ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ขุนช้าง ขุนแผน

    ลำดับตอนที่ #36 : พระไวยแตกทัพ + พลายชุมพลจับเสน่ห์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.34K
      10
      7 มี.ค. 51

    พระไวยแตกทัพ

    เจ้าคุณมหาดไทยได้รับใบบอกจากพระสุพรรณ รีบนำขึ้นกราบบังคมทูล  สมเด็จพระพันวษาทรงทราบ แล้วก็สงสัยว่าใบบอกนั้นกำกวม และตำหนิพระยาสุพรรณว่าขี้ขลาด จึงมีรับสั่งให้ขุนแผนออกไปดูเหตุการณ์ โดยให้พระยาสุพรรณเป็นลูกกอง  เจ้าคุณมหาดไทยรับรับสั่งแล้ว ก็ให้แต่งตราไปให้พระสุพรรณกระบอกหนึ่ง อีกกระบอกหนึ่งให้พันเภานำไปให้พระกาญจนบุรี

    เมื่อขุนแผนได้รับท้องตราทราบความแล้ว ก็สั่งหลวงปลัดยกรบัตร สัสดี ให้พร้อมกันรีบจัดรี้พล พร้อมยกทัพไปรับศึกในวันรุ่งขึ้น

     


    ขุนแผนเตรียมทัพ

    ทุกฝ่ายเมื่อได้รับคำสั่งแล้ว ก็ไปเตรียมการกันทันที

    ...ตารางเกณฑ์กะลงส่งบัญชี 

    สัสดีเรียกเร่งมิได้ช้า

    ที่ใครหลบเลี่ยงหลีกหนี

    เฆี่ยนตีมี่ไปไม่เลือกหน้า

    ให้รวบรวมวัวต่างช้างม้า 

    ทั้งศาตราอาวุธทุกสิ่งอัน ฯ

     

    นางแก้วกิริยาเมื่อรู้ว่ามีศึก ก็จัดการจัดเสบียงเตรียมไว้ให้ครบถ้วน เมื่อเตรียมการเสร็จ ขุนแผนก็เรียกนางแก้วกิริยา และนางลาวทองมาเล่าความให้ฟังว่า

    ...เจ้าทั้งคู่อยู่หลังอย่าตกใจ 

    ไปทัพครั้งนี้จะนานมา

    ชุมพลลูกเราดอกเจ้าแก้ว 

    เจ้ารู้เรื่องอยู่แล้วเป็นหนักหนา

    แค้นใจจึงแกล้งให้แปลงมา

    หวังจะลวงเข่นฆ่าอ้ายหมื่นไวย ฯ

     

    นางแก้วกิริยาได้ฟังแล้วก็ไม่สบายใจ จึงให้สติขุนแผนว่า ดีชั่วอย่างไรก็ไม่ควรเอาชีวิตกัน ให้เห็นแก่นางวันทอง วันที่ตายได้ฝากลูกไว้ว่า กำพร้าแม่จะได้พึ่งพ่อ ขอให้บอกพลายชุมพลให้ยกทัพกลับ  ขุนแผนได้ฟังก็ขัดใจ  ต่อว่านางแก้วกิริยาว่ารักพระไวย แต่ตนจะไม่ฟัง  แล้วก็ยกพลออกจากกาญจนบุรี ผู้รั้งเมืองสุพรรณก็ยกพลโยธามาสมทบ แล้วไปตั้งค่ายที่ นางบวช

    ...ครั้นถึงนางบวชก็โบกธง 

    ตั้งค่ายรายลงเป็นเหล่าหลั่น

    สนามเพลาะพูนรอบเป็นขอบคัน 

    แล้วจัดสรรกองตั้งระวังระไว ฯ

     

    พลายชุมพลเห็นกองทัพยกมา จึงให้พลายเพชรกุมารทองไปสืบข่าวขุนแผน โดยปลอมตนเป็นชาวบ้าน ถูกกองทัพจับตัวไป แล้วใช้ให้ถือหนังสือมาให้แม่ทัพใหญ่  ขุนแผนรับหนังสือคลี่ออกอ่านมีความว่า ตัวแม่ทัพที่ยกมาชื่อ สมิงมัตรา อยู่แคว้นหงสา รู้ข่าวว่าอยุธยาทำผิดหยาบช้า ไปรุกรานถึงเชียงใหม่ จึงยกทัพมาสั่งสอน ถ้ายอมแพ้เสียก็ไม่ฆ่าฟัน ขุนแผนอ่านแล้วทำเป็นแค้น ทิ้งหนังสือแล้วด่าว่า พวกมอญอยู่เมืองไกลไม่รู้จักอะไร จะพากันมาตายไม่รู้ตัว

