยหลังจากเห็นไอ้ก้อนพลาสติกมีเชือกพันรอบอันนี้

      "ใช่จ๊ะ มันเป็นของเล่นในสมัยก่อน แม้แต่ยายยังเคยเห็นแต่ในรูปเลย" หญิงชราสองคนดูตื่นตาตื่นใจมากกว่าพวกเราเสียอีก

      "เชิญท่านต่อไปค่ะ" พนักงานขายตั๋วรถไฟเรียกให้ลูกค้าท่านถัดไปมารับบริการ หรือซึ่งก็คือพวกเราที่มัวแต่คุยกันจนไม่สนใจรอบข้าง

      "ไปชมดวงจันทร์กี่ท่านคะ"

      "3ครับ"

      "ทั้งหมด 33,000บาทคะ"

      ผมสแกนนิ้วมือเพื่อเปิดรหัสให้สามารถหักเงินออกจากบัญชีธนาคารได้อัตโนมัติ

      "เออแล้วที่นั่ง..."

      "นั่งตรงไหนก็ได้คะ เชิญเลือกได้ตามสบาย ท่านผู้โดยสารกรุณาเดินออกไปทางประตูด้านขวามือที่เห็นนั่น เพื่อทำการเข้าสู่ขบวนรถไฟนะคะ"

      หลังจากรับตั๋วมา ผมก็ค่อยๆเดินมาทางขวามือตามที่พนักงานบอก และนี่ก็เป็นการขึ้นรถไฟครั้งแรกของผม มันจึงทำให้ดูเก้ๆกังๆไปหมด ผมมองรอบๆชั้นใต้ดินอีกครั้งก่อนที่จะออกจากประตูเพื่อเข้าไปในขบวนรถไฟ ยังมีผู้คนที่รอต่อคิวซื้อตั๋วในนี้อีกเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ค่าตั๋วจะไม่แพง แต่จากที่ผมลองคำนวณคร่าวๆบริษัทไทม์มิงคงได้กำไรจากงานนี้มากโขเลยทีเดียว

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      ถ้าคุณคิดว่าผู้คนที่รอต่อคิวซื้อตั๋วเยอะแล้ว นั้นแสดงว่าคุณคิดผิด เพราะว่าคนที่อยู่ในขบวนรถไฟนี้กลับยิ่งเยอะกว่าเป็นหลายเท่า เรียกว่าแทบจะไม่มีที่หายใจ พวกเรารอกลุ่มของเจตต์เพื่อที่จะได้หาที่นั่งใกล้กัน

      "ตรงนั้นว่าง ฉันจองๆ ใครห้ามแย่ง แฮ่" เจตต์รีบวิ่งเพื่อไปจองที่อย่างรวดเร็ว พร้อมขู่คนที่จะมาแย่งที่นั่ง เหมือนกับน้องหมาไม่มีผิด

      "พวกนายนั่งหลังฉันนะ" ชายที่พึ่งทำตัวเหมือนน้องหมาจัดแจงที่นั่งให้กับทุกคนอย่างเสร็จสรรพ

      "ว้าววว น่าตื่นเต้นจัง" สาวสวยผมแกะเองก็ดี๊ด๊าไม่ต่างอะไรกับพี่ชายของตน ซึ่งผิดกับไอ้บึกมนุษย์กล้ามเดินได้ผู้เป็นสามีของเธออย่างลิบลับ

      พวกเราทุกคนต่างพากันมานั่งที่ของตนเองโดยที่แถวหน้าเป็นพ่อล่ำที่มีลูกชายตัวกลมนั่งตักกับน้องสาวเจ้าเจตต์ ถัดมาเป็นเจ้าเจตต์และแม่ของมัน และแถวต่อมาก็คือผม แฟนของผม และแม่ของผมนั่นเอง

      "เบื่อๆๆๆ เมื่อไหร่รถไฟจะออก นั่งรอนานแล้วนะ" คนที่บ่นไม่ใช่ใครแต่เป็นเจตต์เพื่อนผมเอง ทั้งๆที่พึ่งจะนั่งรอในรถไฟนี้มาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

      "อย่าบ่นมาก ดูหลานแกนั้น นั่งนิ่งไม่บ่นสักคำ" ผมว่าใครที่นั่งบนตักไอ้ล่ำก็คงไม่กล้ากระดิกตัวหรอก

      "มันจะบ่นทำไม ก็มันกำลังเล่นกับพ่อมันอยู่" เจตต์โวยวายพร้อมทั้งชี้ไปที่คู่พ่อลูก โดยที่ไอ้ล่ำผู้เป็นพ่อหันมาส่งออร่าเป็นหนุ่มน้อยวัยใสที่กำลังเล่นกับลูกน้อยอย่างมุ้งมิ้ง

      'ขอให้ท่านผู้โดยสารทุกท่านนั่งกับที่ของตนเองและรัดเข็มขัดให้เรียบร้อย ตอนนี้รถไฟของเราจะเริ่มออกเดินทางแล้วคะ'

      เมื่อผู้โดยสารทุกคนได้ยินก็ทำตามเสียงประกาศอย่างรวดเร็ว

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      ภายนอกของบริษัทไทม์มิงที่ตอนนี้ตัวตึกแยกออกเป็น2ซีก เผยให้เห็นด้านล่างของตัวตึก ว่าพื้นดินกำลังแยกออกจากกัน และมีบางสิ่งค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้นมา ใช่!มันคือ'รถไฟ' ที่ค่อยๆทะยานขึ้นจากพื้นสู่ท้องฟ้า เพื่อนำผู้โดยสารไปเที่ยวชมดวงจันทร์

      "ฉึกกะฉัก ฉึกกะฉัก ปู้นๆ" บอกผมทีว่าไอ้คนที่พูดเนี้ยคือคนอายุจะ30 แสดงอาการเด็กน้อยกว่าหลานตัวเองอีก

      "ปู้นๆ ฉึกกะฉัก" มันไม่ได้พูดคนเดียวหรอก ยังมีน้องสาวสุดบ้าของมันอีกคน แล้วสองพี่น้องก็พูด 'ฉึกกะฉักๆปู้นๆ' กันอย่างเมามันส์

      ผมหันไปมองดูคนรอบตัวคนอื่น ว่าเขากำลังทำอะไรกัน เริ่มที่แฟนสาวของผม เธอกำลังถ่ายรูปเซลฟี่อย่างเมามันส์ ส่วนแม่ของผมก็หันไปเมาส์กับแม่ของเจตต์อย่างสนุกปาก มาทางด้านไอ้ล่ำมันกำลังยกเด็กหมู(น้องปลาย)ขึ้นเหนือศีรษะ เสมือนว่าเด็กหมูนั้นเบาเหมือนปุยนุ่น นี่ตกลงมันแข็งแกร่งขนาดไหนเนี้ย

