ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หอสมุดต้องห้ามแห่งดาร์คแลนด์

    ลำดับตอนที่ #17 : ตำนานแห่งบุปผา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.45K
      2
      1 ก.ค. 59

    ตำนานแห่งบุปผา


    ทุกอย่างมีที่มา บุปผามีเรื่องเล่า
    ความรัก ความหลง ความตาย สันสร้าง
    กลีบดอกชูช่อ รอผู้รับฟัง

     
    ดอกกุหลาบ

     

            ดอกกุหลาบสัญลักแห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยา และ น้ำหอม ได้อีกด้วย
     

            มีตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส  ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง


            แต่บางตำนานก็เล่าว่า ดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

            บางตำนานกล่าวว่า กุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ

            จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอม และทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa

            จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก

            แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ ของความเงียบ และความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง

            กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ

            และ ผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลก ที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบ หนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ

    ดอกแดฟโฟดิล
     


     

                 ในตำนานกรีกกล่าวไว้ว่า...นา ร์ซิสซัส (Narcissus) เป็นวีรบุรุษแห่งดินแดน Thespiae ได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มรูปงามที่สุด ทรนงและหลงใหลในความงดงามของตนเอง มีหญิงสาวมาหลงรักมากมาย รวมไปถึงเทพหลายองค์ เช่น เทพธิดาเอคโค่ ที่ถูกสาปโดยพระนางเฮียร่า ให้พูดตามผู้สนทนา เทพเอคโค่ผิดหวังจากนาร์ซิสซัส ทำให้ร่างกายกลายเป็นหิน เหลือเพียงเสียงสะท้อนจนถึงทุกวันนี้ เทพแห่งความรัก แอฟโฟได ไม่พอใจที่นาร์ซิสซัสหลงตัวเองเช่นนั้น และดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น จึงสาปให้นาร์ซิสซัสตกหลุมรักตัวเอง วันหนึ่งนาร์ซิสซํส พบเงาของตัวเองในสระน้ำ จึงตกหลุมรักหนุ่มรูปงาม จนไม่เป็นอันกินอันนอน ร่างกายซูบผอม พ่อและแม่มาตามให้กลับบ้านก็ไม่ยอมกลับ อาหารก็ไม่ยอมรับประทาน อาศัยอยู่แต่ที่ริมสระน้ำ ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะไม่อาจทรมานคนรักที่อยู่ในน้ำ ที่ร่างกายซูบผอมและทุกข์ใจเช่นกัน จึงใช้กริชแทงที่หัวใจของตัวเองตาย (ไม่ควนเอาเยี่ยงอย่างนะทุกคน)
                
    หลังเหตุการณ์นั้น ทำให้เทพแอฟโฟไดเกิดความสงสาร จึงเนรมิตดอกไม้ให้เกิดขึ้นตรงบริเวณที่ นาร์ซิสซัสตาย เรียกต้นไม้ดังกล่าวว่า ต้นนาร์ซิสซัส หรือ แดฟโฟดิล ดังในปัจจุบัน
                 มีคนเปรียบเทียบไว้ว่าการได้โอบกอดกอดช่อดอกแดฟโฟดิลไว้เต็มอ้อมแขนเสมือน ได้โอบกอดแสงอาทิตย์ไว้เลยทีเดียว แดฟโฟดิลทุกสายพันธุ์ล้วนมีกลิ่นหอม แต่แดฟโฟดิลสีเหลืองมีกลิ่นหอมที่สุด ซึ่งดอกไม้ชนิดนี้มีความหมายพิเศษที่ว่า "เกียรติยศแห่งอัศวิน" ดังนั้นการมอบกระถางแดฟโฟดิลจะดีกว่าการให้เป็นช่อดอกไม้ เพื่อที่ผู้รับจะได้มีโอกาสชื่นชมความงามของดอกแดฟโฟดิลได้นานกว่า

     

     

     

    Water Forgetmenot อย่าลืมฉัน


     

     

     

