“ขอเป็นตัวสำรอง...ได้มั๊ย”
ไม่ว่าจะในเกมส์ กีฬา การแข่งขัน หรือในชีวิตจริง แทบทุกคนก็ว่าได้...คงไม่มีใครอยากจะเป็นเพียงแค่ตัวสำรอง เป็นคนที่ไม่ใช่ที่หนึ่ง เป็นคนที่มีค่ารองจากผู้อื่น เป็นคนที่เปรียบเสมือนเป็นได้แค่ทางเลือก หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นคนที่ถูกเลือกต่อจากคนอื่น...
แต่กระนั้นก็ตามคนเลือกที่ได้ ผู้ที่เลือกได้ เคยถามถึงความรู้สึกของพวกเขาบ้างไหม เคยถามความรู้สึกของคนที่เป็นสำรองบ้างไหม ว่ารู้สึกอย่างไรกับการที่ถูกยัดเยียด ให้เป็นในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ ให้เป็นเพียงตัวเลือกหนึ่งที่อาจจะถูกเลือกหรือไม่ก็ได้ หรือเป็นแค่ตัวสำรอง แล้วถ้าคุณเป็นพวกเขาเหล่านั้น...คุณจะรู้สึกอย่างไร
และหากถามผู้ที่เป็นเพียงตัวเลือกต่อไปว่า...ในเมื่อไม่ถูกเลือกแล้ว....ทำไมไม่ตัดใจจากสิ่งนั้นเสียเลยล่ะ??
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่า...
...........ถ้าทำแบบนั้นได้..........
...........ถ้าตัดใจได้..............
...........ใครกันหล่ะ.....
...........ที่อยากจะเป็นเเค่ตัวสำรอง............
“เป็นตัวสำรองแล้วได้อะไร??”
ผู้ที่ต้องรอคอยการลูกเลือก ผู้ที่ทำได้เพียงแค่การตั้งความหวังว่าจะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นตัวจริงในสักวันหนึ่ง ได้แค่หวัง แต่ถึงจะได้แค่ฝัน หากตัดใจไม่ได้...การรอคอยก็คงจะมีค่าขึ้นมาบ้าง การรอคอยของตัวสำรองมันก็เปรียบเหมือน การต่อลมหายใจแห่งความหวัง ความหวังริบหรี่ที่จะให้เขาหันมาเลือกเรา เพียงเเค่หันมาสนใจเราเพียงสักนิด...ก็ดีมากมายแล้ว
มันอาจจะฟังแล้วเข้าใจยาก...
................แต่ถ้าคุณไม่ใช่คนคนนั้น............
................ถ้าคุณไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวสำรอง.........
................คุณก็คง...........
................ไม่เข้าใจ.........
..........................................................................
หากพูดถึงสถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าห้องครัว ใครหลายคนก็คงจะนึกถึงความสนุกสนาน บรรยากาศแห่งการสังสรรค์ หรือภาพการร่วมโต๊ะอาหารของคนในครอบครัวที่จ๊อกแจ๊กจอแจ แต่สิ่งเหล่านั้น ความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่ ไม่ได้เกิดขึ้นภายในห้องครัวในบ้านพักของกลุ่มศิลปินหนุ่มน้อยชื่อดัง บ้านพักของชายนี่
แม้ว่าในยามนี้จะเป็นช่วงเช้า แต่ความเงียบที่เข้าปกคลุมสถานที่แห่งนี้เป็นความเงียบที่เรียกได้ว่าเกินปกติ เงียบเกินไปสำหรับยามเช้าในวันหยุดของศิลปินกลุ่มนี้ วันที่สมากชิกทุกคนไม่มีงาน แต่ยังมีสมาชิกอีกสามคนที่ยังต้องไปโรงเรียน บนโต๊ะอาหารตัวยาวที่น่าจะมีอาหารจัดเตรียมไว้อย่างน้อยสามชุด อาหารที่เตรียมไว้ให้กับสมากชิกที่ต้องออกไปข้างนอกในตอนเช้า แต่กลับมีเพียงมีเพียงจานใส่ขนมปังแข็งสไลด์แล้วสามสี่แผ่นกับโกโก้ร้อนเพียงสองถ้วยเท่านั้น มันดูน้อยเกินไป...สำหรับคนสามคน
...แก๊ง...แก๊ง....
