ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์จันทรา มายาลวง

    ลำดับตอนที่ #18 : คำคืนแห่งฝันร้าย....สู่กับดัก

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.77K
      15
      23 ส.ค. 50

    บทที่ 18

     

    ค่ำคืนแห่งฝันร้าย…...สู่กับดัก

     

    ทะเลทรายยามค่ำที่คืนนี้แสงจันทร์หม่นมัวชวนให้หดหู่ใจ    เต็นท์พักที่ลดน้อยลงเกือบครึ่งรวมถึงจำนวนผู้คนที่ลดลงไปก่อให้เกิดความอ้างว้างชวนวังเวงใจได้อย่างน่าประหลาด     แม้ทั่วบริเวณที่พักจะยังสว่างไสวด้วยแสงสปอตไลท์    หลังจากที่จัดการกับภารกิจต่างๆ เสร็จเรียบร้อยเหล่าคนงานต่างก็แยกไปจับกลุ่มนั่งผิงไฟที่ก่อไว้ข้างเต็นท์ของตน    ลมทะเลทรายพัดเย็นยะเยือกทวีความหนาวเย็นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ดวงอาทิตย์เพิ่งจะลาลับขอบฟ้าไปได้ไม่นาน    เสียงหวีดหวิวของลมผสานกับเสียงโหยหวนที่แทรกมากับสายลมมันเริ่มจากแผ่วเบา

     

    จัสมินนั่งมองซาเล็มที่ตอนนี้กำลังคร่ำเคร่งพินิจดูเครื่องส่งวิทยุอยู่กับช่างเครื่องที่กำลังแกะชิ้นส่วนของวิทยุสื่อสารเพื่อหาสาเหตุของการขัดข้อง   

     

    ซาเล็มถอนใจยาวหลังจากนั่งดูไปได้ซักพัก   

     

    เป็นยังไงบ้าง   ซ่อมได้หรือเปล่า   จัสมินถามอย่างร้อนใจ    ซาเล็มส่ายหน้าพลางบอก

     

    หาสาเหตุยังไม่ได้ด้วยซ้ำครับว่ามันติดต่อไม่ได้เพราะอะไร    มันดังซ่า ๆ เหมือนคลื่นแทรกแบบนี้ตลอดเลย    ปรับคลื่นก็แล้ว    ตรวจระบบก็แล้ว    แก้ยังไงก็แก้ไม่ตก

     

    เงียบกันไปอีกพักใหญ่และความเงียบที่ครอบคลุมก็ทำให้ได้ยินเสียง

     

    ซาเล็ม  ได้ยินเสียงอะไรไหม ?    สีหน้าจัสมินไม่ค่อยดีนัก    เสียงคร่ำครวญโหยหวนที่ดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ เสียงที่ฟังแล้วรู้สึกเย็นวาบจนขนลุกตั้งชัน

     

    เสียงสุนัขจิ้งจอกน่ะครับ   พวกมันออกหากินตอนกลางคืน   ซาเล็มบอกหลังจากนิ่งฟัง

     

    ทำไมคืนอื่น ๆ ไม่เห็นมันจะหอนแบบนี้เลย

     

    พวกเราอาจจะอยู่ใกล้รังของมันก็ได้ครับคุณหนู  ไม่มีอะไรหรอก    เธอก็อยากให้ไม่มีอะไรอย่างที่ซาเล็มว่า    หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบ ๆ เหล่าคนงานบางส่วนเริ่มทิ้งตัวลงนอนหลับพักผ่อน  หากบางส่วนยังนั่งจับกลุ่มกันอยู่   ท่าทางพวกเขาคล้ายหวั่นเกรงในอะไรบางอย่าง   

     

     

    บนผืนทรายที่ดำมืดดวงตาสีเหลืองวาววับปรากฏตามจุดต่าง ๆ ทั่วเนินทราย   มันค่อย ๆ ขยับวงเข้ามาใกล้อาณาเขตที่เป็นที่พักของคณะสำรวจมากขึ้นทุกที   กลิ่นสาบสางโชยตลบ

     

     

