ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ขุนช้าง ขุนแผน

    ลำดับตอนที่ #28 : พลายงามอาสา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.97K
      6
      30 ม.ค. 51


    พลายงามอาสา


    พระเจ้าเชียงใหม่หาอุบายสู้ศึกไทย

    นับแต่พระเจ้าพิไชยเมืองเชียงใหม่ได้นางสร้อยทองมาแล้ว  ก็ทรงหนักใจว่าทั้งล้านช้างและกรุงศรีอยุธยาต้องโกรธแล้วยกทัพตี  หากจะมาในเวลาเดียวกัน เชียงใหม่จะต้องพบศึกหนัก  ควรจะชิงตีไทยให้พ่ายแพ้ไปก่อนล้านช้างก็คงไม่กล้ายกมา  จึงปรึกษาเหล่าเสนาว่าควรจะทำอย่างไร  พระยาท้าวแสนหลวงเสนาใหญ่ทูลว่า  ควรจะส่งสาส์นไปยั่วให้ไทยโกรธ  ยกทัพมาโดยเร็ว  แล้วหักศึกไทยก่อนที่ทั้งสองทัพจะรวมกันได้  พระเจ้าเชียงใหม่เห็นด้วยได้ให้แสนตรีเพชรกล้านำสาส์นไปให้พระพันวษา

    พระยาจักรีทูลสาส์นเชียงใหม่

    ฝ่ายพระพันวษาเมื่อเสด็จออกขุนนาง พระยาจักรีได้กราบบังคมทูลว่า เชียงใหม่มีราชสาส์นมาแจ้งว่า ทัพเชียงใหม่ได้ชิงตัวนางสร้อยทองไปแล้ว  ด้วยพระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่มีแสนยานุภาพมาก  ได้เคยส่งราชทูตถือราชสาส์นไปขอนางสร้อยทอง  แต่ด้วยนางยังเยาว์จึงยังไม่ได้นำมาครอง แต่พระท้ายน้ำกับพวกไพร่ขังคุกไว้  แต่ยังไม่ได้ฆ่า หากพระพันวษาต้องการตัวนางคืนก็ให้ยกทัพมาสู้กันใครชนะจะได้นางไปครอง  จะให้เวลาภายในสามเดือนหากไม่มาก็จะฆ่าให้หมด  หรือหากกลัวก็ให้บอกมา  เมื่อพระพันวษาได้ฟังสาส์นก็ทรงพิโรธมาก  ตรัสว่าพระเจ้าเชียงใหม่กำเริบมาก  เหมือนกับลูกกวางมาท้าสู้กับราชสีห์  ทั้งนี้ตัวมีกำลังเท่าหยิบมือ  อีกสามวันจะยกทัพไปเชียงใหม่หากตีไม่ได้ก็จะไม่กลับ  รวมทั้งให้เกณฑ์หัวเมืองชั้นใหญ่น้อยไปร่วมตีเชียงใหม่ด้วย  และเมื่อตีได้แล้วให้ฆ่าคนทั้งหมด  แล้วรื้อกำแพงป้อมปราการให้สิ้น
    เสนาบดีทูลขอให้หาผู้อาสา

    ฝ่านเสนาน้อยใหญ่ก็กราบทูลเตือนพระสติว่า เมืองเชียงใหม่นั้นก็มีอยู่เท่านั้น  ไม่ควรเสด็จไปรบเองเพราะจะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศไปเปล่า ๆ ควรจะไว้พระยศให้เหมือนกับครั้งที่พระรามให้หนุมานไปตีลงกา  ผลที่สุดก็ได้พระนางสีดาคืนมา  เมื่อสมเด็จพระพันวษาได้ฟังเหล่าเสนาก็คิดได้ ตรัสถามว่า ใครจะอาสาไปทัพ  แต่ทุกคนนิ่งเงียบหาคนอาสาไม่ได้ ก็ทรงพิโรธ

     

    " ดีแต่ฉ้อไพร่ไพล่เงินกิน

     

    ปลอกปลิ้นลิ้นลมประสมประสาน

    เลี้ยงเสียเบี้ยหวัดไม่ต้องการ

     

