ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมบทความการเมือง

    ลำดับตอนที่ #77 : องค์กรสิทธิฯเอเชียจี้UNลงดาบฟันเผด็จการซ่อนรูป-โจรก่อการร้ายพันธมิตร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 199
      0
      8 ม.ค. 53

    ที่มา ประชาไท
    2 มีนาคม 2552

    แถลงการณ์ศูนย์ข้อมูลกฎหมายเอเชีย
    แถลงการณ์ที่ ALRC-CWS-10-04-2009
    สภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
    การประชุมสมัยที่ 10


    ขอเรียกร้องให้ผู้มีหน้าที่ต่อไปนี้ให้ความเห็นพิเศษถึงสถานการณ์สิทธิมนุษย ชน ที่กำลังถดถอยภายในรัฐแห่งความมั่นคงภายในในประเทศไทย และขอกระตุ้นเตือนให้หน่วยงานเหล่านี้พยายามไปเยือนประเทศไทย และหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อที่จะสามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างเที่ยงตรงได้ด้วยตนเองในอนาคตอัน เร็ว มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการศึกษาและถกเถียงอย่างจริงจังถึงประเด็น สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยในหน่วยงาน และผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ และ ALRC ขอสนับสนุนให้ผู้มีหน้าที่ดังกล่าวให้ความสำคัญกับประเทศไทยไว้เป็นลำดับ ต้นๆในการทำงานของท่านในปีนี้




    หมายเหตุถ้อย แถลงเป็นลายลักษณ์อักษรโดยศูนย์ข้อมูลกฎหมายเอเชีย (Asian Legal Resource Centre-ALRC) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่มีสถานะได้รับการรับรองโดยสหประชาชาติ ได้เรียกร้องให้หน่วยงานของสหประชาชาติ(UN)ได้เข้ามาสอบสวนการละเมิดสิทธิ มนุษยชนในประเทศไทยในหลายกรณี รวมทั้งการรัฐประหาร19กันยา,รัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้งโดย ตุลาการ,การกระทำของพันธมิตร และการใช้กฎหมายหมิ่นฯกับผู้เรียกร้องประชาธิปไตย และฟื้นฟูสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในประเทศไทย


    1. หลังจากที่มีการรัฐประหารโดยทหารในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน 2549 ศูนย์ข้อมูลกฎหมายเอเชีย(Asian Legal Resource Centre-ALRC) ได้เตือนถึงการกลับมาของแรงต้านสิทธิมนุษยชนที่ทรงพลังอีกครั้ง โดยเฉพาะภายในกองทัพและเครือข่ายพันธมิตรของกองทัพในแวดวงการเมืองที่ อนุรักษ์นิยมอย่างรุนแรง เหตุการณ์ต่าง ๆ เมื่อปีที่แล้วได้เป็นหลักฐานยืนยันว่าแรงต้านเหล่านี้กำลังหยั่งรากมั่นคง อีกครั้งในทุกส่วนของรัฐบาลไทย และกำลังอยู่ในกระบวนการรื้อรัฐประชาธิปไตยเสรีที่กำลังตั้งไข่ ที่เริ่มก่อร่างมาตั้งแต่ในช่วงทศวรรษที่ 2530 โดยนำเอารัฐที่มุ่งความมั่นคงภายในประเทศแบบที่เป็นในช่วงทศวรรษก่อนๆหน้า นั้นเข้ามาแทนที่

    2. ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการเสื่อมถอยลงในเรื่องการเคารพสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และผลประโยชน์สาธารณะ ในประเทศไทย มีให้เห็นดังต่อไปนี้:

    ก. การโค่นล่มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยพลังต้านระบอบประชาธิปไตยครั้งแล้วครั้งเล่า: ในปี 2551 รัฐบาลที่รับอำนาจมาจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อช่วงสิ้นปี 2550 ต้องออกจากตำแหน่งถึงสองครั้งด้วยการทำรัฐประหารโดยฝ่ายตุลาการตามบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และมีทหารอยู่เบื้องหลัง ซึ่งผ่านการทำประชามติที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่แสร้งสร้างขึ้นมา ทั้งสองรัฐบาลที่ถูกทำให้ต้องออกไปนั้นไม่เป็นมิตรกับสิทธิมนุษยชน ที่จริงแล้ว นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลแรกถึงกับปฏิเสธว่าไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่าง รุนแรงเมื่อปี 2519 และในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทว่า การทำให้รัฐบาลนี้และรัฐบาลต่อมาต้องออกไปด้วยบทบัญญัติอันแปลกประหลาดของ รัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ได้นำประเทศไทยกลับไปสู่ระบอบรัฐสภาที่มีสมาชิกส่วน หนึ่งมาจากการแต่งตั้ง เป็นสิ่งที่ช่างสอดคล้องกับการมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นโดยตุลาการระดับ สูงที่มีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนที่ประกอบไปด้วยผู้ได้รับการแต่งตั้งทาง การเมือง ไม่ใช่ผู้พิพากษาที่มีใจยุติธรรม การโค่นล้มรัฐบาลทั้งสองนี้เป็นหลักฐานว่าการเมืองเรื่องการเลือกตั้งใน ประเทศไทยได้ถูกปัดตกไป และตุลาการระดับสูงได้ถูกทำให้เป็นเครื่องมือของพลังการเมืองอนุรักษ์นิยม และไม่ได้เป็นอิสระแต่อย่างใด

    ข. ไม่มีการสืบสวนหรือดำเนินคดีการกระทำความผิดทางอาญาในสาธารณะขนานใหญ่: การโค่นล้มรัฐบาลที่สองนั้นเกิดขึ้นโดยการเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลซึ่งมีสำนัก งานของนายกรัฐมนตรีอยู่ด้วยเป็นเวลานานถึงสามเดือน และในภายหลังก็มีการยึดสนามบินนานาชาติทั้งสองแห่งของกรุงเทพฯเป็นเวลา นานกว่าหนึ่งสัปดาห์ การกระทำที่ผิดกฎหมายเหล่านี้เป็นที่ชัดเจนว่าถูกจัดตั้งโดยความร่วมมือกับ กองทัพบางส่วน โดยมีปฏิบัติการที่คล้ายคลึงกับปฏิบัติการทางทหารบางอย่าง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งเป็นผู้นำปฏิบัติการนั้นมีกองกำลังของตัวเองทำหน้าที่เสมือนตำรวจ สมาชิกของกองกำลังนั้นพกพาอาวุธและใช้อาวุธทั้งอย่างเปิดเผยและอย่างลับๆ ทั้งปืน ระเบิด มีด และอุปกรณ์ที่ไม่มีคมต่าง ๆ กองกำลังนั้นยังทำร้ายและกักกันคนอย่างผิดกฎหมายจำนวนมาก และยังเป็นที่เชื่อกันว่าเป็นผู้รับผิดชอบการฆาตกรรมอย่างน้อยหนึ่งราย นอกจากนี้สมาชิกของพธม.ยังมีการกระทำผิดต่อทรัพย์สินทั้งของรัฐและเอกชนอีก ด้วย แต่แม้กระนั้น ก็ไม่มีรายงานถึงความก้าวหน้าในการดำเนินคดีทางอาญากับกลุ่มนี้ โดยเฉพาะกับผู้นำ และฝ่ายบริหารที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ ไม่ได้ดำเนินมาตรการใด ๆ เพื่อไปสู้เป้าหมายนี้เลย มีรายงานว่านายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า การสืบสวนทางอาญาและการดำเนินคดีนั้นเป็นเรื่องของตำรวจกับศาล ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี เนื่องจากในฐานะที่เป็นผู้นำฝ่ายนิติบัญญัติ เขามีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่ที่จะสั่งให้มีการสืบสวนพิเศษ อันที่จริงแล้วเนื่องจากระดับความรุนแรงและผลสืบเนื่องของเหตุการณ์เหล่านี้ นี่เป็นหน้าที่ของนายกฯ เสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็ตั้งใจหลีกเลี่ยง เขายังสามารถสั่งให้มีการไต่สวนทางรัฐสภาหรือทางกระบวนการที่เป็นอิสระอื่น ๆ และยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะที่เป็นประธานกรรมการคดีพิเศษที่มีหน้าที่ดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้กระทรวงยุติธรรม เขาก็สามารถสั่งให้มีการสืบสวนทางอาญาเป็นกรณีพิเศษเมื่อไรก็ได้ผ่านทางดี เอสไอ ทว่า เนื่องจากเขาได้เข้าสู่อำนาจด้วยเหตุการณ์เหล่านี้ และเนื่องจากนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ของประเทศไทย เป็นผู้สนับสนุนการยึดสถานที่อย่างเปิดเผยและสนับสนุนเป็นนัยๆ ต่อการละเมิดทางอาญาที่มาพร้อมกับการยึดสถานที่ ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้บริหารในชุดปัจจุบันจะหาทางจัดการกับปัญหาเรื่อง การไร้ขื่อแปในประเทศไทยในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง

    ค. การเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ตและการล่าแม่มดด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ: ในขณะที่ดีเอสไอไม่ได้ถูกเรียกมาให้สืบสวนหาผู้กระทำผิดในกรณีความรุนแรงและ การทำลายข้าวของในระหว่างการยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบิน ดีเอสไอกลับถูกสั่งให้ไปดำเนินคดีที่เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลไทยให้ความสนใจ มากกว่า นั่นคือเรื่องการแสดงความเห็นทั่วไปเกี่ยวกับราชวงศ์ เมื่อเดือนมกราคม 2552 ดีเอสไอซึ่งที่จริงมีหน้าที่เพียงทำคดี “พิเศษ” เรื่องความมั่นคงแห่งชาติหรือเรื่องที่ซับซ้อนเป็นพิเศษ ได้จับกุมชายคนหนึ่งที่เพียงแค่โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในการแช ททางอินเทอร์เน็ต ในเดือนเดียวกันนั้น ชายชาวออสเตรเลียคนหนึ่งถูกตัดสินว่ากระทำความผิดและถูกจับคุกเนื่องจากข้อ ความคลุมเครือเพียงไม่กี่บรรทัดในหนังสือที่เขาเขียนเมื่อหลายปีมาแล้ว ในเดือนกุมภาพันธ์ นักวิชาการคนหนึ่งหนีไปต่างประเทศด้วยข้อกล่าวหาเดียวกัน โดยเขาได้กล่าวไว้อย่างถูกต้องทีเดียวว่าเขาจะไม่ได้รับการพิจารณาคดีอย่าง เป็นธรรมในประเทศไทย กรณีเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงจำนวนข้อร้องเรียนถึงการหมิ่นพระบรมฯ ที่มีมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนทั่วไปสามารถเป็นผู้แจ้งความได้ เว็บไซต์ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่เมื่อไม่นานนี้บนเซิร์ฟเวอร์ของรัฐสภาเชิญ ชวนให้ประชาชน “Protect the King (ปกป้องพระมหากษัตริย์)” โดยการรายงานถึงใครก็ตามที่ตนคิดว่าได้กระทำการละเมิดโดยการหมิ่นพระบรมเด ชานุภาพ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณก้อนใหญ่ให้แก่หน่วยงานใหม่ที่ทำหน้าที่บล็อกเว็บเพ จที่ถูกมองว่าละเมิดสถาบันกษัตริย์ หรืออะไรก็ตามที่เป็นภัยต่อความมั่นคงภายในของรัฐ และเพียงในปี 2552 ปีเดียว ก็มีรายงานว่าเว็บเพจหลายพันเว็บถูกบล็อกไป

    ง. การคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชน: บรรยากาศของความกลัวที่กำลังถูกส่งเสริมไปทั่วโลกของสื่อมวลชนและโลกอิน เทอร์เน็ตผ่านทางการเซ็นเซอร์ การฟ้องหมิ่นพระบรมฯ และการฟ้องหมิ่นประมาททางอาญา ก็ก่อตัวขึ้นในโลกสิทธิมนุษยชนด้วยเช่นกันผ่านทางการถูกบังคับให้สูญหายที่ ไม่สามารถคลี่คลายได้ และการคุกคามทางกายและทางวาจาต่อนักปกป้องสิทธิในประเทศ การคุกคามเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งคราว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรัฐแห่งความมั่นคงภายในอย่างเป็นระบบ ตัวอย่างเช่น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ซึ่งขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ได้ออกรายงานที่อ้างว่ากลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ได้ใช้กลุ่มสิทธิมนุษยชน เป็นฉากบังหน้าเพื่อสร้างความไม่ไว้วางใจและความเกลียดชังในกลุ่มคนท้องถิ่น สองวันหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้บุกค้นสำนักงานของคณะกรรมการยุติธรรมเพื่อ สันติภาพ ซึ่งเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนในท้องถิ่นที่ได้เคยทำเสนอข้อมูลและข้อค้นพบต่อ สภาสิทธิมนุษยชนมาแล้ว และได้ใช้เวลาหลายชั่วโมงตรวจสอบบันทึกข้อมูลคอมพิวเตอร์และเอกสาร และสอบสวนอาสาสมัครที่อยู่ในสำนักงาน การคุกคามอย่างไร้ยางอายนี้เป็นเรื่องเล็กหากเทียบกับการโจมตีนักปกป้อง สิทธิมนุษยชนอื่น ๆ อีกมากมายในประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่จากการที่ กอ.รมน.ได้เชื้อเชิญให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงพุ่งเป้าไปที่กลุ่มสิทธิ มนุษยชน และในบริบทของภาคใต้ของประเทศไทยที่มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจปฏิบัติ หน้าที่อย่างไม่ต้องมีความรับผิดมาหลายปี นี่เป็นเรื่องที่ควรจะต้องให้ความใส่ใจกันอย่างจริงจัง


