การพันเท้าของวัฒนธรรมจีน - การพันเท้าของวัฒนธรรมจีน นิยาย การพันเท้าของวัฒนธรรมจีน : Dek-D.com - Writer

    การพันเท้าของวัฒนธรรมจีน

    โดย Rita_Bunny

    แฟชั่นของผู้หญิงจีนสมัยก่อนที่เรียกว่าการพันเท้า,มัดเท้าหรือรัดเท้าที่นิยมพันให้เท้าเล็กและมีรูปร่างเหมือนดอกบัวเค้าว่าสวยแต่เราว่าน่าสงสารผู้หญิงที่จะต้องพันเท้าจัง น่าจะเจ็บนะ

    ผู้เข้าชมรวม

    15,379

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    15

    ผู้เข้าชมรวม


    15.37K

    ความคิดเห็น


    58

    คนติดตาม


    4
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ก.ค. 51 / 05:30 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    Categories : Social

      
     
    โดย ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

    ประเพณีพันเท้าเริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังใต้ สมัยนั้น พระชายาของจักรพรรดิหลี่ยฺวี่ทรงนำผ้ามาพันเท้าให้เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว แล้วทรงใส่ถุงเท้าสีขาวไปฟ้อนรำบนดอกบัวที่ทำด้วยทองคำ จักรพรรดิหลี่ยฺวี่ทรงพอพระทัยการฟ้อนรำนี้มาก และยังทรงชื่นชมว่า พระชายาทรงมีปณิธานสูงกว่าเมฆ ดังนั้น ประเพณีการพันเท้าจึงเริ่มจากพระราชวังแล้วค่อยแพร่ไปยังหมู่ชาวบ้าน ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ การพันเท้าได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติสำหรับผู้หญิง
    คนในสมัยนั้นเชื่อกันว่า การพันเท้าเป็นสิ่งที่ดีงามอย่างหนึ่งสำหรับผู้หญิง การไม่พันเท้าเป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง

    ราชินีของจักรพรรดิที่สถาปนาราชวงศ์หมิงถูกหัวเราะและถูกดูถูกจากคนทั่วประเทศจีน ก็เพราะมีเท้าที่ไม่ได้พันมาตั้งแต่เด็ก

    ในสมัยโบราณ ผู้หญิงเริ่มพันเท้าตั้งแต่อายุห้าหกขวบ แล้ววิธีพันคือใช้ผ้าทำให้นิ้วเท้าทั้งหมดยกเว้นหัวแม่เท้า รวมทั้งฝ่าเท้าหักแล้วงอไปกลางฝ่าเท้า ทำให้รูปเท้ากลายเป็นรูปหน่อไม้ 

    เราสามารถจินตนาการได้ว่า ผู้หญิงที่ถูกพันเท้าจะมีความทุกข์ทรมานมากขนาดไหน

    แต่เพื่อประกันว่าลูกสาวจะได้ออกเรือน คุณแม่หรือคุณย่าจะไม่สนใจการร้องไห้และการขอร้องใดๆ ท่านจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองในการพันเท้าให้ลูก สมัยนั้น เท้าที่ถูกพันของผู้หญิงถูกเรียกว่า  ดอกบัวทอง แล้วการเดินของผู้หญิงที่มีเท้าเป็น "ดอกบัวทอง" ก็ได้รับการชมว่า  ทุกก้าวล้วนก่อเกิดดอกบัว ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ชิง ประเพณีการพันเท้าเป็นที่นิยมมาก ผู้หญิงชาวฮั่นไม่มีใครไม่พันเท้า
    การทำแบบนี้ได้สร้างอุปสรรคแก่ผู้หญิงในด้านการเดิน จึงทำให้ออกจากบ้านไปไหนมาไหนไม่สะดวก แต่ที่จริงแล้ว ในสมัยที่ประเทศจีนยังค่อนข้างยากจนนั้น นอกจากผู้หญิงที่เกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยแล้ว ผู้หญิงที่เกิดในครอบครัวที่ยากจนยังต้องตะเกียกตะกายไปทำมาหากินข้างนอก เพราะฉะนั้นการพันเท้าทำให้ผู้หญิงประสบความยากลำบากขึ้นหลายสิบเท่า