    มีศฤงคารยศศักดิ์หนักแผ่นดิน"

     

    พลายงามขอให้จมื่นศรีนำอาสา

    พลายงามนั้นได้อาศัยกับกับหมื่นศรีมานาน ได้ฝึกวิชาอาคมไปเรื่อยมีความเชี่ยวชาญมาก  คิดอยากจะไปทัพเพื่อใช้วิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา  เมื่อรู้ว่าอยุธยากำลังมีศึก  ก็เห็นว่าเป็นทีของตนที่จะได้แสดงฝีมือแล้ว  จะไปขอให้จมื่นศรีไปกราบทูลให้ตนได้อาสาไปทัพ  และถ้าหากมีช่องทางก็ได้ทูลขออภัยโทษให้ขุนแผนผู้เป็นพ่อ

    " สะอื้นพลางทางคิดถึงพระคุณ

     

    เดชะความสัตยอธิษฐาน

    ข้าพเจ้าจะดำริตริการ

     

    คิดอ่านขอโทษให้บิดา

    ขอให้ได้สมอารมณ์คิด

     

    อย่าให้ผิดมุ่งมาดปราถนา"

     

    เมื่อได้โอกาสก็เข้าไปหาจมื่นศรี พร้อมกับร่ายพระเวทย์ให้มีเมตตาแล้วถามว่า  เรื่องอะไรที่ทำให้จมื่นศรีไม่สบายใจ  จมื่นศรีบอกว่า พระพันวษาทรงกริ้วที่ไม่มีใครอาสาไปทัพ  พลายงามได้ขอให้จมื่นศรีไปกราบทูลขอให้ตนไปทัพ  แต่จมื่นศรีทัดทานว่า  พลายงามนั้นถึงแม้จะเป็นลูกขุนแผนที่มีวิชาอาคมเก่งกล้า ก็ยังเป็นเด็ก วิชาความรู้ก็ไม่มี ควรคิดดูให้ดีหากทำไม่ได้ก็จะทำให้ทรงพิโรธไปกว่านี้

    " ลูกเอ๋ยการศึกนี้ลึกนัก         จะเอาแต่โวหารหักนั้นไม่ได้ ..."

    พลายงามจึงทดลองวิชาโดยหายตัวและแปลงกายเป็นเสือโคร่งให้จมื่นศรีดู  จมื่นศรีเห็นความสามารถก็พอใจ

    พลายงามทูลขอโทษขุนแผน

    รุ่งขึ้น จมื่นศรีได้พาพลายงามไปเข้าเฝ้า  แล้วทูลว่า พลายงามเป็นลูกขุนแผน และได้เรียนวิชาอาคมมาอย่างเชี่ยวชาญ จะขออาสาออกรบ  เมื่อพระพันวษาให้พาตัวมาเข้าเฝ้า  พลายงามได้ร่ายเวทย์ให้ ทรงเมตตาทำให้พระองค์ทรงรักใคร่  ได้ตรัสถามว่า จะไปทัพได้หรือไม่  หากไปแล้วรบชนะจะปูนบำเหน็จให้  พลายงามกราบทูลขอรับอาสาไปรบกับเชียงใหม่ และจะจับตัวกลับมาถวายให้ได้ แต่หากตนได้ไปร่วมรบกับขุนแผนผู้บิดาด้วยแล้วจะดีมากกว่านี้  

    พระพันวษาจึงสั่งให้พระยายมไปถอดขุนแผนมา แล้วตรัสกับขุนแผนว่า พลายงามได้มาทูลขอให้ไปทัพที่เมืองเชียงใหม่ด้วย  ที่ถูกขังอยู่หลายปีนั้นไม่ได้เป็นเพราะพระองค์เกลียดชังหรือแค้นเคือง แต่ทรงลืมไป

    ฝ่ายขุนแผนได้ฟังก็กราบทูลว่า ตนจะขออาสาไปรบกับพลายงามแล้วไม่ต้องการไพร่พลมากมาย  ขอแต่ไพร่มาหาบเสบียงอาหาร และขอไพร่นักโทษในคุกที่มีวิชาสามสิบห้าคนเท่านั้น