    ...หมาน้อยไม่เคยได้กลิ่นเสือ

    ใครบอกมันจะเชื่อเขาที่ไหน

    อวดดีว่ามีฤทธิไกร

    เหมือนแมลงเม่าเข้าไฟไม่รู้ตัว...

     

     

    ขุนแผนแกล้งให้พลายชุมพลจับได้

    แล้วจึงมีหนังสือตอบไป ให้ยกมาเข้าตีแต่เช้า จะได้ฆ่าฟันไม่ให้เหลือ หุ่นมนตร์รับหนังสือแล้วก็กลับไป แจ้งให้พลายงามรู้ว่า ขุนแผนเป็นแม่ทัพใหญ่ยกมาครั้งนี้  พลายชุมพลจึงสั่งพวกหุ่นมนตร์ว่า จะเข้าตีค่ายบิดาในค่ำวันนี้ ห้ามฆ่าคนทั้งปวง เอาแต่ตัวพระกาญจน์บุรีมาให้ได้ พอได้เวลาสิบทุ่มก็ยกทัพไปถึงค่ายขุนแผน แล้วเข้าโจมตีโดยอีกฝ่ายไม่รู้ตัว ฝ่ายขุนแผนก็ตกใจกันอลหม่าน ขุนแผนจึงนำทหารเข้าฝ่าฟันไปจนถึงตัวพลายชุมพล  พอเห็นหน้ากันพ่อลูกก็ดีใจ ส่วนไพร่พลของขุนแผนเห็นว่าข้าศึกไม่ใช่คนก็แตกหนีไป  ขุนแผนกับพลายชุมพลก็เรียกภูตผีกับหุ่นกลับมา แล้วยกกำลังมุ่งตรงไปอยุธยา เมื่อถึงตาลาน ก็ให้ตั้งค่ายที่ชายป่า

    ฝ่ายพันเภาหนีมาได้ พอรุ่งเช้าก็เข้าเฝ้า กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ ตั้งแต่ต้นจนปลาย

    ...พระกาญจน์บุรีออกรบรับ 

    คุมไพร่พลกลับเข้าได้ใหม่

    ฟาดฟันกันลงในพงไพร 

    มันมีฤทธิไกรมหิมา

    ล้วนคงกระพันฟันไม่เข้า 

    ไพร่เราเสียลงเป็นหนักหนา

    แต่พระกาญจน์บุรีมีฤทธา

    ขับม้าใส่ฟันถลันไป

    มันกลุ้มรุมจับไม่กลับมา

    จะฆ่าฤามิฆ่าหาทราบไม่...

     

     

    สมเด็จพระพันวษาให้พระไวยออกรบ

    สมเด็จพระพันวษาก็พิโรธยิ่งนัก เสียดายขุนแผนที่มีฝีมือไม่มีใครเทียบได้ แต่ว่าแก่เฒ่าลงไปจึงไม่เหมือนก่อน แล้วตรัสสั่งให้พระไวย ยกกองทัพไปรบกับสมิงมัตรา  พระไวยก็รีบกลับไปเตรียมทัพ และแจ้งเรื่องให้ย่าทราบ

    ...ให้เตรียมทัพสรรพเสร็จสำเร็จการ

    ล้วนทหารที่เคยไปเชียงอินทร์

    สั่งสะเบียงจัดวางทั้งช้างม้า 

    แล้วไปเล่ากิจจาแก่ย่าสิ้น

     

    นางทองประศรีรู้เรื่องเข้า ก็ตกใจและเสียใจยิ่งนัก คร่ำครวญถึงขุนแผนด้วยประการต่าง ๆ พอได้สติ ก็พร่ำสอนพระไวยก่อนไปทัพ