เสียงช้อนโลหะสีเงินกระทบขอบแก้วในขณะที่มือเล็กจับช้อนคนของเหลวในถ้วย ตอนแรกที่คนก็ตั้งใจว่าจะให้ของเหลวร้อนในถ้วยคลายความร้อนลงบ้าง แต่เสียงนั้นกลับดังขึ้นต่อเนื่อง เนินนาน ราวกับเจ้าของฝ่ามือได้หลงลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่
ดวงตากลมโตที่จับจ้องมองเก้าอี้ประจำตัวของน้องเล็กในวง เก้าอี้ที่ยามนี้ไม่มีคนตัวเล็กเจ้าของใบหน้าหวานนั่งอยู่ มีเพียงความว่างเปล่า มีเพียงอณูอากาศที่มองไม่เห็นปกคลุมเก้าอี้ตัวนั้นอยู่ แต่กระนั้น เขาก็ไม่อาจละสายตาออกไปได้...คีย์ไม่สามารถละสายตาออกจากที่นั่งที่ว่างเปล่าของแทมินตรงหน้าได้
ซ้ำร้ายกว่านั้นนอกจากจะไม่สามารถละสายได้แล้ว เขายังไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นภายในอก ภาพของคนอายุน้อยกว่า ตัวเล็กกว่า หน้าหวานกว่า คนที่พยายามหลีกเลี่ยง หลบหน้าเขาในทุกสถานการณ์ หลายวันมาแล้วที่แทมินพยายามที่จะไม่อยู่กับคีย์ตามลำเพียง หนีไม่แม้แต่สบสายตา ไม่มองหน้าเขาเหมือนอย่างเคย
....ยิ่งคิด ก็ยิ่งอึดอัด ความรู้สึกที่ราวกับมีอะไรบางอย่างแผ่แผด อัดแน่นอยู่ในอกมัน มันทำให้หายใจลำบาก แทบจะทุกลมหายใจเข้าออก มันชวนให้ปวดนึบทั้งหัวใจ...เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่หยาดน้ำตาใสไหลเรื่อยลงมาเป็นทาง
คีย์สะดุ้ง ใบหน้าหวานสะบัดมาทางฝั่งที่ชักชวนให้เขาหลุดจากพะวงแห่งความหดหู่ ไออุ่นจากนิ้วเรียวยาวของคนข้างกาย นิ้วหัวแม่มือที่บรรจง ค่อยๆปาดหยาดน้ำตาใสออกจากพวงแก้มขาว สัมผัสแผ่วเบาด้วยนิ้วมือที่สั่นเทาเล็กน้อย
“พี่...พี่อนยู...”
เสียงขาดหายไปตามแรงสะอื้น ทั้งที่คิดว่าจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว จะไม่เสียน้ำตาที่แสดงออกซึ่งความอ่อนแอ จะไม่เสียน้ำตาให้กับเรื่องนี้อีกแล้ว แต่ก็ทนไม่ได้เสียที ยิ่งได้ยินเสียงของคนที่อยู่ข้างๆคนนี้ เสียงที่อบอุ่นและห่วงใยแบบนี้ น้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาไม่หยุด
“คีย์...ถ้าเหนื่อย มากก็ขึ้นไปพักพ่อนเถอะ ไม่ต้องไปโรงเรียนหรอก”
เจ้าของหยาดน้ำตาหรือคีย์คือหนึ่งในสามที่มีหน้าที่ต้องไปโรงเรียนในเช้าวันนี้ ส่วนอีกสองคนก็เป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจาก มินโฮ และแทมิน และนี่ก็คือหตุผลที่ว่าบนโต๊ะอาหารน่าจะมีสำรับสำหรับสามชุด แต่เมื่อใครอีกสองคนไม่ได้ลงมาร่วมมื้อเช้า ความจำเป็นที่ต้องจัดเตรียมไว้...คงไม่มี
“ผม..มะ...ไม่เป็น....”