    คีลนั่งอยู่กับมูซาที่ตอนนี้ใช้ตักชายหนุ่มหนุนนอนต่างหมอนหลับไปอย่างไม่รับรู้กับบรรยากาศที่ชวนน่าหวาดหวั่น   ตัวชายหนุ่มเองก็นั่งหลับตาอยู่เงียบ ๆ ดูเหมือนว่าเขาจะเงียบผิดจากทุกวันเสียด้วยซ้ำ    จัสมินเหลือบมองไปทาง ไกด์   ที่กำลังเข้าฌานหรือว่าหลับในก็ยากจะรู้ได้   ท่านั่งตัวตรงไม่โอนเอนดูสงบนิ่งจนน่าเกรงขามก่อให้เกิดความอบอุ่นใจได้อย่างประหลาด

     

    คุณหนูไปพักเถอะครับ    เสียงบอกของซาเล็มทำเอาเกือบสะดุ้งยังไม่ทันที่เธอจะขยับลุกกลิ่นเน่าเหม็นอย่างรุนแรงก็โชยมาต้องจมูก

     

    ซาเล็มได้กลิ่นไหม ?      ซาเล็มผู้ชราเหลียวมองรอบตัวพอ ๆ กับเหล่าคนงานอื่น ๆ ที่ยังไม่หลับ   เสียงพูดเริ่มเซ็งแซ่  

     

    อะไรกัน!”    เสียงพูดคุยที่เริ่มดังขึ้นทำให้มูซาที่นอนหลับผุดลุกขึ้นเช่นกัน    เด็กชายเหลียวมองรอบตัวครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ซึมซาบกับบรรยากาศที่ผิดแปลกไปนั้น 

     

    มันกลิ่นบ้าอะไร   เหม็นสาบสางรุนแรงขนาดนี้”     เสียงโวยวายหงุดหงิดดังมาจากเต็นฑ์พักของฮัดซันก่อนร่างสูงจะเดินอารมณ์เสียเข้ามาสมทบกับกลุ่มของจัสมิน   ในขณะที่เหล่าคนงานเริ่มปลุกกันขึ้นมาเพราะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดธรรมดา    ทหารรักษาการณ์ที่ยืนยามอยู่วงนอกเริ่มกระชับปืน    สีหน้าของแต่ละคนหวาดหวั่น    เหตุการณ์ขวัญผวาเมื่อคืนก่อนยังไม่เลือนคืนนี้ไม่รู้ว่าจะเจออะไรอีกบ้าง

     

    ขณะนี้เต็นฑ์พักอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยออกมาสมทบ   ไม่มีใครข่มตาหลับได้เลยซักคน    กลิ่นเหม็นสาบสางรุนแรงที่มาพร้อมกับกังวานเสียงโหยหวนที่ดูเหมือนจะขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

     

    “มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”    เบนดาฮาร่าเสียงสั่นเกาะแขนฮัดซันไว้แน่นโดยมีเบซาร์ผู้เป็นพี่ชายยืนขนาบข้างอยู่ด้วยสีหน้ากังวลใจเช่นกัน    อีกด้านหนึ่งยูซูสนายทหารผู้ดูแลด้านความปลอดภัยในการเดินทางครั้งนี้เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวังเช่นกัน     อิทธิฤทธิ์ของมาฮาร่าเขาเคยได้เห็นกับตามาแล้วแต่ครั้งนั้นยังดีเพราะเขาอยู่กับพวกเตห์ลาแต่ตอนนี้เตห์ลาหนึ่งเดียวก็คือเจ้าเบซาร์นี่   แล้วมันจะต้านทานอำนาจของมาฮาร่าได้หรือเปล่าก็ไม่รู้   ดูอย่างคืนก่อนที่แต่ละคนเจอภาพหลอนนั่นประไร   มันยังไม่มีปัญญาแม้แต่จะช่วยตัวเอง

     

    “ทุกคนระวังตัวด้วย   เกาะกลุ่มกันไว้   ยูซูสสั่งทหารรักษาการณ์ให้ตั้งแนวล้อมรอบเต็นฑ์พักไว้อย่าออกนอกแสงไฟเป็นอันขาด”    ฮัดซันสั่งการ   ตอนนี้ไม่ว่าเจ้ากลิ่นสาบสางรุนแรงกับเสียงโหยหวนนั่นจะเป็นอะไรก็ต้องเตรียมตัวตั้งรับ    เสียงถ่ายทอดคำสั่งของเขาต่อ ๆ กันไปท่ามกลางสีหน้าไม่สบายใจของเหล่าคนงานหรือแม้แต่กลุ่มนายจ้างเองก็ตาม  

     

