ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฮฮาประสาสามก๊ก

    ลำดับตอนที่ #40 : อ้วนเสี้ยว-อ้วนสุด ภาคจบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.43K
      8
      19 พ.ค. 55

    ลากมาจนถึงภาคจบของสองพี่น้องตระกูลอ้วนแล้วครับ
     

    หลังจากซุนเกี๋ยนตายอ้วนสุดได้จับครอบครัวซุนเกี๋ยนเป็นตัวประกัน และบีบซุนเซ็กให้มอบตราหยกให้(ซึ่งซุนเซ็กรักษาไว้ตามคำสั่งพ่อ) เขาสร้างความไม่พอใจแก่ซุนเซ็กหลายอย่าง บันทึกประวัติศาสตร์บอกว่าซุนเซ็กได้รับทหารจากอ้วนสุดไม่ถึงพันคนด้วยซ้ำ แต่โชคดีซุนเซ็กเป็นเด็กหนุ่มที่ฉลาดและโหดเหี้ยมพอตัว เมื่อเขาเดินทัพผ่านหมู่บ้าน เขาจะบังคับเกณฑ์ผู้ชายมาเป็นทหารเพิ่ม แม้จะเป็นวิธีการที่เลวร้ายไปหน่อยแต่ก็ทำให้เขามีไพร่พลเพิ่มกว่าหกพันคน ประวัติศาตร์บอกว่าเพราะซุนเซ็กเป็นหนุ่มรูปงามและมีความสามารถ ทหารจึงอุทิศตัวรับใช้เขาและเต็มใจรับใช้ยอมถวายชีวิตให้แก่เขา(เอ่อ.. เป็นคนมีความสามารถนี่พอเข้าใจ แต่ที่ว่าเป็น "หนุ่มรูปงาม" นี่ จำเป็นต้องระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของคุณสมบัติที่ทำให้ทหารรักด้วยเหรอ?) จนอ้วนสุดต้องถนอมซุนเซ็กไว้ใช้งาน เนื่องจากศัตรูที่เข้มแข็งที่สุดในสายตาของอ้วนสุดก็คืออ้วนเสี้ยว-พี่ชายของตน-ซึ่งเป็นพันธมิตรกับโจโฉ  ขนาดว่าจงฮ่องอุส่าห์เดินเท้าเปล่าไปหา-ร้องไห้คร่ำครวญวิงวอนขออ้วนเสี้ยวให้ส่งคนไปช่วยเตียวเจี๋ยว อ้วนเสี้ยวก็ไม่ยอม จงฮ่องถึงกับตีตราอ้วนเสี้ยวว่า "เป็นคนที่ไร้ศีลธรรม มีความทะเยอทะยานที่ไม่สุจริต" ในช่วงที่โจโฉลำบากมากๆ อ้วนเสี้ยวยังบอกให้โจโฉทิ้งฮูโต๋มาอยู่กับเขาเลย(โจโฉก็หลงคารม เกือบหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ด้วยเหมือนกัน)ดีที่ซุนฮกคว้าไว้ก่อน โจโฉจึงเปลี่ยนปฏิเสธแบบนุ่มนวลแทน
     

