ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมบทความการเมือง

    ลำดับตอนที่ #174 : จากไทยรักไทยและพลังประชาชนกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทย ความพยายามที่ล้มเหลวของกลุ่มราชาชาตินิยม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 259
      1
      6 พ.ย. 55

    นับย้อนไปตั้งแต่สมัยอดีตนั้น กลุ่มอิทธิพลฝ่ายอนุรักษ์นิยมคลั่งเจ้าฝ่ายขวาหลังสามารถกำจัดอิทธิพลของคณะราษฎรที่เป็นแกนนำที่พยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยในแบบฉบับของตัวเองตั้งแต่ปี2490-2500มาได้ กลุ่มนี้ก็ได้สร้างอิทธิพลทั้งทางทหาร,สื่อและทุน โดยใช้ความคิดแนวราชาชาตินิยมล้าหลัง ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อข้างเดียวอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูจนประสบความสำเร็จ ทำให้ประเทศไทยได้รับฉายาจากนักปราชญ์ทางการเมืองว่า ถิ่นกาขาว,ตอแหลแลนด์
    โดยยุทธศาสตร์สำคัญที่บรรดากลุ่มอิทธิพลกลุ่มนี้มักจะใช้กันก็คือ การแบ่งแยกกลุ่มการเมืองฝ่ายเลือกตั้งให้เป็นฝักเป็นฝ่ายแล้วปกครองชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้กลุ่มการเมืองฝ่ายเลือกตั้งเป็นผู้สร้างอิทธิพลและผลประโยชน์ให้กับฝ่ายของตน จนกระทั่งเมื่อกลุ่มการเมืองฝ่ายเลือกตั้งหมดสิ้นทั้งทุน,อิทธิพลและความเชื่อถือก็จะสลับสับย้ายไปชักใยกลุ่มการเมืองฝ่ายเลือกตั้งกลุ่มใหม่ที่เข้ามาเรืองอำนาจแทน และเมื่อฝ่ายเลือกตั้งกระทำทุจริตคอรับชั่นหนักข้อมากขึ้น ฝ่ายอนุรักษ์นิยมภายใต้การนำของทหารก็จะถือโอกาสเข้ามาทำรัฐประหารยึดอำนาจทำให้ประเทศล้าหลังอยู่เรื่อยมาเป็นวงจรอุบาทว์ซ้ำซาก

    จนกระทั่งเมื่อมหาเศรษฐีนักบริหารธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จระดับชั้นนำของประเทศอย่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมืองโดยการก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในวันเดียวกันกับวันที่ชาวฝรั่งเศสร่วมมือกันทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลศักดินากษัตริย์ของชาติตน หลังจากที่เขาได้เรียนรู้การทำงานทางการเมืองผ่านทางพรรคพลังธรรมซึ่งประสบปัญหาในด้านความคิดในเชิงนโยบายของบรรดากรรมการบริหารพรรคที่มีความคิดแบบศีลธรรมเก่าๆที่จับต้องไม่ได้
    โดยตัวเขาได้วางนโยบายวางแผนการทำงาน สำรวจความต้องการของราษฎร โดยประยุกต์เข้ากับหลักเศรษฐกิจการตลาดขายสินค้าซึ่งเขานั้นก็มีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้เป็นทุนอยุ่แล้ว ซึ่งในที่นี้ก็คือนโยบายการทำงานที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้นั้นเอง พร้อมกับเชิญชวนบรรดาสส.เก่าแก่ฐานเสียงในท้องถิ่นแน่นๆหลายคน(ที่มักจะย้ายพรรคไปมาราวกับโสเภณี เนื่องจากผิดหวังกับพรรคการเมืองที่ไม่สามารถทำตามสัญญานโยบายที่หาเสียงเอาไว้ของหลายๆพรรคการเมือง หรืออาจจะตกลงผลประโยชน์เรื่องนโยบายและทุนสนับสนุนไม่ลงตัวเป็นประจำเนื่องจากความไม่เอาไหนของตัวกรรมการบริหารพรรคที่ผ่านมานั้นเอง ) อาจจะด้วยทุนสนับสนุนที่มากล้นอยู่แล้วของเขาเองผสมกับนโยบายที่มีความเป็นไปได้มาล่อตาล่อใจให้เข้ามาร่วมงานกับพรรคของเขาอย่างมากมายพร้อมๆกับให้โอกาสผู้มีความรู้ความสามารถหน้าใหม่ๆในการเข้ามาร่วมงานกับพรรค จนสามารถเอาชนะการเลือกตั้งเมื่อปี2544 สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่โดยกวาดจำนวนสส.ไปได้เกือบครึ่งสภาซึ่งไม่เคยมีใครเคยทำได้มาก่อน และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

