ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฮฮาประสาสามก๊ก

    ลำดับตอนที่ #56 : Rittlewingขอมา.- ปีศาจตั๋งโต๊ะอาละวาด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.15K
      6
      21 ต.ค. 55

    Rittlewingขอมา.- ปีศาจตั๋งโต๊ะอาละวาด

    ที่กลางท้องพระโรง ร่างเล็กๆ ของโจโฉที่ต่อไปจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีนสั่นราวกับแมวโดนฝน ตรงหน้าคือองค์จักรพรรดิบนตักของคนๆ หนึ่ง ทว่าสิ่งที่โจโฉกลัวหาใช่องค์จักรพรรดิที่ยังทรงมีคำนำหน้าพระนามว่า "เด็กชาย" ไม่ แต่เป็นเจ้าของตักที่จักรพรรดิทรงประทับอยู่ต่างหาก!  โจโฉหันไปยังเหล่าขุนนางราวกับจะขอให้ช่วยชีวิตด่วน... และพบกับสุมาฝางที่พยักหน้าให้เขา แม้ตอนแรกโจโฉจะตั้งใจว่าจะไม่ยอมลดลาวาศอกให้กับเหล่าทรราชย์เด็ดขาดก็ตาม แต่เมื่อเห็นขุนนางหนุ่มๆ รุ่นราวคราวเดียวกันกลายเป็นศพบนพื้นอย่างน่าสยดสยองก็ต้องเลือกรักษาหัวไว้ก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นในพงศาวดารตอนนี้โหดเหี้ยมเกินกว่าจะเอาลงให้อ่านแบบละเอียด  ผมจึงจะบอกแค่คร่าวๆ ว่าตั๋งโต๊ะรวบอำนาจทั้งหมดไว้ในกำมือก็กวาดล้างขุนนางหนุ่มๆ ที่ไม่มีอำนาจอะไรมากแต่ดันกล้ามาประท้วง และการกวาดล้างครั้งนี้ทำให้โจโฉกลายเป็นคนที่มีอวุโสน้อยที่สุดในวังเพราะที่เหลือตายเกลี้ยง ในสภาพการณ์นี้ท่านที่กำลังอ่านๆ ก็คงคิดไปในทางเดียวกันว่าตั๋งโต๊ะนั้นโหดร้ายมาก แต่ตั๋งโต๊ะจะเป็นจอมสารเลวไปหมดก็อาจจะไม่จริงนัก เพราะเรื่องราวความโหดร้ายทั้งหมดของตั๋งโต๊ะนั้นซัวหยงเป็นคนบันทึก และคนที่สั่งให้ซัวหยงเขียนตามความจริงก็คือตั๋งโต๊ะนั่นเอง เพราะเขาคิดว่าคนที่จะตัดสินว่าใครดีใครเลวก็คือคนรุ่นหลัง ไม่ใช่นักแต่งนิยายและปราชญ์เต้าหู้ที่ด่าเขาเช้าเย็น

    เช่นนั้นแล้ว ตั๋งโต๊ะตัวจริงคงแตกต่างจากที่หลายๆ คนคาดคิด เพราะอย่างน้อยๆ หมอก็เป็นชายใจเด็ดที่กล้าทำต้องกล้ารับ ไม่โยนความผิดให้ใคร และไม่แสแสร้ง