    น่าสนใจว่าในยุคที่แผ่นดินแตกเป็นเสี่ยงๆ เช่นนั้น อ้วนเสี้ยวไม่เคยรบแพ้(จนกระทั่งเจอกับโจโฉในกวนตู้) อ้วนเสี้ยวไม่เคยไว้ชีวิตคนที่ต่อต้านอย่างไม่ลังเลแม้จะเป็นคนดีมีคุณธรรมอันเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งก็โหดพอฟัดพอเหวี่ยงกับกองซุนจ้านที่เป็นคู่ปรับตัวฉกาจ เฉินโซ่วเขียนถึงกองซุนจ้านไว้ว่า "เขามีความทะเยอทะยานมากกว่าเดิม เขาใช้ประโยชน์จากความสามารถในการรบเขา และไม่มีความสงสารต่อผู้ใด เขาจดจำความผิดลูกน้อง และไม่ใส่ใจความชอบของพวกเขา บางครั้งเขาสังหารผู้คนบางคนที่เพียงแต่มองเขาอย่างโกรธเคือง" พิมพ์มาถึงตรงนี้รู้สึกว่าหลายคนเหลือเกินที่มีภาพพจน์ต่างจากในนิยาย ตอนนั้นขุมกำลังใหญ่ที่สุดมีสามครับ คืออ้วนเสี้ยว อ้วนสุด และกองซุนจ้าน พวกเขาไม่เห็นโจโฉ เล่าปี่ ซุนเซ็ก ฯลฯ อยู่ในสายตา แต่ความสัมพันธ์ของโจโฉกับอ้วนเสี้ยวที่ดีมาตลอดก็มีปัญหาจนได้เมื่อโจโฉไปรับพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่ด้วย อ้วนเสี้ยวถึงกับเขียนจดหมายมาโวยวายว่าโจโฉทำอะไรไม่ปรึกษา โจโฉจึงต้องขอพระราชทานตราตั้งให้อ้วนเสี้ยวเป็นสมุหพระกลาโหม ส่วนโจโฉขอเป็นสมุหนายก(ซึ่งสบอารมณ์อ้วนเสี้ยวมากที่ตัวเองได้เป็นหัวหน้าฝ่ายบู๊แล้วโจโฉไปเป็นหัวหน้าฝ่ายบุ๋น) วันดีคืนดีก็ส่งจดหมายไปเยาะเย้นโจโฉที่เสียท่าเพราะมัวกกนางเจ๋าซื่อทำนองว่าเป็นแค่ฝ่ายบุ๋นดันอุตริจะยุ่งเรื่องการสงคราม ฯลฯ ทำให้โจโฉเริ่มแค้นอ้วนเสี้ยวและแอบวัดรอยเท้าเงียบๆ
     

    ในที่สุดสิ่งที่อ้วนสุดรอมานานก็เป็นรูปเป็นร่าง เมื่อมีคำทำนายว่า คนที่มาจะแทนราชวงศ์ฮั่นนั้นจะเป็น "ถนนสูง" อ้วนสุดก็อ้างว่าชื่ออย่างเป็นทางการของตัวเองนั้นเข้ากับคำทำนายได้เป็นอย่างดี เพราะแปลว่า "ถนนสาธารณะ" ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลอ้วนสืบเชื้อสายมาจากรัฐเฉิน(ตระกูลอ้วนอ้างว่า) ดังนั้นอ้วนสุดจึงวางแผนสถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้ เขาจับตัวภรรยาซุนเกี๋ยนไว้เป็นตัวประกันเพื่อบังคับเอาตราหยกมาจากซุนเซ็ก และทำให้ซุนเซ็กจากไปในที่สุด ซุนเซ็กมุ่งหน้าลงสู่ทางใต้เพื่อสานต่อกิจที่บิดาทำค้างไว้ ส่วนอ้วนสุดเมื่อได้ตราหยกก็เริ่มลืมตัวครับท่าน จัดการสถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้อย่างยิ่งใหญ่ เมื่อเป็นฮ่องเต้แล้วก็เริ่มไม่เห็นใครในสายตา แม้แต่ลิโป้และซุนเซ็กที่เคยพยายามเลี้ยงไว้ใช้งานก็เริ่มปล่อยให้ห่างเหิน มีคนมากมายที่ลืมตัวเมื่อได้เป็นฮ่องเต้ อ้วนสุดเองก็ให้ความหลงใหลในลาภยศมาบังตา จนในที่สุดก็พังเพราะลาภยศ! บันทึกประวัติศาสตร์กล่าวถึงอ้วนสุดอย่างน่าสมเพชมากว่า,-
     ฮ่องเต้อ้วนสุด

    "--หลังจากที่อ้วนสุดตั้งตัวเองเป็นฮ่องเต้ เขาก็ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายมาก เขามีมเหสีและนางสนมหลายร้อยคน พวกเขาแต่งกายด้วยผ้าไหมและกินอยู่อย่างดี ประชาชนต่างทุกข์ร้อนและหิวโหย แต่อ้วนสุดก็ไม่ใยดีพวกเขา ไม่นานทรัพย์สมบัติของอ้วนสุดก็หมดลง เขาจึงไม่สามารถรักษาตำแหน่งเขาได้ เขาจึงเผาวังหลวงและหนีไปหาเฉินเจียนและลุยป๊ก ลูกน้องเขาที่ภูเขาเกียนสันแต่พวกเขาก็ทอดทิ้งอ้วนสุด  เมื่อทรัพย์สมบัติเขาหมดสิ้น กองทัพก็แตกแยกกระจัดกระจาย อ้วนสุดเสียใจและหดหู่มาก เขาไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใด อ้วนสุดส่งทูตไปเสนอมอบตราหยกฮ่องเต้ให้กับอ้วนเสี้ยว บอกว่า สวรรค์ได้ละทิ้งราชวงศ์ฮั่นแล้ว ตระกูลอ้วนได้ถูกมอบหมายให้ปกครองแทน บัดนี้ถึงเวลา ฤกษ์งามยามดีนั้นแล้ว ตัวท่านปกครองถึงสี่มณฑล มีประชาชนกว่าล้านครัวเรือน ข้าขอมอบตราหยกฮ่องเต้ให้แก่ท่าน ขอให้ท่านจงใช้มันเพื่อทำตามลิขิตสวรรค์--"