    ในประวัติศาสตร์ของจีน การพันเท้าก็เคยถูกห้าม

    ตัวอย่างเช่นในสมัยราชวงศ์ชิง จักรพรรดิคางซีทรงสั่งว่าห้ามพันเท้าเด็ดขาด แต่กลับไม่ได้ผลเท่าไร จนถึงช่วงปลายสมัยราชวงศ์ชิง การปฏิวัติซินไฮ่ทำให้ราชวงศ์ชิงค่อยๆ เสื่อมลง แล้วประเพณีนี้จึงจะค่อยๆ หายไป แต่ว่าบางทีในชนบท เรายังสามารถเห็นผู้หญิงที่มีเท้าเป็นแบบ  ซึ่งก็คือการพันเท้าเพียงครึ่งส่วน แต่เท้าแบบที่ถูกพันจริงๆ เหมือนกับสมัยโบราณนั้น ไม่มีให้เห็นอีกแล้วในปัจจุบัน 

    ประเพณีพันเท้านี้ สะท้อนให้เป็นถึงความชอบที่มีลักษณะพิเศษและโครงสร้างสังคมที่ฐานะทางสังคมของผู้ชายสูงกว่าผู้หญิงในสมัยโบราณของประเทศจีน การสูญหายของประเพณีนี้ในปัจจุบัน ทำให้ชาวโลกได้เห็นว่า ผู้หญิงจีนมีฐานะทางสังคมสูงขึ้น และประเทศจีนก็ได้ก้าวจากยุคโบราณมาสู่ยุคที่ทันสมัยและเจริญขึ้น




     


    http://pikpod.com/blog/view-blog.php?memberid=221&blogId=304


     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      วันนี้ครึ้มอกครึ้มใจ ไปหาหนังสือเก่าๆ มาอ่าน แล้วก็มาเจอหนังสือเล่มนึงชื่อว่า “The Woman of Iron” ของ Mandy Loader แปลเป็นไทยก็ว่า “หญิงเหล็ก” แล้วในหนังสือก็พูดถึงการมัดเท้าของหญิงจีนสมัยก่อนๆ นู้นนนนน เราเลยมานั่งหาข้อมูลอ่าน

      ความเป็นมาของการมัดเท้าคร่าวๆ เขาพูดกันไว้ว่า

      ผู้หญิงชาวจีนสมัยก่อนเชื่อว่า การที่เท้ายิ่งเล็ก ยิ่งจุ๋มจิ๋ม ยิ่งสวย แล้วก็เป็นที่ต้องตาของชายหนุ่มในสมัยนั้นด้วย ขนาดที่เขาว่าสวยนั้น จะมีขนาดไม่เกิน 3 นิ้ว (ตีนเด็กป่าวเนี่ย) หรือที่เรียกกันว่า “ดอกบัวทองคำ 3 นิ้ว” ถ้ายาวกว่า 3 นิ้วแต่ไม่เกณฑ์ 4 นิ้วให้เรียกว่า “เท้าดอกบัวเงิน” หากยาวกว่า 4 นิ้วก็จะถูกลดชั้นเป็น “ดอกบัวเหล็ก” พูดง่ายๆ คือ ตีนโตๆ จะหาผัวไม่ได้ การมัดเท้าจะนิยมมัดกันในกลุ่มลูกสาวไฮโซ มีชาติตระกูล แล้วมัดกันตั้งแต่เด็กๆ ด้วยนะ สำหรับสาวๆ ตามท้องนา มัดเท้าไปคงจะไม่ได้ทำนานแน่ เพราะเดินไม่ได้ อยากรู้ว่าทำไมต้องมัด ลองอ่านดูที่นี่นะ

      ผลของการมัดเท้าตั้งแต่เด็กจนแก่

      สยองไหมคะ นี่คือที่ถอดผ้ามัดออกแล้วนะ

      อ่านต่อด้านในนะ

      มีตัวอย่าง ของหญิงคนนึงที่ได้ผ่านประเพณีการมัดเท้าอันแสนทรมานมาให้ชม

      ที่เห็นนั่นไม่ใช่เท้าขาดนะ (แต่เหมือนเท้าขาดมาก) มันคือผลจากการมัดเท้าตั้งแต่เด็กๆ สังเกตดู กระดูกที่หลังเท้า จะโก่งขึ้น และฝ่าเท้า กับส้นเท้าพับหากัน จนเป็นร่องเหมือนเท้าขาด ส่วนที่เป็นเหมือนดินน้ำมันเส้นๆ นั้นแปะอยู่ คือนิ้วเท้าทั้ง 4 ที่ถูกพับลงมา และพิการถาวร :o เขาต้องการให้มันเป็น 3 เหลี่ยม ถึงจะใส่ร้องเท้าเล็กๆ สีแดงๆ นั้นได้ บางรายถึงขั้นเดินไม่เป็นเลยก็มี
      http://www.meawdam.com/2007/08/29/foot-binding/

      การห้ามผู้หญิงมัดเท้า เป็นผลพวงครั้งใหญ่จากการปฏิวัติซินไฮ่ แต่อันที่จริงเมื่อศึกษาดูจากประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่า การพันเท้าไม่ใช่ประเพณีดั้งเดิมที่ปฏิบัติต่อกันมาของสาวจีน
      จากการขุดค้นพบศพหญิงสาวสมัยฮั่น ที่หม่าหวางตุย และซากศพแห้งของหญิงสาวที่ซินเกียง ล้วนเป็นซากศพที่มีเท้าใหญ่ ไม่ได้มีร่องรอยของการมัด หรือพันเท้าแต่อย่างใด
      เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ประเพณีการมัดเท้าแท้จริงแล้ว เริ่มมีมาแต่สมัยใด?