ผ่านไปพักใหญ่ว่าคีย์จะฝืน หยุดสายน้ำตาแห่งความทรมานได้ เขาใช้ความพยายามอย่างที่สุดเพื่อจะบอกว่าไม่เป็นไร บอกกับพี่ใหญ่คนที่มักจะเป็นห่วงเขาเสมอ แต่จู่ๆคีย์ก็พูดไม่ออก เพราะมีบางสิ่ง บางเสียงที่ดึงดูดความสนใจเขาไปจากการตอบคำถามของอนยู
แผ่นไม้กระดานของบันไดที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างชั้นบนและล่างของบ้านพักหลังนี้ ลั่นเอี๊ยอดอ๊าดเหมือนกับกำลังมีใครบางคนเดินลงมายังชั้นล่าง เสียงลั่นเบาๆนั้นชวนให้ลมหายใจของคีย์ติดขัด จังหวะหัวใจเต้นรัว คลื่นความรู้สึกแผ่กระจายไปทั่วทั้งอก ดวงตากลมโตที่ใต้ตาแดงช้ำพยายามจะมองไปทางต้นเสียง
น้องเล็กร่างผอมบาง เจ้าของใบหน้าหวาน หยุดยืนอยู่ตรงกรอบประตูหน้าห้องครัว เขาไม่ก้าวเข้ามา เขาไม่ได้ก้มหน้า ดวงตากลมโตมองมาทางคนทั้งสองที่กำลังนั่งทานอาหารเช้าอยู่ แต่เพียงครู่เดียว ครู่เดียวเท่านั้นที่ดวงตากลมใสสบมองมาที่คนหน้าหวานอีกคน เพียงครู่เดียวจริงๆที่คีย์ได้เห็นว่าแทมินมองมาทางเขา แต่กระนั้นเขาก็ไม่สามารถละสายตาจากความมางเมินนั้นได้
แม้แทมินจะไม่ได้มองเขาแล้ว แต่คีย์ยังคงมองไปที่แทมินอย่างไม่ปิดบัง เขามองดวงตากลมโตที่ใต้ตามีรอยแดงๆและเอ่อบวมไม่ต่างจากคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา ไม่ต่างจากรอยแดงช้ำที่แต้มประดับอยู่ที่ใต้ตาของเขา แต่สาเหตุที่คีย์ร้องไห้คีย์รู้ดีว่าเพราะอะไร แต่ที่แทมินร้องไห้...มันเป็นเพราะอะไร
อันที่จริงไม่ใช่แค่ใต้ตาเท่านั้นที่เป็นรอยช้ำ แต่หากมอง จับจ้องดูดีๆแล้ว ที่มุมปากด้านหนึ่งดูคล้ายกับมีรอยจางสีแดง และกลีบปากอิ่มก็ดูบวมเกินกว่าปกติ...ทำไม ใครทำให้แทมินต้องเป็นแบบนี้
...ไม่รู้...แต่ แค่เห็นก็รู้สึกเจ็บที่อกด้านซ้าย.....
หลังจากที่แทมินยืนนิ่งตรงนั้นอยู่พักใหญ่ กลีบปากอิ่มก็เผยอขึ้นลง ส่งเสียงร้องบอกพี่ใหญ่ที่นั่งอยู่ที่ในห้องครัวว่า
“พี่...พี่อนยู...ผมไปเรียนก่อนนะครับ”
“พี่ไป..”
