ผู้เข้าชมรวม
1,685
ผู้เข้าชมเดือนนี้
14
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ประวัติสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
ประวัติศาสตร์หน้าแรกของ สโมสร ลิเวอร์พูล ต้องบันทึกว่า ก่อเกิดจาก เอฟเวอร์ตัน สโมสรคู่ปรับประจำเมืองตลอดกาล โดยเกิดจากการแตกแยกกันของผู้บริหารนั่นเอง แต่เราจะย้อนถึงอดีต ก่อนที่จะถึงการกำเนิดของ Everton FC. เสียด้วย
โบสถ์แห่งนี้ เป็นแหล่งชุมชนของ ชนชั้นกลางและกรรมกร และต่างก็มีกิจกรรมร่วมกัน คือ กีฬา นั้นเองและก็ทำให้ชื่อเสียงของ โบสถ์ เซนต์ โดมิงโก เป็นที่แพร่หลาย เริ่มจากทีม คริกเก็ต ของ นักเรียนโรงเรียน เซนต์ โดมิงโก ซึ่งสามารถชนะทุกทีมที่แข่ง เป็นจุดเริ่มของการรวมพลเชียร์ แต่ทว่า คริกเก็ต เป็นกีฬาช่วง หน้าร้อนเท่านั้น แต่ยังคงมีกีฬา เบสบอล ที่จะว่าเป็นที่นิยมมากในขณะนั้น
เด็กๆ ได้ร้องขอคณะสงฆ์ ขอจัดตั้งทีมฟุตบอล (สมัยก่อนไม่มีใครนิยมเล่นกีฬาชนิดนี้ ) แต่เป็นกีฬา รักบี้ ที่เป็นที่นิยมกันมาก แต่คณะสงฆ์ก็ได้อนุมัติให้จัดตั้งทีม ฟุตบอล โดยใช้ชื่อว่า สโมสร เซนต์ โดมิงโก ในปี 1878 ในยุคนี้ 1878 - 1886 มีสโมสรฟุตบอลเกิดขึ้นมากกว่า 150 สโมสร และ สโมสร เซนต์ โดมิงโก ได้สร้างความประทับใจให้กับ แฟนบอลเมือง ลิเวอร์พูล และสโมสรแห่งนี้ก้ได้กลายมาเป็น Everton FC. ในเวลาต่อมา
จากการบันทึกพบว่า เอฟเวอร์ตัน ลงแข่งฟุตบอลอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกพบกับ เซนต์ ปีเตอร์ส เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 1879 และก็คว้าชัยได้ด้วย ต่อมาปี 1880 เอฟเวอร์ตัน เข้าร่วมฟุตบอล ลีก ของสมาคม แลงคาเชียร์ ซึ่งต้องพบกันทีมต่างๆเช่น โบลตัน หรือ เบอร์เคนเฮด แต่สนามเหย้าของ เอฟเวอร์ตัน ขณะนั้นก็คือ สวนสาธารณะ Stanley Park ต่อมาสมาคมฟุตบอล แลงคาเชียร์ ออกกฏว่า ทุกทีมต้องมีสนามเหย้า เป็นของตัวเอง ทำให้ Everton ต้องประชุมด่วนที่ โรงแรม แซนดอน ซึ่งโรงแรมนี้เป็นของ จอหน์ โฮลดิ้ง
JOHN HOULDING นายกเทศมนตรีเมือง ลิเวอร์พูล
นักการเมืองพรรคอนุรักษ์นิยม เป็นผู้ก่อตั้งสโมสร
"
โฮลดิ้ง เป็นผู้คลั่งไคล้ในกีฬาลูกหนังเป็นอย่างมาก เขายังมีตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรี เมือง ลิเวอร์พูล พรรคอนุรักษ์นิยม และเขาก็สามารถผลักดันให้ใช้ ที่ว่าง ถนนเพอรี่ย์ สร้างสนามฟุตบอล โดยมีการจ่ายค่าเช่าตอบแทน จากนั้นไม่นาน เจ้าของที่ก็ต้องการที่ดินคืน ทำให้ จอหน์ ต้องติดต่อกับ จอหน์ โอร์เรล ให้กับ เอฟเวอร์ตัน เช่าที่ราคาถูก และในวันที่ 28 กันยายน 1884 เอฟเวอร์ตัน ได้แข่งนัดแรกที่ Anfield โดยชนะ เอิร์ลสทาวน์ ด้วยสกอร์ 5 - 1
