ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์จันทรา มายาลวง

    ลำดับตอนที่ #19 : พรหมลิขิตบันดาลชักพา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.84K
      12
      29 ส.ค. 50

    บทที่ 19

     

    พรหมลิขิตบันดาลชักพา

     

    ฝุ่นทรายฟุ้งกระจายตลบตลอดเส้นทางที่ขบวนอูฐสิบตัววิ่งผ่าน  ผู้ที่ควบทยานอยู่บนหลังอูฐแต่ละคนอยู่ในชุดคลุมดำมิดชิดปกป้องทั้งความร้อนที่จัดจ้าและฝุ่นทรายที่ปลิวมาปะทะใบหน้า    หนึ่งในกลุ่มนั้นแม้จะอยู่ในชุดคลุมที่ไม่มีอะไรแตกต่างจากคนอื่น ๆ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าแบบบางกว่า 

     

    ผู้ควบอูฐตัวหน้าทำสัญญาณให้คนตามหลังชลอลง   ร่างเล็กที่สุดในกลุ่มบังคับพาหนะของตนให้ขึ้นไปเทียบเคียง

     

    “มีอะไร ?”

     

    “ข้างหน้าเรา    มีขบวนรถกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ท่านหญิง”

       

    “ใครกัน ?”   ราซาน่าพึมพำกับตัวเอง

     

    “ยังไม่ทราบ    อีกซักพักถ้าใกล้มากกว่านี้คงจะรู้ครับ”    ชายชุดดำตอบพลางให้สัญญาณพวกที่เหลือให้เตรียมพร้อม   เพียงไม่นานขบวนรถไม่น้อยกว่าห้าคันก็แล่นตามกันมา    เมื่อเห็นคนที่อยู่บนหลังอูฐโบกมือเพื่อต้องการให้หยุด   รถคันนำหน้าก็ชลอจอด    ชายชุดดำคนหนึ่งลงจากหลังอูฐเพื่อไปเจรจาซักถามเพียงไม่นานก็โบกมืออำลากัน   ขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง   เส้นทางที่มุ่งไปนั้นอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับการมุ่งหน้าไปของราซาน่า

     

    “พวกนี้เป็นพวกลูกหาบ  คนงานที่ไปกับคณะสำรวจครับท่านหญิง”     ชายที่เข้าไปเจรจากับขบวนรถรายงาน

     

    “อ้าว   แล้วทำไมกลับมาแล้วล่ะ”

     

    “พวกนี้กลัวอาถรรพ์ของนครต้องคำสาป   ก้าวเข้าเขตคาเธย์ได้เพียงวันเดียวก็เผ่นกลับ”

     

    “งั้นคีลต้องเข้าสู่อาณาเขตคาเธย์แล้วแน่ ๆ    เราต้องเร่งเดินทางแล้วละ”    ราซาน่าบอกอย่างกระตือรือล้น   ถ้าเดินทางอย่างเร่งรีบเธอต้องตามคณะสำรวจทันก่อนถึงนครคาเธย์อย่างแน่นอน

     

    “เร่งไม่ได้หรอกครับ    ยังไงอูฐพวกนี้ก็ต้องพัก   ให้พวกมันเดินทางทั้งวันทั้งคืนไม่ไหวแน่   อีกอย่างอีกประมาณสองวันจะเข้าเขตคาเธย์เราเดินทางได้เฉพาะเวลากลางวันเท่านั้น    ในยามค่ำคืนต้องหยุดพักเพราะมันอันตรายมากครับ”

     

    “เฮ้อ!  ก็ได้   ยังไงข้าก็ต้องเชื่อคนนำอยู่แล้วนี่”   แม้ไม่ถูกใจแต่หญิงสาวก็รู้ว่าขณะนี้ต้องเชื่อฟังผู้ทำหน้าที่นำทาง

     

    “ข้างหน้าอีกไม่ไกลมีโอเอซิสเล็ก ๆ อยู่พอจะหยุดพักได้ครับ”    เสียงบอกมาอีก    ราซาน่าพยักหน้ารับ   ความจริงตอนนี้เธอก็อยากจะพัก   แสงแดดเริงร้อนที่เจิดจ้าบนพื้นทรายทำให้รู้สึกเพลีย  หยุดพักซักนิดแล้วค่อยไปต่อก็ดีเหมือนกัน

     