    พระพันวษาได้ฟังจึงตรัสว่า เมืองเชียงใหม่นั้นมีไพร่พลมากมาย การที่จะเอาไพร่ไปเพียงเท่านี้อาจจะแพ้กลับมาได้ แล้วขอให้ไพร่ที่เป็นนักโทษสามสิบห้าคนมาประลองวิชาให้ดูในวันมะรืน

    ขุนแผนกับนางแก้วกิริยามาอยู่บ้านจมื่นศรี
    ฝ่ายนางแก้วกิริยานั้นได้มาอยู่กับขุนแผนที่กระท่อมหน้าหับเผย ตั้งแต่ติดคุกและนางได้ตั้งท้องสิบเดือนแล้ว  เมื่อรู้ว่า ขุนแผนพ้นโทษก็ตามมาหาขุนแผนที่บ้านจมื่นศรี  จมื่นศรีบอกว่า ขุนแผนจะไปทัพให้มาอยู่ด้วยกันที่นี่  ส่วนขุนแผนนั้นบอกกับจมื่นศรีว่า ตนอาสาจะไปทัพแต่ห่วงนางทองประศรีผู้เป็นแม่ที่กาญจนบุรี  เมื่อตนและพลายงามไปทัพก็คิดถึงลูกหลาน อยากให้ไปรับมาอยู่เสียด้วยกันที่นี่  จมื่นศรีรับเป็นธุระให้

    พระพันวษาปล่อยนางลาวทอง

    ในวังนั้น สมเด็จพระพันวษาให้ลาวทองมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า  ขุนแผนพ้นโทษไปแล้ว  เพราะพลายงามลูกขุนแผนอาสาไปทัพ  และขอให้ขุนแผนไปช่วย ส่วนนางลาวทองนั้นได้มาทรมานอยู่ในวัง ปักสะดึงกรึงไหมมากว่าสิบปีแล้วก็จะยกโทษให้  นางลาวทองดีใจมากเมื่อพ้นโทษแล้วก็ไปหาขุนแผนที่บ้านจมื่นศรี  ครั้งแรกจำขุนแผนไม่ได้ เมื่อขุนแผนทักก็จำได้  แล้วขุนแผนแนะนำให้นางลาวทองรู้จักกับพลายงามและนางแก้วกิริยา

    ขุนแผนพลายงามกับพวกอาสาลองวิชาถวาย

    ฝ่ายพระพันวษาเมื่อได้ดูการลองวิชาแล้วก็ชื่นชมมาก ตรัสชมขุนแผนและพลายงามว่า  พ่อลูกมีวิชาอาคมเท่าเทียมกัน ข้าศึกคงสู่ไม่ได้ จากนั้นก็ประทานเสื้อผ้าอาหาร เงินทอง แล้วให้โหรดูฤกษ์ยามที่จะเคลื่อนทัพ ซึ่งจะต้องเดินทัพในวันขึ้นเจ็ดค่ำ สี่โมงเช้าเก้านาที

     

    " แล้วจึงตรัสสั่งคลังวิเศษ

     

    ให้จัดเสื่อโหมดเทศอย่างก้านแย่ง

    แพรจีนดวงพุดตาลส่านสีแดง

     

    ทั้งสมปักตามตำแหน่งขุนนางใน

    ....ให้คลังมหาสมบัติจัดเงินตรา

     

    ห้าชั่งเอามาประทานให้...."

     

    สมเด็จพระพันวษาจึงให้โหรหาฤกษ์ยกทัพ

    พระโหราหาฤกษ์แล้วทูลพลัน

     

    ขึ้นเจ็ดค่ำนั้นเป็นเศษห้า

    ได้ฤกษ์เบิกพยุหเสนา

     

    เวลาสี่โมงเช้าเก้านาที

    ปลอดทั้งผีหลวงห่วงวัน

     

    ยามนั้นได้เมื่อพระฤาษี

    แค้นขัดมัดมือลิงกาลี

     

    จะไปตีบ้านเมืองย่อมมีไชย"

     