นานวันเข้า เอฟเวอร์ตัน ก็เป็นทีมประจำเมือง ลิเวอร์พูล โดยปริยาย จอหน์ โฮลดิ้ง ได้สร้างอัฒจรรย์เพิ่ม แฟนบอลต่างเข้ามาชมกันมากขึ้น กว่า 8,000 คน จนกระทั่งในปี 1888 ได้จัดให้มีสมาคมฟุตบอลอังกฤษ( F.A.) และระบบนักเตะอาชีพก็เกิดขึ้น ในปี 1885 โดยช่วงแรกนักเตะจะได้รับค่าจ้าง 3 ปอนด์/สัปดาห์ และก็มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอีกก็คือ บรรดากรรมกรในเมืองลิเวอร์พูล ได้เรียกร้อง ให้มีการหยุดเพิ่มขึ้นจากเดิม วันอาทิตย์ 1 วัน ขอหยุดเพิ่มในช่วงบ่ายของวันเสาร์ (ในสมัยก่อน ลิเวอร์พูล เป็นเมืองท่าสำคัญ และอุตสาหกรรมการต่อเรือ ของอังกฤษ มีกรรมกรทำงานที่นี่เยอะมากๆ )
สโมสร Everton ที่รุ่งเรือง ก็มีจุดเปลี่ยนจนได้เมื่อ จอหน์ โอร์เรล เจ้าของที่เพื่อนซื้ของ โฮลดิ้ง ได้ยกเลิกที่จะให้เช่าสนาม Anfield หลังจากที่เป็นของ Everton กว่า 7 ปี แต่ โฮลดิ้งก็พยายามที่จะขอซื้อ แต่ โอร์เรล ก็โก่งราคาสูงมากๆ โดย จอหน์ โฮลดิ้ง ต้องการ Anfield แห่งนี้เป็นของ Everton แต่สมาชิก 279 คนไม่ยอม และก็เกิด จุดแตกหักกันได้ก็คือ 15 มีนาคม 1892 เอฟเวอร์ตัน ได้ย้ายไปที่สนามใหม่ก็คือ กูดิสันปาร์ค และปล่อยให้ Anfield ล้างมีแต่สนามเปล่าๆ กับ อัฒจรรย์โล้นๆ และจอหน์ โฮลดิ้ง กับ จอหน์ โอร์เรล (เจ้าของที่ว่างเปล่า) ดูเหมือนว่า เอฟเวอร์ตัน จะไปได้สวยกับสนามแห่งใหม่ ขณะที่ Anfield ไม่มีอะไรที่ดีขึ้นเลย แต่ทว่า โฮลดิ้ง ไม่ยอมแพ้ เขาสร้างทีมฟุตบอลใหม่และก็ได้ตั้งชื่อสโมสรว่า LIVERPOOL FC. ตามชื่อเมืองนั่นเอง
ในปี 1892
แม็คแคนน่า (ผู้จัดการทีมคนแรกของ ลิเวอร์พูล) ก็เดินทางไปยัง สก็อตแลนด์ เพื่อค้นหานักฟุตบอลฝีมือดี และนี่ก็คือ ก้าวแรกของ สโมสร
แต่แล้วผลสำเร็จจากการประโคมข่าวจาก หนังสือพิมพ์ก็ได้ผล เมื่อการแข่งขันนัดที่ 3 มีผู้ชมเข้ามาชมที่สนาม Anfield กว่า 3,000 คน โดยผลในนัดนี้ ลิเวอร์พูล ถล่ม สต็อคตั้น 8 - 1 และแล้วตำนานของ นักเตะชุดแรกของ ลิเวอร์พูล ก็มีการบันทึกว่า ไม่มีคนอังกฤษเลย มีนักเตะ สก็อตแลนด์ ทั้งหมด และไม่นานทีมชุดนี้ก็มีฉายาว่า MACVERPOOL นักเตะ 8 ใน 10 รวมผู้จัดการทีมด้วยมีชื่อ Mac อยู่ด้วยแทบทั้งสิ้น จอหน์ แม็คลีน , จอหน์ แม็คไบรน์ , มิลคอล์ม แม็ควีน , ฮิวจ์ แม็คควีน ,แม็ต แม็คควีน , จอหน์ แม็คคาธี่ย์ , บิล แม็คโอเวน , โจ แม็คส์
ฤดูกาลแรก ลิเวอร์พูล ต้องต่อสู้อย่างนักใน ลีกแลงคาเชียร์ แต่ก็สามารถคว้าแชมป์ลีก แลงคาเชียร์ ได้สำเร็จและยังสามารถปราบ เอฟเวอร์ตัน ในนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลประจำเมือง (คว้า 2 แชมป์ ในฤดูกาลเดียว) แต่ทว่า ในเวลาต่อมาถ้วยทั้ง ๒ ใบถูกขโมยไป ทำให้สโมสรต้องจ่ายเงิน 150 ปอนด์ (สูงมากในเวลานั้น) ผลงานในฤดูกาลแรก แข่ง 22 นัด ชนะ 17 เสมอ 2 แพ้ 3 ได้ 66 เสีย 19 โดยมีแฟนบอลกว่า 8,000 คน |