    ...ยังเป็นเด็กเล็กอ่อนจะสอนไว้ 

    ท่านขุนไกรตัวปู่เป็นครูบา

    ถ้ายกออกไปให้สืบก่อน 

    จะหยุดนอนให้ระวังหนักหนา

    ถึงทัพจงพิจารณา 

    พอจะเข้าไล่ฆ่าก็เข้าไป

    ถ้าเห็นกำลังศึกนั้นฮึกหาญ

    ดากระดานรับไว้ให้จงได้

    กระบวนรบครบตั้งระวังภัย 

    ถ้าล้อมได้ก็อ้อมล้อมไพรี

    ถ้าเห็นหนักชักช่องให้ออกไป 

    ถ้าไพร่เราแตกตายกระจายหนี

    เอาดาบบั่นฟันต้อนเข้าราวี

    ดูทีก่อนจะล่าอย่าตกใจ...

     

    พระไวยสั่งนางศรีมาลาและนางสร้อยทองให้ปรองดองกัน ทั้งสองนางก็รับคำ

     

     

    พระไวยยกทัพ

    แล้วจึงมีหนังสือตอบไป ให้ยกมาเข้าตีแต่เช้า จะได้ฆ่าฟันไม่ให้เหลือ หุ่นมนตร์รับหนังสือแล้วก็กลับไป แจ้งให้พลายงามรู้ว่า ขุนแผนเป็นแม่ทัพใหญ่ยกมาครั้งนี้  พลายชุมพลจึงสั่งพวกหุ่นมนตร์ว่า จะเข้าตีค่ายบิดาในค่ำวันนี้ ห้ามฆ่าคนทั้งปวง เอาแต่ตัวพระกาญจน์บุรีมาให้ได้ พอได้เวลาสิบทุ่มก็ยกทัพไปถึงค่ายขุนแผน แล้วเข้าโจมตีโดยอีกฝ่ายไม่รู้ตัว ฝ่ายขุนแผนก็ตกใจกันอลหม่าน ขุนแผนจึงนำทหารเข้าฝ่าฟันไปจนถึงตัวพลายชุมพล  พอเห็นหน้ากันพ่อลูกก็ดีใจ ส่วนไพร่พลของขุนแผนเห็นว่าข้าศึกไม่ใช่คนก็แตกหนีไป  ขุนแผนกับพลายชุมพลก็เรียกภูตผีกับหุ่นกลับมา แล้วยกกำลังมุ่งตรงไปอยุธยา เมื่อถึงตาลาน ก็ให้ตั้งค่ายที่ชายป่า

    ฝ่ายพันเภาหนีมาได้ พอรุ่งเช้าก็เข้าเฝ้า กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ ตั้งแต่ต้นจนปลาย

    ...พระกาญจน์บุรีออกรบรับ 

    คุมไพร่พลกลับเข้าได้ใหม่

    ฟาดฟันกันลงในพงไพร 

    มันมีฤทธิไกรมหิมา

    ล้วนคงกระพันฟันไม่เข้า 

    ไพร่เราเสียลงเป็นหนักหนา

    แต่พระกาญจน์บุรีมีฤทธา

    ขับม้าใส่ฟันถลันไป

    มันกลุ้มรุมจับไม่กลับมา

    จะฆ่าฤามิฆ่าหาทราบไม่...

     

     

    สมเด็จพระพันวษาให้พระไวยออกรบ

    สมเด็จพระพันวษาก็พิโรธยิ่งนัก เสียดายขุนแผนที่มีฝีมือไม่มีใครเทียบได้ แต่ว่าแก่เฒ่าลงไปจึงไม่เหมือนก่อน แล้วตรัสสั่งให้พระไวย ยกกองทัพไปรบกับสมิงมัตรา  พระไวยก็รีบกลับไปเตรียมทัพ และแจ้งเรื่องให้ย่าทราบ

    ...ให้เตรียมทัพสรรพเสร็จสำเร็จการ

    ล้วนทหารที่เคยไปเชียงอินทร์

    สั่งสะเบียงจัดวางทั้งช้างม้า 

    แล้วไปเล่ากิจจาแก่ย่าสิ้น

     

    นางทองประศรีรู้เรื่องเข้า ก็ตกใจและเสียใจยิ่งนัก คร่ำครวญถึงขุนแผนด้วยประการต่าง ๆ พอได้สติ ก็พร่ำสอนพระไวยก่อนไปทัพ