                 ในบรรดาดอกไม้ที่มีชื่อแสนจะโรแมนติคมากที่สุด  เห็นจะหนีไม่พ้นดอกหญ้าขนาดเล็กจิ๋วที่มีสีเหมือนกับท้องฟ้ากลางฤดูร้อนของ ประเทศอังกฤษ  เพราะดอกไม้ชนิดนี้ใช้บอกความในใจได้ว่า …. อย่าลืมฉัน

                 มีเรื่องเล่ากันมาว่า  เมื่อนานมาแล้วตั้งแต่ดอกฟอร์เก็ตมีน็อตยังไม่ได้มีชื่อนี้  มีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นชาวอังกฤษ  เพราะหนุ่มสาวคู่นี้ชอบเดินเที่ยวป่า 

                 ระหว่างทางที่ลัดเลาะไปตามลำธารสายเชี่ยวนั้น  หญิงสาวเห็นดอกหญ้าสีฟ้าสดใสขึ้นอยู่ตามริมฝั่งแล้วเกิดอยากได้ขึ้นมา  ชายหนุ่มจึงอาสาไปเก็บให้ตามแบบฉบับของพระเอกนิยายที่ควรจะเป็น  แต่ปรากฏว่าชายหนุ่มนี้เกิดซุ่มซ่ามและเหยียบพลาดเข้า ก็เลยหล่นลงน้ำไปทั้งตัว

                 อย่างไรก็ตาม  ชายหนุ่มไม่ทิ้งลวดลายของความเป็นพระเอก  เขาได้โยนดอกไม้ที่เก็บได้ให้กับหญิงสาวพร้อมกับตะโกนว่า “Forget me not!”  ในขณะที่สายน้ำก็ได้พัดพาเอาร่างของเขาออกไปไกลทุกที   ฝ่ายหญิงสาวครั้นได้รับดอกไม้แล้วก็ไม่รอช้า  รีบกระโจนลงน้ำและร้องเรียกตามไปเช่นกันว่า “Forget me not!”

    เป็นอันว่าดอกไม้ชนิดนี้ได้ชื่อว่าดอกฟอร์เก็ตมีน็อต  ก็ด้วยเหตุฉะนี้แล
     

    ตำนาน ดอกทานตะวัน

     

     

                 ณ. โบสถ์ที่ถูกปิดตายมานานนับปี หากผู้ใดพบเห็นคงสะท้อนใจดวงจิต นึกสงสารหญิงงามที่ถูกทรมานกักขังด้วยเหตุใดมิมีผู้ใดล่วงรู้
                 หญิงงามผู้นี้มีนามว่า ไคลธี สาเหตุที่นางถูกกักขังอาจเป็นเพราะความงามที่ไม่มีหญิงใดมาเทียบเทียมหรือ เพราะความใจดำของบิดาที่สั่งปิดตายยังสถานที่ที่นั่นโดยไร้ความเมตตาปราณี นางได้จำใจนิ่งอดทนอดกลั้นกับการที่ต้องถูกจองจำอย่างไร้อิสรภาพ
                 แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อนางสำรวจรอบๆ บริเวณซึ่งขณะนี้ไร้คนคุ้มกันหรือแม้แต่ข้ารับใช้ เพราะปัญญาอันเฉียบแหลม เธอได้หนีออกมาจากที่นั่นเพื่อไปยลแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ ดวงอาทิตย์ที่มอบแสงนั้นมันรูปร่างหน้าตาอย่างไรนางมิเคยรู้มาก่อน การหลุดพ้นครั้งนี้นางต้องได้เชยชมสมดั่งใจเป็นแน่แท้

                 กลางทุ้งหญ้าเขียวขจี นางนั่งเฝ้ามองรอคอยที่จะยลดวงอาทิตย์ที่แสนอบอุ่น ซึ่งขณะนั้น เทพอะพอลโล ควบม้าผ่านคุ้งขอบฟ้ากว้างพร้อมกับแสงร้อนแรงพาดผ่าน เพียงแรกพบนางถึงกับหลงใหลชายหนุ่มรูปงามนึกภาพตามในฝันตลอดการกลับมายัง โบสถ์