    ขบวนอูฐทั้งหมดจึงเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งโดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่โอเอซิสข้างหน้า

     

     

     

    อูฐสิบตัวถูกปลดสัมภาระบางส่วนออกเพื่อให้มันได้พักหลัง     คนส่วนหนึ่งแยกไปจัดการให้น้ำอูฐและเตรียมเสบียงเพื่อเป็นอาหารกลางวันหากยังไม่ทันเรียบร้อยเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ก็ดังกังวานไปทั่วอาณาเขตแห่งท้องทะเลทราย     กลุ่มคนทั้งสิบแหงนมองตามต้นเสียง   บนท้องฟ้าที่จัดจ้าไปด้วยไอแดดเฮลิคอปเตอร์สองลำค่อย ๆ โรยตัวต่ำลงเรื่อย ๆ  เหนือโอเอซีสเล็ก ๆ ที่กลุ่มของราซาน่าหยุดพัก

     

    “พวกไหนกัน ?”    ราซาน่าถามอย่างสงสัย   เธอไม่คิดว่าจะมีใครเดินทางเข้าสู่คาเธย์อีก   หรือว่าจะเป็น....

    “พวกเตห์ลาหรือเปล่า”

     

    “ไม่น่าใช่นะครับท่านหญิง   การเดินทางแบบนี้มันเปิดเผยเกินไป   หนำซ้ำต้องมีการขออนุญาตจากทางรัฐบาล  ถ้าขึ้นบินโดยพลการจะถูกหอบังคับการการบินตรวจจับทันทีมาไม่ถึงนี่หรอกครับ” 

     

    “แต่พวกเตห์ลาที่แทรกซึมได้ในระดับสูงก็มีไม่ใช่หรือ”

     

    “ใช่ครับ   แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นสายของเราน่าจะรายงานมาแล้ว  เพราะการขออนุญาตจะทำโดยกะทันหันไม่ได้ต้องส่งเรื่องมาก่อนอย่างเร็วที่สุดหนึ่งวันก่อนที่จะทำการบิน   ซึ่งแบบนั้นต้องมีเหตุผลที่เพียงพอจึงจะได้รับอนุญาต”

     

    “ถ้างั้นจะเป็นใครล่ะ”

     

    “อีกเดี๋ยวก็คงทราบครับ   ดูท่าทางแล้วพวกเขาจะลงจอดที่โอเอซีสนี่แน่นอน”

     

    “ที่ตั้งมากมายมาหยุดพักอะไรตรงนี้ก็ไม่รู้”    ราซาน่าบ่นอย่างไม่พอใจ ใคร  ก็ตามที่อยู่ในแมลงปอยักษ์นั่น   หรือจะเป็นพวกนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักที่อยากเที่ยวทะเลทรายแต่กลัวลำบาก   แต่จะว่าไปทะเลทรายเขตนี้ไม่ใช่เขตท่องเที่ยวนี่นา

     

     

     

    ภายในเฮลิคอปเตอร์   ชายหนุ่มหน้าคมในชุดเสื้อเชิ๊ตเนื้อหนาแขนยาวสีเข้มเม้นแขนขึ้นไว้ลวก ๆ กับกางเกงยีนส์เนื้อหนา แม้จะเป็นชุดลำลองเรียบ ๆ แต่การตัดเย็บที่ประณีตและเนื้อผ้าที่นุ่มลื่นระบายความร้อนได้ดีนั้นบ่งบอกระดับฐานะของผู้สวมใส่    ชายหนุ่มก้มหน้าอยู่กับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคท่าทางออกจะเคร่งเครียด

     

    “เราจะลงจอดที่โอเอซีสข้างหน้านี้ครับ”    หนึ่งในทีมผู้ติดตามเข้ามารายงาน

     

    “ขบวนที่ให้ล่วงหน้ามาก่อนยังมาไม่ถึงครับ”     ซาลวาพยักหน้ารับทราบหากสายตายังไม่ละจากหน้าจอ

     

    “แต่ว่าที่โอเอซีสข้างล่างนั่นมีคนกลุ่มหนึ่งพักอยู่ก่อนแล้วครับ”    คำบอกนี้ทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง   คิ้วเข้มขมวดอย่างสงสัย

     

    “พวกไหนกัน   หรือว่ากองคาราวาน”

     

