ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมบทความการเมือง

    ลำดับตอนที่ #79 : บทวิเคราะห์ถ้อยแถลงธง แจ่มศรีในวันก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศไทยครบ66ปี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 403
      0
      8 ม.ค. 53

    ถ้อยแถลงเนื่องในโอกาสวันก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยครบรอบ 66 ปี

    ธง แจ่มศรี

    1 ธันวาคม 2551

    สวัสดีครับ

    เนื่อง ในโอกาสก่อตั้งพรรคครบรอบ 66 ปี ผมขอถือโอกาสนี้ส่งความปรารถนาดีและคำอวยพรมายังมิตรสหายผู้ร่วมอุดมการณ์ ทั้งหลาย ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง ประสบความสำเร็จในหน้าที่และการงานของตน มีพลังกายพลังใจเต็มเปี่ยม พร้อมจะต่อสู้เพื่อภารกิจก้าวหน้าเป็นธรรม ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ที่ทุกคนแบกรับอยู่ให้ก้าวหน้าไปตาม ความเรียกร้องต้องการของสถานการณ์ในปัจจุบัน

    ผมในนามเลขาธิการใหญ่ ของพรรค ซึ่งบัดนี้เหลือแต่ชื่อ แต่ในทางเป็นจริงไม่ได้ดำรงสถานภาพนี้อยู่อีกต่อไปแล้ว ดังที่ทราบกันดี นับแต่การประชุมคณะกรรมการบริหารกลางเต็มคณะสมัยที่ 2 ชุดที่ 4 ในปี 2526 เป็นต้นมา เนื่องด้วยเหตุปัจจัยทั้งทางภววิสัยและอัตวิสัย โดยเฉพาะเหตุปัจจัยทางอัตวิสัย คณะกรรมการบริหารกลางชุดนี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองค์การนำสูงสุดของ พรรคมาจนบัดนี้ เท่ากับได้สูญเสียบทบาทขององค์การนำไปแล้วโดยสิ้นเชิง

    ปัจจุบัน สถานการณ์ของประเทศเราเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่ากำลังอยู่ในสภาวการณ์ที่ สับสน แตกแยกกันอย่างกว้างขวางชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน สภาพเช่นนี้ได้ส่งผลกระทบต่อขบวนของเราอย่างมาก กล่าว สำหรับมวลชนที่ก้าวหน้าและสหายเราที่ยังยึดมั่นในภารกิจที่ก้าวหน้าเป็นธรรม ต่างเรียกร้องให้ฝ่ายนำของเรามีบทบาทที่เป็นจริงในการชี้นำทางความคิด ผลักดันสถานการณ์ให้เป็นผลดีต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้ก้าวรุดหน้า ตามทันการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย แต่ก็เป็นที่น่า เสียใจอย่างมากที่องค์การนำของเราไม่สามารถมีบทบาทตามความเรียกร้องต้องการ ของสหายและมวลชนได้ด้วยสาเหตุที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ผมจึงจำต้องใช้ฐานะส่วนตัวแจ้งให้มิตรสหายทราบถึงแนวความคิดและทิศทางที่ควร จะเป็นของเราต่อไป จะผิดถูกอย่างไรให้ถือเป็นภาระหน้าที่ร่วมกัน วิพากษ์วิจารณ์กันได้เต็มที่

    ปมประเด็นที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตก แยกกันครั้งใหญ่ในสังคมไทยปัจจุบันนี้ กล่าวโดยสรุปก็สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มทุนผูก ขาดที่เป็นชนชั้นปกครองสองกลุ่ม ขอ เรียกสั้นๆ ว่าเป็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มทุนเก่า (อนุรักษ์นิยม) กับกลุ่มทุนใหม่ (เสรีนิยม) ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ซึ่งไม่สามารถตกลงกันได้ จึงปะทุออกมาในรูปแบบการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549

