คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : พลายงามอาสา
พลายงามอาสา
พระเจ้าเชียงใหม่หาอุบายสู้ศึกไทย
นับแต่พระเจ้าพิไชยเมืองเชียงใหม่ได้นางสร้อยทองมาแล้ว ก็ทรงหนักใจว่าทั้งล้านช้างและกรุงศรีอยุธยาต้องโกรธแล้วยกทัพตี หากจะมาในเวลาเดียวกัน เชียงใหม่จะต้องพบศึกหนัก ควรจะชิงตีไทยให้พ่ายแพ้ไปก่อนล้านช้างก็คงไม่กล้ายกมา จึงปรึกษาเหล่าเสนาว่าควรจะทำอย่างไร พระยาท้าวแสนหลวงเสนาใหญ่ทูลว่า ควรจะส่งสาส์นไปยั่วให้ไทยโกรธ ยกทัพมาโดยเร็ว แล้วหักศึกไทยก่อนที่ทั้งสองทัพจะรวมกันได้ พระเจ้าเชียงใหม่เห็นด้วยได้ให้แสนตรีเพชรกล้านำสาส์นไปให้พระพันวษา
พระยาจักรีทูลสาส์นเชียงใหม่
ฝ่ายพระพันวษาเมื่อเสด็จออกขุนนาง พระยาจักรีได้กราบบังคมทูลว่า เชียงใหม่มีราชสาส์นมาแจ้งว่า ทัพเชียงใหม่ได้ชิงตัวนางสร้อยทองไปแล้ว ด้วยพระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่มีแสนยานุภาพมาก ได้เคยส่งราชทูตถือราชสาส์นไปขอนางสร้อยทอง แต่ด้วยนางยังเยาว์จึงยังไม่ได้นำมาครอง แต่พระท้ายน้ำกับพวกไพร่ขังคุกไว้ แต่ยังไม่ได้ฆ่า หากพระพันวษาต้องการตัวนางคืนก็ให้ยกทัพมาสู้กันใครชนะจะได้นางไปครอง จะให้เวลาภายในสามเดือนหากไม่มาก็จะฆ่าให้หมด หรือหากกลัวก็ให้บอกมา เมื่อพระพันวษาได้ฟังสาส์นก็ทรงพิโรธมาก ตรัสว่าพระเจ้าเชียงใหม่กำเริบมาก เหมือนกับลูกกวางมาท้าสู้กับราชสีห์ ทั้งนี้ตัวมีกำลังเท่าหยิบมือ อีกสามวันจะยกทัพไปเชียงใหม่หากตีไม่ได้ก็จะไม่กลับ รวมทั้งให้เกณฑ์หัวเมืองชั้นใหญ่น้อยไปร่วมตีเชียงใหม่ด้วย และเมื่อตีได้แล้วให้ฆ่าคนทั้งหมด แล้วรื้อกำแพงป้อมปราการให้สิ้น
เสนาบดีทูลขอให้หาผู้อาสา
ฝ่านเสนาน้อยใหญ่ก็กราบทูลเตือนพระสติว่า เมืองเชียงใหม่นั้นก็มีอยู่เท่านั้น ไม่ควรเสด็จไปรบเองเพราะจะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศไปเปล่า ๆ ควรจะไว้พระยศให้เหมือนกับครั้งที่พระรามให้หนุมานไปตีลงกา ผลที่สุดก็ได้พระนางสีดาคืนมา เมื่อสมเด็จพระพันวษาได้ฟังเหล่าเสนาก็คิดได้ ตรัสถามว่า ใครจะอาสาไปทัพ แต่ทุกคนนิ่งเงียบหาคนอาสาไม่ได้ ก็ทรงพิโรธ
" ดีแต่ฉ้อไพร่ไพล่เงินกิน | | ปลอกปลิ้นลิ้นลมประสมประสาน |