    ...ยังเป็นเด็กเล็กอ่อนจะสอนไว้ 

    ท่านขุนไกรตัวปู่เป็นครูบา

    ถ้ายกออกไปให้สืบก่อน 

    จะหยุดนอนให้ระวังหนักหนา

    ถึงทัพจงพิจารณา 

    พอจะเข้าไล่ฆ่าก็เข้าไป

    ถ้าเห็นกำลังศึกนั้นฮึกหาญ

    ดากระดานรับไว้ให้จงได้

    กระบวนรบครบตั้งระวังภัย 

    ถ้าล้อมได้ก็อ้อมล้อมไพรี

    ถ้าเห็นหนักชักช่องให้ออกไป 

    ถ้าไพร่เราแตกตายกระจายหนี

    เอาดาบบั่นฟันต้อนเข้าราวี

    ดูทีก่อนจะล่าอย่าตกใจ...

     

    พระไวยสั่งนางศรีมาลาและนางสร้อยทองให้ปรองดองกัน ทั้งสองนางก็รับคำ



    พระไวยยกทัพ

    เมื่อได้ฤกษ์พระไวยก็ยกทัพออกจากกรุง ถึงวัดลาดก็ให้ทหารหยุดหุงหาข้าวปลา พอตกค่ำจึงผูกหุ่น ต้องเสกอยู่หลายหนจึงสำเร็จ แต่กลับไม่มีอาวุธ  พระไวยเห็นดังนั้นก็ใจหาย จึงจับยามดูก็รู้ว่าญาติต้องมารบกัน ต้องเสกอีกครั้งหุ่นจึงมีอาวุธครบมือ



    เปรตวันทองห้ามทัพ

    ฝ่ายนางวันทองเมื่อตอนขาดใจ มีความอาลัยถึงลูก  เวรกรรมที่มีอยู่จึงทำให้เป็นอสุรกาย ในวันที่พระไวยออกศึก นางเกรงว่าพระไวยจะถูกบิดาฆ่าตาย  จึงแปลงกายเป็นหญิงสาวสวย มาดักพระไวยอยู่ระหว่างทาง   พระไวยเห็นเข้าก็หลงรัก เข้าไปเกี้ยวพาราสี  เมื่อพระไวยเข้ามาใกล้ นางแปลงก็ตวาดว่าตนเป็นมารดา แล้วบอกว่าศึกครั้งนี้หนักนัก ข้าศึกเข้มแข็งให้ระวังให้ดี ถ้าเข้าหักหาญจะเสียที  แล้วกลายร่างเป็นเปรตไม่มีหัวหายตัวไป   พระไวยเห็นดังนั้นก็ให้อนาถนัก แต่จำใจต้องยกทัพไปทำศึกต่อไป  ตกดึกก็มาถึงบางกระทิง จึงให้ตั้งค่ายที่นั่น แล้วส่งม้าใช้ไปสืบข่าว

    ขุนแผนกับพลายชุมพลได้ยินเสียงกองทัพยกมา จึงหารือกัน เห็นว่ามาตั้งทัพอยู่ที่บางกระทิง เพราะเกรงว่า ฝ่ายตรงข้ามจะชิงความได้เปรียบ  ครั้นแล้วขุนแผนก็จัดแจงแต่งกายพลายชุมพล ให้ดูคล้ายมอญใหม่ เตรียมตัวออกรบ

     