    แม้กลุ่มทุนเก่าจะได้เปรียบ เนื่องจากเป็นฝ่ายที่มีอำนาจอิทธิพลเหนือรัฐสืบเนื่องมายาวนาน โดยเฉพาะคือสามารถมีอำนาจเหนือข้าราชการ ตำรวจ ทหาร และตุลาการได้อย่างเบ็ดเสร็จก็ตาม แต่เนื่องจากรูปแบบการปกครองของประเทศไทยเป็นระบอบประชาธิปไตยรัฐสภา เมื่อกลุ่มทุนเก่าสามารถตั้งรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหารได้ซึ่งก็คือ รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธฺ จุลลานนท์ โดย ที่พวกเขาพยายามใช้เวลาหนึ่งปีกว่ามาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่บิดเบี้ยว คือ รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เรียกกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับอำมาตยาธิปไตย และกฎหมายอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก เพื่อลิดรอนทำลาย อำนาจอธิปไตยของประชาชนในรูปแบบที่แอบแฝงแนบเนียน โดยคาดหวังว่าเมื่อจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ คือการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ปี พ.ศ.2550 พวกเขาจะได้รับชัยชนะ สามารถกุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม กล่าวคือพรรคที่ได้รับเสียงข้างมากในสภาฯ และสามารถตั้งรัฐบาลใหม่กลับเป็นพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นคู่ปรปักษ์ของพวกเขา เมื่อไม่สามารถยับยั้งคู่ปรปักษ์ได้ จึงต้องใช้อิทธิพลที่มีอยู่มาระดมลูกน้องลูกสมุนมาก่อกวนขัดขวางรัฐบาลที่มา จากการเลือกตั้งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะคือการใช้อิทธิพลครอบงำสื่อต่างๆ มาปลุกปั่นสร้างกระแสบิดเบือน ทำให้เกิดความสับสนในหมู่ประชาชนจนไม่สามารถจำแนกแยกแยะความเท็จความจริงและ ความถูกผิดได้

    ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ แม้จะมีนักวิชาการออกมามาแสดงความคิดเห็นโต้แย้งกันต่างๆ นานา มีความคิดเห็นกันหลากหลาย แต่ในความหลากหลายเหล่านั้น เรา ก็สามารถใช้ทัศนะวัตถุนิยมวิภาษและวัตถุนิยมประวัติศาสตร์มาจำแนกแยกแยะได้ ว่าโดยเนื้อแท้แล้วก็คือการต่อสู้ขัดแย้งกันระหว่างระบอบประชาธิปไตยของชน ชั้นนายทุนกับระบอบอำมาตยาธิปไตยของศักดินานั่นเอง

    มาจนถึงจุดนี้ก็ มีมิตรสหายบางคนเสนอแง่คิดว่า ในเมื่อมันเป็นความขัดแย้งระหว่างเผด็จการอำมาตยาธิปไตยกับนักประชาธิปไตย ของชนชั้นนายทุนแล้ว ก็ ไม่น่าจะเกี่ยวกับเราที่เป็นประชาชนคนธรรมดา และยังมีมิตรสหายอีกบางคนให้แง่คิดว่า เราไม่ควรเพ้อฝันมากนักกับประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน ซึ่งมีแต่การซื้อเสียงขายเสียง คอรัปชั่นโกงกินอย่างชั่วช้าสามานย์

    แน่ นอน นักต่อสู้ของประชาชนเรา จะต้องไม่นั่งงอมืองอเท้ารอคอยสถานการณ์ไปเรื่อยๆ โดยไม่ทำอะไรเลยอย่างเด็ดขาด หากจะต้องใช้สถานการณ์ให้การศึกษามวลชนในรูปแบบเงื่อนไขต่างๆ อย่างทรหดอดทนไปยกระดับความสำนึกตื่นตัวของมวลชนให้สูงขึ้น จนสามารถผลักดันให้พวกเขาสามัคคีรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนที่เข้มแข็งไปช่วง ชิงผลประโยชน์ที่เป็นจริงของพวกเขาเอง

    ส่วนเรื่องที่ว่าประชาชนเรา สมควรจะสนับสนุนรัฐสภาของชนชั้นนายทุนหรือไม่นั้น ก็มิใช่ว่าเรารักชอบระบอบทุนนิยมหรือไม่ชอบ แต่อยู่ที่ว่าการวิวัฒนาการของสังคมมนุษยชาติปัจจุบันได้ก้าวถึงขั้นตอนที่ เป็นยุคสมัยของทุนนิยมแล้ว ประเทศส่วนใหญ่ในโลกรวมทั้งประเทศไทยก็ได้พัฒนาก้าวเข้าสู่ยุคทุนนิยม แม้ว่าโครงสร้างสังคมบางส่วนยังไม่ได้พัฒนาอย่างเต็มที่ก็ตาม แต่ก็ถือว่าได้ก้าวเข้าสู่ยุคทุนนิยมแล้ว สำหรับ ปัญหาความรับรู้ของเราที่มีต่อระบบทุนนิยมดีหรือเลวอย่างไรนั้น ปรมาจารย์ลัทธิมาร์กซ์คือ ท่านคาลมาร์กซ์ก็ได้ให้ข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างสมบูรณ์แล้ว ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าเรานักลัทธิมาร์กซ์ได้เรียนรู้ ประยุกต์ใช้กับความเป็นจริงของเราอย่างไรต่างหาก ด้วย เหตุนี้ท่าทีของเราต่อทุนนิยมจึงมิใช่รับหรือปฏิเสธอย่างเดียว เพราะแม้เราจะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม แต่การดำรงอยู่ของทุนนิยมก็เป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ ดัง นั้นเมื่อรับรู้ต่อกฎภววิสัยแห่งการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของสังคม ก็ยิ่งเรียกร้องให้เราต้องพิจารณาถึงความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ ซึ่งก็คือต้องคำนึงถึงจุดอ่อนจุดแข็งของชนชั้นปกครอง และฝ่ายประชาชนเรา จากนี้ไปกำหนดขั้นตอนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ก้าวไปข้าง หน้าอย่างมีจังหวะก้าวและสอดคล้องกับความเป็นจริงทางภววิสัย นี่คือทิศทางใหญ่ที่จะต้องเป็นไป