    ตั๋งโต๊ะหรือตงจั่วในภาษาจีนกลางนั้น เป็นแม่ทัพชายแดน เกิดที่ไหนเมื่อไหร่ไม่ทราบแน่ชัด แต่พงศาวดารระบุว่าคนผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่-บึกบึน ตามตำนานนั้นว่ากันว่ากล้ามเนื้อของเขานั้นแกร่งแข็งจนเข็มยังแทงไม่เข้า ตั๋งโต๊ะสามารถฆ่าคนตายด้วยมือเปล่าได้สบายๆ ด้วยความที่เป็นคนร่างใหญ่ใจนักเลง เขาจึงถูกส่งตัวไปเป็นแม่ทัพชายแดนเพื่อรบกับพวกชงหนู และเป็นที่รู้กันดีกว่าเผ่าทางเหนือพวกนี้เก่งเรื่องขี่ม้า เพราะงั้นจึงสันนิฐานได้ว่าตั๋งโต๊ะเองก็ขี่ม้าเก่งเหมือนกันจึงจะสามารถต่อกรได้ รวมทั้งการรบกับพวกนี้ต้องอาศัยม้าพันธุ์ดีจึงจะอยู่ในสนามรบได้(ขืนขี่ม้าแคระจะเอาอะไรไปชนกับเค้าล่ะ?) ฉะนั้นตั๋งโต๊ะจึงไม่ใช่แม่ทัพฉวยโอกาสไร้สมองสั่วๆ แต่เป็นยอดนักรบระดับพระกาฬที่ฉลาดเป็นกรดจึงสามารถถนอมตัวให้รอดจากความตายในสนามรบที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ทางภาคเหนือมานานเกินยี่สิบปี

    เราไม่รู้ว่าตั๋งโต๊ะต้องเจออะไรบ้าง แต่ทั้งหมดนั้นแทบจะทำให้เขาสูญเสียความเป็นคนเมื่อกลับเข้าเมืองเป็นครั้งแรก แต่ก็พออนุมานได้ว่าเป็นเรื่องที่โหดร้าย เพราะในการเป็นแม่ทัพชายแดนนั้นไม่ได้เจอแค่การรบที่หนักหน่วง แต่ยังมีความอดอยากแร้งแค้น ทั้งโรคระบาด ความหนาวที่เจียนตาย และบางครั้งก็ไม่สามารถเพาะปลูกอะไรได้เลย... ตั๋งโต๊ะต้องอดทนอยู่ในที่แบบนั้นและเฝ้าดูคนของตนที่ล้มตายกันไปทีละคนๆ ทั้งในสงครามและด้วยเหตุอื่นๆ นานมากกว่ายี่สิบปีที่ทุ่มเทเสียสละ ตั๋งโต๊ะจึงพยายามทูลเกล้าถวายฎีกามายังเมืองหลวง แต่ฎีกาทั้งหมดกลับถูกดองโดยเหล่าขันทีโหลรอบๆ พระกายองค์จักรพรรดิ... เมื่อโดนเมินตั๋งโต๊ะก็พยายามอีกแต่เปลี่ยนเป็นเรียกร้องเครื่องอุปโภคบริโภคที่จะนำมาแบ่งเบาตนเองและคนอื่น แต่ก็ไม่ได้รับการแยแสอีกเหมือนกัน แล้วลองคิดดูนะครับ ผมว่าแม้ไม่บอกทุกคนคงทำนายได้ว่าเวลาข้าวยากหมากแพงตั๋งโต๊ะจะกินอะไรได้บ้าง... แน่นอนว่าเพื่อให้มีชีวิตรอดและเพื่อประเทศชาตินั้น "อะไรก็กินได้" ม้ากลายเป็นอาหารชั้นเลิศ ตามมาด้วยเนื้อของข้าศึก และบางทีก็ต้องขึ้นเหนือเพื่อปล้นเพื่อประทังชีวิต ตอนนี้ผมอยากเชิญชวนให้คิด "ท่านคิดว่าสิ่งที่ตั๋งโต๊ะทำกับราชสำนักมันเกินไปหรือไม่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ตั๋งโต๊ะเคยได้รับ ตอนที่ตั๋งโต๊ะต้องพยายามทำหลายสิ่งเพื่อประเทศจนชีวิตแทบจะไม่รอด มีใครเคยคิดจะรับผิดชอบชีวิตตั๋งโต๊ะบ้างมั้ย?"