    “แถบนี้แทบจะไม่มีกองคาราวานเดินทางผ่านเลยครับ    อีกอย่างเท่าที่เห็นมีอูฐแค่สิบตัวกับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นไม่น่าจะใช่คาราวานสินค้า”    

     

    “ไหนดูซิ”     ซาลวารับกล้องส่องทางไกลที่คนของเขายื่นส่งให้   ส่องมองลงไปเบื้องล่าง  ภาพที่เห็นคือกลุ่มคนในชุดดำจำนวนแค่สิบคน   จากท่าทางไม่น่าจะใช่กองคาราวานสินค้าอย่างที่คนของเขาบอกจริง ๆ นั่นแหละ

     

    “กลุ่มไหนกัน   เข้ามาทำอะไรแถวนี้   นี่มันห่างจากบาสร่ามากแล้วนี่”    ซาลวาพึมพำกับตัวเอง

     

    “ช่างเถอะ    ว่าแต่ขบวนที่ให้ล่วงหน้ามาก่อนน่ะถึงไหนแล้ว”    ชายหนุ่มละความสนใจจากภาพเบื้องล่างจะเป็นใครก็คงไม่เกี่ยวกับเขา

     

    “คาดว่าอีกราวสองชั่วโมงจะมาถึงจุดนัดหมายครับ   เราบินผ่านพวกเขามาแล้วดูจากระยะทางน่าจะประมาณนั้น”    ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบพลางปิดงานที่ทำอยู่เตรียมตัวลง  

     

    ภาพฝุ่นทรายเบื้องล่างปลิวว่อนด้วยแรงลมจากใบพัด    ฮ. ลำแรกลงจอดก่อนพร้อมกับกลุ่มชายฉกรรจ์วิ่งกรูกันออกมาเครียร์พื้นที่และให้สัญญาณ ฮ. ลำที่สองลงตาม   เสียงเครื่องดังกระหึ่มและแรงลมที่พัดฝุ่นทรายปลิวว่อนทำเอาราซาน่าที่รวมกลุ่มยืนมองดูอยู่เบื้องล่างเบ้หน้า   นึกหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด   สงสัยพวกเจ้าใหญ่นายโตออกมาท่องเที่ยวทะเลทรายแน่ ๆ อารักขากันแน่นหนาขนาดนี้  แล้วจะออกมาทำไมให้ลำบาก  ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยขนาดนั้นอยู่สำราญภายในคฤหาสห์ตัวเองน่าจะดีกว่า

     

    ร่างสูงที่ก้าวลงมาเกือบท้ายสุดนั้นคุ้นตาอย่างประหลาด   ไม่รู้เหมือนกันว่าเคยเห็นจากที่ไหน    ราซาน่าหมุนตัวกลับเลิกใส่ใจกับผู้มาเยือนที่ตอนนี้กำลังลำเลียงข้าวของลงมากองไว้บนพื้นทราย   หญิงสาวกระชับผ้าคลุมขึ้นมาปิดดวงหน้าจนเหลือเพียงดวงตาคู่สวย 

     

     

    กลุ่มคนชุดดำจับตามองผู้มาใหม่เพียงชั่วครู่ก่อนจะถอยกลับไปจับกลุ่มอยู่อีกด้านหนึ่งของโอเอซีสโดยไม่สนใจแม้จะเข้าไปทักทาย

     

    ซาลวารับเสื้อคลุมตัวยาวมาสวมทับพลางสาวเท้าเข้ามาในร่มเงาของต้นปาล์มโดยมีคนติดตามขนาบข้างมาอีกสองคน   คนอื่น ๆ ยังสาละวนอยู่กับกองข้าวของที่กองอยู่บนพื้น   เมื่อร่างสูงเดินเข้ามาใกล้   หนึ่งในกลุ่มคนชุดดำก็ยืนขึ้นเดินออกมาดักหน้า

     

    “ขออภัย   พวกท่านจะเดินทางไปไหนกันหรือ ?”   คนของเขาเริ่มการสนทนาก่อน

     

    “ เรากำลังจะไปคาเธย์”    เสียงเรียบ ๆ จากชายชุดดำตอบมา

     

    “คาเธย์    ขอโทษพวกท่านมีธุระอะไรที่คาเธย์”

     

    “เราจะไปหาคนคนหนึ่งที่เดินทางไปที่นั่น”    ชายชุดดำบอกตามจริงโดยไม่คิดจะปิดบังเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะโกหก  