เลี้ยงเสียเบี้ยหวัดไม่ต้องการ | มีศฤงคารยศศักดิ์หนักแผ่นดิน" |
พลายงามขอให้จมื่นศรีนำอาสา
พลายงามนั้นได้อาศัยกับกับหมื่นศรีมานาน ได้ฝึกวิชาอาคมไปเรื่อยมีความเชี่ยวชาญมาก คิดอยากจะไปทัพเพื่อใช้วิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา เมื่อรู้ว่าอยุธยากำลังมีศึก ก็เห็นว่าเป็นทีของตนที่จะได้แสดงฝีมือแล้ว จะไปขอให้จมื่นศรีไปกราบทูลให้ตนได้อาสาไปทัพ และถ้าหากมีช่องทางก็ได้ทูลขออภัยโทษให้ขุนแผนผู้เป็นพ่อ
" สะอื้นพลางทางคิดถึงพระคุณ | | เดชะความสัตยอธิษฐาน |
ข้าพเจ้าจะดำริตริการ | คิดอ่านขอโทษให้บิดา | |
ขอให้ได้สมอารมณ์คิด | อย่าให้ผิดมุ่งมาดปราถนา" |
เมื่อได้โอกาสก็เข้าไปหาจมื่นศรี พร้อมกับร่ายพระเวทย์ให้มีเมตตาแล้วถามว่า เรื่องอะไรที่ทำให้จมื่นศรีไม่สบายใจ จมื่นศรีบอกว่า พระพันวษาทรงกริ้วที่ไม่มีใครอาสาไปทัพ พลายงามได้ขอให้จมื่นศรีไปกราบทูลขอให้ตนไปทัพ แต่จมื่นศรีทัดทานว่า พลายงามนั้นถึงแม้จะเป็นลูกขุนแผนที่มีวิชาอาคมเก่งกล้า ก็ยังเป็นเด็ก วิชาความรู้ก็ไม่มี ควรคิดดูให้ดีหากทำไม่ได้ก็จะทำให้ทรงพิโรธไปกว่านี้
" ลูกเอ๋ยการศึกนี้ลึกนัก จะเอาแต่โวหารหักนั้นไม่ได้ ..."
พลายงามจึงทดลองวิชาโดยหายตัวและแปลงกายเป็นเสือโคร่งให้จมื่นศรีดู จมื่นศรีเห็นความสามารถก็พอใจ
พลายงามทูลขอโทษขุนแผน
รุ่งขึ้น จมื่นศรีได้พาพลายงามไปเข้าเฝ้า แล้วทูลว่า พลายงามเป็นลูกขุนแผน และได้เรียนวิชาอาคมมาอย่างเชี่ยวชาญ จะขออาสาออกรบ เมื่อพระพันวษาให้พาตัวมาเข้าเฝ้า พลายงามได้ร่ายเวทย์ให้ ทรงเมตตาทำให้พระองค์ทรงรักใคร่ ได้ตรัสถามว่า จะไปทัพได้หรือไม่ หากไปแล้วรบชนะจะปูนบำเหน็จให้ พลายงามกราบทูลขอรับอาสาไปรบกับเชียงใหม่ และจะจับตัวกลับมาถวายให้ได้ แต่หากตนได้ไปร่วมรบกับขุนแผนผู้บิดาด้วยแล้วจะดีมากกว่านี้
พระพันวษาจึงสั่งให้พระยายมไปถอดขุนแผนมา แล้วตรัสกับขุนแผนว่า พลายงามได้มาทูลขอให้ไปทัพที่เมืองเชียงใหม่ด้วย ที่ถูกขังอยู่หลายปีนั้นไม่ได้เป็นเพราะพระองค์เกลียดชังหรือแค้นเคือง แต่ทรงลืมไป
ฝ่ายขุนแผนได้ฟังก็กราบทูลว่า ตนจะขออาสาไปรบกับพลายงามแล้วไม่ต้องการไพร่พลมากมาย ขอแต่ไพร่มาหาบเสบียงอาหาร และขอไพร่นักโทษในคุกที่มีวิชาสามสิบห้าคนเท่านั้น