    ประเทศมีหน้าที่ปกป้องประชาชนไม่ใช่เหรอ? แต่สิ่งที่ราชสำนักทำกับตั๋งโต๊ะนี่มันอะไรกัน!? เหตุการณ์เหล่านี้ฝังใจตั๋งโต๊ะมากจนเขาเกิดความคิดที่แน่วแน่ขึ้นมาว่าจะต้องทำลายระบบการเมืองที่น้ำเน่าและโสโครกนี้ให้ได้ ทว่า เขาจะทำได้อย่างไร โดยการยกทัพจากชายแดนมานะเหรอ? มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกครับ เพราะทัพภูธรจะเก่งมาจากไหนก็ตามไหนเลยจะเทียบกับทัพหลวงที่มีไพล่พลเรือนล้านได้ และการยกทัพมาแบบไม่มีเหตุผลย่อมส่งผลให้ตั๋งโต๊ะต้องกลายเป็นขบถแน่นอน

    แล้ววันหนึ่งเมื่อประชาชนไม่อาจอดกลั้นต่อการกระทำอันหยาบช้าของราชสำนักได้อีก ประชาชนจนหันหน้าเข้าพึ่งศาสนา ทว่า ศาสนาส่วนใหญ่ไม่ได้สอนให้แข็งข้อต่อรัฐ ทั้งพุทธและเต๋าต่างสอนให้ปล่อยวาง ส่วนหยูก็สอนให้ภักดีต่อรัฐแม้ว่ารัฐจะห่วยแตกเพียงใดก็ตาม ในสมัยนั้นศาสนาคริสตร์ได้เกิดมาบนโลกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทำให้ชาวฮั่นทั้งหลายรู้สึกว่าตนได้รอดพ้นจากไฟนรกแม้แต่น้อย สำหรับคนทั้งประเทศที่ต้องทนการกดขี่ข่มแหงมานานแสนนานนั้น ไม่ได้ต้องการที่จะอดทนต่อความเจ็บปวดเพื่อไปยังสวรรค์หรือดินแดนแห่งพันธสัญญาแม้แต่น้อย ฉะนั้นศาสนามากมายที่เข้ามาในประเทศจีนตอนนั้นจึงไม่ต่างอะไรกับลัทธิฝันเฟื่องสำหรับคนจีนตาดำๆ ที่ต้องการเพียงอาหารประทังชีวิตในแต่ละวัน ศาสนาที่กลายเป็นยาชูกำลังอย่างแท้จริงจึงเป็นศาสนาที่เห็นว่าคนมีสิทธิจะเรียกร้องหากสิ่งที่ตนได้รับไม่ใช่สิ่งที่ชอบธรรม เพราะพระเจ้าสร้างคนมาเท่าเทียมกัน ศาสนาโซโรอัสเตอร์จึงเข้ามามีบทบาทในจีนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสายแมนนี(แมนก้า/เม้งกะ)ที่ได้ผสานความเชื่อของโซโรอัสเตอร์เข้ากับเต๋าและพุทธ คือสอนให้คิดอะไรอย่างมีเหตุผล ไม่งมงายไร้สาระ สอนว่ามนุษย์เท่าเทียมกันในสายพระเนตรพระเจ้า พระเจ้าไม่เข้าข้างลูกคนใด ฉะนั้นจึงมีแต่คนที่จะจัดการทั้งหมดตามความเป็นจริงและเห็นว่าเหมาะสม อีกทั้งโซโรอัสเตอร์ไม่ถือว่าการฆ่าเป็นบาปหนักเท่ากับการโกหก(โซโรอัสเตอร์มองว่าบาปที่หนักมากกว่าบาปทั้งหมดคือการโกหก เพราะเป็นบาปหนึ่งเดียวที่พระเจ้าและเทวดาทำไม่ได้) เม้งกะทั้งหลายจึงจับดาบและลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจรัฐ

    ผู้นำแมนนี่ในจีนยุคแรกๆ^

    ตั๋งโต๊ะเข้าใจแจ่มแจ้งถึงจิตใจของประชาชนจึงปฏิเสธที่จะรบกับพวกเม้งกะที่ตอนนั้นชูธงเหลือง(ไม่ทราบว่าใครอุตริไปโมเมเขียนว่าตั๋งโต๊ะได้รับการช่วยชีวิตจากแก๊งค์เล่าปี่ ไร้สาระสิ้นดี) แต่ก็จับตาดูการทำงานของรัฐบาลกลางจนรู้แจ้งว่าใครดีใครเลว เมื่อเขาได้รับราชโองการให้ช่วยปราบพวกขันทีเขาก็เดินทัพเข้าเมืองทันที และกุมทุกอย่างไว้ในเมืออย่างรวดเร็วดังที่พงศาวดารบอกไว้ว่า