     

    “เราก็กำลังจะเดินทางไปคาเธย์เหมือนกัน   พวกคุณรู้จักคนในคณะสำรวจหรือ ?”     คราวนี้ซาลวาเอ่ยถามด้วยตนเอง    ราซาน่าหันกลับมามองเมื่อรู้สึกคุ้น ๆ เสียง   ดวงตาสองคู่ประสานกันโดยบังเอิญและฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายหลบวูบก้มหน้างุดพลางนึกบ่นในใจ

     

    “อีตาจอมเผด็จการนี่ดันจะไปคาเธย์   ไปทำไมกันล่ะเนี่ย   คาเธย์ไม่ใช่สถานที่เดินเล่นวางอำนาจขืนดุ่ม ๆ เข้าไปแบบไม่ดูตาม้าตาเรือก็ตายกันพอดีเท่านั้น”

     

    “พวกเราจะไปถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับนครกลางทะเลทรายครับ   พอดีทราบเรื่องการสำรวจนครคาเธย์   แล้วเพื่อนของเราคนหนึ่งทำหน้าที่ไกด์นำทางคณะสำรวจเราก็เลยตกลงใจจะตามไป”    ซาลวายังไม่ละสายตาจากคนชุดดำที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม   รู้สึกมีบางอย่างคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยพบกันมาก่อน

     

    “งั้นเหรอ   ถ้างั้นเราเดินทางไปพร้อมกันไหมล่ะ   เพราะยังไงจุดหมายของเราก็เป็นที่เดียวกัน   อีกประมาณสองชั่วโมงขบวนเดินทางของเราก็จะมาถึงที่โอเอซีสนี่แล้ว”    ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาหลุดปากชวนออกไป    ชายชุดดำที่ผูกขาดการสนทนามีท่าทางลังเล

     

    “ขอพวกเราปรึกษากันก่อน”      กลุ่มคนในชุดดำหันกลับไปคล้ายจะปรึกษาหารือกัน     ซาลวามองนิ่งๆ รับรู้ได้ถึงลับลมคมนัยบางอย่างของคนกลุ่มนี้    คณะถ่ายทำสารคดีงั้นเหรอ   ไม่เหมือนซักนิด   ผู้ชายวัยฉกรรจ์  9  คนในชุดคลุมดำ    แต่ละคนสูงใหญ่ไล่เลี่ย   ลักษณะการยืนเดินหยัดตรงคล้ายคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี   อีกอย่างถ้าเป็นคณะที่จะเข้าไปถ่ายทำสารคดีไม่เห็นจำเป็นต้องคิดอะไรมากกับการที่จะร่วมเดินทางไปกับเขา    การเดินทางกลางทะเลทรายแบบนี้ไปมากคนยิ่งปลอดภัยมากกว่า   ที่สำคัญเขามั่นใจว่าภายใต้ชุดคลุมดำมอมแมมนั้นทุกคนน่าจะมีอาวุธซ่อนอยู่ด้วย   อาจจะยกเว้นก็เพียงคนเดียวที่ตัวเล็กที่สุด    คนที่เขาบังเอิญสบตา  ผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย!

     

     

    ข้างฝ่ายราซาน่าเองก็ประชุมเครียดกับข้อเสนอที่จู่ ๆ ก็ได้มาอย่างไม่คาดคิด    หลายเสียงไม่เห็นด้วยที่จะเดินทางพร้อมกับ ซาลวา  อาร์  ซาเวียย์   บุรุษผู้เป็นเลือดใหม่แห่งอัลมาฮาร์ซึ่งถูกกล่าวขวัญในแวดวงธุรกิจ    บุตรชายคนเดียวของอับดุลลา   อาร์  ซาเวียย์  ที่เป็นหนึ่งในคณะมนตรีที่ปรึกษาขององค์กษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์     เธอได้ข้อมูลจากคนของเธอที่จำหน้าชายหนุ่มได้   ถ้าอย่างนั้นอีตานี่ก็คงเข้าไปตามน้องสาวตัวเองในคาเธย์แน่ ๆ  คงไม่ได้คิดเข้าไปเดินเล่นหรอก   ว่าแต่ไอ้ประเภทหน้าบางผิวบางท่าทางเป็นคุณหนูไม่เคยลำบากเคยแต่นั่งทำงานในห้องแอร์อย่างนี้จะไปได้ซักกี่น้ำ     ราซาน่านึกประมาทหน้า