                 และทุกๆ วันนางหนีออกมาเพื่อที่จะรอพบพานชายในดวงจิตถึงแม้ต้องเจอกับขวากหนามหรือ การลงทัณฑ์เช่นไรนางมิเคยกลัว ขอเพียงได้เฝ้ามองชายหนุ่มที่จะควบม้าอย่างสง่างามข้ามผ่านท้องฟ้ากว้างมา พร้อมกับแสงอรุณที่มิอาจล่วงรู้ความรู้สึกที่นางมอบให้เพียงสักนิด นางได้แต่หวังว่าหากคงจะมีสักวันที่ชายหนุ่มเหลียวมามองเธอบ้าง

                 เจ้าหญิงไคลธีตัดสินใจหนีออกจากการพันธนาการตลอด ชีวิตด้วยความรู้สึกที่มั่นคงต่อเทพอะพอลโล ที่นางได้เฝ้ามองมาตลอด ถึงแม้จะไม่อยู่ในสายตาแต่เพราะความรักที่เปี่ยมล้นดวงจิตนางจึงตั้งมั่นอธิ ฐานต่อทวยเทพบนฟากฟ้า ด้วยความรักที่นางมอบให้ชายคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจตลอดมา หากเธอลับลาไปขอให้เธอได้เป็นทวยเทพแห่งผกา ที่ตั้งมั่นอยู่ตราบสิ้นแสงอัจจิมาตลอดกาลหากขอให้เส้นผมนุ่มสีทองผ่องอำพันเป็นกลีบดอกเหลือง ดวงอาทิตย์นั้นไม่อาจผลักไส ขอเพียงสถิตอยู่ในดวงหทัยเทพอะพอลโลจอมใจข้าตลอดไปด้วยเทอญ

                 หลังจากเจ้าหญิงไคลีสิ้นลม เรียวขาของเธอได้หยั่งรากลึกลงไปในพื้นพสุธา แขนและลำตัวก็กลับกลายเป็นลำต้นใบไม้เขียว ใบหน้าอันอ่อนหวานกลับกลายเป็นสีน้ำผึ้ง เส้นผมไหมสีทองของเธอกลับกลายเป็นกลีบดอกไม้สีเหลืองสดใส คอยแหงนมองเทพแห่งดวงอาทิตย์ไปทุกแห่งหนโดยมิมีทางเหน็ดเหนื่อยและจะคอยหัน มองตลอดจนกว่าดวงอาทิตย์ของเธอจะลาลับจากคุ้งขอบฟ้า ด้วยความรักและความภักดีตลอดกาล

                 ดอกทานตะวัน จึงเปรียบเสมือน ดอกไม้แห่งความรักที่ซื่อสัตย์และมั่นคง หากมอบดอกทานตะวันให้คนรัก คนๆ นั้นก็คือคนที่เราจะรักและซื่อสัตย์ไปตลอดกาล เฉกเช่นนางไคลธีที่รักดวงอาทิตย์ของเธอตราบสิ้นนานเท่านาน

                 ในอีกความหยายหนื่ง ดอกทานตะวันยังเปรียบเสมือน คนที่มีความ มะนา อดทนฝ่าฝัน ไม่ย่อท้อหวั่นเกรงต่อ ความลำบาก ปัญหา อุปสักใดๆ ดั่งดอกทานตะวันที่บานสพั่งพะเชีณหน้าความร้อนแรงแห่งแสงอาทิตย์.
     