    “คีล   ตอบฉันหน่อยซิว่า  ไอ้เสียงโหยหวนนั่นมันเสียงอะไรกัน”     ฮัดซันหันไปถามชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่ไกด์   แม้จะไม่ชอบหน้าแต่เวลาคับขันแบบนี้ยังไงซะก็ต้องถามคนที่ควรจะรู้เรื่องดีที่สุดนั่นก็คือ คนนำทางนั่นเอง

     

    ชายหนุ่มผู้ถูกถามค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน   สายตาที่ทอดมองออกไปในความมืดสงบนิ่ง   น้ำเสียงเรียบ ๆ ตอบกลับมา

     

    “สุนัขจิ้งจอก”

     

    “สุนัขจิ้งจอกบ้าอะไรถึงได้ร้องโหยหวนขนาดนั้น   แล้วไอ้กลิ่นนั่นอีก”

     

    “สุนัขจิ้งจอกแห่งคาเธย์นครต้องคำสาปไง    อะไรที่ไม่รู้   ไม่เคยได้ยิน  ไม่จำเป็นว่าจะไม่มี”

     

    “เอาละ”    ฮัดซันพยายามสะกดอารมณ์

     

    “ถ้างั้น  พวกมันกำลังทำอะไรกัน  ทำไมเสียงมันถึงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ”

     

    “พวกมันกำลังมุ่งตรงมาที่นี่   เป็นร้อยตัวเชียวละ”    น้ำเสียงตอนสุดท้ายออกจะมีรอยขำขันปนอยู่ด้วยแต่คำพูดนั้นทำให้คนฟังร้อนใจเกินกว่าจะสังเกตเรื่องอื่น

     

    “พวกมันออกล่าเหยื่ออย่างงั้นหรือ ?”    ซาเล็มพึมพำ    คีลยิ้มมองสบตา

     

    “มันไม่ต้องการอาหารหรอก   แต่ใช่  มันล่าเหยื่อ  ผู้บุกรุกอาณาเขตแห่งคาเธย์”

     

    “บ้า   พูดอะไรบ้า ๆ  ยิ่งหน้าสิ่วหน้าขวานยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก   แกนี่มันบ้าชัด ๆ”    เบนดาฮาร่าตวาดลั่น   ใบหน้าซีดเซียวด้วยความกลัว   แต่เบซาร์รู้ดีว่าเจ้าไกด์มันพูดถูก   เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ใช่เพียงสุนัขจิ้งจอกธรรมดา  แต่มันเป็นสุนัขจิ้งจอกปีศาจที่ถูกสร้างขึ้นจากอำนาจแห่งมาฮาร่า     อาคมของซาลามาฮานที่สร้างไว้ป้องกันผู้บุกรุกที่จะเข้าสู่คาเธย์  

     

    “ผมก็แค่พูดตามคำล่ำลือที่เคยได้ยินมา   จะจริงหรือเปล่านี่ผมก็ไม่เคยรู้เหมือนกันเพราะผมก็เพิ่งจะมาเหยียบที่นี่พร้อม ๆ กับพวกคุณนั่นแหละ”   คำบอกของคีลไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น    ยังไม่ทันที่จะตัดสินว่าจะเอาอย่างไรทหารยามนายหนึ่งก็วิ่งเข้ามารายงานอย่างตื่นตระหนก

     

    “แย่แล้วครับ    นอกเขตแสงไฟนั่นมีตัวอะไรก็ไม่รู้มันล้อมเราไว้ทุกด้านเลยครับ”

     

    “พวกคุณรวมตัวกันอยู่ที่นี่นะ  ผมจะออกไปดูสถานการณ์หน่อย”   ยูซูสกล่าวแล้วแยกออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด   ให้ต่อสู้กับคนนี่เขาไม่เคยถอย   แต่ถ้าต้องสู้กับภูตผีปีศาจนี่เขายังไม่แน่ใจว่าจะสู้ได้ไหม    ไอ้พวกเตห์ลานั่นก็หายหัวไปหมดแทนที่จะมาช่วยกัน   ไหนเจ้าอับราซัคมันบอกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยจะหวังพึ่งเจ้าเบซาร์ดูท่าแล้วคงไม่ไหว  โว๊ย!  ทำยังไงดีวะ   ระหว่างที่เดินไปคิดไปนั้นมือหนึ่งก็เอื้อมมาสัมผัสไหล่ดึงร่างนายทหารแห่งทะเลทรายไว้