     

    ขืนปล่อยให้เข้าไปมิตายเปล่าหรือนี่    และความคิดนี้ทำให้หลุดปากออกไป

     

    “ฉันว่าเราเดินทางไปพร้อมกับพวกนี้ก็ได้”     

     

    “แต่ท่านหญิงครับ”    หนึ่งในกลุ่มผู้ติดตามทำท่าจะค้าน

     

    “ไม่มีแต่   คิดดูซิถ้าเราปล่อยให้พวกนี้เข้าไปเองโดยไม่มีพวกเราช่วย จะรอดเหรอ   เอาชีวิตไปทิ้งซะเปล่าๆ    แค่เพียงเหยียบเส้นเขตแดนคาเธย์ก็ไม่เหลือแล้วละมั๊ง”    เหตุผลของเธอไม่มีใครคัดค้านเพราะมันเป็นความจริงตามที่พูดทุกอย่าง

     

    “ไปบอกเขาว่าเราจะร่วมเดินทางไปด้วย   แล้วระหว่างนี้ห้ามพวกเธอเรียกฉันว่าท่านหญิงเด็ดขาด  เข้าใจไหม   ฉันเป็นหนึ่งในการถ่ายทำสารคดีชุดนี้”    ราซาน่ากำชับ   

     

     

     

    เมื่อตกลงร่วมเดินทางไปด้วยกันกลุ่มของราซาน่าจึงต้องหยุดรอขบวนที่ตามมาสมทบภายหลัง   แม้จะได้รับคำสั่งให้ออกเดินทางล่วงหน้ามาก่อนหนึ่งวันแต่ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นใช้เฮลิคอปเตอร์   ฝ่ายที่ใช้อูฐเป็นพาหนะจึงล่าช้ากว่าอยู่ดี

     

    ราซาน่านั่งมองเปลวแดดที่แผดกล้าขึ้นเรื่อย ๆเพราะเป็นช่วงเที่ยง   ขนาดคนที่เกิดและโตมากับทะเลทรายอย่างเธอยังแทบจะทนไม่ไหว   แล้วอีตาคุณหนูผิวบางไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง   หญิงสาวนึกพลางลอบชำเลืองมองเห็นคนที่แอบนินทาในใจนั้นกำลังนั่งจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์เครื่องเล็กอย่างไม่สนใจกับอากาศที่ร้อนระอุนั้นเลย    ท่าทางยังดูสบาย ๆ ด้วยซ้ำ   สงสัยคงต้องเก๊กมาดไว้ตลอดกลัวเสียภาพพจน์หนุ่มเนื้อหอมขวัญใจสาว ๆ   

     

    “เชอะ   คนขี้เก็ก   ที่นี่มีสาวที่ไหนให้นายวางมาดอวดกันละ”    ราซาน่าพึมพำอย่างหมั่นไส้      และจะเป็นที่เธอแอบนึกนินทาหรือเผลอมองนานไปหน่อยก็ไม่รู้    เจ้าตัวที่โดนค่อนขอดในใจก็เงยหน้าขึ้นมาทันควัน   คนค่อนขอดหลบวูบ

     

    “อีตาบ้า   ทำอย่างกะมีญาณวิเศษรู้ว่าใครนินทาอยู่งั้นแหละ   ใจหายหมด”    หญิงสาวพึมพำรู้สึกว่าหน้าออกจะร้อนวูบพิกลดีที่ผ้าคลุมยาวนั้นช่วยปกปิดไว้    ราซาน่าเดินเลี่ยงหลบไปหามุมสงบ   หลีกไกลจากความพลุกพล่านวุ่นวายของบรรดาลูกน้องของชายหนุ่ม    คนของเธอขยับจะเดินตามแต่เธอโบกมือห้ามไว้    ร่างแบบบางเดินลัดเลาะผ่านแนวพุ่มไม้เล็ก ๆ ก้าวเท้าไปเรื่อย ๆ สายตาก็เหม่อมองเปลวแดดที่แผดจ้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย

     

    หญิงสาวปลดผ้าคลุมหน้าออกใช้มือโบกพัดระบายความร้อน   สายลมร้อนวูบพัดผ่านนำพาฝุ่นทรายเม็ดเล็กๆ ปลิวเข้าตาจนต้องขยี้

     