    ตลอดการบริหารงานของรัฐบาลของพรรคไทยรักไทยช่วงปี2544-2548 นโยบายที่เคยหาเสียงได้รับการตอบสนองคืนกลับสู่ประชาชนไปอย่างดี นโยบายที่หาเสียงไปประสบความสำเร็จซะส่วนใหญ่ ส่งผลให้บรรดานักการเมืองอิทธิพลเขี้ยวลากดินกระหายผลประโยชน์จากพรรคอื่นอีกหลายคน ก็ยังอยากที่จะมาร่วมงานกับพรรคไทยรักไทย ดังนั้นการเลือกตั้งเมื่อปี2548จึงสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ทำลายสถิติเดิมอีกครั้ง โดยพรรคไทยรักไทยสามารถกวาดที่นั่งสส.ได้มากถึง377คน และสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เป็นผลสำเร็จ ระบบพรรคการเมืองเริ่มเข้มแข็งมากขึ้นโดยเหลือเพียง2พรรคใหญ่จริงในสภาเท่านั้นแตกต่างจากเมื่อครั้งอดีต
    เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเป็นแบบนี้จึงส่งผลให้การบริหารบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการสามารถกระทำได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องผ่านการสอบถามขอคำแนะนำจากบรรดากลุ่มอิทธิพลอนุรักษ์นิยมเก่าๆล้าหลังที่มาจากลากตั้งโดยระบอบอุปถัมป์อีกต่อไปเหมือนเมื่อครั้งที่ผ่านมา เพราะใช้วิธีคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานแบบการบริหารบริษัทโดยดูจากผลงานที่ทำๆมา ไม่ใช่โดยความใกล้ชิดสนิทสนมหรือเป็นคนดีในสายตาของกลุ่มอนุรักษ์นิยมเก่าๆอย่างที่เป็นมา ทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อหาทางกำจัดผู้นำของพรรคอย่างทักษิณให้พ้นไปจากสนามการเมืองให้จงได้
    โดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่มสื่อเครือผู้จัดการที่ใกล้จะล้มละลาย และผิดหวังจากการที่ทักษิณไม่มาช่วยเหลือให้ธุรกิจสื่อของตนอยู่รอดเนื่องจากเป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของรัฐบาลในตอนนั้น ช่วยปลุกกระแสคลั่งเจ้าชาตินิยมขึ้นมาและโจมตีรัฐบาลด้วยข้อมูลที่จริงบ้างเท็จบ้าง เพราะรัฐบาลไทยรักไทยก็ใช่ว่าสะอาดบริสุทธิ์ไปซะทุกเรื่องเป็นปกติอยู่แล้ว พร้อมๆกับลากทฤษฎีสมคบคิดสารพัดเรื่องมาโยงกันให้มั่วไปหมดเพื่อใช้สนับสนุนในการโจมตี

    การเมืองจึงเริ่มวุ่นวายตั้งแต่นั้นมาอีกครั้งหลังจากที่เงียบสงบมาตั้งแต่สมัยพฤษภาทมิฬไปแล้ว จนกระทั่งทักษิณประกาศยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ฝ่ายของพรรคการเมืองคู่แข่งก็ตัดสินใจเล่มเกมทางการเมืองร่วมกันโดยการคว่ำบาตรไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งด้วย แต่คะแนนของพรรคไทยรักไทยกลับไม่ตกลงไปจากเดิมมากนัก มีเพียงแค่ภาคใต้ซึ่งเป็นฐานเสียงเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีกลุ่มอนุรักษ์นิยมเก่าๆให้การสนับสนุนอยู่ ที่ไม่สามารถทำคะแนนให้เกินกว่า20%ของผู้มาลงคะแนนเสียงได้ตามเกณฑ์ถ้ามีผู้สมัครจากเพียงพรรคการเมืองเดียว แต่ผู้นำพรรคไทยรักไทยอย่างทักษิณก็ยังต้องประกาศเว้นวรรคทางการเมือง