    อย่างไรก็ดี เพื่อทำความกระจ่างต่อข้อสงสัยของเพื่อนบางท่าน ที่มีต่อระบอบรัฐสภาของชนชั้นนายทุน จึงใคร่ยกเอาคำสอนของปรมาจารย์ท่านหนึ่งคือท่านเลนิน ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือชื่อ โรคไร้เดียงสา “ฝ่ายซ้าย” ในขบวนการคอมมิวนิสต์ โดยท่านชี้ว่า “เรายังไม่มีกำลังพอจะโค่นล้มรัฐสภาชนชั้นนายทุนได้ เรายังต้องเข้าร่วมการต่อสู้บนเวทีรัฐสภาชนชั้นนายทุน จุดมุ่งหมายก็อยู่ที่ให้การศึกษาแก่ชนชั้นที่ล้าหลังในชนชั้นของตนนั่นแหละ อยู่ที่ปลุกและให้การศึกษาแก่มวลชนในชนบทที่การศึกษายังไม่เจริญ ถูกปิดหูปิดตาและขาดความรู้นั่นแหละ ขณะที่พวกท่านยังไม่มีกำลังพอที่จะยุบรัฐสภาชนชั้นนายทุนและองค์กรปฏิกิริยา ประเภทอื่นๆ นั้น พวกท่านจะต้องทำงานภายในองค์กรเหล่านี้” (จากบทที่ 7 “จะเข้าร่วมรัฐสภาชนชั้นนายทุนหรือไม่” ในหนังสือ โรคไร้เดียงสา “ฝ่ายซ้าย” ในขบวนการคอมมิวนิสต์)

    จากที่กล่าวมาทั้งหมด สรุปได้ว่า ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ภาระหน้าที่ของพวกเราคือจะต้องยืนหยัดต่อสู้ คัดค้านการทำรัฐประหารทุกรูปแบบ คัดค้านการใช้อำนาจนอกระบบรัฐธรรมนูญ สนับสนุนการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยให้เข้ม แข็งสมบูรณ์เพื่อนำไปสู่ประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริง มีแต่เช่นนี้เท่านั้นจึงจะทำให้เราสามารถผลักดันให้สังคมก้าวรุดหน้าต่อไป ได้ตามการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย


    สมพร จันทรชัย

    เผยแพร่ครั้งแรกในจุลสาร”ไฟลามทุ่ง” ฉบับที่ 1/2552 มกราคม-มีนาคม 2552

    เมื่อ วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2551 ที่ผ่านมา คุณธง แจ่มศรี ในนามส่วนตัวของเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ โอกาสครบรอบ 66 ปีแห่งการก่อตั้งพรรคฯ โดยเผยแพร่ผ่านสื่อประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

    ซึ่งคำแถลงนี้อาจจะ นับได้ว่าเป็นแถลงการณ์ของเลขาธิการพรรคฯ ที่เป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่สมัชชา 4 เป็นต้นมา แถลงการณ์ดังกล่าวนี้ได้ตอบคำถามอันคั่งค้างอยู่หลายประการ และยังเป็นการช่วยอภิปรายและชี้นำทิศทางทางการเมืองอันถูกต้องในสถานการณ์ ปัจจุบันอีกด้วย แถลงการณ์ฉบับนี้จึงถือเป็นเอกสารสำคัญที่น่าจะต้องนำมาศึกษาวิเคราะห์ เพื่อจะช่วยทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งในบทความนี้จะขออภิปรายเรื่องราวของแถลงการณ์ดังกล่าว โดยตั้งประเด็นต่อไปนี้