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      รถไฟค่อยๆนำเราเดินทางไปสู่ดวงจันทร์ ด้วยความเร็วจากที่ผมเห็นคงใช้เวลาราวๆ 4ชั่วโมงน่าจะถึงดวงจันทร์ได้ ถ้าคุณอยากถามว่าผมรู้ได้ไง คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียว เพราะผมเก่งไงล่ะ ไม่เหมือนเพื่อนผมหรอก

      "แกยิ้มอะไร ทำไมมันมีออร่าชั่วร้ายส่งมาที่ฉัน"

      "เปล๊า แกคิดไปเอง คิดมาก555" ผมหัวเราะกลบเกลื่อนสิ่งที่เพื่อนถาม

      "ข้างหน้านั่นมีอะไรถึงได้ส่งเสียงเอ๊ะอะ" คริสถามหลังจากที่เลิกถ่ายรูปมาสักระยะ

      "มีกลิ่นหอมๆโชยมาด้วยล่ะ เหมือนกลิ่นจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ" ตกลงเพื่อนผมเป็นคนใช่ม่ะ จมูกดีเหลือเกิน

      ในไม่ช้าก็มีพนักงานเข็นรถเข็นมาหยุดที่ด้านหน้าเรา

      "ตอนนี้ก็เลยเที่ยงมาสักพักแล้ว ท่านผู้โดยสารคงจะหิว ทางเราได้เตรียมอาหารกลางวันไว้ให้ ซึ่งอาหารนี้อาจจะดูแปลกตาไปสักหน่อย เพราะว่าเป็นอาหารในสมัยก่อน แต่รับรองว่าอร่อยมากค่ะ" พนักงานสาวรีบหยิบของที่เธอเรียกว่าอาหารให้แก่ผู้โดยสารทุกคน

      "ขอบคุณครับ" หนุ่มล่ำรับอาหารไปอย่างนอบน้อม แต่กลับทำให้พนักงานสาวถึงกับผงะ ก็เล่นหน้าตาน่ากลัวขนาดนั้น น้องไอ้เจตต์ไปคว้ามาจากคุกแน่ๆ

      "อันนี้มันเรียกว่าอะไรคะ" คริสถามอย่างสงสัยเมื่อได้รับสิ่งที่ถูกเรียกว่าอาหาร

      "มันเรียกว่าข้าวเหนียวค่ะ"

      "แล้วที่เสียบไม้นี่ล่ะ"

      "นั่นเรียกว่าไก่ย่างค่ะ"

      "แล้ว..." ยังไม่ทันได้ถาม พนักงานสาวก็ตอบอย่างรู้ใจ

      "มันคือส้มตำค่ะ"

      "แล้วมันกินยังไงอ่ะคะ" คำถามของคริสอาจจะดูเหมือนคนโง่ แต่เธอไม่ได้โง่หรอก เธอแค่ไม่รู้ว่าสมัยก่อนอาหารมันเป็นยังไง และกินด้วยวิธีไหน เนื่องด้วยปัจจุบันนี้สิ่งที่เรารับประทานคือ'สารอาหารสังเคราะห์' มีลักษณะเป็นเม็ด บ้างก็เป็นของเหลว เพราะว่าประชากรที่มากเกินไป แม้จะมีมนุษย์หลายคนย้ายไปอยู่ที่ดาวอื่นแล้ว แต่พื้นที่ในการอยู่อาศัยบนโลกก็แทบที่จะไม่เหลือพอให้มีพื้นที่ผลิตส่วนประกอบของอาหารแบบสมัยก่อน

      "มาเดี๋ยวผมสอน" ผมหยิบข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนเล็กๆป้อนให้แฟนสาวผมทอง แล้วฉีกเนื้อไก่ยางป้อนตามไปอีกคำ

      "อร่อยจัง" คริสเคี้ยวอาหารอย่างมีความสุข

      "มาค่ะ ฉันป้อนให้คุณบ้างดีกว่า อ้ามมมม"

      "อร่อยจริงด้วย ยิ่งคุณป้อนก็ยิ่งอร่อย" ขณะที่ผมกำลังสวีทหวานกับแฟน จู่ๆเจตต์ก็เดินมาแล้วยื่นหน้ามาใกล้คริส

      "อ้ามมมม ป้อนเขาบ้างสิตัวเอง" มันหลับตาและอ้าปากรอให้คริสป้อนให้บ้าง ผมเลยเอามือป้ายปากมันทันที

      "อร่อยมั้ยครับคุณเจตต์"

      "อี๋เค็มปี๋เลย ไอ้ขี้หวง แฟนคนเดียวแบ่งเพื่อนไม่ได้"

      "อ้าวไอ้นี้ ใครบ้าที่ไหนเขาแบ่งแฟนกันว่ะ"

      "จำไว้ ถ้าฉันมีแฟนใหม่ ฉันจะไม่แบ่งแกอีก" ไอ้นี่เริ่มพูดให้คนเข้าใจผิดอีกล่ะ

      "คุณค่ะ!!" เสียงอาฆาตและรังสีอำมหิตถูกแผ่ออกมาจากแฟนสาวแสนสวยที่ตอนนี้ดูเหมือนจะกลายร่างเป็นปีศาจ

      "อย่าไปฟังที่มันพูด มันเหลวไหล ไอ้เจตต์แกบอกความจริงให้คริสฟังสิ"

      "ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจ งอน เชอะ!" เจตต์สะบัดหน้าเดินกลับไปนั่งที่ ทิ้งให้ผมต้องมานั่งอธิบายให้คริสฟัง

      รถไฟออกจากโลกมาได้สักพักแล้ว และตอนนี้มันก็ใกล้ที่จะถึงดวงจันทร์ซึ่งเป็นเป้าหมายของพวกเรา

      ตึง!

      เสียงดังขึ้นพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างพุ่งเข้าชนตัวรถไฟ ทันใดนั้นก็มีภาพกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งถูกฉายขึ้นมา

      "สวัสดีทุกท่าน สบายดีกันรึเปล่า" ชายที่ดูเป็นมิตรที่สุดแถมยังหน้าตาน่ารักในภาพฉายคนนึงถามขึ้น

      "สบายดีครับ/ค่ะ" ทุกคนในรถไฟตอบอย่างร่าเริง

      "รู้รึเปล่าว่าพวกเราคือใคร"

      "ม่ายรู้"

      "แล้วอยากรู้ไหม"

      "อยาก"

      "พวกเราคือ...นักโทษแหกคุกจากดาวเนปจูนล่ะ เฮฮฮฮ" ชายที่พูดตบมืออย่างร่าเริง

      "...." เงียบสนิททั้งขบวน

      "555 เป็นไปไม่ได้หรอก คุกเนปจูนไม่เคยมีใครแหกออกมาได้ ใครที่ถูกส่งไปที่นั้นก็เท่ากับคนที่รอความตาย" ชายคนหนึ่งพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ

      ใช่แล้วล่ะ คุกเนปจูนน่ะ เป็นคุกที่แน่นหนาที่สุด ถึงแม้จะไม่มีตำรวจอวกาศคอยเฝ้า แต่เพราะมันไม่มีใครนอกจากพวกที่ถูกจับ ดังนั้นคนในคุกก็จะไม่มีใครเอาน้ำหรืออาหารไปให้ และต้องทนอยู่บนดาวอันหนาวเหน็บ ในที่สุดก็ตายอย่างน่าเวทนา

      "ต้องเป็นมุขตลกแน่เลย 555" ผู้โดยสารคนหนึ่งพูดเสริมขึ้น

      "5555" มันทำให้คนทั้งขบวนรถไฟต่างพากันหัวเราะ รวมทั้งกลุ่มชายในภาพฉายด้วย

      "แหม ขนาดผมบอกขนาดนี้ยังหัวเราะกันได้ งั้นผมจะบอกอะไรสนุกๆให้ฟังอีกสักอย่าง อยากฟังกันไหม"

      "อยาก"

      "พวกเราได้ทำการยึดรถไฟขบวนนี้แล้วล่ะ แล้วก็นะพวกเราน่ะจะฆ่าพวกคุณทุกคน น่ากลัวช่ายม๊าาา" ชายหนุ่มหน้าตาน่ารักพูดขู่เสียงใส

      "ว๊ายยย น่ากลัวจังเลย 5555" มีคนรับมุกของคนที่เรียกตัวเองว่านักโทษแหกคุก

      "มีการแสดงให้ชมด้วยดีจริงๆ" ทุกคนเพลิดเพลินกับการแสดงนี้ และดูเหมือนจะช่วยให้หลายคนหายเบื่อจากการนั่งรถไฟมานาน

      ตู้ม!

      ทันใดนั้นเองก็มีเสียงระเบิดดังมาจากจุดๆหนึ่งบนรถไฟ และตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คน ที่กระเสือกระสนวิ่งหนีแรงระเบิด

      "กรี๊ดดดด"

      "ช่วยด้วย มันเกิดอะไรขึ้น"

      "นั่นมีคนตายด้วยใช่ไหม"

      เสียงของผู้คนที่ต่างพากันสงสัย ที่อยู่ดีๆก็มีระเบิดมาระเบิดบนรถไฟ และยังทำให้มีคนตายอีกด้วย

      "ว๊าาา แย่จัง ผมเผลอกดโดนปุ่มระเบิด แต่ไม่ต้องเสียใจไปนะ พวกผมติดตั้งเอาไว้หลายที่ และที่สำคัญรุนแรงกว่าลูกเมื่อกี้เยอะ ไม่มีใครสามารถรอดออกจากขบวนรถไฟนี้ได้แน่นอน" คำพูดชายหนุ่มในภาพฉายช่างราวกับว่ามันถูกส่งมาจากขุมนรก ใบหน้าที่ดูน่ารักไม่อาจกลบเกลื้อนความคิดที่ชั่วร้ายภายในจิตใจของเขาได้อีกแล้ว

      "แกทำอย่างนี้ทำไม"

      "แกเป็นใคร"

      "ตำรวจอวกาศต้องจับแกแน่"

      ผู้คนในรถไฟต่างพากันโวยวาย ถึงแม้ในใจจะหวาดกลัว

      "ผมก็บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าพวกผมเป็นนักโทษแหกคุกจากดาวเนปจูน ทำไมไม่รู้จักจำกันบ้างเลยน้าาา ส่วนสาเหตุที่พวกฉันทำแบบนี้มันเป็นเพราะว่าฉันเกลียดไอ้บริษัทไทม์มิงไงล่ะ เพราะมันเป็นคนเอาพวกฉันเข้าคุก ฉันจะทำให้บริษัทของมันต้องพินาศย่อยยับ เออแล้วก็มีอีกเรื่องที่สำคัญม๊ากมากจะบอก ระเบิดที่ติดตั้งไว้เป็นระเบิดเวลา มันจะระเบิดเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งตอนนี้เวลาของพวกแกเหลือแค่ 1ชั่วโมงเท่านั้น คิดหรือว่าไอ้ตำรวจอวกาศน่าโง่จะช่วยพวกแกได้ทัน เพราะกว่าที่ตำรวจจะมาถึงพวกแกทุกคนก็จะ ตู้ม กลายเป็นโกโก้คั้น555" ชายที่พูดหัวเราะอย่างสะใจ

      "ไอ้เลว ไอ้ชั่ว"

      "ฉันยังไม่อยากตาย ฮือๆ"

      "ช่วยฉันด้วย ไว้ชีวิตฉันด้วย"

      เสียงตัดพ้อ ร้องขออ้อนวอนชีวิต รวมไปถึงเสียงด่าทอมากมายดังขึ้น เมื่อรู้ว่าชีวิตของพวกเขาเหลืออีกเพียงแค่1ชั่วโมงเท่านั้น

      "ถ้างั้น ขอให้มีความสุขกับวาระสุดท้ายของชีวิตมากๆนะ ลาก่อน555" ภาพฉายหายไปแต่เสียงที่ชายในภาพขู่มันยังคงตราตรึงในหัวของคนที่ได้ฟัง พวกเขาที่นี่ทำได้เพียงแค่รอความตายอย่างนั้นหรือ

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      รถไฟเคลื่อนมาถึงด้านหลังของดวงจันทร์ ทำให้ความมืดค่อยๆเข้าปกคลุมตัวขบวน พอแสงสว่างเริ่มหายไปลูกเล็กเด็กแดงต่างพากันร้องไห้ระงม เสียงร้องของเด็กผสมเข้ากับเสียงแห่งความสิ้นหวังของผู้ใหญ่ ช่างเป็นวาระสุดท้ายที่น่าเศร้าสลดเสียเหลือเกิน

      "ฉันกลัวค่ะคุณ" คริสหันหน้ามาซบกับแขนผม ผมจึงค่อยๆหันไปกอดเธอไว้

      "แงๆๆๆ" เสียงของน้องปลายดังประสานกับเด็กคนอื่น

      "น้องปลายไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องกลัว มนต์ก็ด้วย ผมจะปกป้องคุณเอง" ผู้เป็นพ่อทำได้เพียงแค่โอบกอดคนทั้งสองที่ตนรักเอาไว้

      "ม่ายเอาๆ ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังไม่ได้แต่งงาน แถมฉันก็ยังโสด ม่ายอ้าววว" เจตต์โวยวาย ดีดดิ้นไปมา ผิดกับหญิงชราสองคนที่มาด้วย ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรสักคำ พวกเธอได้แต่มองหน้าลูกๆของเธอ แล้วน้ำตาก็ค่อยๆไหลซึมออกมาอาบแก้มโดยไม่ทันรู้ตัว