    ตำนานรัก ดอกอาจิไซ
     

     

                 ทุกครั้งที่เห็นดอกอาจิไซ...ก็มักนึกถึงตำนาน ความรักระหว่างซีโบลด์และโอทากิ....เหตุการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างซีโบลด์และโอทากิเริ่มต้นที่บริเวณเดจิม่า ในเขตนางาซากิ ย้อนไป ๔๐๐ กว่าปี สมัยญี่ปุ่นยังคงปิดประเทศไม่ทำการค้ากับต่างชาติ แต่เปิดเมืองท่าไม่กี่แห่งให้คนต่างชาติทำการค้ากับญี่ปุ่น ที่เมืองนางาซากิเป็นบริเวณที่คนต่างชาติตั้งรกรากทำการค้าแลกเปลี่ยนกับ ญี่ปุ่น


                 ดร. นพ.ฟอน ฟิลิปป์ ซีโบลด์เป็นนายแพทย์ชาวเยอรมันที่เดินทางมากับกองเรือพาณิชย์อีสอินเดีย เมื่อมาถึงเมืองท่านางาซากิ ดร.นพ.ซีโบลด์ฟอน มีหน้าที่เป็นแพทย์รักษาโรคให้กับชาวเมืองนางาซากิ ซีโบลด์นำความรู้แพทย์แผนใหม่เข้ามาเผยแพร่ให้แก่ญี่ปุ่น เขาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ด้านการผ่าตัดให้แก่คนญี่ปุ่น เขาเปิดโรงเรียนแพทย์ในนางาซากิ

     



                 ในเขตนางาซากิปกติจะไม่อนุญาตให้คนญี่ปุ่นเข้าไป แต่ก็มีบางคนที่ได้รับอนุญาตให้สามารถเข้าไปได้ แต่ไม่กี่คน หนึ่งในจำนวนนั้นคือ โอทากิ โอทากิเป็นหญิงสาวญี่ปุ่น เธอเข้ามาดูแลบ้านพักของบรรดาคนต่างชาติ และแล้วก็มีเหตุผลให้โอทากิได้รู้จักกับซีโบลด์ โอทากิพาซีโบลด์ไปเดินเที่ยวยังที่ต่างๆในเมืองนางาซากิ แล้วความรักก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งสอง


                 ครั้งหนึ่งซีโบลด์นำสตอร์เบอร์รี่ของเยอรมันให้โอทากิลองทานดู...โอทากิไม่ เคยทานสตอร์เบอร์รี่มาก่อน ในอดีตญี่ปุ่นไม่มีต้นสตอร์เบอร์รี่ โอทากิชื่นชอบในรสชาติความอร่อยของสตอร์เบอร์รี่ที่ได้ทาน

     

                 ภายหลังจากที่คบหากัน....ในที่สุดโอทากิก็แต่งงานกับซีโบลด์มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อ อิเนะ
                 ซีโบลด์นอกเหนือจากเป็นนายแพทย์แล้ว ตัวเขาชื่นชมในพฤกษศาสตร์ เขาวาดภาพต้นไม้ ดอกไม้ต่างๆที่เขาเจอในญี่ปุ่น เขาทำการทดลองเพาะพันธุ์ไม้ต่างๆ ซีโบลด์สนใจในภูมิประเทศญี่ปุ่น เขาจ้างวานให้คนเขียนแผนที่ประเทศญี่ปุ่นให้....แต่แล้วเคราะห์กรรมก็มา เยือน เมื่อเรือที่เขาเดินทางเกิดล่ม สิ่งของที่บรรทุกมาลอยไปเกยชายหาด หีบใบหนึ่งของซีโบลด์ถูกเปิดฝาออกและพบภาพแผนที่ญี่ปุ่นที่ซีโบลด์ได้จ้าง นายช่างวาดเอาไว้ เรื่องรู้ไปถึงสำนักพระราชวัง การที่ซีโบลด์วาดภาพแผนที่ญี่ปุ่นถือว่าซีโบลด์กระทำความผิดร้ายแรงตาม กฎหมายของญี่ปุ่น ซีโบลด์โดนตั้งข้อหาว่าเป็นสายลับที่มาค้นหาความลับของญี่ปุ่นให้ข้าศึกภาย นอก ดังนั้นญี่ปุ่นจึงมีคำสั่งให้เนรเทศซีโบลด์ออกจากประเทศญี่ปุ่น