    1.สถานะของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยจนถึง พ.ศ. 2549

    นับ แต่มีการเปิดประชุม สมัชชาพรรคครั้งที่ 4 ราวเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา อาจอธิบายได้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์ไทยอยู่ภายใต้สภาพแห่งการถดถอย ตกต่ำและแตกสลาย กองกำลังอาวุธปฏิวัติที่เคยมีอยู่กระจัดกระจายในเขตงานต่างๆ ทั่วประเทศก็ยุบเลิก วางอาวุธ หรือบางส่วนก็ยอมจำนนต่อฝ่ายรัฐบาล องค์กรปฏิวัติทั้งในเมืองและในชนบทต่างก็เสื่อมสภาพ สลายตัว การประชุมคณะกรรมการกลางพรรคฯสมัยแรก หลังจากการประชุมสมัชชาในเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2525 และการประชุมคณะกรรมการกลางเต็มคณะครั้งที่ 2 ใน พ.ศ.2526 ก็ไม่อาจยับยั้งการเสื่อมถอยล่มสลายนี้ได้

    และหลังจากนั้น คณะกรรมการกลางพรรคฯ ก็ไม่ได้มีการประชุมกันอย่างเป็นทางการอีกเลย เพราะคณะกรรมการกลางพรรคฯ ถูกจับกุมครั้งใหญ่ 2 ระลอก ครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2527 และต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2530 ซึ่งในครั้งหลังนี้ คณะกรรมการกลางและกรมการเมืองถูกจับกุมเกือบหมดคณะในขณะเตรียมการประชุมขยาย วงที่หาดบางแสน ชลบุรี ผลของการถูกจับครั้งนี้ทำให้การเคลื่อนไหวของพรรคฯ ปิดฉากลง สำหรับ คุณ ธง แจ่มศรี ในฐานะเลขาธิการพรรคฯ ที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมสมัชชาครั้งที่ 4 ไม่ได้ถูกจับกุมตัวและยังคงหลบในเขตป่าเขาที่เหลืออยู่ในแถบจังหวัดเพชรบุรี แม้ว่าจะมีการตั้งองค์กรนำชั่วคราวขึ้นมารับผิดชอบงาน แต่ พรรคฯ ก็อยู่ในฐานะที่แทบจะไม่สามารถจะแสดงบทบาทได้ตั้งแต่นั้นมา จนกระทั่งคุณธง แจ่มศรี ต้องออกจากป่าเขามาใช้ชีวิตที่ปกติในสังคมตั้งแต่ พ.ศ.2533 เป็นต้นมา แต่สภาพทางการเมืองที่พรรคคอมมิวนิสต์ยังถือเป็น พรรคผิดกฎหมาย คุณธง ก็ยังคงต้องอยู่อย่างปิดลับและติดต่อพบปะกับผู้คนได้ในวงจำกัด

    ใน สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป คณะกรรมการกลางเต็มคณะที่ได้รับเลือกจากสมัชชาพรรคฯ ครั้งที่ 4 จำนวน 35 คน ถึงแก่กรรมไปบ้าง บางส่วนจำนนต่อศัตรู ยุติบทบาทลงบ้างหรือปลีกออกไปใช้ชีวิตปกติบ้าง ส่วนที่ยังคงเคลื่อนไหวมีบทบาทการเมืองนั้นมีอยู่ไม่กี่คน ในสภาพเช่นนั้น คุณธง แจ่มศรี ในฐานะ เลขาธิการใหญ่ก็ได้จัดตั้ง องค์กรนำเฉพาะกิจขึ้นบริหารงานเป็นการชั่วคราว โดยเลือกกรรมการที่ยังพอทำงานร่วมกันได้เป็นหลัก

    แต่ในภาวะเช่นนี้ ปัญหาในด้านการนำและปัญหาคั่งค้างอื่นๆ ยังมีอยู่มากมายดังที่ คุณธง แจ่มศรี ได้อธิบายให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ด้วยเหตุปัจจัยทั้งในด้านภววิสัยและ อัตวิสัยจึงทำให้เกิดการดำเนินการของพรรคฯ เป็นไปอย่างยากลำบาก

    ใน ด้านภววิสัย ไม่มีสถานการณ์ปฏิวัติดำรงอยู่เลย ในเงื่อนไขที่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภายังดำเนินไปด้วยดีตั้งแต่ หลังกรณีพฤษภาประชาธรรม พ.ศ. 2535

    ในด้านอัตวิสัยของพรรคคือ ความแตกแยก แตกต่างทางความคิดและไม่ยอมรับซึ่งกันและกันจนยากที่จะประสานกันได้ในส่วน อดีตกรรมการและผู้ปฏิบัติงานจึงแยกกันเป็นกลุ่มๆ แม้จะมีการเลิกพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ พ.ศ. 2544 การเรียกประชุมอย่างเป็นทางการก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ การดำเนินการของพรรคคอมมิวนิสต์จึงต้องปรับตัวไปตามสภาพไม่มีการเคลื่อนไหว ที่จะสร้างสะเทือนทางการเมืองแต่อย่างใด