    ขุนแผนพลายงามลานางทองประศรี

    ฝ่ายนางทองประศรีเมื่อมาถึงบ้านจมื่นศรี ได้พบขุนแผนก็ดีใจมาก  แล้วได้ขอบใจนางแก้วกิริยา ที่ไม่ทิ้งขุนแผน  ทั้งได้บอกให้นางแก้วกิริยาและนางลาวทองปรองดองกัน และอวยชัยให้พรขุนแผนกับพลายงาม ให้พบกับความสุขตลอดไป

     

    " อย่าประมาทอาจหาญการสู้รบ

     

    ขุนไกรปู่นั้นแต่หนุ่มคุ้มพันหัก

    แกมิได้หมิ่นศึกทำฮึกฮัก

     

    เบาหนักตรองดูให้รู้ความ

    อนึ่งพวกไพร่พลที่ไปด้วย

     

    ใครเดือดร้อนผ่อนช่วยอย่าหยาบหยาม

    อุตส่าห์เอาอกเอาใจให้งดงาม

     

    ไปรบพุ่งเหมือนตามกันเป็นตาย

    ถ้าใจเดียวเกลียวกลมกันหนึ่งแน่

     

    ถึงน้อยก็ไม่แพ้ที่มากหลาย

    ท่านว่าป่าพึ่งเสือเรือพึ่งพาย

     

    เราเป็นนายก็ต้องพึ่งซึ่งไพร่พล

     

    ขุนแผนประชุมพล

    ขุนแผนกับพลายงามได้ปรึกษากันว่า ก่อนจะไปทัพควรจะได้ปลุกเสกเครื่องให้มีฤทธิ์มากขึ้น  ก็ชวนกันไปที่ป่าช้าทำพิธีจนเสร็จ แล้วแจกอาวุธแก่ไพร่ทหารโดยใครถนัดอย่างใดก็เอาอย่างนั้นไปใช้

     

    " ศาสตราอาวุธจงเลือกใช้

     

    ใครถนัดอย่าไหนเอาไปพลัน

    บางคนฉวยดาบชักวาบวูบ

     

    ที่บางคนก็จับเอากั้นหยั่น

    บ้างเข้ามาคว้าปืนถือยืนยัน

     

    บางคนนั้นร้องบอกขอหอกยาว

    อ้ายเฉยว่าฉันเคยแต่ไม้พลอง

     

    อ้ายมาว่าฉันคล่องก็เพลงหลาว

    อ้ายเพ็ดว่าพร้าก็พอกับคอลาว

     

    อ้ายทิศสาคว้าง้าวออกลองรำ.."

     

    เมื่อถึงวันเคลื่อนทัพขุนแผนกับพลายงามไปเตรียมทัพที่ตำบลวัดใหม่ไชยชุมพล

    ครั้นจัดเสด็จเรียบร้อยคอยเวลา

     

    โหราเหยียบเงาเอาชั้นฉาย

    พอถ้วนนาทีสี่โมงปลาย

     

    ถึงฤกษ์จะขยายกระบวนพล

     

    เมื่อถึงฤกษ์เคลื่อนทัพออกไป นางแก้วกิริยาท้องแก่มากแล้วก็เจ็บท้องแล้วคลอดลูกเป็นผู้ชาย ตรงกับฤกษ์กรีฑาทัพจึงให้ชื่อว่าพลายชุมพลรณรงค์

    ฝ่ายขุนแผนเมื่อเคลื่อนทัพไปถึงป่าที่พิจิตร ซึ่งได้นำดาบฟ้าฟื้นฝังไว้  ตั้งแต่ครั้งไปขอพระพิจิตรส่งตัวกลับอยุธยา  เมื่อขุดดาบได้ขุนแผนบอกพลายงามว่า วันหน้าจะยกดาบนี้ให้  ได้เดินทัพผ่านลพบุรี  บางขาม  บ้านด่านโพธิไชย  อู่ตะเภา  ภูเขาทอง  หนองบัว  และพักทัพที่ทุ่งหลวง เมืองพิจิตร  พลายงามได้นอนหลับและฝันเห็นผู้หญิงสาว  ขุนแผนทำนายว่าจะได้เมียดี หรืออาจเป็นลูกสาวเจ้าเมืองก็ได้

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×