ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมบทความการเมือง

    ลำดับตอนที่ #143 : ว่าด้วยอนาคตทางการเมืองหลังการเลือกตั้งสก.ที่ผ่านไป+ถ้าพรรคกะจั๊วต้องถูกยุบขึ้นมาจริงๆละก็

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 214
      0
      30 ส.ค. 53

     เนื่องจากผลการเลือกตั้งสก.ในครั้งนี้แทบจะไม่ค่อยมีพลิกโผอะไรมากมายนัก ตัวเก่าๆล้วนแต่เข้าวินกันมาแทบหมดทั้งสิ้นจากทั้ง2ขั้วพรรคใหญ่ คนที่เลือกมักจะเลือกที่ตัวบุคคลจากความขยันสร้างผลงานเป็นที่รู้จักของคนในพื้นที่ รองลงมาก็ความนิยมในตัวพรรคเอง
    โดยการมาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิ์น้อยลงยิ่งกว่าที่แล้วมาก เหลือแค่ร้อยละ40ต้นๆ ต้องถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งท้องถิ่นทั่วไปในชนบท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมแย่ๆของคนกทม.หลายคนที่ชาวชนบทได้เห็นแล้วสามารถดูถูกดูแคลนคนกทม.ที่ชอบดูถูกพวกตนว่าเป็นพวกโง่เง่า,หิวกระหายเงิน,ชอบขายเสียง ฯลฯ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า คนกทม.ก็เป็นพวกมักง่าย,รักความสะดวกสบาย,เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน,ไม่รู้จักใช้ความคิดวิเคราะห์,ดัดจริตทำเป็นเบื่อการเมือง,หลงคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางทางความคิดของประเทศ,คล้อยตามสื่อกระแสหลักเน่าๆ,ตรรกะทางการเมืองวิบัติและบกพร่องขั้นรุนแรง ฯลฯ

    โดยฝั่งของพรรคตัวแทนแม้วอย่างเพื่อไทย ก่อนหน้านี้ม.ล.ณัฎฐกรณ์ เทวกุล ได้วิเคราะห์ไว้ว่าถ้าการเลือกตั้งสก.ครั้งนี้ตัวเก่าที่ยังอยู่ของพรรคตัวแทนแม้วเกิดพลิกล็อกแพ้ขึ้นมาในหลายเขต ก็อาจจะมีแผนการทบทวนไปตั้งพรรคใหม่สำหรับเก็บฐานเสียงเฉพาะในกทม.เป็นหลัก เพื่อใช้เป็นโมเดลในการแยกกันตีพรรคกะจั๊ว ซึ่งครั้งนี้คาดว่าภาคกทม.ของพรรคตัวแทนแม้วก็คงทำใจและคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วถึงผลที่ควรจะเป็นและมันก็เป็นอย่างที่วางไว้ไม่ผิดจากที่คิดไว้มากนัก