    2.วิกฤตการณ์ทักษิณ และความขัดแย้งทางสังคมไทย

    เหตุการณ์ ดำเนินไปเช่นนั้นจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 เป็นต้นมาได้เกิดกรณีที่เรียกว่า วิกฤตการณ์ทักษิณ นั่นคือเกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนที่เป็นกระบวนการทางสังคมเพื่อต่อ ต้านรัฐบาลไทยรักไทย ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร สถานการณ์ขยายตัวลุกลามอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดย สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และ จำลอง ศรีเมือง แห่งขบวนการสันติอโศก

    ขบวน การต่อต้านรัฐบาลทักษิณนี้มีนักคิดนักวิชาการจำนวนมากสนับสนุน รวมทั้งมีผู้ปฏิบัติงานองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนมากเข้าร่วมผนึกกำลังด้วย ในกลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ 3 คน ก็มาจากขบวนการภาคประชาชน อันได้แก่ พิภพ ธงชัย จากมูลนิธิหมู่บ้านเด็ก สมศักดิ์ โกศัยสุข ผู้นำสหภาพแรงงานรถไฟ และ สมเกียรติ พงศ์ไพบูลย์ จากองค์กรพัฒนาเอกชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

    นอก จากนั้นยังปรากฏว่าขบวนการเคลื่อนไหวครั้งนี้มีกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ อดีตผู้ปฏิบัติงาน และแม้กระทั่งคนเดือนตุลาจำนวนมากเข้าร่วมสนับสนุน ก่อให้เกิดความสามัคคี ผนึกกำลังต่อต้านทักษิณอย่างกว้างขวาง

    สาเหตุ ความขัดแย้งและวิกฤตการณ์ทางการเมืองนี้ เป็นที่อธิบายกันได้หลายลักษณะ ในความเห็นของกลุ่มพันธมิตรฯ ปัญหาเริ่มต้นจากการทุจริตฉ้อฉลของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จนทำให้ประเทศเสียหาย จึงได้เรียกร้องให้กู้ชาติ หรือ “เอาประเทศไทยคืนมา” เพื่อนำประเทศให้พ้นจากอำนาจของทักษิณ แต่ถ้าหากพิจารณาให้กว้างขึ้นตามหลักทฤษฎีที่ คุณ ธง แจ่มศรี อธิบายปัญหานั้นมาจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทุนผูกขาด 2 กลุ่มคือ กลุ่มทุนเก่า หรือทุนอำมาตยาธิปไตยฝ่ายหนึ่ง และกลุ่มทุนใหม่ที่แวดล้อมรัฐบาลทักษิณเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ในลักษณะเช่นนี้การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรจึงเป็นไปตามทิศทางของฝ่ายทุน ศักดินา

    การนำกลุ่มของพันธมิตรได้ก่อให้เกิดปัญหาตั้งแต่แรก กล่าวคือในเดือนมีนาคม พ.ศ.2549 แกนนำกลุ่มพันธมิตรก็เสนอข้อเรียกร้องให้ใช้มาตรา 7 ในรัฐธรรมนูญ เพื่อกราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานรัฐบาลชุดใหม่มาแทนรัฐบาลในขณะนั้น แต่เมื่อข้อเรียกร้องนี้ไม่บรรลุ ก็ได้มีการเคลื่อนไหวเพื่อให้กองทัพก่อการรัฐประหาร ทำให้พลังฝ่ายก้าวหน้าบางส่วนเริ่มถอนตัว จากการร่วมสนับสนุนกลุ่มพันธมิตร

    แต่ กระนั้นการเคลื่อนไหวสร้างกระแสผลักดันของกลุ่มพันธมิตรก็เปิดทางให้กลุ่ม นายทหารที่นำโดย พลเอก สนธิ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ก่อการรัฐประหารทำลายระบอบประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 และในวันที่ 20กันยายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชโองการแต่งตั้ง พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน เป็นหัวหน้าการปฏิรูปการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างเป็นทางการ

