ลำดับตอนที่ #33
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : การเคี้ยวอาหาร
การเคี้ยวอาหาร
เคี้ยวมาก จะช่วยให้สมองปราดเปรียวมากขึ้น นักการเมืองชาวอังกฤษท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า
“อาหาร 1 คำ ต้องเคี้ยวอย่างน้อย 3-12 ที ไม่ว่าอาหารนั้นจะอ่อนแค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณไม่มีความอดทนขั้นนี้ ก็อย่าไปหวังว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้”
มีอาจารย์ท่านหนึ่งป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารตั้งแต่เด็ก สร้างความกลัดกลุ้มทรมานแก่เขามาก
หลังจากเขาทดลองเคี้ยวอาหารคำละ 100 ทีแล้ว ปรากฏว่า เขาหายจากโรคกระเพาะอาหารในเวลา 1 สัปดาห์
การเคี้ยวอาหารมิเพียงเกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น ยังเกี่ยวพันกับสมรรถนะของสมองอย่างแนบแน่นด้วย
การเคี้ยวอาหารจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลาย (SALIVARY GLAND)
และต่อมใต้หู (PAROTID GLAND) หลั่งฮอร์โมนออกมา
ขณะเดียวกัน อาการเคี้ยวซึ่งทำให้ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันก็จะกระตุ้นสมองใหญ่ด้วย
การกระตุ้นนี้จะทำให้สมองใหญ่ปราดเปรียวยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มพลังแห่งการวินิจฉัย การขบคิดและสมาธิ
คนที่กินอาหารอ่อนนุ่มบ่อย ๆ หรือเคี้ยวอาหารไม่ค่อยได้หรือเคี้ยวน้อยไป สมองก็จะอ่อนแอด้วย
ข้างล่างนี้คือผลที่ได้จากการทดลองจำนวนทีที่เคี้ยวอาหารสำหรับประกอบการพิจารณา
ผู้ที่สนใจจะทดลองดูก็ได้
ผลที่ได้จากการเคี้ยวอาหาร
การเคี้ยวอาหาร 30 ที
ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ ควรเคี้ยวอย่างน้อยที่สุด 30 ที
จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง และช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิดจิตใจไม่สงบ
การเคี้ยวอาหาร 50 ที
จะช่วยลดการกลัดกลุ้มเจ้าอารมณ์ อย่างน้อยที่สุดช่วยให้ลืมเรื่องไม่น่าอภิรมย์ได้ในเวลากินอาหาร
นอกจากนี้ ยังลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกินจำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
การเคี้ยวอาหาร 60 ที
เหมาะสำหรับอาหารที่มีใยหรือกากมากหรือย่อยสลายลำบาก ช่วยลดอาการท้องผูก
กระตุ้นสมรรถนะของสมองใหญ่ ช่วยให้สมองแล่นมากขึ้น
การเคี้ยวอาหาร 80 ที
ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น สามารถจำแนกรสธรรมชาติและสารปรุงอาหารที่มีพิษในอาหารได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังช่วยให้เลียนแบบสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
การเคี้ยวอาหาร 100 ที
ช่วยให้หนักแน่นมากขึ้น สามารถวินิจฉัยและจัดการปัญหาต่าง ๆ อย่างสงบเยือกเย็น
กินน้อยแต่ร่างการดูดซึมสารอาหารได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ หรือระคายต่อร่างกายได้ด้วย
การเคี้ยวอาหาร 150 ที
ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 150 ที ต่ออาหารหนึ่งคำ กระเพาะอาหารและลำไส้จะมีสมรรถนะสูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังช่วยให้หายจากโรคเรื้อรังบางอย่างโดยไม่ต้องรักษา
ขณะเดียวกันก็ช่วยให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดังใจ
การเคี้ยวอาหาร 200 ที
ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 200 ที ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อแล้ว จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ ได้แม่นยำมากขึ้น
ถ้าผู้ที่เป็นมารดาเอาแต่ป้อนอาหารที่อ่อนเหลวและมีคุณค่าอาหารค่อนค้างสม่ำเสมอแก่เด็กแล้ว
เด็กโตขึ้นก็จะติดนิสัยเลว ๆ ที่ชอบกลืนอาหารโดยไม่เคี้ยว และไม่มีทางได้สัมผัสความรู้สึกอิ่มในการกินอาหาร
ท้ายที่สุดก็จะติดความเคยชินชอบกินอาหารมากเกินไป นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กอ้วนเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
เคยมีคนสำรวจเด็กอายุระหว่าง 1-5 ขวบ จำนวน 39,000 คน ผลปรากฏว่า
เด็กที่ขบเคี้ยวอาหารค่อนข้างแข็งไม่เป็นมีจำนวนถึง 550 คน พูดง่าย ๆ ก็คือ
เด็กทุก 75 คน จะมีเด็ก 1 คน ขบเคี้ยวอาหารไม่เป็น
อีกทั้งนี่เป็นปรากฏการณ์ทั่วไปในประเทศต่าง ๆ ของโลกทุกวันนี้
ผลการสำรวจของ ดร. ดับเบิลยู เอ พูลเลอรส์ นายแพทย์ชาวอเมริกันพบว่า
ชาวเอสกิโมและชาวอินเดียนามีอาการขากรรไกรล่างไม่แข็งแรง
เนื่องจากการกินอาหารกระป๋องและอาหารรสหวานมากไปเป็นเวลายาวนาน
ทั้งที่เดิมทีพวกเขามีฟัน เหงือกและขากรรไกรที่แข็งแรงมาก
เนื่องจากต้องเคี้ยวอาหารดั้งเดิมของพวกเขาซึ่งมักมีเอ็นเหนียวอยู่ด้วย
ถ้าเคี้ยวอาหารไม่ถูกหลัก มิเพียงจะทำให้ฟันผุเท่านั้น
แม้แต่สมอง อวัยวะภายใน เอว แขนขาก็จะพลอยได้รับผลกระทบอย่างหนัก
หนังสือโภชนาการชีวิตและความเสื่อมของร่างกายซึ่งเขียนโดยนายแพทย์ท่านหนึ่งได้เตือนผู้อ่านอย่างจริงใจว่า
ความเคยชินที่ไม่ถูกต้องในการกินอาหารทำให้เกิดโรคจิตและโรคในส่วนศีรษะได้ง่าย
ข้อความที่แฝงความหมายลึกซึ้งและจริงใจนี้มิได้ขยายความเกินจริงอย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่า การเคี้ยวมีสมรรถนะช่วยขจัดพิษด้วย
เคี้ยวมาก จะช่วยให้สมองปราดเปรียวมากขึ้น นักการเมืองชาวอังกฤษท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า
“อาหาร 1 คำ ต้องเคี้ยวอย่างน้อย 3-12 ที ไม่ว่าอาหารนั้นจะอ่อนแค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณไม่มีความอดทนขั้นนี้ ก็อย่าไปหวังว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้”
มีอาจารย์ท่านหนึ่งป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารตั้งแต่เด็ก สร้างความกลัดกลุ้มทรมานแก่เขามาก
หลังจากเขาทดลองเคี้ยวอาหารคำละ 100 ทีแล้ว ปรากฏว่า เขาหายจากโรคกระเพาะอาหารในเวลา 1 สัปดาห์
การเคี้ยวอาหารมิเพียงเกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น ยังเกี่ยวพันกับสมรรถนะของสมองอย่างแนบแน่นด้วย
การเคี้ยวอาหารจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลาย (SALIVARY GLAND)
และต่อมใต้หู (PAROTID GLAND) หลั่งฮอร์โมนออกมา
ขณะเดียวกัน อาการเคี้ยวซึ่งทำให้ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันก็จะกระตุ้นสมองใหญ่ด้วย
การกระตุ้นนี้จะทำให้สมองใหญ่ปราดเปรียวยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มพลังแห่งการวินิจฉัย การขบคิดและสมาธิ
คนที่กินอาหารอ่อนนุ่มบ่อย ๆ หรือเคี้ยวอาหารไม่ค่อยได้หรือเคี้ยวน้อยไป สมองก็จะอ่อนแอด้วย
ข้างล่างนี้คือผลที่ได้จากการทดลองจำนวนทีที่เคี้ยวอาหารสำหรับประกอบการพิจารณา
ผู้ที่สนใจจะทดลองดูก็ได้
ผลที่ได้จากการเคี้ยวอาหาร
การเคี้ยวอาหาร 30 ที
ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ ควรเคี้ยวอย่างน้อยที่สุด 30 ที
จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง และช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิดจิตใจไม่สงบ
การเคี้ยวอาหาร 50 ที
จะช่วยลดการกลัดกลุ้มเจ้าอารมณ์ อย่างน้อยที่สุดช่วยให้ลืมเรื่องไม่น่าอภิรมย์ได้ในเวลากินอาหาร
นอกจากนี้ ยังลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกินจำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
การเคี้ยวอาหาร 60 ที
เหมาะสำหรับอาหารที่มีใยหรือกากมากหรือย่อยสลายลำบาก ช่วยลดอาการท้องผูก
กระตุ้นสมรรถนะของสมองใหญ่ ช่วยให้สมองแล่นมากขึ้น
การเคี้ยวอาหาร 80 ที
ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น สามารถจำแนกรสธรรมชาติและสารปรุงอาหารที่มีพิษในอาหารได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังช่วยให้เลียนแบบสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
การเคี้ยวอาหาร 100 ที
ช่วยให้หนักแน่นมากขึ้น สามารถวินิจฉัยและจัดการปัญหาต่าง ๆ อย่างสงบเยือกเย็น
กินน้อยแต่ร่างการดูดซึมสารอาหารได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ หรือระคายต่อร่างกายได้ด้วย
การเคี้ยวอาหาร 150 ที
ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 150 ที ต่ออาหารหนึ่งคำ กระเพาะอาหารและลำไส้จะมีสมรรถนะสูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังช่วยให้หายจากโรคเรื้อรังบางอย่างโดยไม่ต้องรักษา
ขณะเดียวกันก็ช่วยให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดังใจ
การเคี้ยวอาหาร 200 ที
ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 200 ที ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อแล้ว จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ ได้แม่นยำมากขึ้น
ถ้าผู้ที่เป็นมารดาเอาแต่ป้อนอาหารที่อ่อนเหลวและมีคุณค่าอาหารค่อนค้างสม่ำเสมอแก่เด็กแล้ว
เด็กโตขึ้นก็จะติดนิสัยเลว ๆ ที่ชอบกลืนอาหารโดยไม่เคี้ยว และไม่มีทางได้สัมผัสความรู้สึกอิ่มในการกินอาหาร
ท้ายที่สุดก็จะติดความเคยชินชอบกินอาหารมากเกินไป นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กอ้วนเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
เคยมีคนสำรวจเด็กอายุระหว่าง 1-5 ขวบ จำนวน 39,000 คน ผลปรากฏว่า
เด็กที่ขบเคี้ยวอาหารค่อนข้างแข็งไม่เป็นมีจำนวนถึง 550 คน พูดง่าย ๆ ก็คือ
เด็กทุก 75 คน จะมีเด็ก 1 คน ขบเคี้ยวอาหารไม่เป็น
อีกทั้งนี่เป็นปรากฏการณ์ทั่วไปในประเทศต่าง ๆ ของโลกทุกวันนี้
ผลการสำรวจของ ดร. ดับเบิลยู เอ พูลเลอรส์ นายแพทย์ชาวอเมริกันพบว่า
ชาวเอสกิโมและชาวอินเดียนามีอาการขากรรไกรล่างไม่แข็งแรง
เนื่องจากการกินอาหารกระป๋องและอาหารรสหวานมากไปเป็นเวลายาวนาน
ทั้งที่เดิมทีพวกเขามีฟัน เหงือกและขากรรไกรที่แข็งแรงมาก
เนื่องจากต้องเคี้ยวอาหารดั้งเดิมของพวกเขาซึ่งมักมีเอ็นเหนียวอยู่ด้วย
ถ้าเคี้ยวอาหารไม่ถูกหลัก มิเพียงจะทำให้ฟันผุเท่านั้น
แม้แต่สมอง อวัยวะภายใน เอว แขนขาก็จะพลอยได้รับผลกระทบอย่างหนัก
หนังสือโภชนาการชีวิตและความเสื่อมของร่างกายซึ่งเขียนโดยนายแพทย์ท่านหนึ่งได้เตือนผู้อ่านอย่างจริงใจว่า
ความเคยชินที่ไม่ถูกต้องในการกินอาหารทำให้เกิดโรคจิตและโรคในส่วนศีรษะได้ง่าย
ข้อความที่แฝงความหมายลึกซึ้งและจริงใจนี้มิได้ขยายความเกินจริงอย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่า การเคี้ยวมีสมรรถนะช่วยขจัดพิษด้วย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น