    “ทรายบ้า  ลมก็บ้า   ที่ตั้งมากมายพัดเข้ามาได้ในตาคน....โอ๊ย!   ปากก็บ่นมือก็ขยี้ตาทำอย่างไรมันก็ไม่ออก   น้ำตาไหลพราก  จะเดินกลับไปให้พวกนั้นช่วยก็คงไม่มีประโยชน์ในเมื่อไม่มีใครกล้าแตะต้องตัวเธอ

     

    “โทษลมโทษแล้ง   ฉันว่าน่าจะโทษตัวเองมากกว่านะ    ก็รู้ว่าลมแรงมันก็ต้องมีฝุ่นเป็นธรรมดากลับไม่หาอะไรป้องกัน”     น้ำเสียงแกมขำขันนั้นดังขึ้นเบื้องหลังก่อนเจ้าของเสียงจะเดินเข้ามาใกล้   คนที่เธอไม่อยากจะให้เห็นสภาพแย่ ๆ ของเธอที่สุดในตอนนี้   นายซาลวา!  

     

    “หยุดเดี๋ยวนี้เลย   มือสกปรกเอาไปขยี้ตาแบบนั้นเดี๋ยวตาก็ติดเชื้อกันพอดี”   เสียงแกมดุนั้นสั่งพลางดึงมือหญิงสาวออก  ราซาน่าสะบัดมือทันควันมันเป็นไปโดยอัตโนมัติมากกว่าจะเกิดจากความรังเกียจ   มือใหญ่ยังยึดข้อมือเล็กกว่าไว้มั่นหากคราวนี้น้ำเสียงที่เอ่ยขุ่นเคือง

     

    “ไม่ต้องทำหวงเนื้อหวงตัวนักหรอก   ฉันแค่จะช่วยเอาผงออกให้เท่านั้น   อยู่นิ่ง ๆ”   พร้อมคำสั่งมือใหญ่เชยคางให้ใบหน้างามแหงนเงยแต่คนตัวเล็กกว่าไม่ยินยอมโดยดีทำท่าจะสะบัดหน้าหนีทำให้มือใหญ่ต้องออกแรงบีบ    และอีกมือหนึ่งยึดมือที่เปะปะจะทำร้ายเขา     เพราะแรงขัดขืนทำให้ผ้าคลุมผมร่วงลงไปอยู่ที่ไหล่    ดวงหน้าขาวนวลลออตาแจ่มชัดท่ามกลางกรอบผมยาวสลวยเป็นมันเงา   ซาลวาชะงักไปนิดหนึ่งและคนที่ต่อต้านอยู่ตอนนี้ก็ชะงักไปเช่นกัน  

     

    “ถ้าไม่หยุดดิ้นก็ทนรำคาญต่อไปก็แล้วกัน  ฉันไม่ยุ่งกับเธอแล้ว”    ชายหนุ่มปล่อยมือทันควันทำเอาราซาน่างง

     

    “นี่  ช่วยหน่อย”    พอร่างสูงหันหลังจะกลับเสียงอุบอิบก็เรียกไว้   หน้าขาว ๆ งอง้ำขัดใจน้ำตายังไหลเลอะแก้มแต่ที่ไม่กล้าแผลงฤทธิ์เพราะรู้ว่าถ้าต้องเอาออกเองกว่าจะสำเร็จเธออาจได้โรคตาอักเสบแถมมาด้วย

     

    “ก็แค่นั้น”    ซาลวาเชยคางมนให้แหงนเงยขึ้นอีกครั้งใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดเขี่ยฝุ่นผงที่เข้าตาให้อย่างอ่อนโยน   ดวงหน้าหญิงสาวเริ่มขึ้นสีชมพูระเรื่อ   แม้จะพยายามเอาความรู้สึกหมั่นไส้ชายหนุ่มขึ้นมาแทนความเขินอายที่วิ่งขึ้นมา   ทำแบบนี้กับผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักได้แสดงว่าเจ้าชู้แน่ ๆ  หน้าตาก็บอกยี่ห้ออยู่แล้ว    อาจจะมีสาว ๆ เป็นฮาเร็มเลยละมั๊ง

     

    “เสร็จแล้ว”    ซาลวาบอกพลางปล่อยมือทันควันคล้ายไม่อยากจะแตะต้องผู้หญิงตรงหน้าสักเท่าไร   หญิงสาวเองก็ถอยห่างทันทีเช่นกัน