    ครับ... ไม่มีเหตุการณ์รวมตัวกันของเล่าปี่ ลิโป้ โจโฉ ซุนเซ็กเพื่อร่วมกันปราบฮ่องเต้กำมะลอ-อ้วนสุดอย่างในนิยายเลย! อ้วนสุดกินจนท้องแตกตายเองจริงๆ พอโจโฉทราบเรื่องก็ส่งเล่าปี่ออกไปสกัดทำให้อ้วนสุดไม่สามารถเดินทางต่อได้ อ้วนสุดที่จนตรอกในยุทธการสุดโหดของเล่าปี่จึงตรอมใจตายอย่างน่าสังเวช... ผมแอบสงสัยว่าใจจริงโจโฉอาจจะส่งเล่าปี่ไปช่วยอ้วนสุดก็ได้ เพราะเท่าที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ โจโฉไม่ค่อยซ้ำเติมคนอ่อนแอเท่าไหร่ เขาคงอยากทำดีกับอ้วนสุดเพื่อเสริมกำลัง แต่ไม่คิดว่าจะเพื่อขอตราหยก เพราะขนาดอ้วนสุดเป็นฮ่องเต้เขาไม่สนใจเลยเพราะเห็นว่ายังไงอ้วนสุดก็ไม่มีตราหยก สรุปคือมันไม่รู้เลยว่าตราหยกอยู่ที่อ้วนสุด(ตกลงมันโง่หรือฉลาดกันแน่) แต่เผอิญส่งไปผิดคน นั่นแหละ ทั้งเฉินโซ่วและหลอกว้านจงถือหางเล่าปี่ทั้งคู่ย่อมไม่อาจจะบันทึกว่าเล่าปี่โหดเหี้ยมขนาดนั้น เพราะถ้าเล่าปี่ทำตามคำสั่งโจโฉจริงๆ ไฉนลูกน้องอ้วนสุดจึงนำตราหยกหนีเล่าปี่แล้วเอาไปมอบให้โจโฉด้วยตนเองแทนที่จะฝากไปกับเล่าปี่ หนึ่ง... เพราะพวกนั้นรู้จักโจโฉในระดับหนึ่งเนื่องจากเคยร่วมงานกับโจโฉมาก่อน(โจโฉเคยเป็นลิ่วล้อพวกอ้วน) และสอง... พวกนั้นเห็นวิธีการที่เล่าปี่จัดการกับทัพของคนไม่มีทางสู้อย่างพวกตนแล้วคงจะขยาด แต่ไม่ว่าจะมีเหตุผลใดก็ตาม โจโฉผู้ไม่สนใจตราหยกเพราะมีฮ่องเต้ในมือแล้วก็ได้ตราหยกมาแบบไม่คาดฝันและนำขึ้นถวายฮ่องเต้เพื่อจะทรงใช้ในการประทับตราตั้งอย่างถูกต้อง
     