     

    “เฮ้ย!  อะไรวะ”     ยูซูสตวาดลั่นตกใจปนหงุดหงิดที่อยู่ ๆ ก็ถูกลากหลบเข้ามาอยู่ในเงามืดด้านข้างเต็นฑ์พักหลังหนึ่ง

     

    “ฉันเอง”     เบซาร์ให้เสียง

     

    “เออ   มาก็ดี  มีวิธีอะไรจัดการกับไอ้พวกที่ล้อมเราอยู่หรือเปล่า   แม่งมาเป็นร้อยแบบนั้นแล้วแถมยังเกิดจากอาคมปืนธรรมดาจะจัดการได้ยังไงวะ”    ยูซูสถามอย่างหงุดหงิด

     

    “พวกมันกลัวแสง   ไม่ว่าจะแสงสว่าง   แสงไฟก็ด้วย   วิธีทำลายมันต้องใช้ความร้อนจากไฟ” 

     

    “แล้วจะให้ทหารคอยเอาไฟเขวี้ยงใส่มันหรือยังไง   คงทันหรอกนะ  แถมจะเอาไฟมาจากไหนนัก”   ยูซูสยังไม่หมดปัญหาง่าย ๆ

     

    “ใครบอกว่าฉันจะให้แกคุ้มครองคนทั้งหมด   เอาเฉพาะคนที่มีความสำคัญกับงานของเราคราวนี้ก็พอ  ที่เหลือช่างหัวมัน”    คำสั่งเหี้ยมเกรียม

     

    “รวมไอ้ไกด์ท่าทางกวนโมโหนั่นด้วยหรือเปล่า”    เบซาร์นิ่งคิดก่อนตอบ

     

    “เก็บมันไว้ก่อน  ไอ้ซาเล็มกับเจ้าเด็กมูซาด้วย มันอาจมีประโยชน์กับเราภายหลัง” 

     

    “งั้นก็สบายมาก”   สีหน้าที่เคร่งเครียดค่อยคลายออก   รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เริ่มฉายแสงมาแทนที่

     

    “นี่   ถ้าชีวิตเจ้าพวกนั้นไม่สำคัญ  ฉันขอนังแหม่มเกลด้าก็แล้วกันนะ   หุ่นมันน่าฟัดฉิบ”

     

    “ตามใจ   อย่าให้เสียงานก็แล้วกัน”   เบซาร์สั่งแล้วทำท่าจะผละไปแต่ถูกเรียกไว้เพราะยูซูสยังไม่หมดข้อสงสัย

     

    “เดี๋ยว   ไอ้ที่สั่งแบบนี้นี่หมายถึงว่าเราจะเปิดตัวแล้วใช่ไหมว่าเราอยู่ฝ่ายไหน”   ร่างสูงหันกลับมารอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าคมเข้มนั้นปนเค้าเหี้ยม

     

    “แกแสดงตัวได้เต็มที่   แต่ฉันจะยังคงอยู่เบื้องหลัง   ถึงเวลาเมื่อไหร่ฉันจะบอกเอง”    ชายหนุ่มบอกแล้วเดินลัดเลาะหายไปในเงามืดของเต็นฑ์พัก

     

    “เฮอะ  ทำเป็นสั่ง   มันก็ขี้ข้าเขาเหมือนกันละวะ”    ยูซูสพึมพำไล่หลัง    ก็แค่พวกสาวกแห่งเตห์ลาทำมาวางก้ามอวดเบ่งเป็นเจ้านายชี้นิ้วสั่ง    ไว้รอให้งานสำเร็จซะก่อนเถอะ     ที่เขายอมร่วมมือครั้งนี้ก็เพราะ สมบัติล้ำค่าแห่งคาเธย์  เป็นเป้าหมาย   คอยดูเสร็จงานเมื่อไหร่จะเตห์ลาหรือมาฮาร่า  พ่อจะจัดการให้สิ้นซาก

     

    ยูซูสแสยะยิ้มอย่างลำพองใจ   ร่างสูงเดินเลยไปสั่งการกับลูกน้องเพื่อเปลี่ยนแผนใหม่     คล้อยหลังเพียงไม่นานก็ปรากฏร่างเงาของอัมซาวิญญาณอารักษ์ที่มองตามไปด้วยรอยยิ้มแกมสมเพช     ความโลภหลงไม่เคยให้คุณประโยชน์กับใครจริง ๆ   ไม่รู้จะอยากได้ไปทำไม   ตายไปก็เอาไปไม่ได้อยู่ดี   เฮ้อ!