     

    “ขอบใจ”   ราซาน่าบอกเบา ๆ

     

    “เราเคยเจอกันแล้วนี่    วันนี้มาทำอะไรที่นี่ล่ะ”    ชายหนุ่มเอ่ยคล้ายจะชวนคุย

     

    “เพื่อนของฉันก็บอกแล้วไงว่าเราจะไปถ่ายทำสารคดีนครกลางทะเลทรายกัน”     ราซาน่าเชิดหน้าตอบอย่างไว้ตัว

                   

    “ถ่ายทำสารคดี   โดยมีเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวท่ามกลางผู้ชาย 9 คนเนี่ยนะ”    รอยยิ้มที่เธออ่านไม่ออกประดับอยู่ที่มุมปาก  แต่เธอรู้สึกเหมือนโดนคนพูดดูถูก   เขาต้องคิดว่าเธอ กล้า  เกินหญิงชาวอัลมาฮาร์ซึ่งไม่ใช่ความกล้าในทางที่ดีแน่นอน   

     

    ซาลวาลอบระบายลมหายใจเฮือก   ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหลุดปากออกไปแบบนั้น   ความจริงเขาแค่ต้องการหาเรื่องคุยกับผู้หญิงคนนี้ให้นานอีกหน่อยเท่านั้นเอง   แต่ไอ้ท่าทางเชิดหยิ่งของสาวเจ้ามันทำให้เขาอดปากไม่อยู่   ไหน ๆ ก็พูดออกไปแล้วก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย   

     

    “นี่คุณ  พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง   คุณคิดอะไร”    ดวงตาสีนิลระยับวาววับดุจมีกองไฟลุกโชนอยู่ภายในจับจ้องอย่างจะเอาเรื่อง

     

    “ก็มันน่าสงสัยไหมล่ะผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนจะกล้าเดินทางในหมู่ผู้ชายอย่างนั้น”   ที่เขาพูดมันก็ถูกหรอก    วัฒนธรรมของอัลมาฮาร์ผู้หญิงเป็นเพียงผู้ตามไร้สิทธิ์ปราศจากเสียงคัดค้านผู้ชายไม่ว่ากรณีใด ๆ ถึงแม้ในปัจจุบันวัฒนธรรมจากภายนอกจะแพร่เข้ามาบ้างแล้วแต่ความเชื่อ  การปฏิบัติแบบเดิม ๆ ก็ยังมีอยู่  แต่ที่เธอคาดไม่ถึงก็คือผู้ชายหัวสมัยใหม่อย่างนายซาลวาที่เคยผ่านเมืองนอกเมืองนามาไม่น่าจะคิดจำกัดสิทธิ์ของผู้หญิงแบบนี้    ช่างโบราณคร่ำครึยิ่งกว่าเธอที่เปรียบเสมือนตัวแทนแห่งโลกอารยธรรมนับพันปีเสียอีก  

     

    “คุณกำลังดูถูกฉันนะ”    ซาลวายักไหล่หน้าตาเรียบเฉยไม่บอกอารมณ์

     

    “อย่างงั้นเหรอ   แต่ฉันว่าไม่นะ    คิด ๆ แล้วฉันว่าเรื่องที่รถเฉี่ยวคราวนั้นมันอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้    เธอจงใจล้มใส่หน้ารถฉันเพื่อจะอ่อยเหยื่อหรือเปล่า”

                   

    “บ้า   ฉันไปอ่อยเหยื่ออะไรคุณ   พูดให้ดี ๆ นะ”   ชายหนุ่มยังสาธยายต่อไปไม่สนใจดวงตาคู่สวยที่เพิ่มดีกรีความร้อนแรงเข้าไปอีก

                   

    “แล้วที่มาบังเอิญเจอกันที่นี่  อาจจะเป็นแผนที่วางไว้อย่างดีแล้วก็ได้   แผนที่จะ.....”    คำพูดนั้นสะดุดหยุดลงเพราะฝ่ามือเล็กฟาดผัวะลงที่ข้างแก้ม  รอยแดงขึ้นห้านิ้วเป็นแนวบนผิวขาว ๆ  ของคนปากไม่ดี