      ขณะที่ทุกคนกำลังสิ้นหวัง จนไม่เป็นอันทำอะไร รวมถึงตัวของผมเอง จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งก้องเข้ามาในหูผม มันเป็นเสียงที่คุ้นหู แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใคร

      "จะมายอมแพ้ตรงนี้ไม่ได้" เสียงปริศนานั้นดังมาก จนผมถึงกับสะดุ้ง

      "ใครน่ะ" ผมเผลอตะโกนถามออกมาเสียงดัง

      "เป็นอะไรคะคุณ"

      "ลูกเป็นอะไร"

      ถึงแม้เสียงปริศนานั้นจะดังมาก แต่ดูจากปฏิกิริยาอันงงงวยของคริสและแม่นั้น ดูเหมือนผมจะได้ยินเสียงนี้คนเดียว สงสัยผมคงกลัวจนหูแว่ว

      "นายไม่ได้หูแว่ว นายต้องไปช่วยทุกคน"

      "บ้านะ เสียงนี่มันอะไรกัน" ผมพึมพำกับตัวเอง มือที่จากเดิมใช้โอบกอดแฟนสาวต้องเปลี่ยนมาใช้มันอุดหูทั้ง2ข้าง

      "ลุกขึ้น นายต้องไปกู้ระเบิดเพื่อช่วยทุกคน เวลาเหลือน้อยแล้ว" เสียงปริศนายังคงพูดไปเรื่อยๆ เสียงนั้นต้องการให้ผมช่วยทุกคน แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก รถไฟตั้งกว้าง กว่าจะหาระเบิดเจอหมดทุกลูกต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงผมจะกู้ระเบิดเป็นก็เถอะ แต่เวลาไม่ถึง1ชั่วโมงเนี้ยมันไม่มีทางทันแน่

      "นายทำได้ เชื่อฉัน ตำแหน่งระเบิดเกือบครึ่งขบวนรถไฟลำนี้ฉันหาเจอแล้ว เหลือแค่นายต้องเป็นคนไปกู้มันเท่านั้น" ไม่รู้อะไรดลใจผมคิดว่าเสียงนี้เชื่อถือได้ และผมควรที่จะทำตามที่เขาบอก

      "รู้ได้ไงว่าฉันกู้ระเบิดได้" ผมถามเสียงปริศนา ถึงแม้ว่าผมจะเชื่อเขา แต่มันก็อดที่จะสงสัยไม่ได้

      "ผมรู้แล้วกัน อย่าถามมาก เราไม่มีเวลาแล้ว จุดแรกอยู่ที่หัวขบวนรถไฟ" เสียงนั้นบ่งบอกถึงความร้อนรน ผมรีบลุกขึ้นเพื่อไปกู้ระเบิดทันที

      "คุณจะไปไหนคะ"

      "ลูกจะไปไหน"

      "นายจะไปไหน"

      เมื่อผมลุกขึ้นยืน ทำให้คนที่มาด้วยต่างพากันถามเป็นเสียงเดียวกัน

      "ไปกู้ระเบิดน่ะ"

      เมื่อตอบเสร็จ ผมก็รีบวิ่งไปทันที ในที่สุดผมก็มาถึงหัวขบวน

      "มันอยู่ไหน" ผมถาม

      "ใต้ตู้ซ้ายมือ" เสียงปริศนาตอบในทันที

      ผมรีบเปิดตู้ที่อยู่ซ้ายมือทันที และสิ่งที่พบคือระเบิดเวลารุ่นล่าสุด ผมลงมือกู้ระเบิดในทันที ไม่นานผมก็กู้มันได้สำเร็จ

      "เสร็จไปหนึ่ง หาลูกต่อไปเลย"

      "โบกี้1 มี2ลูก มุมขวาหน้ากับด้านล่างที่นั่งแถวที่50ซ้ายมือสุด" เสียงปริศนายังคงบอกตำแหน่งอย่างต่อเนื่องขณะที่ผมกำลังวิ่งไปที่โบกี้1อย่างเอาเป็นเอาตาย

      รถไฟขบวนนี้มีทั้งหมด50โบกี้ แต่ละโบกี้บรรจุคนได้ทั้งหมด20,000คน และเท่าที่ผมดูระเบิดที่มันใช้เป็นระเบิดที่มีความรุนแรงสูงมาก ถ้าหากมันระเบิดในรถไฟลำนี้แค่เพียงลูกเดียวก็สามารถที่จะฆ่าคนได้ทั้งขบวนอย่างง่ายดาย

      พวกเราถึงแม้จะรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของระเบิด แต่ก็จำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือกับทุกคนเพื่อที่จะทำให้หาระเบิดได้เร็วขึ้น ซึ่งผู้คนในขบวนรถไฟต่างก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

      "โบกี้1เรียบร้อย" ตอนนี้ผมใช้เวลามาราวๆ5นาทีได้ เวลาเหลือไม่มากแล้ว ผมต้องเร่งแล้ว

      "ต่อไปโบกี้3 ด้านล่างที่นั่งตรงกลางฝังขวามือ" ดูเหมือนเสียงปริศนาเองก็เร่งพอกัน

      ผมและเสียงปริศนาช่วยกันกู้ระเบิดไปได้เกือบ20ลูกอย่างรวดเร็ว และตอนนี้เราก็อยู่ในโบกี้ที่ 31

      "ฉันรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของระเบิดแค่นี้ ต่อจากนี้เราต้องช่วยกันหาต่อ" เสียงปริศนาพูดขึ้น

      "ไม่มีเวลาแล้ว เหลืออีกตั้ง19โบกี้ ถ้าเราไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอน แบบนี้มันจะทันไหมเนี้ย" ผมโวยวาย

      "ต้องทัน! ไม่งั้นที่ฉันทำมาทั้งหมดมันก็เปล่าประโยชน์ รีบหาต่อเร็ว" เสียงปริศนายื่นคำขาด

      "ทุกคนครับช่วยดูบริเวณรอบๆที่นั่ง รวมถึงใต้เก้าอี้ ถ้าใครเจอระเบิดเรียกผมทันทีนะครับ" ผมตะโกนสั่งอีกครั้ง แต่ครั้งนี้การหาช้ากว่าเดิมมาก เพราะเราไม่รู้ที่ๆแน่นอน

      "ตรงนี้ครับๆ" ชายคนหนึ่งยกมือตะโกนบอก ผมรีบวิ่งไปหาเขาอย่างรวดเร็ว และรีบกู้ระเบิดทันที ไม่นานระเบิดก็ถูกเก็บกู้ไปอีก1ลูก

      "มีใครเจอระเบิดอีกไหมครับ" เพราะว่าไม่รู้ว่ามีกี่ลูก มันก็ยิ่งทำให้ลำบาก

      "บนนั้นค่ะ" หญิงสาวคนหนึ่งชี้ขึ้นเหนือศีรษะของเธอ ผมปีนขึ้นไปกู้มันได้สำเร็จอีกลูกหนึ่ง