      หลังจากสมัยราชวงศ์ถัง ประเทศจีนได้เกิดช่วงเวลาแห่งการแตกแยกครั้งใหญ่ขึ้นช่วงหนึ่ง ในบันทึกประวัติศาสตร์ เรียกช่วงเวลานี้ว่า "5ราชวงศ์ 10อาณาจักร"
      ในช่วงเวลานั้น ราชวงศ์ถังใต้ มีกษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า หลี่โฮ่วจู่ มีนิสัยชอบอ่านหนังสือ มีฝีมือด้านอักษรศาสตร์ และจิตรกรรม แต่กลับขาดความสามารถด้านการปกครองประเทศ
      พระองค์ทรงมีพระสนมนางหนึ่ง เต้นรำอ่อนช้อยงดงาม ใช้ผ้าพันเท้า เท้านางเล็กโค้งงอดั่งพระจันทร์เสี้ยว นางสวมถุงเท้าขาว เต้นระบำอยู่บนดอกบัวที่ทำด้วยทองสูง 6 ฟุต ลอยละล่องดุจเทพธิดา
      นางได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากโฮ่วจู่เป็นอย่างมาก

      คนสมัยต่อมาใช้คำ "จินเหลียน (ดอกบัวทอง)" มาบรรยายเท้าเล็กของหญิงสาว
      จากนั้นเป็นต้นมา กระแสนิยมมัดเท้าภายใต้การริเร่มของนักปกครองในสมัยศักดินา ก็ได้สืบทอดต่อๆกันมา ยุคแล้วยุคเล่า นับวันกระแสความนิยมนี้ ก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น
      จนกระทั่งส่วผู้มีเท้าใหญ่แทบไม่มีโอกาสได้แต่งงาน หญิงสาวชาวจีนถูกกระทำอย่างทารุณเช่นนี้นับเป็นเวลาถึงพันกว่าปี

      จนกระทั่งปัจจุบัน พวกเราสามารถเห็นบรรดาหญิงสาวสูงอายุที่มีเท้าเล็ก เดินเหินด้วยความยากลำบาก ตามถนนหนทาง หรือตามตรอกซอกซอยได้โดยบังเอิญ
      หญิงสาวเหล่านี้คือหลักฐานที่ยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่ เพื่อแสดงให้เห็นถึงชะตากรรมของสตรีเพศ ภายใต้การปกครองในระบอบศักดินา

       
       

      "แฟชั่นรองเท้าดอกบัวทองคำ"

      ชีวิตคนเมืองจีน / คนสมัยนี้คงจะจินตนาการไม่ออกแน่ว่าเมื่อประมาณ 1,000 ปีที่แล้ว สังคมจีนมีประเพณีที่พิลึกพิลั่นในการประเมินความงามของหญิงสาว โดยใช้ขนาดของเท้าเป็นเกณฑ์ หมายความว่าหญิงสาวที่เท้ายิ่งเล็ก ก็ยิ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นคนสวย และยิ่งเป็นที่สนใจของเพศตรงข้ามมากขึ้นเท่านั้น

      ชาวจีนในยุคนี้ กล่าวกันว่า สิ่งที่สร้างความอับอายขายหน้าให้แก่ชาวจีนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 5,000 ปี นอกเหนือจากนิสัยติดฝิ่น การไว้ผมเปียของผู้ชายชาวฮั่นเพราะถูกชนชั้นปกครองชาวแมนจูบังคับแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือ ประเพณีการรัดเท้า เพื่อให้เท้าเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยความเขลาของผู้หญิงเองที่คลั่งไคล้ใหลหลงไปกับการตีค่าความงามบนความเจ็บปวด ที่แลกมากับด้วยเลือดและน้ำตาของตัวเอง กอปรสภาพสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ บีบบังคับให้ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อแห่งการทารุณอย่างเลือดเย็น ด้วยความยินยอมพร้อมใจจากเพศเดียวกันตลอดหลายชั่วอายุคน เบื้องหลัง ‘รองเท้าดอกบัวทองคำ 3 นิ้ว’ ที่สวยงามนั้นคือ เรื่องราวชีวิตที่สุดแสนรันทดของผู้หญิงจีนหลายล้านคน


      http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9500000034014

       
       