สิ้นเสียงแทมิน คีย์รีบคว้ากระเป๋าที่วางอยู่ข้างกาย และตั้งใจจะบอกว่ากับแทมินว่า เดี๋ยวพี่ไปส่ง พี่อยากไปส่ง แม้ว่าโรงเรียนของเราจะอยู่คนละทางกันก็ตาม แต่พี่อยากไปส่งจริงๆ เเต่เเล้วความตั้งใจทั้งหมดของคีย์พังลงในชั่วพริบตา เขายังพูดไม่จบประโยค เเต่กลับมีเสียงที่มากกว่าหนึ่งแทรกขึ้นมาว่า
“เดี่ยวพี่ไปส่งเอง/คีย์ไปโรงเรียนกัน”
ทั้งที่เสียงทั้งสองเอ่ยขึ้นจากต้นเสียงคนละคนกัน ความประสงค์ต่างกันแต่ปลายทางของเสียงหรือผู้รับสารกลับเป็นคนคนเดียวกัน
จงฮยอนตั้งใจบอกกับคีย์ว่า เขาจะไปส่งแทมินเอง ต้องการจะบอกกับคีย์แบบนั้น เขากำลังพูดกับคีย์อยู่ แต่สายตาและฝ่ามือกลับกอบกุมอยู่ที่ฝ่ามือนิ่มของแทมิน เขาบีบมือแทมินน้อยๆ เหมือนเป็นอวัจนภาษาในเชิงขออนุญาตกับร่างเล็ก แทนคำอ้อนวอนในคำขอร้อง คำขอร้องที่ไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาโดยตรง
ส่วนเสียงทุ้มนุ่ม เรียบอีกเสียงนั้นเป็นคำพูดของมินโฮ พูดเพื่อเร่งให้เจ้าของใบหน้าสวยหวานรีบลุกจากที่นั่งทานมือเช้า เพื่อไปโรงเรียนของทั้งคู่ เพื่อไปพร้อมกัน แต่เท่านั้นยังไม่ใช่ความตั้งใจทั้งหมดของมินโฮ เพราะสายตาที่เย้ยหยันของมินโฮยังปลายมาที่เทมิน สื่อให้น้องเล็กของวงให้รู้ว่า อย่าแม้แต่จะคิดที่อยากจะอยู่ใกล้คีย์ ตอกย้ำว่าแทมินไม่มีสิทธิ์จะอยู่เคียงข้างคีย์แม้ว่าคีย์จะเต็มใจก็ตาม
ดวงตากลมใสของแทมินเหลือบมองไปทางร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า สบมองอย่างตัดพ้ออยู่ครู่หนี่ง ก่อนที่มือเล็กๆจะกระชับมือใหญ่ของจงฮยอนแล้วชวนกันเดินออกไปจากที่สถานที่ชวนให้รู้สึกอึกอัดเช่นนี้
ดวงตากลมใสของคีย์มองไปทางคนตัวเล็ก มองอย่างตัดพ้อ ตัดพ้อความใจดำที่แทมินไม่แม้แต่จะให้โอกาสกับเขาบ้าง
..........................................................................................
ทั้งที่ตอนนี้เป็นยามเช้า เป็นช่วงเวลาในการเริ่มต้นกิจกรรมต่างๆในวันใหม่ ทั้งที่มีสายลมเย็นสบายทยอยพัดผ่านเข้ามาทักทาย ปะทะผิวกายเป็นระยะๆ ทั้งที่ฝ่ามือใหญ่ของเขากอบกุมมือเล็กอยู่ มือเล็กๆของคนที่เขาแอบรัก ทั้งที่หลายๆอย่างชวนให้รู้สึกมีความสุขจนหัวใจพองโต แต่ทำไมเขากลับรู้สึกได้แต่ความเศร้า ความหม่นหมอง จนแม้แต่จะยิ้มให้กับคนข้างกายยังฝืนยิ้มออกมาไม่ได้
ตลอดทางที่ทั้งคู่ออกจากบ้านพักมา จงฮยอนแอบลอบมองแทมินที่เดินอยู่ข้างกันเป็นพักๆ ลอบมองใบหน้าหวานที่ใต้ดวงตากลมใสมีรอยแดงช้ำจางๆ รอยแดงช้ำเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา ริมฝีปากแดงอิ่มที่เจ่อบวมฉ่ำ มุมปากที่ดูเหมือนจะซับสีแดงจางๆและรอยแผลเล็กๆแต่งแต้มอยู่ ยิ่งเขามองดูแทมินในสภาพนี้เท่าไหร่ ก็ยิ่งพาให้หัวใจหนักอึ้งลงไปอีก