    กองทัพพระไวยพลายชุมพลรบกัน

    พอรุ่งสาง กองทัพทั้งสองฝ่ายต่างก็ยกออกจากค่าย แล้วเข้าปะทะกันอย่างไม่ลดละย่อท้อ พระไวยซัดข้าวสารไปต้องหุ่นของพลายชุมพล หุ่นนั้นก็กลับกลายเป็นหญ้า  พลายชุมพลก็เป่ามนตร์ ไปถูกหุ่นมนตร์ของพระไวย กลับกลายเป็นหญ้าไปเช่นกัน  รบกันอยู่จนตกบ่าย  พระไวยเห็นมอญน้อยยังเยาเพิ่งแตกพาน จึงร้องถามชื่ออาจารย์ บิดามารดา อยู่เมืองไหน และที่ยกมาครั้งนี้ด้วยเหตุอะไร  พลายชุมพลจึงตอบว่า ตนชื่อ สมิงมัตรา พ่อชื่อสมิงแมงตะยากะละออน แม่ชื่อเม้ย แมงตะยา อาจารย์ชื่อพระสุเมธกะละดง อยู่เมืองหงสา  แล้วก็ถามพระไวยกลับไปในทำนองเดียวกัน เมื่อพระไวยตอบไปแล้ว พลายชุมพลจึงแกล้งกล่าวว่า พระไวยพูดไม่จริง เพราะขุนแผนก่อนตายได้บอกว่า มีลูกชายชื่อชุมพล เป็นลูกนางแก้วกิริยา และมีลูกเลี้ยงชื่อหมื่นไวย เป็นลูกนางวันทองกับขุนช้าง



    พระไวยกับพลายชุมพลสู้กัน

    พระไวยได้ฟังดังนั้นก็โกรธยิ่งนัก ไม่ทันว่าเวทมนตร์ แกว่งดาบเข้าสู้กับพลายชุมพลจนถึงขั้นกอดปล้ำกัน ขุนแผนเห็นดังนั้น จึงร้องให้พลายชุมพลจับพระไวยไว้ ขุนแผนจะฟันเอง พระไวยแลไปเห็นพ่อก็ตกใจผละหนี กองทัพพระไวยก็แตกยับเยิน พระไวยมาถึงวัง ก็กราบทูลเหตุการณ์ให้สมเด็จพระพันวษาทรงทราบทุกประการ พระองค์ได้ฟังแล้วมีพระดำริว่า ขุนแผนเป็นผู้ที่ถือสัตย์ธรรมอันมั่นคง ไม่มีทางที่จะเป็นกบฎได้ เพราะถ้าเป็นกบฎ คงจะเข่นฆ่าใครต่อใครไปแล้ว แต่นี่กลับไล่ฆ่าพระไวยแต่ผู้เดียว น่าจะมีสาเหตุแค้นใจ

    ...อันตัวกูเป็นหลักปถพี

    ถึงใครมีฤทธิเดชไม่สู้ได้

    เทวดารักษาซึ่งราไชย

    ก็แจ้งใจกันทั่วทั้งพารา

    มันเป็นแต่ข้าฝ่าละออง

    ไหนจะปองพิภพนาถา

    ถ้าเขม้นจะเล่นอยุธยา

    ป่านนี้ก็จะมาถึงกรุงไกร

    ชะรอยอ้ายนี่คงมีแค้น 

    อ้ายแผนมันหาเป็นกบฏไม่...

     

    พระไวยได้ฟังดังนั้นแล้วก็ได้คิด จึงกราบทูลเรื่องร้าวฉานในครอบครัวของตนทั้งหมดให้ทรงทราบ สมเด็จพระพันวษาได้ฟังแล้วจึงตรัสว่า หน้าพระไวยมัวหมองเหมือนต้องยา แล้วตรัสสั่งให้พระไวย หาคนไปรับขุนแผนมาเฝ้า พระไวยพิจารณาแล้วเห็นว่า มีแต่นางศรีมาลาเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นี้ได้ สมเด็จพระพันวษาจึงให้ตำรวจวัง ไปเรียกตัวนางศรีมาลามาเฝ้า เมื่อนางศรีมาลามาแล้ว พระองค์สังเกตเห็นความไม่ปกติ ระหว่างพระไวยกับนางศรีมาลา แล้วตรัสสั่งให้นางศรีมาลาไปตามขุนแผน

     

     

     