    จนกระทั่งศาลปกครองสั่งล้มการเลือกตั้งด้วยข้อหาที่กกต.จัดให้การลงคะแนนไม่เป็นความลับ เพราะหันคูหาออกข้างนอกตามแบบที่โลกสากลเขาก็ทำๆกันจนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว กกต.ชุดนั้นถูกลงโทษชนิดไม่ได้ผุดได้เกิด
    จากนั้นก็เริ่มมีการตั้งกกต.ขึ้นมาใหม่ เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งอีกครั้ง และเนื่องจากช่วงปี2549นั้นเป็นวาระที่ในหลวงครองสิริราชสมบัติครบ60ปี ทักษิณซึ่งเดิมคิดว่าตัวเองจะต้องเว้นวรรคทางการเมืองอยู่แล้วต้องตัดสินใจกลืนน้ำลายกลับมาทำหน้าที่รักษาการนายกอีกครั้ง เพื่อรับหน้าที่ดำเนินการจัดพิธีเฉลิมฉลองให้อย่างสมเกียรติ ในขณะที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมก็ต้องกลับมาวางแผนโค่นอำนาจทักษิณอีกครั้ง คราวนี้ถึงขั้นยึดอำนาจทำรัฐประหารกันเลยก่อนที่การเลือกตั้งจะจัดขึ้น รัฐธรรมนูญถูกฉีกและขึ้นมาใหม่อีกครั้งโดยละเมิดหลักนิติธรรม ออกผลเป็นโทษย้อนหลังไปก่อนรัฐประหารได้ และเปิดเผยให้เห็นสันดานความเป็นสลิ่มดัดจริตชน ใช้สารพัดตรรกะวิบัติอิงแอบเป็นที่ตั้ง ยอมรับการรัฐประหารของบรรดาผู้อาวุโสที่อวดอ้างคุณธรรมจริยธรรม นักวิชาการที่เชื่อว่าทรงความรู้ความสามารถ และที่สำคัญที่สุดก็คือความเห็นแก่ตัวของคนในกรุงเทพฯที่ไม่ยอมรับความคิดของคนรากหญ้าชนบทอย่างแท้จริง เสียสิ้น

    ส่วนบรรดานักการเมืองอิทธิพลเขี้ยวลากดินกระหายอำนาจและผลประโยชน์หลายคนก็เริ่มแสดงสันดานที่แท้จริงของตนให้เห็นกันออกมาโดยการลาออกจากพรรคไทยรักไทยกันมากมายหลายคน ก่อนที่กรรมการบริหารพรรคทั้งหมด111คนจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง5ปี ด้วยข้อหาที่มีกรรมการบริหารพรรคคนหนึ่งจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครเลือกตั้งเพื่อหนีเกณฑ์20%ของผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนนในภาคใต้ (แต่ในภายหลังพยานคนดังกล่าวก็มาสารภาพความจริงว่าโดนสุเทพ เทือกสุบรรณ นักการเมืองผู้มีอิทธิพลใหญ่แห่งสุราษฎร์จ้างให้มาสร้างหลักฐานเท็จในกล้องวงจรปิดตามที่วางแผนกันไว้)
    หลังยึดอำนาจและยุบพรรคเสร็จสิ้น ก็มีการเขียนรัฐธรรมนูญย้อนเนื้อหากลับไปสมัยเก่าๆก่อนปี2540 เพื่อหวังฟื้นคืนอำนาจอิทธิพลของกลุ่มอนุรักษ์นิยมล้าหลังอีกครั้ง ผ่านทางการลากตั้งวุฒิสภาเสียครึ่งหนึ่ง และยังบั่นทอนความเข้มแข็งของพรรคการเมืองโดยโยงหลักทฤษฎีสมคบคิดหมู่ของเหล่ากรรมการบริหารพรรค ผิดแค่คนเดียวก็ให้ยุบทั้งพรรคทิ้งและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารยกทั้งชุด ซึ่งถือว่าผิดหลักความเป็นประชาธิปไตยของโลกสากลอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม
    จากนั้นก็มีการขอร้องแกมบังคับให้ลงประชามติยอมรับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อหวังสร้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญเดิมของตน และเพื่อใช้เป็นเครื่องล่อใจให้มีการจัดการเลือกตั้งให้เร็วขึ้น ซึ่งผลที่ออกมาคะแนนลงประชามติยอมรับร่างได้รับชัยชนะไปอย่างฉิวเฉียดท่ามกลางเสียงคัดค้านไม่รับร่างที่ชนะไปเกือบทุกจังหวัดในภาคเหนือและภาคอีสาน

    และแล้วการเลือกตั้งก็ถูกจัดขึ้น พรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรคร่างทรงเดิมของไทยรักไทยที่ถูกยุบไป ก็ยังคงได้รับชัยชนะกวาดสส.ไปเกือบครึ่งสภาไม่ได้ต่างอะไรกับพรรคไทยรักไทยเมื่อปี2544 แม้จะสามารถแยกสลายฐานเสียงอิทธิพลเดิมๆของกลุ่มเขี้ยวลากดินกระหายอำนาจและผลประโยชน์ครั้งใหญ่รอบแรกไปแล้วก็ตาม กลุ่มฐานเสียงอิทธิพลเดิมๆนี้ที่ได้แยกตัวไปตั้งพรรคใหม่ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ย่อยยับในเขตภาคเหนือและอีสาน แม้ว่าจะแบ่งฐานคะแนนระบบบัญชีรายชื่อหรือสัดส่วนมาได้บ้างก็ตาม
    แผนการเดิมๆถูกจัดขึ้นมาอีกครั้ง ม็อบราชาชาตินิยมถูกปลุกขึ้นมาอีก คราวนี้สร้างความเสียหายต่อชาติอย่างหนักหน่วงทั้งการยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน อีกทั้งกลุ่มอนุรักษ์นิยมก็ยังเคลื่อนไหวให้การสนับสนุนม็อบนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
    โดยม็อบนี้เหิมเกริมหนักถึงขนาดพยายามปิดสภาขัดขวางไม่ให้มีการแถลงนโยบายตามข้อบังคับในรัฐธรรมนูญ จนทำให้การมีการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต2ศพและบาดเจ็บไปหลายสิบคน แต่ก็เป็นที่น่ากังขาว่าระเบิดแก๊ซน้ำตาจะสามารถอัดใส่ร่างคนให้เละขนาดนั้นได้อย่างไร ทั้งที่ม็อบเองก็มีการพกพาระเบิดปิงปองที่มีอำนาจทำลายล้างสูงกว่าแก๊ซน้ำตาอยู่เช่นกัน
    โดยงานศพของผู้ชุมนุมม็อบราชาชาตินิยมคนหนึ่ง ได้รับการจัดงานและสนับสนุนอย่างสูงส่งจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมเกินกว่าเกียรติที่เจ้าตัวพึงจะได้รับ โดยเป็นแค่เพียงนักศึกษาอนาคตไกลที่เกิดจากครอบครัวที่พอจะมีฐานะอยู่ไม่ได้ยากจนอะไร
    ไปจนถึงการยุบพรรคเป็นรอบที่2อีกครั้งโดยคราวนี้พาเอาพรรคร่วมอีก2พรรคไปยุบและตัดสิทธิ์กรรมการบริหาร5ปีด้วยข้อหาแบบเดียวกัน
    กลุ่มอิทธิพลเขี้ยวลากดินที่ยังหลงเหลือตกค้างอยู่ ก็ได้เผยสันดานที่แท้จริงของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง โดยการทรยศคะแนนเสียงของประชาชนแยกตัวไปตั้งพรรคใหม่และยกมือสนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสมดังใจหมายของกลุ่มอนุรักษ์นิยมจนได้
    คราวนี้กลุ่มเสื้อแดงซึ่งเริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและมีมติคัดค้านรัฐธรรมเผด็จการ ซึ่งเริ่มก่อตัวมาตั้งแต่หลังยึดอำนาจและหายไปหลังจากลงประชามติไปแล้ว จนกระทั่งถูกปลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้งหลังจากที่ม็อบราชาชาตินิยมกลับมาเหิมเกริมอีก และคราวนี้ม็อบเสื้อแดงเริ่มเคลื่อนไหวลุกฮือกันมากขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อเรียกร้องให้ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนอีกครั้ง