อันที่จริงเขาน่าจะคุ้นชินกับรอยช้ำและรอยแผลของแทมินได้แล้ว เพราะแทบจะทุกวันที่จงฮยอนมองสำรวจใบหน้าหวานนี้ เป็นต้องมีรอยช้ำหรือแผลใหม่เกิดขึ้นทุกวัน เเต่ที่ทำใจให้ชินกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ นั่นก็เพราะ ....จงฮยอนรัก รักแทมินมาก มากขึ้นทุกวัน
ยิ่งไปกว่าบาดแผลภายนอกที่ชวนให้รู้สึกเจ็บแปลบๆที่อกด้านซ้าย มันเทียบไม่ได้เลยกับการที่ร่างเล็กผู้ร่าเริง สดใส น่ารักคนนี้ ซึมเศร้า นิ่งเฉย และบ่อยครั้งที่คนตัวเล็กมักจากเหม่อลอยราวกับคนที่ถูกพรากจิตวิญญาณไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่รู้จงฮยอนรู้ว่าแทมินเป็นเช่นนี้เพราะใคร....ใครทำร้ายเเทมิน
ทุกครั้งที่มองเห็นก็ยิ่งรู้สึกเจ็บ เจ็บแปลบราวกับมีใคร ใช้โลหะแหลมค่อยๆกรีดลงบนหัวใจทีละน้อย ช้าๆแต่บาดลึก
ทุกครั้งที่มองเห็นก็ยิ่งรู้สึกแค้น แค้นคนที่กระทำเช่นนั้นกับแทมิน แค้นจนหัวใจปวดหนึบราวกับมีใครกำลังขย้ำขยี้บีบเค้นมันอย่างไร้ความปรานี
“อ่า....พี่ขอโทษ”
จงฮยอนกล่าวขอโทษและรีบคลายฝ่ามือของตนออก เมื่อรู้สึกได้ว่าแทมินผ่อนแรงที่ฝ่ามือและกระตุกมือเล็กน้อยเหมือนต้องการจะชักมือน้อยออกจากการกอบกุมของมือใหญ่
ตอนนี้ทั้งคู่ได้พากันเดินมาเรื่อยๆ เดินมาจนถึง ทางข้ามเล็กๆที่ฝั่งตรงข้ามเป็นรั้วประตูของสถานศึกษาที่แทมินเรียนอยู่
“ขอบคุณนะครับ..พี่จง....”
แทมินเสียงแห้งตั้งใจจะเอ่ยขอบคุณพี่ร่วมวงที่เดินมาส่งเขามาที่โรงเรียน แต่ไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวจบประโยคก็มีบางเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
“นายลืมของ..”
ร่างสูงโปร่งเจ้าของเสียงทุ้มต่ำ เอ่ยขึ้นพลางเดินมาจากด้านหลังของทั้งคู่ เดินผ่านจงฮยอนเดินมา เดินมาซ้อนอยู่ทางด้านหลังของแทมิน แทมินที่ทำท่าจะก้าวหนี แต่มินโฮกลับเร็วกว่าคว้าเอวบางไว้เเล้วกระชับเข้าสู่อ้อมกอด รั้งใบหน้าหวานให้แนบที่แผ่นอกแกร่ง ก้มหน้าลงประชิดที่ใบหู กระซิบด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า
“เอาไปซะ....ไม่งั้น....สะโพก.......”
มือใหญ่ยกขวดพลาสติกสีขาวขุ่นขึ้นมาใกล้ระดับสายตาแทมิน และไม่ยากนักที่จงฮยอนจะมองเห็นด้วยว่ามันคือขวดอะไร เพราะมินโฮตั้งใจหันด้านที่ติดฉลากมาทางเขา ฉลากสีน้ำเงินอักษรสีขาวที่อ่านได้ว่า..........ยาแก้ปวด
“ปล่อยนะ...พี่มินโฮ...ปล่อย....”
แทมินส่งเสียงประท้วงดิ้นร้นหาทางให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการของอีกฝ่าย แต่พอยิ่งดิ้นวงแขนแกร่งกลับรัดร่างเขา รัดแน่นจนรู้สึกเจ็บ เจ็บเหมือนกระดูกกำลังถูกบด ซ้ำร้ายกว่านั้น มินโฮยังจงใจเบียดสะโพก ตั้งใจใช้ส่วนที่อยู่ต่ำกว่าใต้สะดือ เสียดสีสะโพกมนไปมา มินโฮทำมันต่อหน้าจงฮยอน
“มินโฮ ปล่อยแทมินเดี๋ยวนี้!!!”