จอหน์ แม็คแคนนา นอกจากเป็นผู้จัดการทีมคนแรก ยังดำรงตำแหน่งเป็น เลขาธิการของสโมสรด้วย หลังจากที่ ลิเวอร์พูล สามารถคว้าแชมป์แลงคาเชียร์ แล้ว แม็คแคนนา ได้ส่งสาร ไปยังสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ว่า "ลิเวอร์พูล ต้องการสมัคร เข้าแข่งขันใน ดิวิชั่น 2" ซึ่งทางสมาคมตอบกลับมาว่า "ลิเวอร์พูลได้รับการอนุมัติ ขอให้มาที่ ลอนดอนด่วน เพื่อดำเนินการ ด้านเอกสาร" ข่าวนี้ สร้างความตื่นเต้นให้กับ แฟนบอล และนักเตะ และจอหน์ โฮลดิ้งมาก เนื่องจากว่า เขาไม่ได้บอกกับใครเลย
2 กันยายน 1893 ลิเวอร์พูลแข่งใน ดิวิชั่น 2 เป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร โดยออกไปเยือน มิดเดิ้ลสโบร์ ไอออนโนโปลิส และก็เป็น ลิเวอร์พูล ที่สามารถเก็บชัยชนะได้ 2 - 0 โดย มัลคอล์ม แม็ควีน คือผู้ยิงประตูแรกในฟุตบอลลีกให้กับสโมสร
9 กันยายน 1893 ที่ Anfield เป็นนัดแรกใน ดิวิชั่น 2 ถล่ม ลินคอล์ม ซิตี้ 4 - 0 และแฟนบอลก็เพิ่มมากขึ้น และในปีนี้เอง ลิเวอร์พูล สามารถคว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 ด้วยการไม่แพ้ใครเลย 28 นัด ชนะ 22 เสมอ 6 แต่ทว่าก็ไม่สามารถเลื่อนไปแข่ง ดิวิชั่น 1 เหมือนในปัจจุบัน ต้องแข่งกับ 3 ทีมท้ายตารางในดิวิชั่น 1 เรียกกันว่า "Test Match" และก็เป็น ลิเวอร์พูล ที่สามารถเข้าถึงรอบชิงสุดท้าย พบกับ นิวตั้น ฮีท (แมนฯยูฯ) และก็เป็น ลิเวอร์พูล ที่สามารถชนะไปได้ 2 - 0 ผงาดขึ้นสู่ ดิวิชั่น 1 เพียงแค่ 2 ฤดูกาลที่ก่อตั้งสโมสรเท่านั้น ลิเวอร์พูล สามารถเข้าสู่การแข่ง ดิวิชั่น 1 ลีกสุงสุดของประเทศได้สำเร็จ
แต่ทว่า ดิวิชั่น 1 ไม่ง่ายอย่างที่คิด แข่ง 8 นัด ลิเวอร์พูลทำได้แค่ แพ้ 4 เสมอ 4 แต่สิ่งที่กลับตรงข้ามกับผลการแข่งขันก็คือ แฟนบอลเพิ่มมากขึ้นหลายร้อยเท่าตัวทีเดียว เป็นการยืนยันว่า เมืองลิเวอร์พูล มีทีมฟุตบอลอยู่ 2 ทีมนั่นก็คือ เอฟเวอร์ตัน และ ลิเวอร์พูล ในนัดที่ 9 วันที่ 13 ตุลาคม 1894 ถือเป็น "ดาร์บี้ แม็ตซ์ "แรกของเมืองลิเวอร์พูล โดยแข่งที่ กูดิสัน ปาร์ค มีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน โดยนัดนี้ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งเก่งกว่าสามารถชนะไปได้ 3 - 0 โดยลูกสุดท้ายกองหลัง ลิเวอร์พูลทำเข้าประตูตัวเอง เพราะมองไม่เห็นลูกฟุตบอล(ไม่มีไฟในสนามเหมือนในปัจจุบันนี้) และนัดที่ 2 ที่ Anfield ลิเวอร์พูลทำได้แค่ เสมอ 2 - 2 ส่งผลให้แฟนบอลลดลงกว่าครึ่ง หลังจากนัดนี้ผลงานของ ลิเวอร์พูล ตกต่ำอย่างมากจนถึงกับหล่นสู่ ดิวิชั่น 2
จากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อ แม็คแคนน่า เป็นประธานสโมสร และมี วิลเลี่ยม บาร์เคลย์ W.E.Barclay เป็นเลขาของสโมสร และผู้จัดการทีมควบคู่กันไปด้วย โดยทั้งคู่ประกาศว่า จะพาทีมกลับสู่ดิวิชั่น 1 ให้ได้ภายใน 1 ฤดูกาล เขายังคงซื้อนักเตะจาก สก๊อตแลนด์ มาเสริมทีมอีก เขาได้ ศูนย์หน้า ดาวซัลโวจาก ไลท์ แอตแลนติก ซึ่งเป็นนักเตะทีมชาติ สก็อตแลนด์ คนแรกของสโมสร เขาคือ ยอร์จ อัลลัน อายุเขาน้อยมากเพียง 24 ปีเท่านั้น ในท้ายฤดูกาล 1895 - 1896 ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 แพ้แค่ 6 นัด และแข่ง "Test Match" กับ ร็อตเตอร์แฮลม์ ผลก็ออกมา ลิเวอร์พูลถล่ม 10 - 1 โดย ยอร์จ อัลลัน ยิงคนเดียว 4 ลูก เป็นสถิติของสโมสรลิเวอร์พูล เลยทีเดียว
และในฤดูกาลนี้เอง ลิเวอร์พูล สร้างประวัติศาสตร์ สามารถทำประตูได้ 106 ลูก/ฤดูกาล เป็นสถิติแห่ง ศตวรรษ นอกจากนี้ แฟรงค์ เบ็คตั้น นักเตะยอดนิยมของ ลิเวอร์พูล ได้รับเกียรติจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ เรียกตัวรวมทีมดาราลีก อังกฤษ แข่งกับ รวมดาราลีก สก็อตแลนด์ อีกด้วย
จากผลงานของทีม ฤดูกาลที่ผ่านมา ทำให้ จอหน์ แม็คแคนนา เสริมทีมโดยซื้อตัว ทอม วัตสัน เลขาธิการของ สโมสร ซันเดอร์แลนด์ โดยให้เขามาทำหน้าที่เป็น รองเลขาธิการ สโมสรลิเวอร์พูล ซึ่งการลงทุนครั้งนี้คุ้มค่ามากๆ เพราะว่า ทอม วัตสัน ได้วางระบบการสร้างทีมอย่างมืออาชีพจริงๆ ลิเวอร์พูล ได้สร้างนักเตะให้กับทีมชาติ อังกฤษ เมื่อ แฮรรี่ แบรดชอว์ ติดทีมชาติอังกฤษ และ แฟรงค์ เบ็ตตั้น ยอร์จ อัลลัน 2 นักเตะสก็อตแลนด์ ก็ติดทีมชาติชุดชนะอังกฤษ 2 - 1 อีกด้วย
ในปี 1898 - 1889 ลิเวอร์พูล ก็มีการเปลี่ยนแปลงอีก คือ เปลี่ยนแปลงสีเสื้อของทีมเป็น สีแดง รวมถึงคว้านักเตะอีก 2 - 3 คน แร็ป โฮเวลล์ นักเตะเชื้อสาย ยิปซีโรมาเนียน และนักเตะที่เรียกว่า ฮีโร่ ของ ลิเวอร์พูล "อเล็กซ์ เรสเบ็ค" ชาวสก็อต โดยนักเตะคนนี้นั้นเป็นที่ถูกใจของ แม็คแคนน่า มาก เรสเบ็ค สูงเพียง 5.9 ฟุต แต่ด้วยการเล่นที่ดุดัน เขาเป็นคนที่มีใจรัก ลิเวอร์พูล เป็นอย่างมาก จากการที่ได้นักเตะอย่างเขามาทำให้ ลิเวอร์พูล สามารถผงาดสู่ ดิวิชั่น 1 รวมถึงเข้ารอบลึกๆใน F.A.CUP จนหลายคนคิดว่าปีนี้น่าจะได้ "ดับเบิ้ลแชมป์" แต่แล้วทุกอย่างก็แห้วหมดทุกถ้วย ในลีกดิวิชั่น 1 นัดสุดท้ายออกไปเยือน วิลลา นัดนี้ว่ากันว่าใครชนะได้แชมป์เลย แต่ทว่าลิเวอร์พูล พ่ายอย่างหมดรูป 0 - 5 และ F.A.CUP ก็พ่ายให้กับ เชฟฟิลด์ฯเว้นสเดย์ ซึ่งแข่งแล้วแข่งไม่รู้กี่นัดแต่แฟนบอลก็ยังให้การสนับสนุนทีมเป็นอย่างดี แม้ว่าในฤดูกาลต่อมา 1899 - 1900 ลิเวอร์พูล จะทำอันดับได้แค่ที่ 10 เท่านั้น