    จ. การผลักดันกลับ การฆาตกรรม และการปลอดพ้นผิดในทะเลหลวง: ระดับความมุ่งมั่นของรัฐแห่งความมั่นคงภายในในการที่จะดูแลให้ไม่มีเจ้า หน้าที่ของตนต้องรับผิดกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นเห็นได้ชัดเจนเมื่อ เดือนมกราคม 2552 เมื่อกองทัพเรือไทยได้บังคับให้คนนับร้อยๆ ที่นั่งเรือ ข้ามอ่าว เบงกอลผ่านเข้ามาหรือเข้าใกล้น่านน้ำไทยกลับไปในทะเล มีรายงานว่าพวกเขาทำลายเครื่องยนต์เรือ โยนอาหารบนเรือทิ้ง และในบางกรณีก็จับคนทิ้งลงน้ำทั้งที่แขนขาถูกมัดอยู่ คนที่ถูกนำมาขึ้นฝั่งประเทศไทยก็ถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตานักท่องเที่ยว และโดยการเกี่ยวข้องของกอ.รมน.เช่นเคย การปฏิเสธและการบิดเบือนคำพูดของเจ้าหน้าที่ทหารและผู้นำนักการเมือง รวมถึงตัวนายกรัฐมนตรีเอง นั้นเป็นทั้งเรื่องที่ไม่สมจริงและจ้วงจาบเมื่อเทียบกับเรื่องราวที่ผู้รอด ชีวิตได้เล่าแก่เจ้าหน้าที่และนักข่าวในอินเดียและในอินโดนีเซียเหมือนๆกัน ทว่า นี่ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐไทยปฏิเสธเช่นนี้มาหลาย ปี และได้บังคับผู้คนที่หนีจากภัยสงครามและความยากจนในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในพม่า กลับไปประเทศของตนมาหลายปีแล้ว


    3. กรณีที่ยกมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างไม่กี่กรณีจากปีที่แล้วที่เกี่ยวกับการ เสื่อมถอยของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและการเคารพหลักนิติรัฐในประเทศหลังจาก การก้าวสู้อำนาจของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ที่เห็นได้ชัดคือโดยเฉพาะหลังจากการทำรัฐประหารโดยทหารเมื่อปี 2549 ภายใต้เรื่องราวเหล่านี้ ยังมีกรณีการละเมิดอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนในประเทศที่ ALRC ได้เคยนำเสนอข้อมูลแก่สภาสิทธิมนุษยชนมาก่อนหน้านี้แล้ว รวมทั้งถึงการทรมานในระหว่างการกักขัง การวิสามัญฆาตกรรม และการบังคับให้บุคคลสูญหาย

    4. เนื่องจากประเทศไทยทุกวันนี้ปวกเปียกอยู่ภายใต้รัฐบาลที่ไม่ได้ก้าวสู่อำนาจ ด้วยกระบวนการเลือกตั้ง แต่ด้วยกลไกของการปลุกฟื้นรัฐแห่งความมั่นคงภายในอีกครั้ง อันเป็นรัฐที่ไม่มีการเคารพคุณค่าใดๆ ที่สภาฯปกป้องอยู่ ALRC ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักในด้านการพัฒนาสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยใน อนาคตอันใกล้นี้