     

     

     

    ยิ่งดึกบรรยากาศยิ่งตึงเครียดกลิ่นสาบสางที่โชยตลบกับเสียงโหยหวนดังมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ หลายครั้งเงาร่างของเจ้าสัตว์สี่ขานัยน์ตาสีเหลืองวาวจะกลายผ่านเข้ามาในเขตแสงสว่างแล้วก็เผ่นแผล่วหายไปอย่างรวดเร็วสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ที่จับกลุ่มชุมนุมกันอยู่กลางลานกว้าง   เหมือนพวกมันกำลังเล่นสงครามประสาทกับเหยื่อ   กดดันรอเวลาให้เหยื่อตื่นกลัวถึงขีดสุดจนอดรนทนไม่ไหวแตกกระสานออกมาจากที่ซุ่มซ่อนเพื่อให้มันตะครุบจับได้อย่างง่ายดาย   ไม่มีใครนอนหลับได้ลง   แต่ละคนตาแข็งค้างทั้งที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาแล้วทั้งวัน   ประสาทกำลังตึงเครียด  รอเพียงเวลาว่าสติของใครจะขาดผึงก่อนกันเท่านั้น

     

    คีลนั่งสงบอยู่หน้ากองไฟ    ดวงตาสีดำขลับจับจ้องอยู่ที่เปลวไฟที่ถูกสุมให้ลุกโชนอยู่เสมอ   ซาเล็มเดินมาทรุดลงนั่งข้าง ๆ

     

    “ไม่หลับบ้างล่ะซาเล็ม”    คีลเอ่ยทักโดยไม่ละสายตามามองด้วยซ้ำ

     

    “เจอแบบนี้ใครจะไปหลับลง”

     

    “โน่นไง”    คีลบุ้ยใบ้ไปทางเจ้าเด็กมูซาที่ตอนนี้มันย้ายที่ไปนั่งอิงกับจัสมิน   เด็กชายนั่งหลับพิงไหล่หญิงสาวโดยมีเจ้าของไหล่โบกไล่ยุงให้เสียด้วย

     

    “มันเด็ก   ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร   ถ้าทำอย่างมันได้ก็ดีหรอก”   ซาเล็มมองตามสายตาแล้วส่ายหน้า

     

    “หลับเถอะตอนนี้ไม่มีอะไร   เอาแรงไว้ก่อน   ใกล้รุ่งสางเมื่อไหร่พวกมันเล่นเราแน่”   คีลบอกเรียบ ๆ

    “รู้ได้ยังไง”

     

    “เดาเอา”   ชายหนุ่มยิ้มทะเล้น   ช่างไม่เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้เลยซักนิด   ซาเล็มมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่คมเพื่อจะจับสังเกตแต่ก็ไม่เห็นอะไรมากกว่านั้น     เอาเถอะ   ไหนๆ ก็เคยเชื่อกันมาตลอดเขาคงต้องลองเชื่อดูอีกครั้ง

     

    ร่างกำยำล่ำสันของซาเล็มขยับลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าไปหา คุณหนู  ของตน  เจรจากันอยู่ชั่วครู่ก็ถอยออกมา    เพียงไม่นานร่างบางก็ค่อย ๆ เอนหลับซบอยู่กับเจ้ามูซาโดยไม่สนใจทั้งกลิ่นและเสียงที่คอยสั่นประสาทอยู่ในขณะนี้    คีลมองภาพนั้นยิ้ม ๆ 

     

    ยิ่งดึกเสียงเขย่าขวัญยิ่งค่อย ๆ เบาลงพอ ๆ กับกลิ่นสาบสางที่โชยมา   ผู้คนในคณะสำรวจเริ่มโงกหลับหลังจากฝืนทนกันมานาน    คีตามองสภาพรอบตัวแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นเลี่ยงหลบออกไปโดยไม่มีใครทันสังเกต   ร่างสูงเดินไปเรื่อย ๆ โดยอาศัยเงาสลัวของเต็นฑ์พักเป็นที่กำบัง   จวบจนก้าวพ้นบริเวณแห่งแสงสว่าง