ฤดูกาล 1900 - 1901 เป็นปีที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จ ซึ่งรอคอยมากว่า 8 ปีทีเดียว ซึ่งไม่มีใครคาดว่า ทีมจะได้แชมป์ดิวิชั่น 1 เพราะแพ้ 8 นัดรวด ประเสียประตูกว่า 31 ลูก แต่ใน 12 นัดสุดท้ายทีมกลับไม่แพ้ใครเลย ชนะ 9 เสมอ 3 และแล้ว การแข่งขันนัดสำคัญ ที่เร้าใจที่สุด ก็คือ นัดที่พบกับ แมนฯซิตี้ ที่ แอนฟิลด์ เพราะว่า ถ้าชนะนัดนี้ จะได้ลุ้นแชมป์ต่อไป และทีมก็สามารถชนะได้ 3 - 1 ต่อมาในนัดสุดท้าย หงส์แดง ต้องออกไปเยือน เวสต์บรอมวิช เอลเบี้ยน ที่สนาม ฮอว์ธอโน ของ เวสบรอมฯ และก็เป็นสปิริตของ เวสต์บรอม ที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แต่ก็ถูกลิเวอร์พูล เฉือน 1 - 0 และสามารถคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 เป็นครั้งแรกของสโมสร
รายชื่อนักเตะชุดแชมป์ดิวิชั่น 1ครั้งแรก ในประวัติศาสตร์สโมสร ฤดูกาล 1900 1901 โรบินสัน, เพอร์กิ้นส์, ดันล็อป, โรเบิร์ตส์, โกลดี้, เรสเบ็ค, ฟ็อคซ์, แซทเทิลเวต, เรย์บาวด์, วอลค์เกอร์ และนักเตะที่ได้รับการยกย่องที่สุดก็คือ "อเล็กซ์ เรสเบ็ค " กองหน้าจอมตะลุยของทีม
สถิติของสโมสรก็คือ แข่ง 34 ชนะ19 เสมอ 7 แพ้ 8
ทีมได้เดินทางกลับบ้านในวันจันทร์ โดยรถไฟแต่ทว่าเวลานั้นดึกมาแล้ว แฟนบอลหลายหมื่นคน รออยู่แล้วที่สถานีรถไฟ พร้อมกับวงโยธวาทิต ต้อนรับ "วีรบุรุษผู้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่" และในเช้าตรู่ของวันนั้น ถ้วยแชมป์ดิวิชั่น 1 ก็มาสู่แอนฟิลด์ ที่สำคัญ จอหน์ โฮลดิ้ง และ จอหน์ แม็คแคนนา ทั้งสองคนมีความภูมิใจ เป็นอย่างมากเขาบอกว่า "ถ้วยแชมป์ดิวิชั่น 1 นี้ เป็นเพียงการเริ่มต้น และต่อไป ถ้วยชนะเลิศฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ จะต้องเรียงราย มาสู่ถิ่นฐานนี้ ทั้งสองคนเชื่อมั่นว่า เป็นเช่นนั้น และปัจจุบัน ถ้วยความสำเร็จต่างๆ จะมาสู่สโมสรเยอะมาก อย่างที่เขาทั้งคู่ได้กล่าวไว้เมื่อ ศตวรรษที่แล้ว"
แต่แล้วความเศร้าก็ต้องมาเยือน เมื่อ จอหน์ โฮลดิ้ง เสียชีวิตใน ค.ศ.1902 ขณะที่เขาอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ด้วยวัย 70 ปี จอหน์ โฮลดิ้ง (แฟนบอลเรียกเขาว่า King John) เขาทุ่มเวลาให้กับสโมสรกว่า 20 ปี เพื่อสโมสรลิเวอร์พูลทุกด้าน ทั้งด้านการเงิน การบริหารทีม พิธีศพของเขายิ่งใหญ่มาก โดยนักเตะของ ลิเวอร์พูล และก็เอฟเวอร์ตัน ช่วยกันแบกโลงศพของเขา ธงของทั้งสองสโมสร คลุมโลงศพของเขา ทุกคนในเมืองลิเวอร์พูลต่างเศร้ามาก กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ KING JOHN ผู้สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับเมือง
หลังจากที่ทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้ไม่นานก็เกิดปัญหาเมื่อ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ ได้วางกฏว่า "นักเตะทุกคน ต้องได้เงินรายสัปดาห์เท่ากัน คือ 4 ปอนด์ต่อสัปดาห์" โดยไม่มีโบนัส แต่จะมีในตอนจบฤดูกาลเท่านั้น สร้างความไม่พอใจ ให้กับนักเตะจำนวนมาก ซึ่งยุคนั้นมีแฟนบอลกว่า 18,000 คนมาชมเกม พวกนักเตะน่าจะมีเงินค่าเหนื่อยมากกว่า 10 ปอนด์/สัปดาห์ กฏนี้ ทำให้นักเตะหลายคน ไม่อยากเล่น สิ่งนี้เองทำให้ แม็คแคนนา กดดันอย่างมาก แต่ก็ต้องทำตามระบบการเงินของฟุตบอลลีก และทำให้นักเตะหลายๆ คนต้องย้าย และแขวนสตั๊ดในที่สุด เหลือไว้แต่เพียง "อเล็กซ์ เร็สแบ็ค" ที่สโมสรรั้งเขาไว้ โดยจ้างพิเศษในฐานะสมุห์บัญชี และเจ้าหน้าที่เก็บเงินป้ายโฆษณา
แต่แล้วฤดูกาลต่อมา ทีมก็ไม่สามารถป้องกันแชมป์ไว้ได้โดยได้อันดับกลางตารางเท่านั้น ในฤดูกาล 1902- 1903 ได้อันดับ 5 และแย่ลงไปอีกเมื่อฤดูกาลต่อมาเกือบตกชั้นดีที่สโมสรสามารถชนะในการแข่งขัน เทสต์ แม็ตซ์ กับทีม เวสต์บรอมวิช
1 ปี 1920 เดวิด แอชเวิร์ธ คือผู้จัดการทีมรายที่สองที่เข้ามาคุมทีม และเพียงแค่ปีเดียวภายใต้การนำของ แอชเวิร์ธ ทีมก็คว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้ในปี 1921 ทีมในชุดนี้เน้นไปที่แผงหลังอันแข็งแกร่ง ประกอบด้วย ผู้รักษาประตูทีมชาติไอร์แลนด์ เอลิชา สก็อตต์ กองหลัง อีเพลม ลองวอร์ธ ,ทอม ลูคัส และ ดอน แม็คกินเลย์ สองฟูลแบ็ค แฮร์รี่ แชมเบอร์ ดาวซัลโวประจำทีมด้วยจำนวน 19 ประตู และคู่ขาในแดนหน้า ดิ๊ก ฟอร์ชอว์ ซึ่งยิงไป 17 ประตู เดวิด แอชเวิร์ธ วางมือจากการคุมทีมในปี 1922
ปี 1923 แม็ตต์ แม็คควีน อดีตนักเตะยุคเริ่มก่อตั้งสโมสรลิเวอร์พูลในปี 1892 โดยสมัยค้าแข้งเจ้าตัวลงเล่นให้สโมสรถึง 150 เกมเลยทีเดียว แม็คควีน เข้ามารับงานต่อจากกุนซือคนก่อน เดวิด แอชเวิร์ธ ในช่วงปลายของฤดูกาล 1922-23 ซึ่งขณะนั้นทีมมีคะแนนนำเป็นจ่าฝูง แม็คควีน พาทีมจบฤดูกาลด้วยการป้องกันแชมป์ไว้ได้อีกสมัย ทีมลิเวอร์พูลมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมเรื่อยมา ไล่ตั้งแต่ปี 1928-36 จอร์จ เพ็ตเตอร์สัน ,1936 จอร์จ เคย์ และก็เป็นกุนซือ เคย์ ที่พาทีมประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้เป็นสมัยที่ 5 ของสโมสรในปี 1946 จอร์จ เคย์ เป็นผู้จัด
ที่มาของคำว่า THE KOP
เพลงประจำทีม คือ เพลง You’ll never walk alone
เนื้อเพลง
When you walk through a storm,
Hold your head up high,
And don't be afraid of the dark.