      "หมดแล้วนะ ผมต้องไปต่อ" ผมรีบวิ่งไปโบกี้ถัดไปทันที

      "ใกล้หมดเวลาของผมแล้ว ผมมีเรื่องสำคัญจะบอก" ขณะที่ผมกำลังวิ่งอยู่ เสียงปริศนาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย

      "อะไร"

      "ทฤษฎีย้อนเวลามันเป็นจริง"

      "ห๊าาา"

      "ก่อนที่จะหมดเวลา ทำตามทฤษฎีนั้นซะ มันคือทางออกเดียว"

      "จะบ้ารึไง ผมไม่มีทางฆ่าคนที่ผมรักลงหรอก" ผมตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง

      ทฤษฎีย้อนเวลา ถูกคิดค้นโดยดร.ติ้งต๊องคนนึง ซึ่งมันได้ถูกกล่าวไว้ว่า 'หากเราอยู่บนพาหนะที่เคลื่อนที่ แล้วสังเวยด้วยชีวิตคนที่รักมาก1คน พาหนะที่เคลื่อนที่นั้นจะนำพาเรากลับไปในอดีต' แต่มันเป็นเพียงทฤษฎีบ้าบอที่ไม่มีใครยอมรับ เพราะมันโหดร้ายเกินไป และไม่มีอะไรรับรองอย่างเป็นรูปธรรม

      รถไฟค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากเงาของดวงจันทร์ แสงสว่างกำลังจะกลับมา

      "ผมต้องไปแล้ว คุณต้องช่วยทุกคนให้ได้นะ" เสียงปริศนาหายไป พร้อมกับแสงสว่างที่กลับมา

      "ฉันไม่มีวันฆ่าคนที่ฉันรักหรอกน่า ไม่มีวัน" ผมบอกกับตัวเองและวิ่งไปหาระเบิดลูกต่อไปทันที

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      5 นาทีสุดท้ายก่อนที่ระเบิดจะทำงาน

      "ริว"

      "คุณค่ะ"

      ผมถูกรั้งไว้โดยแม่และแฟน ตอนนี้ผมอยู่ที่โบกี้39 ซึ่งก็คือโบกี้ที่ผมนั่งอยู่ในตอนแรก

      "ผมต้องไปกู้ระเบิดให้หมด เวลาเหลือน้อยแล้ว" ผมบอกอย่างเร่งรีบ

      "มันไม่ทันแล้วล่ะคะ" คริสที่ดึงแขนผมไว้พูดพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ

      "อยู่ที่นี้เถอะลูก แม่อยากใช้เวลาในวาระสุดท้ายกับลูก"

      "เชื่อมือผมสิ"ผมพูดออกไปทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่มีทางทันอยู่แล้ว

      "เหนื่อยไหมลูก ลูกไม่ต้องแบกรับมันไว้คนเดียวหรอกนะ" แม่ลุกขึ้นมาลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา

      "ผะ..ผะ...ผม ต้องช่วยทุกคนให้ได้ ผมไม่อยากให้คนที่ผมรักต้องตาย ฮือๆ" น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่ขาด ความเครียด ความเหนื่อยล้า ความสิ้นหวัง รวมไปถึงความอบอุ่นที่แม่มอบให้ มันยิ่งทำให้ผมเสียใจที่ไม่อาจปกป้อง และช่วยเหลือคนที่รักไว้ได้

      "มันไม่มีทางรอดแต่แรกแล้วล่ะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็ดีนะสิ" คริสพูดอย่างสิ้นหวัง

      "ทำได้ แต่เงื่อนไขมันยากเกินไปนะสิ" เจตต์พูดขึ้น

      "หุบปาก" ผมตะโกนบอก น้ำตายังคงเอ่อออกมาไม่หยุด

      "ตาเจตต์บอกมา" แม่ของผมถาม

      "ต้องสังเวยด้วยชีวิตคนที่รัก1คน" เจตต์พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

      "ไม่ ฉันฆ่าคนที่ฉันรักไม่ได้"

      "งั้นก็ฆ่าสิ แล้วค่อยย้อนเวลากลับไปช่วยให้ได้ก็พอ" คริสพูด

      "มันไม่ได้ดีแบบในหนังหรอกนะคริส คนที่ถูกฆ่าเพื่อบรรลุเงื่อนไข จะหายไปจากอดีต และในปัจจุบันคนๆนั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะฟื้นคืนมาได้" เจตต์ยังคงอธิบายต่อ

      ความเงียบเข้ามาแทนที่ ไม่มีใครสามารถพูดอะไรต่อไปได้

      "ฆ่าแม่ซะ ลูกจะต้องกลับไปช่วยทุกคนให้ได้" แม่พูดขึ้นหลังจากที่ทุกคนเงียบไปนาน

      "ผมทำไม่ได้ ต้องมีวิธีรอดวิธีอื่น" ผมนั่งลงกุมขมับ

      "ฆ่าแม่ซะ" แม่พูดพร้อมกับเอามีดมายัดไว้ในมือของผม เธอกุมมือของผมเอาไว้แน่น จนผมไม่อาจทิ้งมีดลงได้

      "คริส ช่วยเอามีดออกไปจากผมที" ผมบอกให้คริสช่วย แต่แฟนสาวของผมกลับเงียบ เธอก้มหน้ามาสักพักตั้งแต่ที่เจตต์อธิบายเรื่องเงื่อนไขของทฤษฎีย้อนเวลา ในที่สุดเธอก็ยอมเงยหน้าขึ้นมา

      "ฆ่าแม่คุณซะ เราทุกคนจะได้รอดไง ฆ่าเธอ ฉันไม่ยอมตายแบบนี้หรอกน่า เรากำลังจะแต่งงานกันนะคะคุณ ถ้าเรารอดไปได้ เราก็จะได้มีความสุขด้วยแล้ว" คริสสติแตกไปแล้ว

      "จะบ้ารึไง ผมฆ่าแม่ตัวเองไม่ได้" ผมตะโกนเพื่อเรียกสติของเธอคืนมา

      ทันใดนั้นเองคริสก็พุ่งเข้าผลักผมอย่างแรง ทำให้มือที่ถือมีดแทงเข้ากลางหน้าอกของผู้เป็นแม่

      "แม่!" ผมตกใจตะโกนเรียกแม่อย่างสุดเสียง

      "เธอตายแล้ว เราก็จะรอด เรารอดแล้ว555" คริสหัวเราะทั้งน้ำตา

      "คริสเธอบ้าไปแล้วรึไง แม่ครับ แม่ต้องไม่เป็นไรนะ" ผมร้องไห้โดยที่มือยังคงพยุงร่างของผู้เป็นแม่ไว้