พระพันวษาได้ฟังจึงตรัสว่า เมืองเชียงใหม่นั้นมีไพร่พลมากมาย การที่จะเอาไพร่ไปเพียงเท่านี้อาจจะแพ้กลับมาได้ แล้วขอให้ไพร่ที่เป็นนักโทษสามสิบห้าคนมาประลองวิชาให้ดูในวันมะรืน
ขุนแผนกับนางแก้วกิริยามาอยู่บ้านจมื่นศรี
ฝ่ายนางแก้วกิริยานั้นได้มาอยู่กับขุนแผนที่กระท่อมหน้าหับเผย ตั้งแต่ติดคุกและนางได้ตั้งท้องสิบเดือนแล้ว เมื่อรู้ว่า ขุนแผนพ้นโทษก็ตามมาหาขุนแผนที่บ้านจมื่นศรี จมื่นศรีบอกว่า ขุนแผนจะไปทัพให้มาอยู่ด้วยกันที่นี่ ส่วนขุนแผนนั้นบอกกับจมื่นศรีว่า ตนอาสาจะไปทัพแต่ห่วงนางทองประศรีผู้เป็นแม่ที่กาญจนบุรี เมื่อตนและพลายงามไปทัพก็คิดถึงลูกหลาน อยากให้ไปรับมาอยู่เสียด้วยกันที่นี่ จมื่นศรีรับเป็นธุระให้
พระพันวษาปล่อยนางลาวทอง
ในวังนั้น สมเด็จพระพันวษาให้ลาวทองมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า ขุนแผนพ้นโทษไปแล้ว เพราะพลายงามลูกขุนแผนอาสาไปทัพ และขอให้ขุนแผนไปช่วย ส่วนนางลาวทองนั้นได้มาทรมานอยู่ในวัง ปักสะดึงกรึงไหมมากว่าสิบปีแล้วก็จะยกโทษให้ นางลาวทองดีใจมากเมื่อพ้นโทษแล้วก็ไปหาขุนแผนที่บ้านจมื่นศรี ครั้งแรกจำขุนแผนไม่ได้ เมื่อขุนแผนทักก็จำได้ แล้วขุนแผนแนะนำให้นางลาวทองรู้จักกับพลายงามและนางแก้วกิริยา
ขุนแผนพลายงามกับพวกอาสาลองวิชาถวาย
ฝ่ายพระพันวษาเมื่อได้ดูการลองวิชาแล้วก็ชื่นชมมาก ตรัสชมขุนแผนและพลายงามว่า พ่อลูกมีวิชาอาคมเท่าเทียมกัน ข้าศึกคงสู่ไม่ได้ จากนั้นก็ประทานเสื้อผ้าอาหาร เงินทอง แล้วให้โหรดูฤกษ์ยามที่จะเคลื่อนทัพ ซึ่งจะต้องเดินทัพในวันขึ้นเจ็ดค่ำ สี่โมงเช้าเก้านาที
" แล้วจึงตรัสสั่งคลังวิเศษ | | ให้จัดเสื่อโหมดเทศอย่างก้านแย่ง |
แพรจีนดวงพุดตาลส่านสีแดง | ทั้งสมปักตามตำแหน่งขุนนางใน | |
....ให้คลังมหาสมบัติจัดเงินตรา | ห้าชั่งเอามาประทานให้...." |
สมเด็จพระพันวษาจึงให้โหรหาฤกษ์ยกทัพ
พระโหราหาฤกษ์แล้วทูลพลัน | | ขึ้นเจ็ดค่ำนั้นเป็นเศษห้า |
ได้ฤกษ์เบิกพยุหเสนา | เวลาสี่โมงเช้าเก้านาที | |
ปลอดทั้งผีหลวงห่วงวัน | ยามนั้นได้เมื่อพระฤาษี | |
แค้นขัดมัดมือลิงกาลี | จะไปตีบ้านเมืองย่อมมีไชย" |
