ลำดับตอนที่ #26
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : บันทึกไม่ลับนักศึกษาแพทย์ ตอน "ย้อนรอย...นครพิงค์" (อัพแล้ว 100%)
เรื่องโดย ~หมูสนาม~ นิสิตแพทย์ มศว MD20
เขียนเมื่อ 31 มีนาคม 2552
เรื่องราวของตอนนี้ย้อนไปสมัยที่EXTERNแบงค์ยังเป็นแค่นิสิตแพทย์ปี 5 และได้เลือกลงวิชาเลือก(Electiveฝึกงาน)ที่โรงพยาบาลนครพิงค์ ณ จังหวัดเชียงใหม่
PS.อ่านเรื่องราวของตอนนี้ย้อนได้ในตอนที่ 17 บันทึกไม่ลับนักศึกษาแพทย์ ตอน “เดินทางลัดฟ้า
สู่นครเชียงใหม่”
เรื่องนั้นเกิด ณ กลางดึกของกลางคืน
คืนหนึ่ง
ขณะที่นิสิตแพทย์แบงค์กำลังอยู่เวรดึกกับนิสิตแพทย์ปิ้น และนิสิตแพทย์เชอรี่ ที่Wardอายุรกรรม
หว้อ
หว้อ
เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังขึ้นเป็นระยะๆ เป็นเสียงที่ได้ยินกันจนคุ้นหูแล้ว เนื่องจากโรงพยาบาลนครพิงค์แห่งนี้เป็นถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัดเชียงใหม่ รถพยาบาลที่วิ่งเข้าออกก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา วันนี้ก็คงเป็นเหมือนทุกวัน
จริงๆแล้วนิสิตแพทย์แบงค์ก็ไม่ได้สนใจกับเสียงไซเรนนี้เท่าไรนัก เพราะ หน้าที่ของนิสิตแพทย์แบงค์วันนี้ก็คือดูแลคนไข้สามสิบเตียงที่นอนอยู่ในWardอายุรกรรม ส่วนเรื่องฉุกเฉินก็ให้คุณหมอที่อยู่ที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน(ER)ดูแลไปก่อนแล้วกัน ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวข้องกับอายุรกรรม เขาก็คงเรียกเอง
. พูดไม่ทันขาดคำโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“กรี้ง
กริ้ง ขอให้น้องนิสิตแพทย์อายุรกรรมไปที่ERด่วนเลยค่ะ”
โดนตามจนได้
ต้องเป็นเคสคนไข้ที่หน้าสนใจแน่ๆเลย
อาจารย์ถึงตามด้วยตนเอง
เมื่อไปถึงก็พบว่าคนไข้ถูกบุรุษพยาบาลเข็นจากรถพยาบาลเข้ามาอยู่ใน ER เรียบร้อยแล้ว คนไข้เป็นลุงแก่ๆ อายุน่าจะประมาณ 60 ปี สภาพดูแย่มาก มีอาการดังนี้
- เรียกไม่รู้สึกตัว น้ำลายฟูมปาก
- เหงื่อออกท่วมตัว น้ำตา น้ำมูกไหลตลอดเวลา
- ตัวเริ่มเขียว ที่แปลกไปกว่านั้นเห็นกล้ามเนื้อแขนขาของคุณลุงขยับได้เองเป็นลูกคลื่น และดูรูม่านตาพบว่ารูม่านตาเล็กเท่ารูเข็ม
- ค่าความดันเลือดยังไม่ตกมาก ประมาณ 110/70 mmHg แต่อัตราการเต้นของหัวใจค่อนข้างต่ำเหลือประมาณ 50 ครั้งต่อนาที ค่าความอิ่มตัวของOxygenวัดจากปลายนิ้วเหลือเพียง 68 %
ถ้าเป็นน้อง
น้องจะทำอย่างไรกับคนไข้คนนี้ระหว่าง
A. เจาะเลือด ส่งLabทางห้องปฏิบัติการทุกอย่างเท่าที่นึกได้เพื่อสืบหาสาเหตุที่ทำให้คนไข้เกิดอาการในครั้งนี้ แล้วค่อยทำการรักษา