    โจโฉสมัยเป็นลิ่วล้อพวกสกุลอ้วน

    อีกด้านหนึ่ง อ้วนเสี้ยวก็ปราบกองซุนจ้านซึ่งเป็นหนึ่งในสามขุมกำลังใหญ่ที่สุดได้หลังจากรบกันมาหลายปี เขาจึงยิ่งทวีความหยิ่งยโสมากขึ้นและไม่มีความเห็นว่าจำเป็นจะต้องส่งบรรณาการแด่ฮ่องเต้(ในมือโจโฉ)อีกต่อไป ยิ่งอ้วนสุดมีจดหมายมาแบบนั้นยิ่งฝันหวานไปว่าตัวเองมีบุญญาธิการ "อื่ม... จะว่าไปท่านพ่อก็ฝันเห็นมังกรก่อนจะมีข้า สรุปว่าข้ามังกรสินะ" ไปโน่น จนกระทั่งว่าพร้อมจะฆ่าทุกคนที่ทำลายวิมานในอากาศของท่าน สรุปคือกำลังหลงอำนาจนั่นเอง... นอกจากอ้วนเสี้ยว อ้วนสุด ตั๋งโต๊ะ ลิโป้ อองอุ้น กองซุนจ้านแล้ว ยังมีคนอีกมากมายที่ซวยไปกับความหลงอำนาจ ถ้าท่านจะจำได้ว่าความหลงอำนาจทำให้กวนอูต้องเสียหัวมาแล้ว เล่าปี่ที่หลงอำนาจจนพ่ายแพ้ลกซุนย่อยับ แม้แต่ซุนกวนเป็นฮ่องเต้ก็หลงอำนาจอยู่เหมือนกัน ในปลายรัฐสมัยของซุนกวนราชสำนักนับว่าเหลวแหลกพอควร โจโฉเองก็มีช่วงที่หลงอำนาจอยู่วูบหนึ่งคือตอนได้เป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ ยกพลแสนห้าลงใต้แบบไม่ฟังใคร ในที่สุดก็ต้องวิ่งกลับบ้านแทบไม่ทันเพราะเจอโรคระบาด จากนั้นแกก็สงบเสงี่ยมจนใครยุก็ไม่ขึ้นเพราะเข็ดขยาด เห็นมั้ยครับว่าความหลงอำนาจนั้นน่ากลัวเพียงใด มันบดบังสติปัญญาของยอดอัจฉริยะในยุคสามก๊กไปหลายต่อหลายคนจริงๆ
     
    อ้วนเสี้ยวเตรียมการเข้าโจมตีเมืองฮูโต๋ ด้วยความมั่นใจในความสามารถรวมทั้งรูปร่างที่เหนือกว่า ความสามารถทางการรบที่แทบจะเป็นหนึ่งในแผ่นดิน เวลานี้จิตใจของอ้วนเสี้ยวที่ทำทุกสิ่งเพื่อราชวงศ์ฮั่นได้หมดไปแล้วเมื่อเขาได้เห็นอำนาจอันล้นหลามของตนเองและคำยกยอปอปั้นจากอ้วนสุด-ผู้ไม่เคยยอมรับอ้วนเสี้ยวมาก่อนในชีวิต อ้วนเสี้ยวจึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำเหลืองเพื่อไปโจมตีโจโฉ ขณะที่จอสิวก็คัดค้านว่า "กองทัพที่ปราบปรามกบฏและลงโทษเจ้าเมืองที่ชั่วร้าย ก็คือกองทัพธรรม กองทัพที่อาศัยเพียงจำนวนและความแข็งแกร่ง ก็คือคนที่หยิ่งยโส กองทัพธรรมนั้นไร้คู่ต่อสู้ แต่กองทัพที่หยิ่งยโสนั้นไม่ช้าก็จะพ่ายแพ้ เวลานี้โจโฉอาศัยฮ่องเต้ออกคำสั่งแก่ทั่วแผ่นดิน ถ้าท่านยกทัพบุกโจมตี ก็เท่ากับท่านเป็นศัตรูกับทางการ และโจโฉนั้นควบคุมกองทัพอย่างเคร่งครัด ทหารก็กล้าแกร่งและถูกฝึกมาอย่างดี ไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างกองซุนจ้านที่เอาแต่นั่งรอการโจมตีของเรา ถ้านายท่านเพิกเฉยการวางแผนอย่างรอบคอบและปลอดภัย และนำทัพโจมตีโดยไม่มีเหตุผล ข้าก็เป็นห่วงว่านายท่านจะไม่ได้ชัยชนะ" ความหมายของจอสิวคือตอนนี้สำหรับคนทั้งแผ่นดินโจโฉคือคนที่ปกป้องฮ่องเต้และเป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรม ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นความจริง เพราะอ้วนเสี้ยวไม่ต้องการที่จะไปฮูโต๋เพื่อชิงฮ่องเต้ แต่ต้องการจะทำลายฮ่องเต้เพื่อที่ตนจะได้เป็นฮ่องเต้ที่แท้จริง เมื่ออ้วนเสี้ยวคิดร้ายกับฮ่องเต้ โจโฉที่ปกป้องฮ่องเต้ย่อมกลายเป็นฝ่ายชอบธรรมโดยปริยายอยู่แล้ว  งานนี้กัวเต๋าและสิมโพยก็สาดกลับว่าอ้วนเสี้ยวมีความสามารถในการรบเหนือกว่าโจโฉหลายเท่าและชี้ว่าโจโฉเป็นแค่มดปลวกที่เหยียบตายไปก็ไม่มีใครสนใจ เพราะชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจรพร้อมทั้งยุยงให้อ้วนเสี้ยวระแวงจอสิว... ดูเหมือนอ้วนเสี้ยวเองก็พร้อมจะเป็นฮ่องเต้แล้วเช่นกันจึงหูเบาไปตามวิสัยฮ่องเต้ จึงตัดอำนาจจอสิวลงแล้วยกทัพเรือนแสนไปยังเมืองฮูโต๋ ทว่า... โจโฉที่ทราบข่าวอาศัยความที่มีไพร่พลน้อยกว่ายกทัพไปถึงกวนตู้ ขวางทางอ้วนเสี้ยวไว้แล้วกลับไปจัดเตรียมทัพใหญ่ที่ฮูโต๋ และอย่างที่เราทราบกันมาแล้ว... โจโฉสามารถพิชิตอ้วนเสี้ยวได้อย่างเหนือชั้น
     