    5. ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หน้าที่ความรับผิดชอบสำคัญตกอยู่ที่ชุมชนระหว่างประเทศ ที่จะต้องออกมาส่งเสียงอย่างแข็งกร้าวและอย่างตรงไปตรงมาเรื่องประเด็นสิทธิ มนุษยชนในประเทศไทย เพื่อที่รัฐบาลจะได้ตระหนักถึงการรับรู้ในเชิงลบของโลกภายนอกเกี่ยวกับ เรื่องราวในประเทศตนเอง และเพื่อที่รัฐบาลจะได้รับการส่งเสริมให้ย้อนคืนภาวะถดถอยนี้โดยเร็วที่สุด ALRC จึงขอเรียกร้องให้สภาฯ บอกกล่าวแก่ประเทศไทยอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยไม่ได้ถูกมองว่ามีสถานะทางสิทธิมนุษยชนที่ดีอีกต่อไปแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ความเข้าใจเช่นนี้ในชุมชนระหว่างประเทศจะถูกแสดงออกอย่าง ชัดเจน มิเช่นนั้นรัฐบาลก็จะยังคงเดินทางไปต่างประเทศหรือดำเนินโครงการต่างๆเพียง เพื่อสร้างภาพของประเทศมากกว่าที่จะจัดการกับอุปสรรค์สำคัญของสิทธิมนุษยชน และหลักนิติรัฐที่ตนดูแลอยู่

    6. ALRC จึงขอเรียกร้องให้ผู้มีหน้าที่ต่อไปนี้ให้ความเห็นพิเศษถึงสถานการณ์สิทธิ มนุษยชนที่กำลังถดถอยภายในรัฐแห่งความมั่นคงภายในในประเทศไทย และขอกระตุ้นเตือนให้หน่วยงานเหล่านี้พยายามไปเยือนประเทศไทย และหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อที่จะสามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างเที่ยงตรงได้ด้วยตนเองในอนาคตอัน เร็ว:

    ก. ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยการฆาตกรรมที่อยู่เหนือกฎหมายและการฆ่าโดยพลการ (The Special Rappporteur on extrajudicial, summary or arbitrary executions) ผู้ซึ่งได้ยื่นคำร้องขอมาเยือนประเทศไทยตั้งแต่ปี 2547 และเป็นผู้ที่สภาฯ ควรจะช่วยถามรัฐบาลไทยให้ว่าเหตุใดการขอเยือนประเทศจึงไม่ได้รับการตอบรับ ข้ออ้างที่ว่าประเทศสามารถรับรองการเยือนของผู้เชี่ยวชาญพิเศษได้เพียงปีละ คนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรยอมรับ

    ข. ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน

    ค. ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยความเป็นอิสระของผู้พิพากษาและทนายความ

    ง. ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของคนข้ามชาติ

    จ. ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยการทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

    ฉ. ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิในเสรีภาพในการแสดงออก

    ช. คณะทำงานว่าด้วยการบังคับให้บุคคลสูญหาย

    ซ. คณะทำงานว่าด้วยการกักขังโดยพลการ


    7. มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการศึกษาและถกเถียงอย่างจริงจังถึงประเด็น สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยในหน่วยงาน และผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ และ ALRC ขอสนับสนุนให้ผู้มีหน้าที่ดังกล่าวให้ความสำคัญกับประเทศไทยไว้เป็นลำดับ ต้นๆในการทำงานของท่านในปีนี้

    ในขณะที่เมื่อไม่นานมานี้ประเทศไทย ได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอย่างของรัฐบาลและสิทธิมนุษยชนที่พัฒนาขึ้นใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ตอนนี้ประเทศนี้ได้กลายเป็นตัวอย่างของทุกอย่างที่ผิดพลาดไปเสียแล้ว โชคไม่ดีที่นัยยะของความเสื่อมถอยเช่นนี้ไม่ได้อยู่กับประเทศไทยประเทศเดียว แต่กับทั้งภูมิภาค เนื่องจากหากสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยไม่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ ความหวังในประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าและกัมพูชาก็จะยิ่งดับลง ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงควรได้รับความสนใจเป็นพิเศษอย่างยิ่ง

    ..................................

    ศูนย์ข้อมูลกฎหมายเอเชีย หรือ ALRC เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศระดับภูมิภาคที่เป็นอิสระ ที่มีสถานะที่ได้รับการรับรองโดยสภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ ALRC เป็นองค์กรร่วมของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่ฮ่องกง โดยทำงานเพื่อแสวงหาหนทางในการเสริมสร้างและส่งเสริมปฏิบัติการในประเด็นทาง กฎหมายและสิทธิมนุษยชนในระดับท้องถิ่นและระดับชาติทั่วเอเชีย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×