    พลายชุมพลจับเสน่ห์

    ฝ่ายนางสร้อยฟ้ารู้ว่า เรื่องราวที่ตนทำเสน่ห์พระไวย ยังไม่จบสิ้น ก็มีความวิตก  เมื่อรู้ข่าวว่านางศรีมาลา จะออกไปรับขุนแผนกลับมา เรื่องของตนก็จะปรากฏ จึงลอบสั่งให้ขนานอ้ายบ่าวของตน คุมคนไปดักฆ่านางศรีมาลา ที่เกาะมหาพราหมณ์  พรายที่คอยรักษานางศรีมาลารู้เหตุ จึงให้เรือนางศรีมาลาลัดออกทางบางโผงเผง ใกล้รุ่งถึง บางกระทิง พอสว่างก็ถึงท่าตาลาน   เมื่อพบขุนแผนกับพลายชุมพลแล้ว ก็แจ้งเรื่องเรื่องให้ทราบ  ขุนแผนจึงแก้มนตร์พลหุ่น แล้วลงเรือเข้ากรุง พร้อมพลายชุมพลและนางศรีมาลา  เข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษา ทรงตรัสถามสาเหตุ ขุนแผนก็กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ  เมื่อทราบความแล้ว สมเด็จพระพันวษาจึงตรัสว่า พระองค์เชื่อว่า ขุนแผนไม่เป็นกบฏ  แล้วตำหนิพระไวย และมีพระราชดำริว่า ต้องไปเอาตัวคนทำเสน่ห์มาให้เป็นที่ประจักษ์ ไม่มีข้อสงสัย

    ...คิดให้ได้ตัวคนทำมนตร์มา

    รูปรอยให้รู้ว่าอยู่แห่งไร

    ถ้าหากจับได้ไอ้คนคด 

    ความก็จะปรากฏไม่สงสัย

    ใครผิดกูจะทำให้หนำใจ

    มิให้เป็นสินไหมพินัยกรรม์ ฯ

     

     

    พลายชุมพลอาสาจับเสน่ห์

    พลายชุมพลทูลอาสาไปจับผู้ทำเสน่ห์ และขอให้มีพยานไปด้วย พระองค์จึงให้จมื่นศรีไปเป็นสักขีพยาน ทั้งสองคนรับรับสั่งแล้ว ก็แต่งตนเป็นแขกชวามลายู พร้อมทั้งบ่าวไพร่ที่แต่งตัวเป็นแขกทั้งหมด ทำทีเป็นกะลาสี    เมื่อเดินทางไปถึงวัดพระยาแมน พรายกุมารก็บอกรายละเอียดของ เถรขวาดกับเณรจิ๋วให้ทราบทุกประการ   พลายชุมพลจึงอ่านพระคาถา ขับไล่ผีพรายของเณรขวาดและเณรจิ๋วหนีไป  แล้วขึ้นไปหาบนกุฏีถวายของที่นำมา มีกัญชา ฝิ่น และเหล้า ให้ลองสูบและฉัน จนทั้งเถรขวาดและเณรจิ๋วเมามาย แล้วถามว่าที่มาหานั้นต้องการอะไร    ทั้งสองคนก็บอกว่า ตนได้เมียเป็นคนไทย มอบเงินทองให้ทั้งสำเภา  อยู่มาไม่ถึงปีพ่อตาแม่ยายและเมีย ก็พากันขับไล่  ด่าว่าเป็นแขกนอกศาสนา  จึงขอให้เถรขวาดช่วยแก้ไขให้ ถ้าสำเร็จจะเถวายเงินทองทำกุฏิเก้าห้อง ส่งข้าวปลา และยอมเป็นข้าทั้งสองคน

    เถรขวาดได้ฟังก็หัวเราะชอบใจ ว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อย่าได้กังวลใจ  จมื่นไวยกับนางสร้อยฟ้า ตนยังทำได้สำเร็จไม่ทันพริบตา เณรจิ๋วได้ยินก็ตกใจ แกล้งร้องเตือนให้ฉันเพล แต่เถรขวาดไม่สนใจ

    ฝ่ายพลายชุมพลเห็นความเป็นไปทั้งหมดแล้ว จึงบอกให้ไพร่ที่มาด้วยเข้าล้อมจับเถรขวาดไว้

     

     