      เท้าใหญ่ไม่มีคนเอา รัดเท้าทีก็พันปี

      เหอจื้อหัว นักสะสมวัตถุโบราณที่มีชื่อเสียงของจีน หยิบรองเท้าคู่หนึ่งขนาดยังเล็กกว่าฝ่ามือขึ้นมากล่าวว่า “ การรัดเท้าก็คือการใช้ผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมมารัดเท้าทั้งคู่ไว้จนรูปร่างเท้าตามธรรมชาติเปลี่ยนไปจนมีลักษณะเฉพาะ รองเท้าคู่หนึ่งของผู้หญิงนั้นแลกมาด้วยเลือดและน้ำตา จากการสืบค้นของนักประวัติศาสตร์ ประเพณีการรัดเท้าของผู้หญิงจีน เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยจักรพรรดิหลี่อี้ว์หรือหลี่โฮ่วจู่ ในยุค 5 ราชวงศ์ หลังจากการสิ้นสุดของราชวงศ์ถัง คือระหว่าง ค.ศ. 923-936 ” ตามสมมติฐานที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย กล่าวว่า นางกำนัลคนหนึ่งของจักรพรรดิหลี่อี้ว์ ชื่อ เหย่าเหนียง ต้องการทำให้จักรพรรดิพอพระทัย จึงใช้ผ้าที่ทำจากแพรไหมสวยงามรัดที่เท้าจนเรียวเล็กราวพระจันทร์เสี้ยว ขณะที่วาดลีลาการร่ายรำต่อหน้าพระพักตร์ จักรพรรดิหลี่อี้ว์ทรงพอพระทัยการแสดงครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาเหย่าเหนียงได้สั่งให้ทำรองเท้าที่ประดับประดาด้วยไข่มุกอัญมณีนานาๆชนิดอย่างสวยงาม แล้วให้นางสนมกำนัลสวมใส่หลังจากที่รัดเท้าแล้ว ท่วงท่าที่อ่อนช้อยบนรองเท้าคู่จิ๋ว เป็นที่พอพระทัยของจักรพรรดิยิ่งนัก นับแต่นั้นมา แฟชั่นการัดเท้าในหมู่นางวังในก็เริ่มขึ้น แล้วค่อยๆขยายวงออกไปยังหมู่ลูกสาวของเหล่าขุนนางในสังคมชั้นสูง เมื่อมาถึงในสมัยหมิง ( ค.ศ. 1368 –1644 ) ความคลั่งไคล้การรัดเท้าได้แผ่กว้างไปในหมู่หญิงสาวสามัญชนทั่วประเทศ

      ในสมัยจักรพรรดิคังซี ( ค.ศ. 1662-1721 ) แห่งราชวงศ์ชิง แฟชั่นการรัดเท้าดำเนินถึงจุดสูงสุด โดยเฉพาะในมณฑลซันซี เหอเป่ย ปักกิ่ง เทียนจิน ซันตง เหอหนัน ส่านซี กันซู่ แต่ชนเผ่าแมนจูไม่มีประเพณีให้ลูกสาวรัดเท้าอย่างชนชาวฮั่น ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เมื่อจักรพรรดิคังซีขึ้นครองราชบัลลังก์ได้ 3 ปี ทรงมีพระราชโองการให้เลิกประเพณีดังกล่าวเสีย โดยจะลงโทษพ่อแม่ของผู้ที่ฝ่าฝืน

      อย่างไรก็ตาม ความพยายามของจักรพรรดิแมนจู ไม่ได้สร้างความหวั่นเกรงในหมู่ประชาชนเลยแม้แต่น้อย ประเพณีที่ดำเนินมาหลายร้อยปี ยังคงฝังแน่นอยู่ในระบบคิดของคนในสังคมอย่างยากที่จะเปลี่ยนแปลง ในที่สุดราชสำนักก็ต้องยกเลิกกฎข้อบังคับนี้ไป หลังจากประกาศใช้ได้เพียง 4 ปี

      ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เด็กสาวลูกหลานชาวแมนจูก็เริ่มฮิตรัดเท้าตามหญิงสาวชาวฮั่นบ้าง จักรพรรดดิซุ่นจื้อ ( ค.ศ. 1644-1661) ได้มีพระราชโองการ ‘ห้าม’ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดิม จนถึงสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลง ( ค.ศ. 1736-1795) ก็ได้ทรงออกคำสั่งห้ามหลายครั้งไม่ให้รัดเท้า ความคลั่งไคล้ในแฟชั่นรัดเท้าจึงค่อยลดลงไปได้บ้าง แต่ก็ยังมีการลักลอบทำกันอยู่ สาวๆแมนจูที่เดิมใส่รองเท้าไม้ก็สู้อุตสาห์ออกแบบรองเท้าไม้มีส้นตรงกลาง แต่มีหน้าตาภายนอกเหมือนรองเท้าดอกบัวทองคำ สำหรับหญิงสาวชาวฮั่นแล้ว ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ พวกคลั่งไคล้แฟชั่นรัดเท้าต่างได้ใจว่า แม้แต่จักรพรรดิก็ยังไม่สามารถขัดขวางพวกตนได้ ถึงขนาดร่ำลือกันไปว่า การรัดเท้าเป็นสัญลักษณ์แห่งการไม่ยอมศิโรราบต่อผู้ปกครองแมนจูของผู้หญิงฮั่น

      *************

      เพราะการรัดเท้าของชาวฮั่น ทำให้ชาวแมนจูบางรัดเท้าตามชาวฮั่น ซึ่งผิดธรรมเนียมชาวแมนจู ฮ่องเต้แมนจูเลยสั่งห้ามธรรมเนียมรัดเท้า.....ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวชาวแมนจูทำตามอะ



      เพราะเหตุใดจึงต้องรัดเท้า

      เพราะเท้าเล็กดุจดอกบัวทองคำ ยาวแค่ 3 นิ้ว เป็นมาตรฐานที่สังคมจีนเมื่อร้อยหลายปีมาแล้วประกาศว่า นั่นคือความสวยงามของผู้หญิง ผู้หญิงซึ่งไม่มีแม้แต่สิทธิในความเป็นมนุษย์ มีสิทธิเป็นได้แค่ ‘ของเล่น’ ที่คอยรองรับอารมณ์ของผู้ชาย การกดขี่ทางเพศเป็นเรื่องปกติของสังคม

      และเพื่อสนองความรู้สึกกระสันของผู้ชายเมื่อได้เห็นเท้าเล็กจิ๋วที่เล็ดลอดชายกระโปรงยาวมิดชิด พร้อมกับจินตนาทางเพศอันบรรเจิดทุกครั้งที่เห็นสะโพกขยับขึ้นลงในขณะเดิน อันเป็นผลจากลักษณะของฝ่าเท้าที่ไม่เสมอกัน เช่นเดียวกับท่าเดินของผู้หญิงสมัยนี้เวลาที่ใส่รองเท้าส้นสูง หญิงสาวนับไม่ถ้วนยอมทำร้ายเท้าที่สวยงามตามธรรมชาติของตัวเอง

      แม่ที่ " มองการณ์ไกล" ยอมทำร้ายลูกสาวที่ยังไม่ประสีประสาของตน เพราะกลัวว่าเมื่อโตขึ้น จะไม่มีผู้ชายมาสู่ขอหรืออาจถูกดูหมิ่นจากคนทั่วไปว่าเป็นผู้หญิงชั้นต่ำ แม้จะรู้ซึ้งดีว่าจากนี้ไปทุกคืนวันลูกสาวตัวน้อยๆต้องเจ็บปวดทรมานเหมือนถูกเข็มหลายพันเล่มทิ่มแทงอย่างที่ตนเคยผ่านมาก็ตาม

       
       


      ทำไมต้องเป็น “ ดอกบัวทองคำ 3 นิ้ว”

      ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า หลังจากที่พุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่ประเทศจีนและเป็นที่ยอมรับนับถืออย่างแพร่หลาย กรปอกับอิทธิพลของพุทธศิลปะที่นิยมวาดรูปพระโพธิสัตว์ภาคเจ้าแม่กวนอิมยืนบนดอกบัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนความดีงาม สะอาด บริสุทธิ์ มีคุณค่า และเป็นมงคล ‘ ดอกบัว’ จึงถูกนำมาใช้เรียกเท้าเล็กจิ๋วของหญิงสาวราวกับเป็นสิ่งดีงาม เพราะผู้หญิงที่ดีต้องอ่อนแอ ช่วยเหลือตัวเอง ต้องพึ่งพาและเชื่อฟังของพ่อ สามีหรือลูกชาย เป็นกรอบความคิดที่สังคมผู้ชายเป็นใหญ่วาง ‘กับดัก’ไว้