แม้จะถูกสลายไปรอบหนึ่งในช่วงสงกรานต์ปี2552 ก็กลับมาฟื้นคืนและลุกฮือขึ้นอย่างเข้มแข้งมากขึ้นกว่าเดิมได้อีกครั้งในเดือนมีนาคม2553 โดยคราวนี้กลุ่มอนุรักษ์นิยมใช้แผนการเดิมๆกับที่เคยใช้กับกลุ่มนักศึกษาเมื่อ6ตุลาคม2519 โดยกล่าวหาว่ามีกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธปะปนอยู่แทนการกล่าวหาในเรื่องของคอมมิวนิสต์ซึ่งหมดสมัยไปแล้ว บงการรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ให้สั่งกองทัพใช้พลซุ่มยิงสอยหัวของผู้ชุมนุมร่วงตายไปทีละคนตั้งแต่วันที่13-19 พฤษภาคม 2553 โดยวางแผนทำทีใส่ร้ายว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายชายชุดดำติดอาวุธ(ที่เคยเผยตัวให้เห็นและจัดการโต้ตอบกับทหารที่เข้ามาสลายการชุมนุมเมื่อวันที่10เมษายน2553 ทำให้ผู้ชุมนุมสังเวยชีวิตไป20กว่าศพ แผนสลายการชุมนุมในวันนั้นต้องล้มเหลวไป ) จนแกนนำต้องประกาศยุติการชุมนุมและเข้ามอบตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ บางคนก็ต้องหลบหนีหายไปอย่างเงียบๆ เพราะไม่แน่ใจในความปลอดภัยของตนและแสดงความไม่ยอมรับในอำนาจเผด็จการที่ซ่อนเร้นอยู่ตามแบบฉบับของแต่ละคน

    จนกระทั่งเมื่อคดีพิพาทที่ดินทับซ้อนไทยเขมรถูกม็อบราชาชาตินิยมปลุกขึ้นมาใช้หากินเป็นข้ออ้างอีกครั้ง โดยคราวนี้กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ว่าบริหารประเทศย่ำแย่ โกงกินยิ่งกว่าสมัยทักษิณมากมาย และเรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหารปิดประเทศฟื้นอำนาจเผด็จการราชาชาตินิยมให้กลับคืนมาอีกครั้ง แต่คราวนี้จำนวนม็อบปลุกไม่ขึ้นเหมือนแต่ก่อนซะแล้วเนื่องจากผู้ชุมนุมที่ผ่านมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์แทบทั้งสิ้น ท่ามกลางกระแสข่าวลือวิเคราะห์กันว่ากลุ่มอำมาตย์อนุรักษ์นิยมนั้นได้แตกแยกออกเป็น2กลุ่มไปแล้ว อันได้แก่ กลุ่มที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของตัวเองต่อไป และกลุ่มที่สนับสนุนให้ทำรัฐประหารปิดประเทศรื้อฟื้ออำนาจกษัตริย์นิยมกลับคืนมาอีกครั้ง ในที่สุดรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็ตัดสินใจยุบสภาให้แต่โดยดี พร้อมกับโยนทิ้งสารพัดปัญหาต่างๆเหมือนระเบิดเวลา เพื่อที่ตัวเองจะได้เอามาใช้เล่นงานโจมตีรัฐบาลใหม่กลับคืนถ้าเกิดพ่ายแพ้การเลือกตั้งและต้องตกเป็นฝ่ายค้านไป

    ในที่สุดการเลือกตั้งก็ผ่านพ้นไปพร้อมๆกับความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับของพรรคที่แยกตัวออกมาจากพรรคไทยรักไทยกับพลังประชาชนเดิม ภายใต้การนำของกลุ่มอิทธิพลเขี้ยวลากดินกระหายอำนาจและผลประโยชน์ และฐานเสียงของพรรคขนาดกลางเดิมที่ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆจนกลายเป็นพรรคขนาดเล็กไปแล้ว
    ระบบพรรคการเมืองก็ยังคงเป็นแบบ2พรรคใหญ่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นั้นก็คือพรรคร่างทรงของไทยรักไทยและพลังประชาชนเดิมภายใต้ชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่คราวนี้กวาดที่นั่งสส.เกินกว่าครึ่งในสภาและยังสามารถเจาะฐานเสียงอิทธิพลท้องถิ่นของพรรคขนาดเล็กมาได้เพิ่มขึ้นไปอีก ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังรักษาฐานที่นั่งสส.ไม่ให้ร่วงลงไปมากนักได้ก็ถือว่าเต็มกลืนแล้ว