B. ใส่ท่อช่วยหายใจ และรักษาเบื้องต้นไปก่อนโดยที่ยังไม่รู้ว่าคนไข้ถูกวินิจฉัยว่าป็นโรคอะไร
คำตอบก็คือข้อ B คนไข้แย่แล้วเขียวซะขนาดนี้ หากเรารอผลทางห้องปฏิบัติการมาคนไข้ก็คงลงหลุมไปแล้วครับ>_< เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรักษาภาวะฉุกเฉินของคนไข้ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งเมื่อคนไข้ได้ทำตามข้อA ไปก็ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ
อย่างที่พี่เคยพูดไปการวินิจฉัยโรคทางการแพทย์นั้น 80 % นั้นได้มาจากการซักประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลัก อีก 20%นั้นถึงเป็นการวินิจฉัยจากผลทางห้องปฏิบัติการ อย่างคนไข้คนนี้ ประวัติก็คงไม่ได้เท่าไรเนื่องจากคนไข้มาก็น้ำลายฟูมปากแล้ว แต่เคสนี้จากแค่การตรวจร่างกาย จริงๆแล้วก็สามารถวินิจฉัยโรคได้เลยว่าได้รับสารพิษบางอย่างมา คือยาฆ่าแมลง เพราะผลที่ได้จากการตรวจร่างกายและอาการของคนไข้เข้าได้กับกลุ่มอาการได้รับสารพิษชนิดนี้(รายละเอียดไว้เข้ามาเรียนหมอแล้วจะรู้เองนะ^_^)
หลังจากคนไข้พ้นจากสภาวะวิกฤติแล้วก็ถูกส่งต่อมาที่Ward อายุรกรรมซึ่งเป็นWardที่นิสิตแพทย์แบงค์กับนิสิตแพทย์ปิ้น และนิสิตแพทย์เชอรี่อยู่นั้นเอง
ณ Ward อายุรกรรมชาย ที่หน้าเตียงคนไข้
“เชอรี่ เธอว่าคุณลุงไปโดยยาฆ่าแมลงมาได้อย่างไร” นิสิตแพทย์ปิ้นถามขึ้น
“เอ่อนั้นสินะ แก่ขนาดนี้ไม่น่ากินยาฆ่าตัวตายเลย” นิสิตแพทย์เชอรี่แสดงความเห็น
“เอ่อนั้นเด่
แก่ๆขนาดนี้ไม่น่าคิดสั้นเลย” นิสิตแพทย์ปิ้นให้ความคิดสนับสนุน
พังงาบ พังงาบ พังงาบ ลุงคนไข้ก็นอนอยู่ตรงนั้นขณะที่บทสนทนากำลังดำเนินไป
พังงาบ พังงาบ พังงาบ ลุงคนไข้ก็นอนอยู่ตรงนั้นขณะที่บทสนทนากำลังดำเนินไป
“เห้ย! เราว่าลุงแกต้องโดนวางยาแน่เลย”
“จริงด้วย อาจจะเป็นอย่างที่พูดก็ได้นะ”
“ไม่ใช่แค่อาจจะ ต้องใช่แน่ๆเลย ลุงแกต้องถูกวางยาเอามรดก” นิสิตแพทย์ปิ้นย้ำอีกครั้งด้วยเสียงอันดัง
ขณะนั้นเองลุงคนไข้ก็
พังงาบ
พังงาบ
พังงาบ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไม่ควรเอาเรื่องของคนไข้มาพูดลับหลัง โดยเฉพาะต่อหน้าอย่างในกรณีนี้ยิ่งไม่ควรทำอย่างมาก ถึงแม้คนไข้จะอยู่ในสภาพไม่ได้สติก็ตาม...
แพทย์ต้องรักษาความลับของคนไข้นะครับและจะพูดอะไรก็ต้องมีหลักฐานอย่าซี้ซั้วพูดนะครับ อันนี้ถือเป็นบทเรียนแล้วกัน ^_^ ไปก่อนล่ะครับ
แพทย์ต้องรักษาความลับของคนไข้นะครับและจะพูดอะไรก็ต้องมีหลักฐานอย่าซี้ซั้วพูดนะครับ อันนี้ถือเป็นบทเรียนแล้วกัน ^_^ ไปก่อนล่ะครับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น