      "ลูกจะต้องรอด แม่รักลูกนะ" แม่ยกมือขึ้นลูบหัวผมเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่เสียงของแม่หยุดลง ผมก็รู้สึกเหมือนกับร่าง ถูกกระชากอย่างแรง ทันใดก็มีแสงจ้าพุ่งเข้ามาที่หน้า เหมือนแสงเริ่มจางลงผมจึงค่อยๆลืมตาขึ้น

      "นี่มันอะไร" สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้ากลับไม่ใช่ร่างของแม่ แต่กลับเป็นชายหญิงคู่หนึ่งที่หน้าตาเหมือนผมกับคริสไม่มีผิด แล้วทันใดนั้นเองแสงสว่างก็ได้หายไป

      "ฉันกลัวค่ะคุณ" หญิงสาวหน้าเหมือนคริสพูดขึ้น

      "นี่รึว่าฉันย้อนอดีตมาแล้ว แต่ทำไมไม่มีใครตกใจล่ะว่ามีตัวฉัน2คน หรือไม่มีใครเห็นฉัน" ผมอดที่จะสงสัยไม่ได้

      "แงๆๆๆ"

      "น้องปลายไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องกลัว มนต์ก็ด้วย ผมจะปกป้องคุณเอง"

      "ม่ายเอาๆ ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังไม่ได้แต่งงาน แถมฉันก็ยังโสด ม่ายอ้าววว"

      ใช่แน่ๆผมย้อนเวลามาแล้ว ไอ้ประโยคเดิมๆที่คุ้นหูนี่เป็นพยานได้ และทุกอย่างก็เป็นจริงตามที่ทฤษฎีย้อนเวลาได้กล่าวไว้ โลกแห่งนี้ไม่มีแม่ของผมอยู่ มันทำให้ผมอยากที่จะร้องไห้ แต่ในเมื่อแม่ยอมที่จะตายเพื่อให้ผมรอด เพราะฉะนั้นผมต้องรอดไปให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

      "จะมายอมแพ้ตรงนี้ไม่ได้" ผมพูดกับตัวเองอย่างฮึกเหิม

      "ใครน่ะ" ตัวผมในอดีตตะโกนถามขึ้น

      เอ๊ะทำไมเหตุการณ์นี้มันคุ้นๆ นี่หรือว่า...ผมคือ เสียงปริศนา งั้นเสียงที่ผมได้ยินก็มาจากตัวผมในอนาคตสินะ แล้วเขาปลดเงื่อนไขการย้อนเวลามาได้ยังไง เพราะคนที่ผมรักก็มีแค่แม่และคริสเท่านั้น หรือว่าจะมีใครอีกคนนึงที่สำคัญแต่ถูกลบให้หายไปเพราะเงื่อนไข

      "นายไม่ได้หูแว่ว นายต้องไปช่วยทุกคน" ผมเริ่มพูดแบบที่ตัวผมในอนาคตเคยพูดไว้ เพราะผมต้องง้อตัวผมในอดีตเท่านั้น ไม่มีใครเห็นผม และผมไม่สามารถจับต้องสิ่งของใดๆได้เลย มีเพียงคนเดียวที่ผมสามารถสื่อสารด้วยได้นั่นก็คือตัวของผมเองในอดีต

      "บ้านะ เสียงนี่มันอะไรกัน"

      "ลุกขึ้น นายต้องไปกู้ระเบิดเพื่อช่วยทุกคน เวลาเหลือน้อยแล้ว" ผมพยายามโน้มน้าวใจตัวเองในอดีตให้เร็วที่สุด ยิ่งเร็วมากเท่าไหร่ นั้นหมายความว่าผมเหลือในการไปกู้ระเบิดมากขึ้น

      "นายทำได้ เชื่อฉัน ตำแหน่งระเบิดเกือบครึ่งขบวนรถไฟลำนี้ฉันหาเจอแล้ว เหลือแค่นายต้องเป็นคนไปกู้มันเท่านั้น"

      "รู้ได้ไงว่าฉันกู้ระเบิดได้" ตัวผมในอดีตนี่ถามมากจริงเชียว ผมเสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้าบอกไปว่าเป็นตัวเองในอนาคตก็ต้องมานั่งอธิบายอีกยาวเยียดแน่

      "ผมรู้แล้วกัน อย่าถามมาก เราไม่มีเวลาแล้ว จุดแรกอยู่ที่หัวขบวนรถไฟ" ไม่อยากจะบอกฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวแกหมดแหละ พ่อแม่ชื่ออะไร เกิดวันที่เท่าไหร่ เลขบัตรประชาชนอะไร อาหารที่ชอบ ทำงานอะไร รวมไปถึงสาเหตุที่สามารถกู้ระเบิดได้ ก็แกคือฉัน ถ้าไม่รู้สิแปลก

      ในที่สุดตัวผมในอดีตก็ยอมเชื่อ เราสองคนรีบวิ่งไปยังลิฟท์เคลื่อนย้ายทันที และตอนนี้เราก็มาถึงหน้าขบวน

      "มันอยู่ไหน"

      "ใต้ตู้ซ้ายมือ"ผมรีบบอกตำแหน่งของระเบิดลูกแรกทันที

      "เสร็จไปหนึ่ง หาลูกต่อไปเลย"

      "โบกี้1 มี2ลูก มุมขวาหน้ากับด้านล่างที่นั่งแถวที่50ซ้ายมือสุด"เราสองคนรีบวิ่งไปยังโบกี้1ทันที

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      โบกี้1

      ผู้คนต่างพากันร้องห่มร้องไห้ โอดครวญในชะตากรรม

      "ขอโทษครับ" ตัวผมในอดีตตะโกนขึ้น ทำให้คนในโบกี้นี้ ซึ่งมีเกือบ20,000คนหันมามองกันเป็นสายตาเดียว

      "ผมมากู้ระเบิด ใครอยู่แถว50ช่วยบอกด้วยครับ" เราต้องขอความร่วมมือจากทุกๆคน ไม่งั้นเราไม่มีทางกู้ระเบิดทั้งหมดทันแน่

      "แถว50อยู่นี่" เรารีบวิ่งไปกู้ระเบิดในทันที

      "โบกี้1เรียบร้อย" ยังเหลือระเบิดอีก20ลูกที่ผมรู้ตำแหน่ง และ อีก11โบกี้ที่ยังไม่ได้สำรวจ

      "ต่อไปโบกี้3 ด้านล่างที่นั่งตรงกลางฝังขวามือ" ผมยิ่งเร่งตัวเองเข้าไปอีก

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      ในที่สุดก็มาถึงโบกี้สุดท้ายที่ผมรู้ตำแหน่งของระเบิด โบกี้39 โบกี้ที่ผมได้ฆ่าแม่ของตัวเองและย้อนอดีตกลับมา

      "คุณค่ะ" ตัวผมในอดีตถูกคริสรั้งเอาไว้

      "เราไม่มีเวลาแล้ว ถ้านายไม่อยากให้คนที่นายรักต้องตาย รีบไปเร็วเข้า" ผมตะคอกใส่ตัวเองในอดีตทันที เวลาเหลือไม่มากแล้ว ผมจะไม่ให้ชีวิตของแม่ที่เสียไปต้องสูญเปล่า

      ตัวผมในอดีตค่อยๆแกะมือของแฟนที่มาเกาะกุมที่แขนของเขาออกอย่างช้าๆ และวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

      "ระเบิดลูกต่อไปอยู่ไหน"

      "ผมไม่รู้แล้ว" ผมตอบ

      "หมายความว่าไง"

      "หลังจากนี้อีก11โบกี้ เราต้องช่วยกันหา เวลาเหลือไม่มากแล้ว" ในใจผมตอนนี้ร้อนรนไปหมด

      เราสองคนช่วยกันค้นหา และกู้ระเบิดไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เราก็เก็บกู้ระเบิดในโบกี้ที่46

      ตึก!