    โดยจากข้อมูลฐานคะแนนบัญชีรายชื่อและสส.เขตของแต่ละพรรคการเมืองนั้นโดยการวิเคราะห์ของ อ.ประจักษ์ ก้องกีรติ มีอยู่เพียงแค่บางเขตในโซน3จังหวัดนี้เท่านั้นที่พรรคขนาดเล็กมีคะแนนในบัญชีรายชื่อชนะคะแนนของพรรคใหญ่ (แต่ก็เป็นชัยชนะที่เหนือกว่าของพรรคใหญ่ไม่ได้ห่างมากเลย) ดังนี้
    เขตเลือกตั้งที่1-3 ของจังหวัดสุพรรณบุรี ที่พรรคชาติไทยพัฒนาครองฐานเสียงไป
    เขตเลือกตั้งที่1-3 ของจังหวัดนครราชสีมา ที่พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินครองฐานเสียงไป
    และ บางเขตเลือกตั้ง ของจังหวัดบุรีรัมย์ ที่พรรคภูมิใจไทยครองฐานเสียงไป
    โดยพรรคเพื่อไทยมีคะแนนในบัญชีรายชื่อชนะขาดลอยพรรคประชาธิปัตย์ทั้งภาคเหนือตอนบนและอีสาน และชนะไม่ห่างในภาคเหนือตอนล่าง(ยกเว้นจังหวัดตาก,สุโขทัย,แม่ฮ่องสอน,พิษณุโลก,กำแพงเพชร ที่แพ้ไม่ห่างจากพรรคประชาธิปัตย์ ) , ภาคกลาง(ยกเว้นอุทัยธานี) และ อีสานใต้(เฉพาะนครราชสีมากับอุบลราชธานี ที่ชนะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ห่าง กับ บุรีรัมย์ ที่ชนะพรรคภูมิใจไทยไม่ห่าง)
    ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนในบัญชีรายชื่อชนะห่างขาดจากพรรคเพื่อไทยในภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงมา ยกเว้น3จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีคะแนนชนะสูสีกับพรรคอื่นหลายๆพรรครวมกัน โดยคะแนนยังชนะไม่ขาดในกรุงเทพฯ,เพชรบุรี,กาญจนบุรี,ราชบุรี,สมุทรสงคราม,สมุทรสาคร และจังหวัดตามชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก (ยกเว้นสมุทรปราการ) นอกนั้นก็แพ้ให้กับพรรคเพื่อไทยและพรรคเล็กอื่นๆแบบไม่ขาดทั้งหมดในภาคกลางและเหนือตอนล่าง

    และนอกจากนี้ยังมีการแจ้งเกิดพรรคเล็กทางเลือกใหม่สำหรับฐานเสียงของผู้ที่เบื่อหน่ายและไม่ค่อยอยากทำความเข้าใจในการเมืองอย่างถ่องแท้มากนักที่ชอบการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและพรรคการเมืองต่างๆอย่างถึงลูกถึงคน ที่มีฐานเสียงแทรกขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญในเกือบทุกจังหวัดทุกภาค จนมีคะแนนเสียงรวมกันเกือบ9แสนคะแนนนั้นก็คือ พรรครักประเทศไทย ภายใต้การนำของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่ากทม.ที่มีฐานเสียงในกทม.กว่าเกือบ3แสนคะแนนขึ้นไป2สมัยติดต่อกัน และผ่านประสบการณ์การเมืองแบบสั้นๆในฐานะสส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคชาติไทย ซึ่งในอนาคตถ้านายชูวิทย์มีผลงานการทำงานในสภาผ่านทางการตรวจสอบและตีแผ่การทุจริตของทุกฝ่ายทางการเมือง ก็อาจจะได้ฐานคะแนนของระบบบัญชีรายชื่อที่มากกว่านี้โดยแย่งฐานคะแนนจากคนที่เบื่อหน่ายในความเหลวแหลก,กระจอกงอกง่อย,เห็นแก่ได้ของพรรคเล็กอื่นๆ และ การเป็นฝ่ายค้านที่ล้าหลัง และไม่สร้างสรรค์ทางการเมืองเอาซะเลยมาตั้งแต่อดีตแล้วของพรรคประชาธิปัตย์ และอาจกลายเป็นพรรคทางเลือกเล็กๆอีกพรรคหนึ่งสำหรับคนที่ไม่มีเส้นแต่อยากจะลงสมัครสส.เขตแม้สักครั้งในอนาคตข้างหน้า