    --ตั๋งโต๊ะได้รับสารเรียกตัวจากโฮจิ๋นจึงออกเดินทางทันทีและส่งสารถึงขุนนางคนอื่นๆ ว่า  ขันทีเตียวเหยียงและพวกนั้นอาศัยว่าฮ่องเต้ทรงโปรดจึงได้กำเริบ ทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงต่างๆ เราสามารถทำให้ซุบเย็นลงได้แม้จะยังมีคนพัดไฟให้โหมอยู่โดยการนำถ่านไฟออกจากเตา  ฝีที่แตกนั้นเจ็บปวดยิ่งแต่ก็ดีกว่าปล่อยไว้จนเป็นอันตรายแก่ชีวิต.... เมื่อตั๋งโต๊ะมาถึงสวนแสงรุ่งโรจน์  เขาเห็นไฟไหม้วังหลวงจึงรู้ว่าเกิดเหตุและรีบนำทัพมุ่งหน้าอย่างรวดเร็วเข้าไปประตูตะวันตกของเมืองหลวงก่อนฟ้าสาง... เมื่อฮ่องเต้ทรงเห็นตั๋งโต๊ะปรากฏตัวอย่างกะทันหัน พร้อมกับนำทหารถืออาวุธจำนวนมาก  พระองค์ทรงหวาดกลัวและร้องไห้ออกมา.... หนึ่งในเหล่าซานก๋งพูดกับตั๋งโต๊ะว่ามีคำสั่งทางการให้ถอนทัพไปแล้ว  ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่า "ท่านคงจะเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ของแผ่นดิน  แต่ท่านกลับไม่สามารถดูแลราชสำนักฮั่นไม่ให้วุ่นวายได้  และยังทำให้ฮ่องเต้ต้องกลายเป็นคนพเนจรไร้ที่อยู่  เหตุใดมาพูดถึงเรื่องการถอนทัพอีก" .... ตั๋งโต๊ะถามฮ่องเต้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น  แต่กลับไม่ได้เรื่องได้ราวอันใดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น  เมื่อเขาพูดกับตันลิวอ๋อง(เหี้ยนเต้)  ท่านอ๋องทรงสาธยายเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นโดยไม่ตกหล่นเหตุการณ์ใด  ตั๋งโต๊ะจึงคิดในว่าอยากตั้งท่านอ๋องให้ครองราชย์แทน--

    เล่าเหียบผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้โดยตั๋งโต๊ะ

    จากตรงนี้เห็นได้ชัดว่าเจตนาตั๋งโต๊ะนั้นคือปรับเปลี่ยนโครงสร้างแผ่นดิน ไม่ต้องการให้คนไร้สมองครองบัลลังก์ และเมื่อสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้แล้วเขาก็ปลดฮ่องเต้แล้วให้เหี้ยนเต้ครองราชย์แทน จากนั้นก็ปราบพวกชั่วทั้งหลายจนย่อยยับรวมทั้งเรียกคนดีมีความสามารถแต่ถูกทางการกลั่นแกล้งกลับมาทำงานหลายร้อยคน หนึ่งในนั้นคือซัวหยง ซัวหยงเขียนประวัติศาสตร์บรรยายความโหดร้ายของตั๋งโต๊ะจนทำให้คนของตั๋งโต๊ะลุแก่โทสะ แต่ตั๋งโต๊ะกลับประหารคนของตนที่พยายามขู่บังคับให้ซัวหยงบิดเบือนประวัติศาสตร์และสั่งให้ซัวหยงบันทึกความจริงโดยไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น นอกจากนั้นยังตอนขันทีหน้าใหม่และนำเสด็จเหี้ยนเต้ไปทอดพระเนตรการตอนด้วยตนเองโดยบอกแก่พระองค์ว่า "หม่อมฉันจะทำให้พระองค์เป็นฮ่องเต้ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประวัติศาสตร์" นี่เป็นอีกหนึ่งความจริงที่คนสมัยนี้ละเลย แต่อย่างไรก็ดี ตั๋งโต๊ะนั้นคงมีความกดดันในใจสูงมากเพราะเขาต้องผ่านความขมขื่นมาไม่น้อย ซึ่งอาจจะทำให้ใจวิปริตไปด้วย ก่อนที่โจโฉจะหนีไปนั้นมีบันทึกไว้ว่าเขาโดนตั๋งโต๊ะกระทืบจนสลบคาตีนต่อหน้าต่อตาเหี้ยนเต้ด้วยเหตุผลอะไรไม่ได้บอกไว้ โจโฉสู้ไม่ได้เลยหนีไปขณะที่ลิโป้อดทนกว่า ยอมให้ตั๋งโต๊ะโขกสับต่อไปก่อนจะขันแตกฆ่าตั๋งโต๊ะซะงั้น  โจโฉเองก็คงรู้ความซาดิสต์บิ๊กตั๋งดีจึงเกิดความเห็นใจ-ไม่อยากฆ่าลิโป้ที่เนรคุณพ่อบุญธรรมทั้งสอง(เพราะเต็งหงวนเองก็ไม่ได้ดีซักเท่าไหร่หรอก)จนกระทั่งคนดีที่สุดในโลกอย่างเล่าปี่พาไปโอ๋สองต่อสองและสั่งฆ่าลิโป้ก่อนโจโฉจะเปลี่ยนใจ