      จู่ๆผมก็รู้สึกเหมือนร่างถูกกระชากเบาๆ หรือว่าเวลาของผมในอดีตกำลังจะหมด

      "เวลาของผมใกล้หมดแล้วล่ะ" ผมพูดขึ้นอย่างเศร้าสร้อย ผมไม่อาจที่จะกู้ระเบิดได้ทั้งหมด แม่ของผมต้องมาตายเปล่าหรือนี้

      "ห๊ะ"

      "นาย" ผมเรียกเขาและเงียบไปสักครู่นึง

      "อะไร"

      "นายต้องกู้ระเบิดทั้งหมดให้ได้ จงจำคำพูดของฉันไว้ ไม่ว่าเวลาจะเหลือน้อยแค่ไหน นายก็ห้ามท้อ นายต้องทำมันให้ถึงที่สุด ฉันเชื่อมั่นในตัวนายนะ" ผมทำได้เพียงเชื่อใจตัวผมคนนี้เท่านั้น ผมไม่คิดจะบอกเขาเรื่องย้อนอดีต เพราะถ้าตัวผมในอดีตคนนี้จะต้องย้อนอดีตนั่นหมายความว่าเขาจะต้องฆ่าคริส ซึ่งเป็นคนที่เขารักที่เหลือเพียงคนเดียว และนั่นมันดูจะโหดร้ายเกินไป

      "ฉันจะไม่ยอมให้ใครต้องตายแน่" ตัวผมในอดีตพูดแบบนั้น และผมเชื่อว่าเขาทำได้แน่ เพราะเขาคือตัวของผมเองไงล่ะ หลังจากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกกระชากอย่างแรงอีกครั้ง

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      ผมลืมตาขึ้นจากความมืดมิด แสงที่กระทบเข้าหน้ามันทำให้ตาของผมพร่าเล็กน้อย ด้านหน้าของผมเป็นร่างของแม่ที่สิ้นใจไปแล้ว งั้นนี่ก็หมายความว่าผมกลับมาแล้ว

      "เรารอดแล้ว แม่คุณตายแล้ว ฮือๆ" คริสเริ่มร้องไห้

      "มันยังไม่แน่หรอก" ผมพูดขึ้น

      "ทำไมล่ะ ทำไมคุณถึงยังไม่ย้อนอดีตไป ก็ในเมื่อแม่ของคุณตายไปแล้วนิ" คริสโวยวาย ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา

      "ผมย้อนเวลาไปแล้วล่ะ"

      "แล้วคุณไปแก้ไขอะไรไม่ได้รึไง"

      "ผมถูกส่งกลับมาก่อนที่จะกู้ระเบิดได้ทั้งหมด"

      "งั้นฉันจะต้องตายหรอ ไม่นะ ม่ายยยย"

      "ตอนนี้เราทำได้เพียงเชื่อใจตัวผมในอดีตเท่านั้น" ผมกุมมือร่างของแม่เอาไว้

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      ทางด้านตัวผมในอดีต

      ผมวิ่งหาระเบิด และเก็บกู้มันไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะไม่มีเสียงปริศนามาช่วยแล้ว แต่ผมสัญญาไว้แล้ว ผมจะต้องช่วยทุกคนให้ได้

      "ทุกคนครับช่วยดูบริเวณรอบๆที่นั่ง รวมถึงใต้เก้าอี้ ถ้าใครเจอระเบิดเรียกผมทันทีนะครับ" ผมตะโกนสั่งอีกครั้ง

      "ตรงนี้ครับๆ" ชายคนหนึ่งยกมือตะโกนบอก ผมรีบวิ่งไปหาเขาอย่างรวดเร็ว และรีบกู้ระเบิดทันที ไม่นานระเบิดก็ถูกเก็บกู้ไปอีก1ลูก

      "มีใครเจอระเบิดอีกไหมครับ" ผมถามเพื่อความแน่ใจ

      "ไม่มีแล้วนะครับ" เมื่อกู้ระเบิดในโบกี้หมด ผมก็รีบวิ่งไปโบกี้ต่อไปทันที ตอนนี้เวลาเหลืออีกไม่ถึง5นาที มันยิ่งทำให้ใจผมร้อนรนมากขึ้น แต่เพราะคำพูดของเสียงปริศนานั้นคอยเตือนสติของผม จึงทำให้ผมยังมุ่งหน้าต่อไป และในตอนนี้ก็เหลืออีกเพียงแค่โบกี้เดียวเท่านั้น

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      โบกี้40 โบกี้สุดท้าย กับเวลาอีกเพียง3นาที

      "มีใครเจอระเบิดอีกไหมครับ" ผมตะโกนถามหลังจากเร่งกู้ระเบิดเสร็จ

      ไม่มีใครพูดอะไร นั่นก็หมายความว่าผมกู้ระเบิดได้สำเร็จทันเวลา ผมรีบวิ่งไปขึ้นลิฟท์เคลื่อนย้าย เพื่อไปบอกข่าวให้กับคนที่ผมรักมากที่สุดรับรู้ แต่ในตอนนั้นเอง

      "มันอยู่นั้นอีกลูกนึง" หญิงสาวคนนึงพูดขึ้นพร้อมชี้ไปที่ช่องระบายอากาศบนเพดาน กึ่งกลางโบกี้นี้ ผมรีบออกจากลิฟท์และวิ่งมาดูระเบิดที่คาดว่าจะเป็นลูกสุดท้าย

      "อยู่ข้างในช่องระบายอากาศเลยรึนี่" ผมก้มมองนาฬิกา เวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้าแค่กู้ระเบิดเฉยๆคงจะทันได้ไม่ยาก แต่นี่ผมต้องไขเอาช่องระบายอากาศออกมาก่อน ผมจะทำไงดี แต่จะมามัวกลัวไม่ได้ ผมต้องทำให้ถึงที่สุดสิ ถึงแม้โอกาสจะน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

      "ฉันจะช่วยนายเอง" ชายคนหนึ่งพูดขึ้น

      "เห็นแบบนี้พี่เขาเป็นช่างมือ1เลยนะ" เด็กน้อยที่ตามมาพูดอย่างภาคภูมิใจในตัวพี่ชาย

      "โอเค คุณมีไขควงใช่ม่ะ" ผมหันไปถาม

      "แน่นอนอยู่แล้ว" ชายคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาเพื่อช่วยถอดช่องระบายอากาศทันที

      เพราะว่ามีคนถึง2คนที่ชำนาญงานช่าง มันเลยทำให้การถอดช่องระบายอากาศเสร็จเร็วกว่าที่คิด ผมจึงรีบทำการกู้ระเบิดในทันที

      "เหลืออีกแค่5วิ" เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ ผู้คนต่างพากันภาวนาให้ผมกู้มันได้ทัน มือของผมเริ่มสั่นเทา มันแทบที่จะไม่มีแรงขยับด้วยซ้ำ ผมจะทำมันได้ไหม?