    ที่น่าสนใจมากกว่าซึ่งนั้นมันทำให้ผมต้องเขียนบทวิเคราะห์ชิ้นใหม่นี้ขึ้นมา ก็คือคะแนนเสียงเลือกตั้งสก.ที่พรรคสีขี้ได้รับมาจากทั้งหมด40เขตที่ส่งตัวผู้สมัครลงไป ซึ่งผมเคยวิเคราะห์ทางไปคร่าวๆก่อนแล้ว ครั้งนี้แม้ว่าพรรคสีขี้จะไม่ได้ที่นั่งในสภากรุงเทพมหานครเลยแม้แต่คนเดียว แต่คะแนนที่พรรคสีขี้ได้รับโดยส่วนใหญ่ไม่นับเขตกทม.ชั้นนอกบางเขตล้วนแต่ทำได้เกินหลักพันทั้งสิ้น และแน่นอนส่งผลกระทบอย่างมากต่อสมดุลฐานคะแนนเสียงทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กับ2ขั้วพรรคใหญ่อย่างกะจั๊วและตัวแทนแม้ว ซึ่งตอนแรกผมเคยคิดว่าพรรคสีขี้น่าจะได้คะแนนเสียงในทุกๆเขตไม่น่าจะเกินหลักพันและจะเข้าสู่วงจรการเมืองแบบเดิมที่แสนเบื่อหน่ายไม่รู้จักจบ
    โดยเฉพาะเขตคลองสานที่มีอดีตสก.ตัวเก่าจากกะจั๊วย้ายเข้ามาแม้ว่าจะแพ้ไปแต่ก็ทำได้มากถึง7000คะแนนขึ้น บางเขตทำได้ถึงช่วง4000-5000คะแนน หลายเขตทำได้รวมเฉลี่ยถึง2000คะแนนกว่าๆ ซึ่งคะแนนที่มากขนาดนี้แม้ว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพียงแค่ร้อยละ40ต้นๆเท่านั้น ผลคะแนนที่ออกมานี่คงทำให้แกนนำของพรรคสีขี้เริงร่าขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง เพราะนั้นหมายความว่าขั้วการเมืองสำคัญลำดับที่3ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว พรรคสีขี้มิใช่พรรคเล็กไม้ประดับในสนามเลือกตั้งกทม.ที่กะจั๊วจะดูถูกอีกต่อไปแล้ว มันไม่เหมือนกับพรรคเล็กไม้ประดับให้เหยียบจมดินเล่นในอดีตที่เคยลงสนามเลือกตั้งตั้งแต่ปี2544เป็นต้นมา ที่ผูกขาดกันแค่กะจั๊วและตัวแทนแม้วเท่านั้น และยังเป็นการพลิกล็อกผลโพลที่ทำมาก่อนหน้านี้ว่าพรรคสีขี้จะได้คะแนนแค่ร้อยละ3เท่านั้น ซึ่งผลที่ออกมาขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง หมายความว่าพลังเงียบที่ไม่ได้ตัดสินใจเกือบครึ่งส่วนใหญ่เป็นของพรรคสีขี้นั้นเอง
    และแน่นอนย่อมส่งผลสะเทือนต่ออนาคตผลคะแนนเสียงเลือกตั้งใหญ่สส.ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้านี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการวางแผนอนาคตในการควบคุมทางการเมืองล่วงหน้าของกลุ่มอำมาตย์,อภิสิทธิ์ชนชั้นสูงและรวมไปถึงนายทุนกระเป๋าหนักที่พร้อมจะเทเงินทุนเข้าพรรคล่วงหน้าเพื่อเตรียมเสบียงกรังไว้หาเสียงเลือกตั้ง ในช่วงที่พรรคสีขี้ได้รับเงินบริจาคจากพลพรรคสีขี้กันเองเข้าพรรครวมแล้วเกิน1ล้านบาทขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา

    ทำไมนะเหรอ? ก็คดีแจ้งบัญชีการใช้จ่ายเงินกองทุนเข้าพรรคการเมืองอันเป็นเท็จและคดีแจ้งบัญชีรายรับเงินบริจาคเข้าพรรคการเมืองอันเป็นเท็จของพรรคกะจั๊วซึ่งมีโทษหนักหน่วงมากถึงขั้นยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา5ปีเหมือนกับที่พรรคตัวแทนแม้วเจอมาแล้วทั้ง2ครั้ง กำลังอยู่ระหว่างการสอบพยานหลักฐาน โดยคาดว่าน่าจะมีคำพิพากษาชี้ขาดโดยศาลรัฐธรรมนูญภายในเวลาสิ้นปีนี้หากใช้มาตรฐานเดียวกันกับที่เคยทำกับพรรคตัวแทนแม้วมาแล้ว
    ซึ่งคดีทุจริตธุรกรรมทางการเงินของพรรคกะจั๊วครั้งนี้มีหลักฐานเอกสารมัดตัวแน่นหนา และพรรคการเมืองเล็กๆที่ถูกยุบไปส่วนใหญ่ถูกยุบด้วยฐานความผิดนี้ทั้งนั้น ถ้าพรรคกะจั๊วรอดจากการถูกยุบพรรคในครั้งนี้ นั้นย่อมเป็นการตอกย้ำความมีสองมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรมไทยหนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก และบ้านเมืองก็จะปั่นป่วนไม่รู้จักจบจักสิ้น
    อำมาตย์อภิสิทธิ์ชนนั้นเดิมใช้งานพรรคกะจั๊วในฐานะหุ่นเชิดที่ต้องตอบแทนบุญคุณทางการเมืองมาแต่แรกแล้ว และพรรคกะจั๊วก็ทำได้ดีเป็นที่พอใจของกลุ่มอำมาตย์ในระดับหนึ่ง โดยมีกลุ่มสีขี้คอยเคลื่อนไหวสนับสนุนทางการเมืองแบบหลวมๆและก็เป็นหุ่นเชิดสำคัญอีกตัวหนึ่งของกลุ่มอำมาตย์เช่นกันและตอบสนองผลเป็นที่พอใจแก่กลุ่มอำมาตย์อภิสิทธิ์ชนได้ดียิ่งกว่ากะจั๊วซะอีก แต่ในคราวนี้เมื่อกลุ่มสีขี้ตั้งพรรคเป็นของตนเองและกำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นขั้วการเมืองสำคัญลำดับที่3ในสนามกทม.กลายเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่พลพรรคอำมาตย์จะทิ้งไปก็น่าเสียดายมากอยู่
    ฉะนั้นแผนการยุบพรรคกะจั๊วลง เพื่อลดกระแสความมีสองมาตรฐานทางการเมือง ไม่ให้เกิดภาวะความวุ่นวายที่ไม่จบสิ้น เพื่อเปิดทางให้พรรคสีขี้เข้ามามีบทบาทในสนามเลือกตั้งอย่างเต็มตัวก็มีความเป็นไปได้สูงมาก อีกทั้งพรรคสีขี้ก็มีสื่อในมือที่พร้อมจะโจมตีพรรคกะจั๊วในทุกเรื่องที่มีการทุจริตซึ่งก็มีอยู่มากมาย และยังเป็นการกดดันจี้อำมาตย์กับศาลรัฐธรรมนูญให้จัดการเชือดพรรคกะจั๊วให้ดับดิ้นลงไปซะ

    และเพื่อแยกสลายกลุ่มก้อนทางการเมืองของพรรคกะจั๊วให้กระจัดกระจายตามแผนการแบ่งแยกและปกครองของกลุ่มอำมาตย์ ซึ่งจะทำได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ต่างตอบแทนของตัวใหญ่ๆในพรรค โดยกลุ่มภาคใต้โดยการนำของนายหัวชวนน่าจะยังเหนียวแน่นอยู่ และสามารถตั้งพรรคตัวแทนกะจั๊วใหม่รองรับพลพรรคของตัวเองได้อยู่ดี 
    แต่กลุ่มภาคกลางบางส่วน,ตะวันออกและกทม.มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะแตกออกไปเนื่องจากใช้ฐานเสียงเดียวกับกลุ่มสีขี้โดยการย้ายสังกัดเข้าไปอยู่พรรคสีขี้เสริมความเข้มแข็ง เนื่องจากผู้นำหลักของภาคกทม.ถูกตัดสิทธิ์จนแทบจะหมดสิ้น 
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคกทม.ที่จะเหลือตัวหลักที่สามารถใช้งานได้แค่เพียง2คนเท่านั้นอันได้แก่ สามารถ ราชพลสิทธิ์ และ พนิต วิกิจเศรษฐ ซึ่งเคยผ่านงานการเป็นรองผู้ว่ากทม.มาก่อน แต่ก็ต้องดูจากคดีไซฟ่อนเงินบริจาคเข้าพรรคกะจั๊วของTPIว่าจะมีการตัดสิทธิ์กรรมการบริหารชุดที่มีบัญญัติเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ ซึ่งมีคนอย่าง กัลยา โสภณพนิช ที่เคยลงชิงผู้ว่ากทม.ได้คะแนนหลักแสนในสมัยที่ลุงหมักชนะคะแนนได้เป็นผู้ว่าและ ประกอบ จีรกิติ อดีตสส.ที่เคยผ่านงานรองผู้ว่ากทม. 2คนเท่านั้นที่มีศักยภาพพอจะนำทีมภาคกทม.ต่อไปได้
    ในขณะที่ตัวยืนในภาคเหนือและอีสานก็มีแนวโน้มว่าจะย้ายไปพรรคภูมิใจ(ห้อย)ไทยที่กำลังรุ่งในการดูดเก็บสส.จากพรรคตัวแทนแม้วในตอนนี้ เนื่องจากกรรมการบริหารตัวหลักๆของกลุ่มนี้ถูกตัดสิทธิ์เช่นกัน และยังมีพรรค(ขี้ข้า)เพื่อแผ่นดินและชาติ(ปลาไหล)ไทยพัฒนา ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่ยอมเป็นหุ่นเชิดให้อำมาตย์ใช้งานประกอบกันกับพรรคตัวแทนกะจั๊วและพรรคสีขี้ เพื่อสกัดฐานเสียงที่มีอยู่หนาแน่นของพรรคตัวแทนแม้วในภาคเหนือและอีสาน