     

    ทันทีที่ร่างสูงก้าวออกจากอาณาเขตของแสงสว่างกลิ่นสาบสางก็โชยวูบพร้อม ๆ กับร่างปราดเปรียวกระโจนพรวดเข้าจู่โจม   คีลไม่หลบด้วยซ้ำแต่เจ้าสุนัขจิ้งจอกที่จ้องตะครุบเหยื่ออยู่นั้นกลับทำได้เพียงตะกุยอากาศ   มันเผ่นแผล็วอย่างว่องไว   ดวงตาสีเหลืองในความมืดฉายแสงชวนน่ากลัว    เพียงชายหนุ่มดีดนิ้วร่างที่มุ่งร้ายกลับอันตธานไปไม่เหลือแม้แต่เงา  

     

    คีลก้าวเท้าต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หวั่นเกรงกับสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า   และดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าสัตว์ปีศาจเองก็ไม่ได้สนใจเหยื่อที่ออกมาเดินเล่นท่ามกลางความมืดแม้แต่น้อย   พวกมันหันกลับไปเฝ้ารอคอยเวลาที่จะโจมตีเหล่าผู้บุกรุกที่อยู่ในเขตแสงสว่างต่อไปคล้ายมองไม่เห็นผู้ที่ก้าวเดินอยู่นั้น

     

    “ท่านจะปล่อยให้พวกนั้นรับมือกันเองจริงหรือ”    อัมซาปรากฏกายเบื้องหลังเอ่ยถาม  ร่างสูงที่ก้าวเดินไปเบื้องหน้าถอนใจยาว

     

    “ท่านก็รู้แผนการของพวกนั้นนี่   ตอนแรกพวกมันจะใช้มาฮาร่าคุ้มครองคณะสำรวจโดยพวกมันไม่ต้องเปลืองแรง    คราวนี้เมื่อมาฮาร่าไม่เคลื่อนไหว  พวกมันก็ต้องเป็นฝ่ายเปิดเผยตัวออกมาจะมัวหลบอยู่แต่ในเงาได้อย่างไร  จริงไหมอาหมัด”      น้ำเสียงที่ถามแกมหัวเราะ     ทันทีที่จบประโยคบนผืนทรายที่ว่างเปล่าก็ปรากฏร่างในชุดคลุมดำยืนสงบอยู่

     

    “แล้วเจ้าพวกคนงาน   ลูกหาบต่าง ๆ นั่นจะทำยังไง   พวกนั้นไม่รอดแน่  ไอ้ยูซูสกับเจ้าเตห์ลานั่นมันไม่ช่วยให้เปลืองแรงมันหรอก  พวกนั้นไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกมัน”

     

    “เป็นนักบุญตั้งแต่เมื่อไหร่อัมซา”     คีลถามแกมหัวเราะ  แต่วิญญาณอารักษ์ไม่หลงกล

     

    “ข้ารู้ท่านเองก็ไม่สบายใจที่คนไม่รู้เรื่องตั้งมากมายจะต้องมาตายเพราะความต้องการของคนไม่กี่คน”

     

    “ก็ในเมื่อพวกเขาเลือกเองจะทำยังไงได้    เราให้โอกาสพวกเขาในการถอยกลับแล้วแต่ในเมื่อไม่เลือกก็ต้องยอมรับกับชะตากรรมที่จะเกิดในเบื้องหน้า”    คีลยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ 

     

    “จะทำอย่างนั้นจริง ๆ หรือ”     อัมซาถามย้ำ  เขาไม่อยากเห็นผู้ชายตรงหน้าต้องทนทุกข์กับการกระทำของตน    แม้ปากจะบอกไม่สนใจแต่ใจเล่าทำได้อย่างนั้นจริงหรือในเมื่อคนเหล่านั้นไม่ใช่ศัตรูที่ต้องเข่นฆ่า

     

    “ถ้าไม่ปล่อยให้เป็นไปแล้วจะทำยังไง ?”   คีลถามเรียบ ๆ 

     

    “ท่านช่วยได้นี่”

     

    “มันก็ไปเข้าแผนพวกเตห์ลาอีกนั่นแหละ”

     

    “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าราชาแห่งมาฮาร่าโง่    ใช่ไหมอาหมัด”    คนยืนฟังเงียบถูกดึงเข้ามาร่วมวง   อาหมัดอึกอักไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี    

     