    อ้วนเสี้ยวผู้ยิ่งใหญ่

     
    เก่งกาจเหนือใคร

     
    ท้ายที่สุดก็โดนน้องแมว เอ้ย!? โดนโจโฉเหยียบ...

    คราวนี้ ผมอยากชวนท่านพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดสองตอนนี้ เริ่มแรก... อ้วนเสี้ยวอ้วนสุดคือตัวละครที่น่าจับตามองที่สุด ตามมาด้วยกองซุนจ้าน ขณะที่โจโฉเป็นแค่ลิ่วล้อ ซุนเกี๋ยนเป็นแค่ตัวละครสนับสนุน รวมทั้งเล่าปี่ก็หายไปกับม่านของตัวประกอบ แล้วอยู่ๆ พวกเด่นๆ ก็พังพาบลง(รวมทั้งซุนเซ็กที่กำลังเป็นที่จับตามองก็ลงเหวในพริบตา) ปล่อยให้ลิ่วล้อชูคอยืดยาวให้คนรุ่นหลังได้เชิดชูในประวัติศาสตร์ เป็นไปได้ว่าการที่ทั้งอ้วนเสี้ยว อ้วนสุด และกองซุนจ้านไม่เคยรบแพ้นี่แหละ ทำให้พวกเขาไม่สามารถอดทนกับความล้มเหลวได้เมื่อมันมาถึง เพราะใช้ชีวิตบนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบนานเกินไป เคยมีเพื่อนหญิงคนหนึ่งของผมบอกว่า "ความทุกข์ที่เกินทนจะหลอมคนให้ทนทาน ความสุขที่ยาวนานจะเผาผลาญความทานทน" นี่น่าจะอธิบายทั้งหมดได้มีที่สุด อ้วนสุดที่อยู่อย่างสุขสบายมาตลอดย่อมไม่มีทางเทียบได้กับเล่าปี่ที่ผ่านดงสงครามทุกรูปแบบทั้งที่ลับที่แจ้ง อ้วนเสี้ยวที่มีเกียรติมาตลอดย่อมไม่มีทางที่จะยืนยัดบนความอัปยศได้เหมือนอย่างโจโฉผ่านความอัปยศอย่างสาหัสมานับไม่ถ้วนแต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ นั่นแหละที่ทำให้ยอดขุนพลแห่งตระกูลหยวนต้องกลายเป็นพรมโลหิตให้เล่าปี่-โจโฉเดินข้ามไป
     
    อัจฉริยะที่แท้จริง....

    บางทีผมก็แอบคิด... ขณะที่หลอกว้านจงเขียนเรื่องน้ำเน่าว่าเล่าปี่ต้องร่ำไห้-หนีหัวซุกหัวซุนไปพึ่งคนโน้นทีแล้วก็ต้องหนีตายเพราะมีแต่คนรังแกนั้น คนนี้ที แท้จริงแล้วเขายืนจิบเหล้าอย่างอารมณ์ดีทุกครั้งที่จะเช็กเอ้าท์ออกจากถ้ำเสือ เพราะทุกสิ่งได้เป็นไปตามที่เขาต้องการแล้ว

    เอาล่ะครับ คราวหน้าผมจะมาคุยเรื่องกุนซือกันบ้าง เพื่อจะปูไปหาเรื่องของเหล่ายอดสมองเพชรทั้งหลาย ซึ่งผมจะเล่าหลังจากเรื่องของซุนเกี๋ยน-ซุนเซ็กครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×