                 ซีโบลด์เก็บข้าวของและจำใจต้องพลัดพรากจากภรรยาและลูกสาว ซีโบลด์นำกระถางต้นไม้ที่บรรจุต้นอาจิไซไปด้วย ทุกครั้งที่มองดอกอาจิไซ....ซีโบลด์ก็ระลึกถึง "โอทากิ" ภรรยาของตนที่ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศญี่ปุ่น ตลอดทางที่เรือเดินสมุทรที่ออกเดินทางจากญี่ปุ่นไปยุโรป...ซีโบลด์ได้เขียน จดหมายพรรณาถึงความโศกเศร้าที่ต้องพลัดพรากกับภรรยาและลูกน้อย ซีโบลด์ได้เพาะพันธุ์ดอกอาจิไซสายพันธุ์ใหม่แล้วตั้งชื่อว่า "โอทักขุสะ" ในภาษาฮอลแลนด์ซึ่งถ้าแปลเป็นภาษาญี่ปุ่่นก็คือ "โอทากิ" ชื่อของภรรยาที่ซีโบลด์สุดแสนรัก

                 โอทากิมองว่า....ในชีวิตนี้เธอคงไม่มีโอกาสที่จะได้เจอซีโบลด์อีกแล้ว เธอจึงเขียนจดหมายถึงซีโบลด์ ให้ซีโบลด์ลืมเรื่องของเธอเถิดแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ในยุโรป

                 เมื่อซีโบลด์ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ถึงกับตกใจและเสียใจที่โอทากิได้ขอเลิก.....

                 เหตุการณ์ผ่านไปอีกหลายปี....ทั้งซีโบลด์และโอทากิต่างก็แต่งงานมีครอบครัว ใหม่ ซีโบลด์มีบุตรหลายคนกับแคทเธอรีน ในขณะที่โอทากิไม่มีบุตรกับสามีใหม่

                 แล้วกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นเมื่อญี่ปุ่นยอมเปิดประเทศภายหลังจาก ที่เปอรี่ได้นำกองทัพเรือมาปิดอ่าวเอโดะและเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ

                 ๓๖ ปีที่ซีโบลด์จากญี่ปุ่นไป....ถึงเวลาที่ซีโบลด์มีโอกาสได้เดินทางกลับมา เยือนญี่ปุ่นอีกครั้ง ซีโบลด์เดินทางมาญี่ปุ่นพร้อมอเล็กซานเดอร์บุตรชาย ซีโบลด์มีโอกาสได้เจอโอทากิและอิเนะลูกสาวซึ่งตั้งใจจะเป็นแพทย์ตามอย่างพ่อ ซึ่งอิเนะไปศึกษาโรงเรียนแพทย์สมัยใหม่ในนางาซากิและสุดท้ายเป็นแพทย์หญิง สำหรับวิชาแพทย์แผนใหม่คนแรกในประเทศญี่ปุ่น

                 แม้ว่าซีโบลด์จะได้กลับมาพบกับโอทากิใหม่....ความรู้สึกดีๆระหว่างกันยังคง มีอยู่.....แต่ด้วยพันธะของครอบครัวที่ตอนนี้ต่างคนต่างมี คนทั้งสองจึงไม่สามารถจะกลับมาครองรักกันได้อีก

                 ซีโบลด์เดินทางกลับไปประเทศเนเธอร์แลนด์และในช่วงชุดท้ายของชีวิต...ซีโบลด์เขียนข้อความเอาไว้ว่า

                 ภายหลังจากฉันเสียชีวิตลงแล้ว..
    อยากโบยบินไปยังดินแดนที่สงบและสวยงามที่ฉันเคยใช้ชีวิตอยู่.....

                 อีกมุมนึงของโลก...ก่อนที่โอทากิจะเสียชีวิตลง ..ความอร่อยของสตอร์เบอร์รี่นับตั้งแต่เธอเคยสัมผัสเป็นครั้งแรกเมื่อซี โบลด์ให้เธอลองทาน เธอไม่เคยลืม....เธอจึงขอทานสตอร์เบอร์รี่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนอำลาโลก...


     

    ที่มา
    http://www.baanmaha.com

    http://phrajew.wordpress.com

    http://gotoknow.org/blog/piknic/252365

    http://www.bloggang.com/

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×