      นอกจากนี้ สิ่งที่มีค่าสูงส่งมักจะได้รับการเปรียบเปรยว่ามีค่าดุจดั่งทอง ในยุคสมัยนั้น ผู้คนต่างชื่นชมยินดีกับการมีเท้าเล็กจิ๋วกับรองเท้าดอกบัวทองคำคู่จิ๋ว แม้แต่ในยามที่เสพสังวาสกัน สตรีก็ไม่ยอมถอดรองเท้าดอกบัวทองคำที่หวงแหนราวกับเป็นเครื่องประดับล้ำค่าของนาง

      ในปลายสมัยชิง ทุกปีในวันที่ 6 เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติ ที่เมืองต้าถง มณฑลซันซี จะมี “งานประกวดเท้าสวย” โดยหญิงสาวจะแข่งกันอวดเท้าเล็กจิ๋วของตนให้คนที่เดินผ่านไปมา ‘ชื่นชม’ และตัดสิน โดยดูจากขนาดของเท้าและความสวยงามของรองเท้า ที่มีลวดลายประณีตงดงาม ซึ่งเกิดจากฝีมือการเย็บปักถักร้อยของหญิงสาว แสดงให้เห็นว่าเท้าที่ถูกรัดจนพิกลพิการกับรองท้าคู่จิ๋ว ได้รับการเทิดทูนเพียงใดในสังคมศักดินายุคนั้น

      ผู้หญิงสมัยนั้นบ้าคลั่งประเพณีการรัดเท้ามากถึงขั้นตั้งเกณฑ์ว่า หากเท้าผู้ใดยาวไม่เกิน 3 นิ้วจะเรียกว่าเป็น ‘เท้าดอกบัวทองคำ’ ถ้ายาวกว่า 3 นิ้วแต่ไม่เกณฑ์ 4 นิ้วให้เรียกว่า ‘เท้าดอกบัวเงิน’ หากยาวกว่า 4 นิ้วก็จะถูกลดชั้นเป็น ‘ ดอกบัวเหล็ก’

       
       


      http://archaeology.thai-archaeology.info/index.php?option=com_content&task=view&id=32&Itemid=0

      สมัยก่อน ผู้หญิงบางคนยอมให้ตัวเองเจ็บปวด เพื่อแลกกับอนาคตตนเอง เพื่อหาสามีที่ดี และมีหน้ามีตา

      สมัยนั้น ผู้หญิงเท้าเล็ก ถือว่าสวยมาก


      โจวกุ้ยเจิน แม่เฒ่าวัย 86 เจ้าของเท้าดอกบัวทองคำ ซึ่งมิเคยย่างกรายออกไปเกินกว่ากำแพงดินของหมู่บ้านหลิวอี้ว์ มณฑลหยุนหนัน (ยูนนาน) กระทั่งเมื่อเธอเริ่มเต้นรำประกอบแผ่นเสียง เธอจึงเริ่มมีโอกาสได้ออกไปยลโฉมโลกภายนอก ที่จำต้องอุดอู้อยู่ในหมู่บ้านนั้น มิใช่ว่าเธอมิอยากออกไปท่องโลกกว้าง ทว่า ความเชื่อคร่ำครึในสังคมจีนที่ “ขนาดเท้าเป็นมาตรฐานตัดสินคุณค่าของผู้หญิง ยิ่งเล็กยิ่งงาม” ทำให้แม่เฒ่าโจวถูกจับมัดเท้าแต่เด็ก จนเท้าของเธอมีรูปร่างผิดแผกจากมนุษย์ทั่วไป ด้วยมีขนาดเท่าซองบุหรี่ ส่วนกระดูกเท้านั้นเล่า ก็งองุ้มผิดธรรมชาติ
           
            มาตรความสวยงาม ที่สังคมชายเป็นใหญ่ตั้งขึ้น เพื่อสนองตัณหาของตนนั้น กลับเป็นเครื่องพันธนาการสตรี ซึ่งถูกจองจำให้อยู่เหย้าเฝ้าเรือน ด้วยเท้าทั้งสองข้างของเธอถูกมัดตรึง จำกัดการเติบโตให้อยู่ในรองเท้าดอกบัวทองคำขนาดเล็กเพียงไม่กี่นิ้ว พอๆกับอิสรภาพของเธอที่ถูกรัดตรึงโดยสภาพสังคมที่กำหนดให้สตรีเป็นเพียงวัตถุสนองตัณหาความใคร่ของชาย
           