จงฮยอนขึ้นเสียงด้วยความโกรธกับพฤติกรรมต่ำช้าของมินโฮ มินโฮไม่มีสิทธิที่จะลวนลามหรือเห็นแทมินคนที่เขารักเป็นของเล่น ของเล่นที่อยากจะทำให้เจ็บ อยากจะทำให้อายก็ทำได้ตามอำเภอใจ
มินโฮไม่เอ่ยเถียงหรือเอ่ยพูดอะไรกับจงฮยอน สายตาคมเพียงแต่มองกลับอย่างเย้ยหยัน ยกยิ้มมุมปาก พ่นเสียงหัวเราะในลำคอ เหมือนกับกำลังเหยีดหยามความขี้ขลาดของจงฮยอน ความขี้ขลาดที่รู้ทั้งรู้ว่าคนที่ตัวเองรักโดนรังแก แต่กลับไม่ทำอะไรเลย ไม่กล้าเข้ามาช่วย มินโฮรู้ว่าจงฮยอนรับรู้เรื่องราวเลวร้ายที่เขาได้ทำกับแทมินไว้ แต่จงฮยอนกลับไม่ทำอะไรเลย ไม่กล้าทำอะไรเลย
“พี่บอกให้ปล่อยแทมินไง!!!”
เป็นอีกครั้งที่จงฮยอนขึ้นเสียงตะโกนบอกมินโฮ แต่ดูแล้วอีกฝ่ายไม่ได้เกรงกลัวต่อคำสั่งของเขาเลย มินโฮยังคงยิ้มเยาะราวกับคิดว่าตนถือไผ่เหนือกว่า ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งบีบที่ต้นแขนแทมินจนใบหน้าหวานเหยเก ส่วนมืออีกข้างก็จงใจลูบไล้ที่ต้นขาเรียวเล็กด้านในพร้อมกับเบียดสะโพกใหญ่เสียดสีสะโพกเล็กให้หนักหน่วงกว่าเดิม มินโฮจงใจลวนลามแทมินต่อหน้าจงฮยอน
จงฮยอนกำหมัดแน่น หยดเลือดสีแดงเอ่อซึมจากริมฝีปากยามถูกฟันคมขบกัดบดเค้นอย่างเครียดเเคน ตัวสั่นเทิมราวกับความโกรธวิ่งเล่นริ้วไปทั่วร่างกาย ดวงตาคมจ้องมองเขม้นไปที่ร่างสูง ราวกับสัตว์ป่าที่พร้อมจะกระโจนใส่ศัตรู เขาพยามที่จะควมคุมโทสะอย่างยากลำบาก พยายามไม่ให้บุกเขาทำร้ายฝ่ายตรงข้ามในที่ชุมนุมชน ในที่ที่ยามนี้เริ่มมีผู้คนหันมาสนใจพวกเขาบ้างแล้ว
แต่จู่ๆความพยายามทั้งหมดเป็นอันต้องขาดสะบัดลง เมื่อโสตประสาทของจงฮยอนได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยพูด มินโฮจงใจพูดเน้นทีละๆคำว่า
“หึ.....ไม่ยักรู้ว่า....พี่....คนอย่างพี่....จะชอบกินเศษเดนของคนอื่นด้วย”
ใบหน้าหล่อสะบัดไปตามแรงหมัด มุมปากเอ่อของเหลวสีแดงสด มินโฮปาดเลือดแล้วเงยหน้ามองจงฮยอนด้วยแววตาดุดันไม่เเพ้กัน เขามองแบบนั้นเพียงครู่ด้วย ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนเป็นแววตาของผู้ชนะ เเล้วเอ่ยวาจาหยาบโลนดูถูกจงฮยอนว่า
“พูดความจริงแค่นี้ ถึงกลับรับไม่ได้เลยหรอพี่...อีกอย่างเพราะหวังดีหรอกนะถึงได้เตือน ไม่อยากให้พี่ต้องมาใช้ของสกปรกๆแบบนี้”
สิ้นวาจาดูถูกเหยีดหยาม จงฮยอนทำท่าจะโถมเข้าใส่มินโฮเสียอีกหนึ่งมัด แต่แทมินกลับใช้วงแขนเล็กรวบกอด รั้งจงฮยอนไว้เสียก่อน
“อย่าครับพี่จง...ช่างเขาเถอะ...เขาจะพูดอะไร ก็...ช่าง...”