    หลังจากนั้นบ้านเมืองไทยก็ เข้าสู่ยุคเผด็จการ คณะทหารที่ยึดอำนาจได้มีการประกาศกฎอัยการศึก ล้มล้างรัฐธรรมนูนฉบับประชาธิปไตย โดยได้ออกประกาศ คณะปฏิรูป ให้รัฐธรรมนูนฉบับ พ.ศ.2540 สิ้นสุดลง ให้วุฒิสภา สภาผู้แทน คณะรัฐมนตรี และศาลรัฐธรรมนูนสิ้นสุดลง ให้ปลัดกระทรวงรักษาการแทนรัฐมนตรี จากนั้นคณะปฏิรูปได้ใช้เวลาบริหารประเทศ 10 วันจึงประกาศใช้ธรรมนูนฉบับชั่วคราวมาปกครองราชย์อาณาจักร ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูนที่มี 39 มาตรา ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 และได้ตั้งให้ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรีเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ต่อมาคณะรัฐประหารได้ก่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขึ้นใช้

    การก่อการรัฐประหารสถาปนารัฐเผด็จการ ได้นำมาซึ่งการต่อต้านจากฝ่ายประชาชนโดยทันที มีการตั้งกลุ่มต่างๆ ที่เรียกว่า กลุ่ม 19 กันยา กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ สมาพันธ์ประชาธิปไตย กลุ่มพลเมืองภิวัตน์และกลุ่มอื่นๆ เพื่อต่อต้านรัฐประหาร ซึ่งในกลุ่มต้านรัฐประหารก็มีคนเดือนตุลาจำนวนหนึ่งเข้าร่วมด้วย ต่อมากลุ่มต้านรัฐประหาร 12 กลุ่มได้รวมตัวกันเป็นแนวร่วมต่อต้านรัฐประหาร เคลื่อนไหวชุมนุมต่อต้านเผด็จการที่ท้องสนามหลวงทุกวันหยุดสุดสัปดาห์

    ใน อีกด้านหนึ่ง ชนชั้นปกครองกลุ่มทุนเก่าก็ยังเดินหน้าทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม ดังจะเห็นได้จากการสนับสนุนให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญออกประกาศยุบพรรคไทยรัก ไทย และตัดสิทธิทางการเมืองของนักการเมืองที่เกี่ยวข้องอีก 111 คนย้อนหลังและลงโทษแบบเหมารวมซึ่งเป็นการละเมิดหลักนิติศาสตร์สากลของคณะ ตุลาการอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังให้สภาร่างรัฐธรรมนูนเดินหน้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับอำมาตยาธิปไตย ออกมาใช้ แล้วสร้างความชอบทำด้วยการให้ประชาชนลงมติรับรองในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2550 แม้รัฐบาลยังเป็นฝ่ายชนะ โดยเสียงประชาชนรับรองรัฐธรรมนูนฉบับนี้ด้วยเสียง 16 ล้านเสียง แต่การลงประชามติในหลายพื้นที่ของประเทศกว่า 35 จังหวัด ประชากรรวม 25 ล้านคน ยังอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก

    อนึ่งหลังการยุบพรรคไทยรักไทย กลุ่มพี-ทีวี และกลุ่มทางการเมืองต่างๆได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการ หรือ นปก. เมื่อปลายเดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2550 จากนั้น นปก. ก็ชุมนุมยืดเยื้อที่สนามหลวง ถึง 60 วัน ก่อนที่บุกไปล้อมบ้านของ พล อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประทางองคมนตรีผู้สนับสนุนการรัฐประหาร

    การ ดำเนินการเหล่านี้ กลุ่มอำมาตยาธิปไตยหวังว่าการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 พวกเขาจะประสบชัยชนะ สามารถคุมเสียงข้างมากในสภาได้ แต่ปรากฏว่า พรรคที่ได้เสียงข้างมากในสภา กลายเป็นพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรคสืบเนื่องมาจาก พรรคไทยรักไทย นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค จึงได้ตั้งรัฐบาลผสมขึ้นมาบริหารประเทศ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มทุนอำมาตยาธิปไตยอย่างมาก จึงได้หาทางทำลายรัฐบาลพลังประชาชนทุกวิถีทาง ตั้งแต่ฟื้นฟูกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาเคลื่อนไหวต่อต้าน รัฐบาล สนับสนุนสื่อกระแสหลัก นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการฝ่ายขวาและผู้ปฏิบัติงาน เอ็นจีโอ ฝ่ายขวา ให้ออกมาต่อต้านรัฐบาลพลังประชาชน สร้างกระแสบิดเบือนทำให้ประชาชนเกิดความสับสน และใช้กลไกศาลเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงทาการเมืองและดำเนินการให้บรรลุ เป้าหมายของตน

    โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่นำ โดย สนธิ ลิ้มทองกุล แห่งกลุ่มหนังสือพิมพ์ผู้จัดการนั่น ได้แปลสภาพองค์กรก่อกวนของมวลชนฝ่ายขวาที่ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ ชูคำขวัญเทิดทูนพระมหากษัตริย์ แล้วใส่ร้ายป้ายสีผู้มีความเห็นต่างด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้วใช้ วิธีการเคลื่อนไหวนำมวลชนแบบสุ่มเสี่ยง ติดอาวุธมวลชนแล้วนำไปปะทะกับตำรวจ ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย ที่สำคัญคือการนำมวลชนไปยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินนานาชาติ สร้างความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองเหลือคณานับ

    แม้ กระนั้น กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยังโค่นรัฐบาลพลังประชาชนไม่สำเร็จ ต้องให้ฝ่ายอำมาตยาธิปไตยสั่งการให้ใช้กระบวนการถอดถอนโดยอำนาจตุลาการ สมัคร สุนทรเวช จึงออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยข้อหารับจ้างทำกับข้าวออกโทรทัศน์ ซึ่งเป็นความผิดที่ไม่มีกฎหมายเอาผิดได้ คณะตุลาการจึงใช้พจนานุกรมมาเอาผิดแทน และต่อมาฝ่ายอำมาตยาธิปไตยก็ใช้อำนาจองค์กรอิสระและศาลยุบพรรคพลังประชาชน เพื่อให้รัฐบาลประชาธิปไตยของสมชาย วงศ์สวัสดิ์สิ้นสภาพ และอาศัยการย้ายพรรคของกลุ่มเนวินเป็นเงื่อนไข เปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์มาตั้งรัฐบาลแทน ทำให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2551

    3. ปัญหาอันนำมาสู่การแถลงการณ์

    ปัญหาสำคัญ ที่ทำให้ คุณธง แจ่มศรี ต้องออกแถลงการณ์ 1 ธันวาคม ครั้งนี้นั้น เนื่องมาจากว่า แม้ว่าทิศทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มอำมาตยาธิปไตย และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะมีลักษณะเป็นกระบวนการฝ่ายขวา เชิดชูศักดินาอย่างชัดเจน ก็ยังมีอดีตผู้ปฏิบัติงานจำนวนไม่น้อยเข้าร่วมขบวน และยังเสนอในลักษณะที่ว่า การร่วมขบวนกับกลุ่มพันธมิตรฯ นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นแนวทางของพรรคฯ

    คุณธงจึงต้องใช้ฐานะใน ทางส่วนตัวอธิบายให้เห็นว่า ภาวะขององค์กรนำของพรรคฯ ในปัจจุบันนั้น “เหลือแต่ชื่อ แต่ในทางความเป็นจริงไม่ได้ดำรงสภาพนี้อยู่อีกต่อไปแล้ว” และอธิบายต่อไปว่า “ดัง ที่ทราบกันดี นับแต่การประชุมคณะกรรมการบริหารกลางเต็มคณะสมัยที่ 2 ชุดที่ 4 ในปี พ.ศ.2526 เป็นต้นมา เนื่องด้วยเหตุปัจจัยทั้งภววิสัย และ อัตวิสัย โดยเฉพาะเหตุปัจจัยทางอัตวิสัย คณะกรรมการบริหารกลางชุดนี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองค์กรนำสูงสุดของ พรรคมาจนบัดนี้ เท่ากับได้สูญเสียบทบาทขององค์กรนำไปแล้วโดยสิ้นเชิง” ซึ่งเป็นการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า องค์กรนำของพรรคฯ ทุกระดับชั้นนั้น มิได้ดำรงอยู่แล้วในทางปฏิบัติ ที่ ยังอยู่นั้นคือพรรคฯ และสถานภาพสมาชิกพรรคฯ มิได้ยุบพรรคฯ และมิได้ยุบสมาชิกพรรคฯ ดังนั้น สมาชิกพรรคฯ ทุกคนจึงอยู่ในระดับเท่าเทียมกันทั้งหมดโดยไม่สามารถกล่าวอ้างระดับการนำ อย่างเดิมได้อีก ไม่ว่าคณะกรรมการ กรมการเมือง คณะกรรมการบริหารกลาง คณะกรรมการระดับจังหวัด ระดับอำเภอ ฯลฯ เหตุเพราะไม่ได้ทำงาน ประชุมร่วมกัน มีมติหรือการชี้นำใดๆ เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบการพรรคฯ มานานแล้ว เมื่อองค์การจัดตั้งชั้นบนสุดไม่ได้เคลื่อนไหวมานาน องค์การจัดตั้งในระดับรองๆ ลงมาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวมานานแล้วเช่นเดียวกัน ในที่สุดจึง “เท่ากับได้สูญเสียบทบาทขององค์การนำไปแล้วโดยสิ้นเชิง” ดังที่ได้แถลงไว้ข้างต้น ทั้งนี้ จนกว่าจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