    “อย่าหลอกด่าฉันบ่อยนักเลยน่าอัมซา   เอาละเพื่อไม่ให้ท่านหาว่าฉันใจร้ายใจดำและเพื่อไม่เป็นเครื่องมือให้พวกเตห์ลาชักเชิด  ฉันคงต้องขอความร่วมมือจากท่าน”    คีลหันมายิ้มหวาน ดวงตาเจ้าเล่ห์    นึกแล้วไม่มีผิดว่าต้องวางแผนซ้อนแผนเอาไว้แน่ ๆ แต่ที่ยึกยักไม่บอกออกมานี่สงสัยจะเรียกร้องความสนใจ    ผู้เป็นวิญญาณอารักษ์ถอนใจเฮือกแบบให้ได้ยินชัด ๆ  บางทีคนตัวโต ๆ ตรงหน้าเขาก็ชอบเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ

     

    “พลังท่านกล้าแข็งขนาดสร้างมายาลวงคนทั้งคณะได้ไหม”

     

    “ได้  แต่ท่านหรืออาหมัดก็ทำได้นี่”  

     

    “ก็บอกแล้วไงว่าตอนนี้มาฮาร่าจะเก็บหัวซ่อนหาง   เราจะหายไปจากอาณาเขตคาเธย์สักระยะ  ฉะนั้นคีลเป็นแค่ไกด์ธรรมดา ๆ ไม่มีอำนาจอะไรที่จะต่อสู้กับใครหรือคุ้มครองใครได้   ส่วนอาหมัดระหว่างนี้ให้มุ่งหน้าไปคอยที่คาเธย์ได้เลย”    อาหมัดทำท่าจะแย้ง

     

    “แต่ว่าเตห์ลา.....”     คีลยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณให้หยุดคำพูดคัดค้าน

     

    “ฉันเอาตัวรอดได้    มันยังไม่ทำอะไรแน่แม้ว่าจะไม่วางใจก็เถอะ   คีลยังมีประโยชน์อยู่ เบซาร์ไม่ใช่คนโง่  อีกอย่างเธอต้องไปเตรียมการตั้งรับพวกนั้นที่นั่น  ฉันว่าอีกไม่นานนี่แหละผู้นำแห่งเตห์ลา จะต้องเดินทางมาด้วยตัวเอง”

     

    “ก็แน่ละ   ส่งสาร์นท้าทายเขาซะขนาดนั้นนี่”     อัมซาพึมพำบ่นมาให้ได้ยิน    คีลยังยิ้ม

     

    “แต่ก่อนจะมาน่ะผู้นำแห่งเตห์ลาคงก่อกวนที่อัลมาฮาร์จนวุ่นวายพอแรงเลยละ   และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมฉันต้องให้อัมซาเป็นคนสร้างมายาลวง”     สายตาอัมซาประสานกับดวงตาสีเข้มพลางพูดช้า ๆ คล้ายพยายามตามความคิดผู้เป็นราชาแห่งตน

     

    “ท่านจะให้ข้าลวงตาเจ้าเบซาร์และคนอื่น ๆ ที่นี่  แล้วคุ้มครองพวกที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกไปพ้นอาณาเขตแห่งคาเธย์   รวมถึงเข้าไปดูลาดเลาในอัลมาฮาร์และติดต่อกับท่านมาฮานที่วิหาร”

     

    “เยี่ยม    ไม่มีใครรู้ใจฉันเท่าท่านจริง ๆ นั่นแหละ”     คีลชมแกมหัวเราะ   อัมซาถอนใจเฮือก

     

    “ถ้าเดาไม่ผิด   อัคบาร์คงต้องการให้ฉันห่วงหน้าพะวงหลัง   ก่อเรื่องที่อัลมาฮาร์ในขณะที่มันรู้ว่าคาเธย์ฉันก็ปล่อยไม่ได้   พวกเตห์ลาต้องการล่อให้ราชาแห่งมาฮาร่าวิ่งวุ่น     การใช้พลังในการเดินทางไป กลับรวมถึงคุ้มครองคนมากๆ แบบนั้นจะทำให้ราชาแห่งมาฮาร่าอ่อนแอลง  ยิ่งใกล้วันสุริยันแผดเผาและจันทราดับแสงด้วยแล้วพลังแห่งมาฮาร่าก็จะยิ่งลดลงไปอีก   ในขณะที่ฝ่ายเตห์ลาจะมีพลังเพิ่มขึ้น”