ขุนแผนพลายงามลานางทองประศรี
ฝ่ายนางทองประศรีเมื่อมาถึงบ้านจมื่นศรี ได้พบขุนแผนก็ดีใจมาก แล้วได้ขอบใจนางแก้วกิริยา ที่ไม่ทิ้งขุนแผน ทั้งได้บอกให้นางแก้วกิริยาและนางลาวทองปรองดองกัน และอวยชัยให้พรขุนแผนกับพลายงาม ให้พบกับความสุขตลอดไป
" อย่าประมาทอาจหาญการสู้รบ | | ขุนไกรปู่นั้นแต่หนุ่มคุ้มพันหัก |
แกมิได้หมิ่นศึกทำฮึกฮัก | เบาหนักตรองดูให้รู้ความ | |
อนึ่งพวกไพร่พลที่ไปด้วย | ใครเดือดร้อนผ่อนช่วยอย่าหยาบหยาม | |
อุตส่าห์เอาอกเอาใจให้งดงาม | ไปรบพุ่งเหมือนตามกันเป็นตาย | |
ถ้าใจเดียวเกลียวกลมกันหนึ่งแน่ | ถึงน้อยก็ไม่แพ้ที่มากหลาย | |
ท่านว่าป่าพึ่งเสือเรือพึ่งพาย | เราเป็นนายก็ต้องพึ่งซึ่งไพร่พล |
ขุนแผนประชุมพล
ขุนแผนกับพลายงามได้ปรึกษากันว่า ก่อนจะไปทัพควรจะได้ปลุกเสกเครื่องให้มีฤทธิ์มากขึ้น ก็ชวนกันไปที่ป่าช้าทำพิธีจนเสร็จ แล้วแจกอาวุธแก่ไพร่ทหารโดยใครถนัดอย่างใดก็เอาอย่างนั้นไปใช้
" ศาสตราอาวุธจงเลือกใช้ | | ใครถนัดอย่าไหนเอาไปพลัน |
บางคนฉวยดาบชักวาบวูบ | ที่บางคนก็จับเอากั้นหยั่น | |
บ้างเข้ามาคว้าปืนถือยืนยัน | บางคนนั้นร้องบอกขอหอกยาว | |
อ้ายเฉยว่าฉันเคยแต่ไม้พลอง | อ้ายมาว่าฉันคล่องก็เพลงหลาว | |
อ้ายเพ็ดว่าพร้าก็พอกับคอลาว | อ้ายทิศสาคว้าง้าวออกลองรำ.." |
เมื่อถึงวันเคลื่อนทัพขุนแผนกับพลายงามไปเตรียมทัพที่ตำบลวัดใหม่ไชยชุมพล
ครั้นจัดเสด็จเรียบร้อยคอยเวลา | | โหราเหยียบเงาเอาชั้นฉาย |
พอถ้วนนาทีสี่โมงปลาย | ถึงฤกษ์จะขยายกระบวนพล |
เมื่อถึงฤกษ์เคลื่อนทัพออกไป นางแก้วกิริยาท้องแก่มากแล้วก็เจ็บท้องแล้วคลอดลูกเป็นผู้ชาย ตรงกับฤกษ์กรีฑาทัพจึงให้ชื่อว่าพลายชุมพลรณรงค์
ฝ่ายขุนแผนเมื่อเคลื่อนทัพไปถึงป่าที่พิจิตร ซึ่งได้นำดาบฟ้าฟื้นฝังไว้ ตั้งแต่ครั้งไปขอพระพิจิตรส่งตัวกลับอยุธยา เมื่อขุดดาบได้ขุนแผนบอกพลายงามว่า วันหน้าจะยกดาบนี้ให้ ได้เดินทัพผ่านลพบุรี บางขาม บ้านด่านโพธิไชย อู่ตะเภา ภูเขาทอง หนองบัว และพักทัพที่ทุ่งหลวง เมืองพิจิตร พลายงามได้นอนหลับและฝันเห็นผู้หญิงสาว ขุนแผนทำนายว่าจะได้เมียดี หรืออาจเป็นลูกสาวเจ้าเมืองก็ได้
ความคิดเห็น