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      ผมกุมมือของแม่เอาไว้ ในที่สุดก็เหลือเวลาอีกแค่5วินาที ผมภาวนาให้ตัวเองในอดีตทำได้สำเร็จ ใจของผมมันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ผมรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่สุด แต่ในความกลัวนั้นมันกลับมีความหวัง ถึงแม้จะเพียงน้อยนิด แต่ผมก็เชื่อมั่นในความหวังนั้น

      5

      4

      3

      2

      1

      ผมหลับตากุมมือของแม่เอาไว้แน่น วินาทีนั้นผมแทบจะหยุดหายใจ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นั่นก็หมายความว่าตัวผมในอดีตทำสำเร็จ เราทุกคนรอดแล้ว ผมลืมตาขึ้นและตะโกนดีใจอย่างสุดเสียง

      "เย้ เรารอดแล้ว เราทำได้" ผมกอดร่างที่ไร้ซึ่งลมหายใจของแม่

      ผู้คนในขบวนรถไฟเมื่อรู้ว่าระเบิดไม่ระเบิดแล้วก็ต่างพากันดีใจ โห่ร้อง บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็กระโดดโลดเต้น ช่างเป็นบรรยากาศที่แสนสุขเสียเหลือเกิน

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      1 มกราคม พ.ศ.3001

      หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์วันนั้นมาได้1ปี

      "แม่ครับเราทำได้แล้วนะ" ผมพูดที่หน้าหลุมศพของแม่เช่นเคย ผมมาที่นี่ทุกวัน ผมมักจะเล่าเรื่องเหตุการณ์ในวันนั้นให้แม่ฟังเสมอ ว่าผมไปทำอะไรมาบ้าง และเหตุการณ์หลังจากที่เรารอดตายแล้วมันเป็นยังไง

      "แม่รู้ไหมตอนที่เหลือ5วินาทีสุดท้าย ผมกลัวมาก แต่ผมก็เชื่อว่าตัวผมในอดีตต้องทำได้" ผมยังคงเล่าต่อไปแม้จะไม่มีใครตอบกลับมาก็เถอะ

      "วันนั้นน่ะนะ หลังจากที่เรารู้ว่ารอดตายแล้ว เพราะระเบิดถูกเก็บกู้จนหมด ไม่นานตำรวจอวกาศก็มาถึง สงสัยที่เขาว่าตำรวจมักมาช้าก็คงจะจริง555" ผมหัวเราะให้กับเรื่องที่ตัวเองเล่า

      "หลังจากเหตุการณ์วันนั้น บริษัทไทม์มิงก็ออกมาขอโทษ ที่ระบบรักษาความปลอดภัยไม่มีประสิทธิภาพ แล้วก็คืนเงินค่าตั๋วรถไฟ แถมยังให้เงินปลอบขวัญด้วยนะ 555" ผมเล่าเหมือนเป็นเรื่องตลกทั้งที่ในใจอยากจะร้องไห้ออกมา

      "ทางด้านโจรพวกนั้นก็ถูกจับกุมในเวลาต่อมาไม่นาน ผมยังไปเป็นพยานชี้ตัวคนร้ายมาเลย พวกมันถูกสั่งประหารชีวิตทันทีเลย" ความจริงวันที่ไปชี้ตัว ผมแทบจะกระทืบพวกมันให้เละ แต่โดนตำรวจห้ามไว้ก่อน

      "ผมเองก็เกือบถูกตำรวจจับเหมือนกัน ที่ผมฆ่าแม่น่ะ แต่ตำรวจลงความเห็นว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ เพราะผมมีความดีความชอบอันใหญ่หลวงไงล่ะ ผมสามารถช่วยคนเกือบ1ล้านคนไว้ได้ ทำให้ไม่เกิดคดีฆาตกรรมหมู่ครั้งยิ่งใหญ่ ใครๆต่างก็บอกว่าผมน่ะเป็นฮีโร่" ฮีโร่บ้าบออะไรกัน แค่แม่เพียงคนเดียว ก็ไม่สามารถช่วยเอาไว้ได้

      "ส่วนทางด้านคริส เพราะเธอได้รับความเครียดที่ต้องตกอยู่ในสภาวะกดดัน ทำให้จิตใจของเธอบอบช้ำอย่างมาก เธอเลยต้องเข้ารับการรักษา แต่ตอนนี้อาการของเธอดีขึ้นมากแล้วล่ะ ผมไปเยี่ยมเธอมาเมื่อวันก่อน คาดว่าเธอคงจะออกจากโรงพยาบาลได้ในไม่ช้า"

      "ไอ้ริว เสร็จยัง งานใกล้จะเริ่มแล้ว" เจตต์วิ่งมาเรียกผมหลังจากที่นั่งรออยู่ในรถมานาน

      "แปปนึง ไปรอที่รถก่อนเลย เดี๋ยวตามไป" ผมตะโกนบอกเพื่อนที่มาเรียก แล้วหันไปที่หลุมศพของผู้เป็นแม่อีกครั้ง

      "วันนี้ก็ครบรอบ1ปีแล้วนะครับที่แม่จากผมไป ผมคิดถึงแม่นะ ผมรักแม่นะครับ" ผมลูบป้ายหลุมศพเบาๆ จากนั้นก็เช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของตัวเองออก

      "แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาคุยด้วยใหม่นะครับ แม่"

      ชายหนุ่มหันหลังเดินจากหลุมศพไปอย่างช้าๆ ลมอ่อนๆพัดผ่าน แสงแดดอบอุ่นสาดส่องลงมา เมื่อชายหนุ่มที่คอยมาเล่าเรื่องจากไป ความเงียบก็กลับมาอีกครั้ง แต่มันจะไม่ได้เงียบไปตลอดกาล เพราะชายคนนั้นจะยังคงกลับมาเล่าเรื่องที่นี่ทุกๆวัน ตลอดไป

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×