            ทว่าอย่างน้อย พวกเธอก็ยังพอมีทางหาความสำราญเพียงน้อยนิดในบางโอกาส “ในสมัยก่อนพวกเราฟังเพลง ที่วัยรุ่นสมัยนั้นนิยม แล้วก็เต้นรำไปตามท่วงทำนองที่ได้ยิน ซึ่งเป็นเรื่องที่สนุกมาก พวกเรามีโอกาสได้ไปแสดงที่คุนหมิง รวมทั้งได้รับเชิญไปยังปักกิ่ง และโตเกียว ถึงแม้ที่สุดแล้ว ฉันจะพลาดโอกาสงาม ด้วยมีปัญหาสุขภาพ” แม่เฒ่าโจวกล่าว ขณะแกว่งเท้าขนาด 5 นิ้วของเธอไปมา พร้อมกับอวดรูปเธอกับเพื่อนคณะนักแสดงทุกคน ซึ่งถูกมัดเท้าจนเรียวเล็กเช่นเดียวกับเธอ
           
            เมื่อแม่เฒ่า กับเพื่อนนักแสดงเริ่ม เต้นรำประกอบเพลงเมื่อเกือบ 25 ปีที่แล้ว ในขณะนั้น เป็นยุคทศวรรษที่ 1980 ที่จีนเพิ่งฟื้นตัวจากกระแสปฏิวัติวัฒนธรรม (ค.ศ.1969-1976) ซึ่งเป็นช่วงที่กระแสซ้ายจัดครอบงำจีนอย่างรุนแรง อะไรก็ตามที่เป็นตะวันตก หรือเป็นวัฒนธรรมของชนชั้นสูงเป็นสิ่งนอกรีต และจะต้องถูกกำจัด
           
            ในยุคที่พวกเธอเริ่มสนุกสนานกับการเต้นรำนั้น มรดกตกค้างจากการปฏิวัติฯยังคงอยู่ พวกเธอถูกมองว่าเป็นพวกนอกคอก เป็นคนแปลกในสายตาของสังคม
           
            หยังหยัง นักเขียนวัย 43 ซึ่งเติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศหมู่บ้านหลิวอี้ว์ รำลึกถึงช่วงเวลานั้นว่า “ฉันและเพื่อนๆต้องแอบรวมกลุ่มเต้นรำตามเสียงเพลง” เพราะกระแสตกค้างจากการปฏิวัติยังคงอยู่ หยังกลับมายังหมู่บ้านเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของโจว และหญิงมัดเท้ารายอื่นๆกว่า 300 ชีวิต ซึ่งหยังประทับใจเรื่องราวของพวกเธอหลังได้ยินว่า แม่เฒ่าทั้งหลายต่างแอบเต้นรำประกอบเพลง ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นสมัยหยัง
           
            “คุณอาจจะเชื่อว่า สาวจากยุคประเพณีเก่าแก่เหล่านี้ ต้องต่อต้านการเต้นรำและเพลงสมัยใหม่ ทว่า น่าตกใจที่ พวกเธอกลับยอมรับสิ่งเหล่านี้อย่างเต็มใจ...ที่จริงบรรดาสาวๆที่ถูกพันธนาการอยู่ในกรอบจารีตประเพณี กลับเต้นได้ดีกว่าเราเสียอีก” หยังกล่าว
           
            แม่เฒ่าโจว เอื้อนเอ่ยเรื่องราวของชีวิตห้วง 3 แผ่นดินของเธอว่า ก่อนประธานเหมาสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ.1949 นั้น ชีวิตของพวกเธอแสนจะสุขสบาย ด้วยสังคมยังคงมีกระแสนิยมความงาม โดยวัดจากขนาดของเท้า ยิ่งเท้าเล็กเท่าไหร่ยิ่งหมายถึง โอกาสที่มากขึ้นเท่านั้น เท้าดอกบัวทองคำของแม่เฒ่าโจว ทำให้เธอได้มีโอกาสแต่งงานกับชายหนุ่มรูปหล่อ ฐานะดี ซึ่งชีวิตสมรสของเธอก็ดำเนินไปอย่างสุขสม แม้จะต้องแต่งงานถึง 2 ครั้ง
           
            กระทั่งยุคปฏิวัติจีนใหม่ของพรรคค้อนเคียว ที่พิชิตชัยชนะในปี ค.ศ. 1949 นั้น ชะตาของแม่เฒ่าก็ถึงจุดพลิกผัน เมื่อบ้านของเธอถูกยึด พ่อแม่สามีคนที่ 2 ถูกทุบตีจนตาย เนื่องจาก ครองทรัพย์สินจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับสังคมคอมมิวนิสต์ โจวถูกริบทรัพย์สิน จนเธอจำต้องยอมก้มหน้ารับชะตากรรม ทำงานหนักในคอมมูน ทั้งที่เท้าทั้งสองข้างก็มิอำนวยให้เธอใช้แรงงงาน

      ---------------

      ตอนนี้ ยังมีธรรมเนียมรัดเท้าอยู่



      "ด้วยความเขลาของผู้หญิงเองที่คลั่งไคล้ใหลหลงไปกับการตีค่าความงามบนความเจ็บปวด ที่แลกมากับด้วยเลือดและน้ำตาของตัวเอง"
      =======
      โอเค จากเว็บผู้จัดการ

      แต่เท้าคนเขียนประโยคนี้ไม่ได้ถูกรัดนี่หว่า (หรือโดนรัดอย่างอื่น หือออออ???)