At the end of a storm,
There's a golden sky,
And the sweet silver song of a lark.
Walk on through the wind, Walk on through the rain,
Though your dreams be tossed and blown..
Walk on, walk on, with hope in your heart,
And you'll never walk alone.......
You'll never walk alone.
Walk on, walk on, with hope in your heart,
And you'll never walk alone.......
You'll never walk alone.
คำขวัญประจำทีม คือ You’ll never walk alone หรือในภาษาไทยว่า คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย มีความหมายว่า ไม่ว่าลิเวอร์พูลจะพ่ายแพ้ในศึกนัดใด เรา(นักบอลและแฟนคลับ)ก็จะไม่มีวันทอดทิ่งกัน จะยังงคงเชียร์ลิเวอร์พูลอยู่เสมอ
รายชื่อผู้เล่นในปัจจุบัน
4 | |||
5 | |||
6 | |||
7 | |||
8 | |||
9 | |||
10 | |||
11 | |||
12 | |||
14 | |||
15 | |||
16 | |||
17 | |||
18 | |||
19 | |||
20 | |||
21 | |||
22 | |||
23 | |||
25 | |||
30 | |||
33 | |||
34 | |||
35 | |||
36 | |||
38 | |||
39 | |||
40 | |||
42 | |||
44 | |||
46 | |||
48 |
(1892 - 1896) จอนห์ แม็คเคนน่า / วิลเลี่ยม บาร์คเลย์
(1896 - 1915) ทอม วัตสัน
(1915 - 1920) ไม่มีผู้จัดการทีม
(1920 - 1923) เดวิด แอชเวิร์ธ
(1923 - 1928) แม็ต แม็คควีน
(1936 - 1950) จอร์จ เคย์
(1951 - 1956) ดอน เวลช์
(1956 - 1959) ฟิล เทเลอร์
(1959 - 1974) บิลล์ แชงค์ลี่ย์
(1974 - 1983) บ๊อบ เพสลี่ย์
(1983 - 1985) โจ เฟแกน
(1985 - 1991) เคนนี่ ดัลกลิช
(1991 - 1994) แกรม ซูเนสส์
(1994 - 1998) รอย อีแวนส์
(1998 - 2004) เชราร์ อุลลิเย่ร์
(2004 - ปัจจุบัน) ราฟาเอล เบนิเตช
เกียรติประวัติ
n/a
1894, 1896, 1905, 1962
เอฟเอคัพ: 7
1965, 1974, 1986, 1989, 1992, 2001, 2006
ลีกคัพ: 7
1981, 1982, 1983, 1984, 1995, 2001, 2003
1977, 1978, 1981, 1984, 2005
ยูฟ่าคัพ: 3
1973, 1976, 2001
European Super Cup : 3
1977, 2001, 2005
สูงสุด รองชนะเลิศ 2005
แชมป์ ปี 1995-96 , 2005-06 , 2006-07
เครดิต :
http://liverpoolfc.igetweb.com/index.php?mo=3&art=160464
http://www.liverpool.in.th/
http://learners.in.th/blog/jekkeejung/87020
ผลงานอื่นๆ ของ มังกรน้ำแข็ง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ มังกรน้ำแข็ง
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น