    แสดงให้เห็นว่าความพยายามของกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่คิดจะสลายฐานเสียงของพรรคใหญ่ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีทางที่จะสำเร็จลงไปได้เลย การเมืองได้แยกเป็นระบบ2พรรคใหญ่อย่างชัดเจนไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นแบบพรรคเล็กพรรคน้อยหลายพรรคเหมือนเมื่อครั้งอดีตอีกต่อไป กลุ่มอนุรักษ์นิยมมีแต่ต้องให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นหุ่นเชิดในการต่อกรกับพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ซึ่งนั้นก็กลายเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ไม่ว่าอย่างไรพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีทางชนะพรรคร่างทรงภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปได้เลย
    และถ้าคิดจะยุบพรรคเพื่อไทยเพื่อหวังจะแยกสลายกลุ่มอิทธิพลเขี้ยวลากดินให้ออกไปตั้งพรรคใหม่และสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดของกลุ่มอนุรักษ์นิยมอีก ก็ไม่สามารถทำได้อีกต่อไปเนื่องจากมะเร็งทางการเมืองในพรรคร่างทรงของทักษิณได้ถูกผ่าเอาออกไปจนเกือบหมดสิ้นแล้ว บทเรียนที่ผ่านมาก็สอนให้คนในพรรคเพื่อไทยได้ทราบกันดีอยู่แล้วว่าถ้าคิดออกจากพรรคไปยังไงก็แพ้การเลือกตั้งอย่างแน่นอน และกรรมการบริหารพรรคคนที่ลงสส.บัญชีรายชื่ิอ ก็ได้รับการรับรองสถานะสส.ระบบบัญชีรายชื่อเป็นปกติโดยไม่มีข่าวว่าพัวพันกับการทำผิดกฏหมายเลือกตั้งหรือรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
    อีกทั้งม็อบราชาชาตินิยมตอนนี้ก็หมดพิษสงไปมากแล้ว พวกเขาทำได้แค่เพียงร้องเรียนประธานสว.ซึ่งมาจากลากตั้ง(หลังจากที่ศาลปกครองและศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ยกคำร้องไป) ให้พิจารณาล้มผลการเลือกตั้งก่อนจะส่งให้ปปช.ชุดของกลุ่มอนุรักษ์นิยมพิจารณา อันเนื่องมาจากความบกพร่องที่จัดประชาสัมพันธ์ให้มีการใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจนมีคนเสียสิทธิ์ไปถึงกว่า2ล้านคน เนื่องจากไม่ได้ยื่นคำร้องขอถอนสิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต หลังจากที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องไปใช้สิทธิ์นอกเขตที่เดิมอีกแล้ว ซึ่งเหตุผลนั้นก็ฟังขึ้นมากกว่าการหันคูหาออกข้างนอกในการเลือกตั้งเมื่อต้นเมษา49ซะอีก

    ต้องจับตาดูว่าจะมีการล้มผลการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่? แน่นอนว่าถึงจะมีการล้มผลเลือกตั้งครั้งนี้ไปได้ก็คงไม่ทำให้ผลที่ออกมาใหม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก แต่ที่น่าจับตามากกว่าก็คือ กลุ่มอนุรักษ์นิยมโดยผู้นำเหล่าทัพจะตัดสินใจหาสารพัดข้ออ้างแบบไหนเพื่อจะเอามาทำรัฐประหารกันอย่างไม่เกรงกลัวสีหน้าของบรรดามวลมหาราษฎรเสื้อแดงอีก ในเมื่อต้นทุนข้ออ้างและความน่าเชื่อถือของตัวเองนั้นได้ถูกใช้ไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×