                    “อย่าบังอาจดูถูกฉัน”      คนสองคนประสานสายตากันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ   ซาลวาโกรธจัดจนแทบอยากจะจับคนตรงหน้าหักคอได้   ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าทำกับเขาถึงขนาดนี้   ราซาน่าเชิดหน้าทำท่าจะเดินผ่านร่างสูงไปแต่ถูกกระชากจนเซถลากลับมา   สองแขนถูกบีบจนเจ็บร้าวไปหมด

                   

    “เธอกล้าดียังไงถึงตบหน้าฉัน”  

                   

    “ปล่อย  ฉันเจ็บ”    หญิงสาวพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนที่ยึดไว้แต่ไม่เป็นผล

                   

    “ถ้าพูดธุระของฉันเสร็จแล้วฉันจะปล่อยเธอเอง    ฉันไม่ได้พิษสวาทเธอนักหรอก  หน้าตามอมแมมเป็นลูกแมวอย่างนี้ไม่เห็นจะน่าสนใจซักนิด  ไม่ต้องทำสะบัดสะบิ้งหวงตัวไปนัก”    ไอ้คนบ้า  หาว่าฉันมอมแมมเป็นลูกแมวงั้นเหรอ   ราซาน่าคิดอย่างขุ่นเคือง   สายตาจ้องมองสองมือที่จับแขนไว้มั่น    เอาให้มือไหม้เกรียมไปเลยยิ่งดี   แต่เอ๊ะ!  ทำไมไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น   ทำไมเวทมนต์ถึงใช้กับนายนี่ไม่ได้ผล    แม้แต่การสะกดจิตให้เห็นภาพลวงตาก็ยังทำไม่ได้

                   

    “อย่าคิดว่าจะทำอะไรฉันได้อย่างที่เคยทำ”    ซาลวายิ้ม  รอยยิ้มแปลก ๆ ที่อ่านไม่ออกแต่ทำเอาคนฟังและเห็นรอยยิ้มแบบนั้นชะงักหยุดอาการดิ้นรนทั้งหมด    ทำไมผู้ชายคนนี้พูดเหมือนกับรู้เรื่องอะไรอย่างนั้นแหละ

                   

    “แค่เธอขอโทษฉันดี ๆ ฉันก็ปล่อยเธอแล้ว   บอกแล้วว่าไม่ได้พิษสวาทอะไรนักหนา”    คราวนี้ราซาน่าต้องนิ่งทบทวนผลได้ผลเสีย  ระหว่างร้องเรียกให้คนของเธอมาช่วยกับเอ่ยคำขอโทษให้จบเรื่องไป

                   

    “ขอโทษ”    น้ำเสียงกระแทกกระทั้นบอกความไม่เต็มใจ    ชายหนุ่มยิ้มปล่อยแขนที่บีบรัดไว้แน่นทันทีเช่นกัน

                   

    “ก็แค่นั้น”    ซาลวายักไหล่เดินจากไปหน้าตาเฉยโดยมีสายตาอาฆาตจาก ท่านหญิง ราซาน่าแห่งมาฮาร่า  ที่มองตามไปพลางจดบัญชีแค้น

                   

    “คนบ้า   ฝากไว้ก่อนเถอะ  มีโอกาสเมื่อไหร่ฉันจะคิดบัญชีกับนายทบต้นทบดอกเลยคอยดู”    เธอแน่ใจว่ายังไงต้องมีโอกาสชำระสะสางบัญชีแค้นแน่นอน   ก็ทะเลทรายน่ะมันถิ่นของมาฮาร่า  คุณหนูผิวบางเคยอยู่แต่ในเมืองหลวงแบบนั้นเก่งไม่ได้ตลอดแน่     นี่ถ้าไม่กลัวว่าผู้คนอีกมากมายจะต้องเอาชีวิตเข้าไปทิ้งในดินแดนคาเธย์ละก้อ  เธอจะสั่งให้คนของเธอเดินทางโดยไม่ต้องรอไปพร้อมกับคณะเดินทางคณะนี้แล้ว      นี่เพราะเธอไม่อยากเพิ่มงานให้กับมาฮาร่าในการตามส่งวิญญาณหรอกนะการเอาคืนด้วยวิธี ปล่อยเกาะ จึงไม่เกิดขึ้น   แต่ก็มีอีกหลายวิธีที่จะทำได้

     

    คอยดูถึงทีฉันเมื่อไหร่จะเอาให้หนักเป็นสิบเท่า  ผู้ชายบ้า

                   

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×