    ลิโป้

    การปกครองของตั๋งโต๊ะโหดเหี้ยมและเด็ดขาด เขาไม่ไว้ชีวิตคนที่ต่อต้าน ด้วยคำๆ นี้ตระกูลอ้วนและสุมาจึงต้องสังเวยชีวิตอย่างโหดร้าย และหากเราเรื่องพงศาวดารเว่ยด้วย สกุลโจโฉก็โดยตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรด้วยเช่นกัน เป็นผลให้โจโฉและน้องชายต่างมารดาทั้งสองต้องเปิดศึกกับโตเกี๋ยมในเวลาต่อมาเนื่องจากโตเกี๋ยมคือผู้รายงานความบัดซบของพวกแซ่โจตั้งแต่บรรพบุรุษซึ่งเป็นขันที แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไรตั๋งโต๊ะก็เป็นนักรบที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับกองทัพธรรม ไม่เพียงแต่ฆ่าคนเพื่อปูเป็นถนนในการเดินทางเท่านั้น เมื่อไปที่เมืองหลวงใหม่เขาก็มีพฤติกรรมเหมือนกับแด๊กคิวล่าที่จับคนที่่แข็งข้อมาเสียบประจาญ บิ๊กตั๋งเองก็ทรมานคนพวกนั้นด้วยการต้มทั้งเป็นในกระทะ(แม่เจ้า) รวมทั้งบังคับให้ขุนนางที่สงสัยว่าคิดแปรพักตร์กินเนื้อคนพวกนั้นเข้าไป ความจริงถ้ามองอีกด้านอาจจะหมายถึงในสถานการณ์ที่จลาจลเช่นนั้นจำเป็นต้องมีบทลงโทษที่รุนแรงเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง แต่คำถามก็คือ "แรงไปรึเปล่า?" บางทีอันนี้เราอาจจะต้องมาพูดกันอีกที

    โดยความคิดผม ตั๋งโต๊ะมิได้มีเจตนาร้ายต่อแผ่นดิน เพียงแต่วิธีการนั้นมันเกินกว่าจะรับไหวเท่านั้นเอง ซึ่งทั้งนี้เนื่องจากความผิดวิปริตในจิตใจซึ่งคนที่ทำให้มันเกิดก็คือรัฐนั่นเอง

    คราวหน้าไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เพราะผมกำลังงงกับการตายปริศนาของโจเจียงพอๆ กับที่สนใจเรื่องลูกหลานสุมาอี้และเรื่องอุยเอี๋ยนที่โดนตราหน้าว่าเป็นคนคด ตลอดจนเรื่องเตียวสงและใครอีกหลายๆ คน... แต่หากใครสนใจเรื่องไหนเป็นพิเศษก็บอกได้ครับ ผมจะรับไปค้นมาให้อ่าน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×