    นอกจากนี้การยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคที่มีตาทองมากเป็นหัวหน้าพรรค ยังทำให้ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่ากทม.คนปัจจุบันต้องหลุดจากตำแหน่ง รวมไปถึงพินิจ กาญจนชูศักดิ์ สก.เขตสัมพันธวงศ์ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งไปก็ต้องหลุดจากตำแหน่งไปเช่นกัน ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.และสก.เขตสัมพันธวงศ์ใหม่อีกครั้ง โดยพรรคกะจั๊วจะเหลือตัวเลือกของภาคกทม.แค่ที่กล่าวไปเท่านั้นที่พอจะมีศักยภาพอยู่ 
    ในขณะที่ฝั่งของพรรคตัวแทนแม้วก็มีประภัสร์ จงสงวน,ยุรนันท์ ภมรมนตรี ที่เคยลงผู้ว่ากทม.ได้ฐานคะแนนเสียงไประดับหนึ่งมาเป้นคู่ต่อสู้ นอกจากนี้ก็มีตัวเสริมอย่างปลอดประสพ สุรัสสวดี,ปานปรีย์ พหิทธานุกรณ์,จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ,สุชาติ ธาดาธำรงเวศ เป็นต้น 
    แต่ขึ้นชื่อว่าคนกรุงละก็ ฐานเสียงกะจั๊วเดิมกับสีขี้ในกทม.ซึ่งมีอยู่หนาแน่น แม้ยังไม่รู้ว่าจะต้องส่งใครลงชิงผู้ว่ากทม. จะมีฮั้วกันหรือแข่งกันเองหรือไม่ก็ยังไม่รู้ โดยพรรคสีขี้ก็ออกข่าวว่ากำลังเตรียมหาตัวผู้สมัครลงชิงผู้ว่ากทม.ของตัวเองอยู่เช่นกัน แม้ว่าพรรคกะจั๊วเดิมก็ยังพอเหลือตัวเลือกอยู่ ถึงขนาดมีสำนวนว่าต่อให้ส่งเสาไฟฟ้าลงมาให้เลือกก็ยังชนะขั้วของตัวแทนแม้วอยู่ดี นี่ผมแทงหวยล่วงหน้าจริงๆไปเลยนะนี่
    ส่วนสก.สัมพันธวงศ์ ฐานเสียงสีขี้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ายังเอาชนะฐานของพรรคตัวแทนแม้วได้แม้จะแพ้ให้พรรคกะจั๊วไป เป็นโอกาสอันดีมากสำหรับพรรคสีขี้ในการปักธงสก.ในกทม. โดยยังไม่นับพลพรรคสก.และสข.ที่ได้รับเลือกตั้งซึ่งบางส่วนอาจจะย้ายเข้าสังกัดพรรคสีขี้เพื่อเสริมฐานเสียงในอนาคตของตน แต่บางส่วนก็อาจจะเข้าพรรคตัวแทนแม้วด้วยเหตุผลว่าต้องการสนับสนุนตัวเลือกภาคกทม.จากฝั่งตัวแทนแม้วหรืิอไม่ต้องการอยู่ขั้วสีไหนพรรคไหน กลายเป็นกลุ่มการเมืองอิสระก็ได้หมดเช่นกัน โดยมีแนวโน้มว่าอาจจะแยกตัวจากสังกัดตัวแทนกะจั๊วเดิมค่อนข้างมากเนื่องจากผู้นำในภาคกทม.ที่เหลืออยู่อาจจะไม่มีศักยภาพพอจะนำทีมสส.,สก.และสข.ที่มีอยู่มากมายนั้นได้