      น่าจะเรียกว่าความเขลาของสังคมมากกว่าจะบอกว่าเป็นความเขลาของผู้หญิง ในเมื่อเท้าที่สวยหมายถึงสามีที่ดี สามีที่ดีหมายถึงชีวิตที่สุขสบาย คนเป็นแม่ที่กลัวลูกสาวจะถูกทิ้ง ไม่มีคนเอา หรือไม่อยากมีภาระเลี้ยงดูลูกสาวที่หาคู่ไม่ได้ แม่ก็เลยต้องพยายามรัดเท้าลูกสาวตัวเองให้สวยที่สุด แม้จะเป็นขั้นตอนที่ทรมานโหดร้ายแค่ไหนก็ตาม

      ผู้หญิงมีสิทธิ์เลือกหรือ หากเธอไม่ยอม ความโหดร้ายนานัปการที่สังคมมอบให้นั้น โหดร้ายกว่าการถูกรัดเท้าเสียอีก

      รัดเท้าไม่ใช่แฟชั่น มันเป็นการลงแส้ทางจารีตต่างหาก ถึงแม้ฝ่ายหญิงจะเต็มใจทำ แต่นั่นก็ทำเพื่อสนองกามราคะและจริตราคะทางสังคมทั้งนั้น

      ป.ล. เคยเห็นภาพวาดสตรีจีนใช้เท้าเล็กๆ ของตนเองปรนเปรอกามสุขของฝ่ายชาย

      http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/06/K5522392/K5522392.html

      foot-binding หรือประเพณีรัดเท้าของจีนเริ่มจากราชวงศ์ซ่ง(หรือซ้อง) ในคศ. 906 เป็นต้นมา

      ตอนแรกเป็นสัญลักษณ์ของ"ความรวย" เพราะผู้หญิงที่รัดเท้ามักทำอะไรเองไม่ได้ ต้องให้คนช่วยตลอด
      แต่นัยยะสำคัญที่แฝงไว้ในราชวงซ์ซ่งคือ "การกดขี่ผู้หญิง" เกิดจากการไม่พอใจราชวงศ์ถังที่ให้ผู้หญิงเป็นใหญ่(บูเช็กเทียน)
      เพราะการรัดเท้าทำให้ผู้หญิงไม่คล่องตัวในการทำอะไร จึงต้องพึ่งพาครอบครัว และที่สำคัญ"หนีไม่ได้"กลัวหนีตามผู้ชายให้เสื่อมเสีย
      ซึ่งราชวงศ์ซ้องคือราชวงศ์จีนที่กดผู้หญิงเป็นพลเมืองชั้นสองมากที่สุดแล้วในประวัติศาสตร์จีน

      ทว่า..นัยยะสำคัญที่แฝงไว้ในการรัดเท้าคือ..lotus feet-เท้ารูปดอกบัว
      ซึ่งผู้ชายจีนถือว่าเป็นรูปเท้าที่กระตุ้นกำหนัดมากที่สุด
      ถึงขนาดมีภาพวาดหรือบทกวีจีนแต่งเพื่อการนี้
      "เท้ารูปดอกบัวที่ห้อยกระพรวน ยามขยับแนบใบหู.."
      เห็นภาพเลยว่า..เวลาร่วมรัก ผู้ชายจะชอบยกเท้าเล็กๆของผู้หญิงมาจับและฟังเสียงกระพรวนห้อยเท้าด้วย..
      ถือเป็น sexual fetishism-การคลั่งไคล้เกี่ยวกับเพศอีกรูปแบบหนึ่ง
      ซึ่งไม่ต่างจากการเจาะปากแล้วยัดห่วงของชนเผ่าแอฟริกา หรือใส่ห่วงให้คอยาวของชาวเขา
      อันเป็นนัยยะของ"ความงามสตรี"ในสายตาบุรุษทั้งนั้น
      เรียกว่า attraction to disability-ความพิการที่ดึงดูดทางเพศ หรือศัพท์เฉพาะทางการแพทย์เรียกว่าพวก paraphilia นั่นเองครับ

      สรุปคือ...ผิดปกติง่ะ
       


      ภาพเอ็กซ์เรย์




      http://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2007/11/L6016061/L6016061.html

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×