    พลายชุมพลจับเถรขวาดเณรจิ๋ว

    เถรขวาดเห็นดังนั้นจึงให้ปิดประตู ให้เณรจิ๋วกอดบั้นเอวแล้วหายตัวไปทั้งคู่  พลายชุมพลก็สั่งให้ปิดประตูไว้ให้แน่น ก่อกองไฟไว้ที่ใต้ถุน แล้วเผาพริกให้ควันกรุ่นขึ้นมารม  จนทั้งคู่ทนไม่ได้ต้องปรากฏตัวออกมา   พลายชุมพลจับตัวได้ แล้วซักถามว่าได้ฝังรูปเลขยันต์ไว้ที่ใด   เถรขวาดจึงนำมาที่ป่าช้าของวัด ขุดลงไปก็พบรูปศรีมาลากับพระไวย ถูกหนามเสียบไว้ทั้งตัว แล้วคุมตัวมาบ้านพระไวย โหงพรายก็กระซิบบอกว่าอยู่ใต้ที่นอน เมื่อขุดลงไปก็พบรูปพระไวยกับสร้อยฟ้า หันหน้ากอดกันอยู่ ทั้งขุนแผน นางทองประศรี และพระไวยต่างก็เห็นกันพร้อมหน้า  นางสร้อยฟ้าเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจหลบเข้าห้องไป

    ฝ่ายนางทองประศรี พอคุณไสยเสื่อมคลายก็หายตามัว ลุกขึ้นด่านางสร้อยฟ้าและจะเข้าทำร้ายนางสร้อยฟ้า จนพระไวยต้องห้ามไว้  พระหมื่นศรีจึงนำตัวเถรขวาดและเณรจิ๋ว ไปส่งฝากไว้ที่ทิมตำรวจใหญ่  ผู้คุมก็ให้จำทั้งคู่ ไว้ครบห้าประการ เณรจิ๋วต่อว่าเถรขวาดที่ไม่ฟังที่ตนห้าม  เถรขวาดก็ว่า ถ้าตนไม่เมาแล้วก็จะไม่เสียทีพลายชุมพล



    เถรขวาดหนี

    พอตกดึกเถรขวาดก็อ่านคาถามหาสะกด ให้ผู้คนหลับหมด แล้วสะเดาะกลอนโซ่ตรวน ขื่อคากุญแจ หลุดออกหมดทั้งคู่ แล้วเสกปูนพลู เป็นรูปทั้งสองคนนอนแทนอยู่ แล้วล่องหนดั้นประตูออกไป  แล้วค่อยแปลงเป็นจระเข้หนีไปในน้ำ

    ...จะเป็นคนด้นหนีไปบนบก

    นึกวิตกกลัวเขาจะจับได้

    ลงน้ำเป็นจระเข้ว่ายเร่ไป 

    เณรนั้นให้เป็นลูกเกาะหลังมา ฯ

     

    พอรุ่งขึ้นผู้คุมเห็นทั้งเถรขวาดและเณรจิ๋วนอนตายอยู่ก็ตกใจ บอกกล่าวกันวุ่นวาย

    เมื่อสมเด็จพระพันวษาเสด็จออกว่าราชการ  จมื่นศรีก็กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบทุกประการ   พระองค์ได้ฟังก็ชอบใจ ตรัสสั่งให้ไปเอาตัวทั้งสองมา  จางวางตำรวจในจึงกราบทูลว่าทั้งสองคนตายแล้ว    พระองค์ตรัสสั่งจมื่นศรีไปนำตัวนางสร้อยฟ้ามา

     

     

    สมเด็จพระพันวษาชำระความนางสร้อยฟ้านางศรีมาลา

    เมื่อนางสร้อยฟ้ามาเข้าเฝ้า สมเด็จพระพันวษาเห็นแล้วให้ชังน้ำหน้า แล้วจึงตรัสถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น นางสร้อยฟ้าเห็นว่า ทั้งเถรขวาดและเณรจิ๋วตายหมดแล้ว ก็สร้างเรื่องแก้ตัวไปโดยตลอด  สมเด็จพระพันวษาได้ฟัง แล้วก็ตรัสว่า นางสร้อยฟ้าสร้างเรื่องได้ดี เหตุเพราะไม่มีสักขีพยาน  จึงให้เรียกศรีมาลามาถามความ ตามที่นางสร้อยฟ้ากล่าวหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเป็นชู้กับพลายชุมพล  นางศรีมาลากราบทูลว่า เมื่อตอนที่พลายชุมพล ออกตามหาบิดานั้น อายุเพียงเจ็ดขวบ จึงเป็นการใส่ร้ายที่น่าอายมาก สมเด็จพระพันวษาได้ฟังแล้วจึงทรงปรึกษากับ เจ้าพระยาเสนามาตย์ ตกลงว่าจะให้พิสูจน์กันด้วยการลุยไฟ ตามข้อเสนอของนางศรีมาลา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×