แทมินสะอื้นหยาดน้ำตาใสไหลอาบแก้ม ของเหลวใสซึมสู่เนื้อผ้านิ่มตรงหัวไหล่ซ้าย บริเวณที่ใบหน้าหวานของแทมินซบอยู่ บนแผ่นหลังกว้างของจงฮยอน
ในตอนนี้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะพูดอะไร ไม่ว่าคนคนนั้นจะกรนด่าเหยีดหยามสักเท่าใด......ไม่อยากจะสนใจ ไม่อยากจะคิดถึง ไม่อยากจะรับรู้แล้วว่าคนคนนั้นจะทำร้ายเขาด้วยวิธีใดอีก เขาอยากจะหนี หนีไปให้ไกลจากตรงนี้....เสียที
“เราไปกันเถอะครับ....ผมขอร้อง...”
แทมินเอ่ยขอร้องทั้งที่ยังกอดจงฮยอนจากด้านหลังอยู่ จงฮยอนพลิกตัวหันมาทางคนตัวเล็ก มองหยาดน้ำตาของแทมินที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดไหล ก่อนที่จะตัดสินใจจูงมือแทมินเดินผ่านผู้คนที่มุงดูไป
ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่แล้ว ไม่รู่ว่าเดินมาถึงที่ไหนแล้ว รู้แต่ว่าเขาไม่อยากปล่อยมือเล็กๆนี้ อยากจะ จับมือนี้ไว้ แล้วพาคนคนนี้ไปในทุกๆที่ยามที่คนๆนี้ต้องการ อยากจะปกป้องเจ้าของมือนี้ตราบที่เขายังมีลมหายใจ
“แทมิน....พี่ขอโทษ”
จู่ๆจงฮยอนก็หยุดเดิน ฝ่ามือใหญ่ที่สั่นน้อยๆรวบร่างเล็กๆของแทมินเข้ามากอด ซบใบหน้าคมลงบนไหล่เล็ก เอ่ยคำขอโทษอย่างจริงใจ ขอโทษในเรื่องที่เขา จงฮยอนรู้เรื่องราวทั้งหมด เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆที่มินโฮทำกับแทมินแต่เขา เขากลับไม่ได้ห้าม หรือทำอะไรเลย
ใบหน้าหวานส่ายไปมาพูดอู้อี้กับแผ่นอกของจงฮยอน สะอึกสะอื้นเอ่ยบางถ้อยคำที่จับความได้ว่า..ไม่เป็นไร มันไม่ใช่ความผิดของพี่เลย
“แต่พี่รู้สึกผิด ผิดที่....พี่ไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งที่....”
จงฮยอนเว้นระยะคำพูด ใบหน้าคมยังซบอยู่ที่เดิม แทมินรับรู้ได้ถึงสัมผัสชื้นที่ซึมผ่านเนื้อผ้าตรงสันไหล่เล็ก ....จงฮยอนร้องไห้ เเล้วเอ่ยบางถ้อยคำที่จริงใจออกมา
“พี่ขอโทษ....พี่รักแทมิน....”
“ผม.....แต่ผมรัก....”
จงฮยอนผละตัวออก ใช้นิ้วแตะที่ริมฝีปากอิ่มหมายจะให้แทมินหยุดพูด เขารู้ รู้ว่าแทมินจะพูดอะไรต่อ แต่ไม่ต้องการรับฟัง เพราะคำพูดเหล่านั้นมันจะทำให้เขาเจ็บ เจ็บมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้...
“พี่รู้ว่าแทมินรักใคร พี่รู้ว่าแทมินต้องเจ็บช้ำ ทรมานเพราะใคร แต่.........”
“แต่พี่ขอโอกาสที่จะอยู่เคียงข้างแทมินได้มั๊ย”
จงฮยอนรวมมือเล็กมาจูบที่หลังมือเบาๆ แล้วเลื่อนฝ่ามือเล็กนั้นมาสัมผัสที่ผิวหน้าของตน
“พี่รักแทมิน...”
“ได้โปรดให้โอกาสให้พี่ได้อยู่ข้างๆ..”
“ให้โอกาสกับพี่สักครั้งนะ...”
............................................................................
หมดไปอีกส่วน
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น