    แต่กระนั้นคุณธงก็เสนอ ว่า ในสถานการณ์ความขัดแย้งเช่นนี้ ประชาชนควรมีท่าทีบางประการ ต่อสถานการณ์ ไม่ใช่งอมืองอเท้าไปเรื่อยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย แต่จะต้องกระทำภาระหน้าที่คือ “จะต้องยืนหยัดต่อสู้ คัดค้านการทำรัฐประหารทุกรูปแบบ คัดค้านการใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ” และ “สนับ สนุนการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยให้เข้มแข็ง สมบูรณ์ เพื่อนำไปสู่ประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริง”

    ข้อเสนอของ คุณธง แจ่มศรี จึงมุ่งจะชี้ให้เห็นว่า การที่อดีตกรรมการและผู้ปฏิบัติงานพรรคจำนวนหนึ่งแสดงการสนับสนุนกลุ่ม พันธมิตรฯ การรัฐประหาร และเชิดชูเสื้อเหลืองนั้น ไม่ใช่ท่าทีที่เป็นทางการของพรรคฯ และยังเป็นท่าทีที่คุณธง ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการทำลายหลักการของประชาธิปไตย และสนับสนุนอำนาจนอกระบบ เช่น กองทัพ และตุลาการ ซึ่งเป็นกลไกสองด้านของอำมาตยาธิปไตย และเป็นกลไกที่ไม่ผ่านการเลือกตั้ง ไม่เคยยึดโยงอำนาจประชาชน

    ดัง นั้น ในความขัดแย้งนี้ กลุ่มอำมาตยาธิปไตยเป็นด้านหลักที่ควบคุมกลไกรัฐไว้ได้ทั้งกองทัพ ศาล องค์กรอิสระ ฯลฯ พวกเขาสนับสนุนกลุ่มมวลชนเสื้อเหลืองให้ก่อการชุมนุมละเมิดกฎหมายบ้านเมือง สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะในทางการเมือง และเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือกลุ่มอำมาตยาธิปไตยนั้นมิได้มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย ไม่สนใจทั้งเนื้อหาและรูปแบบของประชาธิปไตย ไม่เคารพกติกาที่พวกเขาร่างเอง ไม่เคารพเสียงข้างมากจากการหย่อนบัตรเลือกตั้งของประชาชน พวกเขาสนับสนุนการรัฐประหาร ล้มล้างรัฐธรรมนูญ ส่งเสริมระบอบแต่งตั้งสรรหามาแทนที่การเลือกตั้ง และท้ายสุดคือการใช้อำนาจนอกระบบสนับสนุนให้พรรคการเมืองเสียงข้างน้อยเป็น แกนจัดตั้งรัฐบาลตามอำเภอใจ กลุ่มอำมาตยาธิปไตยที่มีอิทธิพลเหนือรัฐจึงเป็นศัตรูหลักของประชาชน เป็นพลังที่ไม่อาจสามัคคีได้ ไม่ว่าในเงื่อนไขใด

    ทิศทางของประวัติ ศาสตร์โลกได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระบอบศักดินาจะต้องล่มสลาย และถูกแทนที่ด้วยระบอบทุนนิยม พลังของกลุ่มอนุรักษ์นิยมชนะได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น พลังของฝ่ายประชาชนจึงไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปปกป้องหรือร่วมมือกับฝ่ายอำมา ตยาธิปไตย แต่ต้องกระทำภาระหน้าที่เฉพาะหน้าของเราให้ดี

    ดังที่คุณธง ได้เสนอไว้ คือ “รับรู้ต่อกฎภววิสัยแห่งการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของสังคม” และ “ยิ่ง เรียกร้องให้เราต้องพิจารณาถึงความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ ซึ่งก็คือต้องคำนึงถึงจุดอ่อนจุดแข็งของชนชั้นปกครอง และฝ่ายประชาชนเรา จากนี้ ไปกำหนดขั้นตอนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีจังหวะก้าว และสอดคล้องกับความเป็นจริงทางภววิสัย นี่คือทิศทางใหญ่ที่จะต้องเป็นไป”

    หมายเหตุ

    1.บทความชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในจุลสาร”ไฟลามทุ่ง” ฉบับที่ 1/2552 มกราคม-มีนาคม 2552

    2.อ่าน ถ้อยแถลงวันก่อตั้งพรรคครบรอบ 66 ปีของธง แจ่มศรี ได้ที่ ถ้อยแถลง ‘ธง แจ่มศรี’ เนื่องในโอกาสวันก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ฯไทยครบรอบ 66 ปี, ประชาไท, 1 ธ.ค. 51

    ที่มา ประชาไท
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×