    พรรคสีขี้เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าจะมีหวังปักธงในภาคกทม.,ภาคชายฝั่งตะวันออกและภาคกลางบางส่วนได้อยู่เหมือนกัน งานนี้ต้องขอบอกตรงๆว่าสนุกแน่ๆครับ มันจะไม่น่าเบื่ออย่างที่เคยคิดมาแน่นอน ในตอแหลแลนด์แห่งนี้ก็ยังมีความสนุก(ในภาวะความน่าเบื่อที่ชวนให้ปลงสังขาร)ให้ได้ชมกันในเกมที่อำมาตย์ต้องเปลี่ยนทางเลือกใหม่ในการคุมเกมการเมืองของตนเอง น่าติดตามจริงๆ

    Linkผลคะแนนเลือกตั้งจากมติชน
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1283077887

    ความเห็นจากนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ในFacebook

    ดูผลเลือกตั้งแล้วมีคำตอบสองแบบ แบบแรกคือเอาใจโดยบอกว่าผลเลือกตั้งกรุงเทพไม่ได้สะท้อนการเลือกตั้งของประเทศ แต่อยากตอบอีกแบบว่าคนเสื้อแดงควรคิดถึงการต่อสู้กับระบอบปัจจุบันในสถานการณ์ที่เพื่อไทยอาจไม่ใช่พรรคอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งสส.ครั้งหน้า นั่นคือสถานการณ์ที่ไม่อาจอ้างได้แล้วว่าฝ่ายนั้นไม่ชอบธรรมเพราะแพ้เลือกตั้งอย่างการสู้หลังปี 50 เป็นต้นมา
    สำหรับฝ่ายต้านเสื้อแดง ผลเลือกตั้งครั้งนี้แสดงให้เห้นแล้วว่ามวลชนที่คุณมั่้นใจว่ามีมากนั้น จริงๆ คือคนสนับสนุนพรรคอื่นที่หนุนคุณชั่วคราวเพื่อให้ทำงานเฉพาะหน้าที่พรรคทำเองไม่ได้ คุณคือของชั่วคราวทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครเอาถาวร จะทำพรรคต่อไปคงยาก จะเบ่งกล้ามเสียงดังข่มคนอื่นก็คงยากอีก ทางเลือกเดียวที่เหลือคือหันไปเล่นเกมแบบปี 49 นั่นคือสร้างกระแสปูทางให้อำนาจนอกระบบ ซึ่งหวังว่าจะไม่เลือกทางนี้อีก ถึงแม้จะไม่ค่อยมีหวังนักก็ตาม
    ที่จริงทั้งฝั่งแดงและเหลืองมีเรื่องให้คิดจากการเลือกตั้งหนนี้เหมือนกัน แต่ฝั่งแดงเป็นเรื่องของการหาบทบาทสำหรับอนาคต ขณะที่ฝั่งเหลืองเป็นเรื่องของการกลับไปเล่นบทบาทเป็นหางเครื่องของอดีตเพราะไม่มีอนาคตของตัวเอง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×