     

    “ข้านึกว่าจะมีท่านเพียงคนเดียวเสียอีกที่ชอบตัดกำลังศัตรู”   

     

    “แค่เกมชิงไหวชิงพริบง่าย ๆ ใครตามไม่ทันก็ต้องถูกรุกฆาต”

     

    “ข้าว่าท่านจะคว่ำกระดานเองมากกว่า”    วิญญาณอารักษ์เหน็บแนม

     

    “ไอ้เรื่องเดินตามเกมคนอื่นท่านไม่เคยทำอยู่แล้ว”     คีลยิ้มเจ้าเล่ห์

     

    “เรียนท่านมาฮานว่าฉันฝากเรื่องทางอัลมาฮาร์ด้วย   ส่วนทางด้านคาเธย์ฉันจะจัดการเองไม่ต้องห่วง”        

     “แล้วเรื่องสายของเตห์ลาที่อยู่ในวิหารแห่งมาฮาร่าจะทำยังไง”     ซาเล็มถาม

     

    “หน้าที่ท่านไม่ใช่เหรอ”    คีลย้อนถาม   วิญญาณอารักษ์พยักยิ้ม

     

    “งั้นข้าจะจัดการตามวิธีของข้าก็แล้วกัน”

     

    “ตามสบาย    เริ่มงานได้แล้วละ   ดูเหมือนว่าเจ้าพวกนั้นก็จะเริ่มทำหน้าที่ของมันแล้วเหมือนกัน”   คีลยิ้มสายตาทอดมองร่างที่ซุ่มเงียบกริบ  พวกมันค่อย ๆ คืบคลานขยับใกล้เขตแสงสว่างเข้าไปทุกที   บางตัวอาศัยเงาที่ทอดยาวของเต็นฑ์พักที่อยู่ด้านริมสุดเป็นที่กำบังในการเขยิบเข้าใกล้เหยื่อให้มากที่สุด

     

    อัมซาไม่พูดอะไรอีก     ร่างสูงคำนับผู้เป็นราชาแห่งตนแล้วหายวับไปเหลือเพียงอาหมัดที่ยังรออยู่

     “จำไว้นะหยุดอยู่ที่คาเธย์เท่านั้นอย่าเข้าสู่นครมรณะเด็ดขาด”     คีลย้ำ   อาหมัดรับคำก่อนจะทำความเคารพ  และเพียงชายผ้าคลุมสะบัดวูบ   ร่างนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว

     

     

    เสียงคำรามกู่ก้อง   เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกดังขึ้นในความเงียบสงัดในขณะที่ทุกคนเริ่มผ่อนคลายหลับไหลเพราะคิดว่าฝูงจิ้งจอกปีศาจเหล่านั้นล่าถอยไปด้วยไม่อาจเข้ามาทำอะไรกับเหยื่อได้   โดยหารู้ไม่ว่าพวกมันเพียงรอเวลาที่เหมาะสมในการเล่นงาน   เสียงตะโกนโหวกเหวก   เสียงสั่งการและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังระงมไปทั่วบริเวณ    ร่างคนงานมากมายถูกเจ้าหมาจิ้งจอกกระหายเลือดกระโจนเข้าเล่นงานนอนล้มกลิ้งทุรนทุรายเพียงไม่นานก็แน่นิ่ง    เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณกระจายเกลื่อนอยู่บนพื้นทรายโดยเจ้าตัวการสังหารเผ่นวูบหายวับไปในเงามืดและเพียงไม่นานแสงสปอตไลท์ก็ดับวูบ   เสาไฟที่ตั้งสูงถูกโค่นลงมาด้วยฝีมือเจ้าสัตว์ปีศาจที่ฉลาดเป็นกลด   ทั่วทั้งบริเวณตอนนี้มีเพียงกองไฟที่ก่อไว้ตามจุดต่าง ๆ ให้แสงสว่างอยู่เท่านั้น

     

    “ไฟ    ใช้ไฟจัดการมัน”    เสียงยูซูสตะโกนก้อง    นายทหารอีกหลายคนโยนท่อนไม้สุมเข้าไปในกองไฟที่ก่อไว้   บางคนลากดุ้นฟืนที่ติดไฟลุกโชนออกมากวัดแกว่งต่อสู้กับร่างปราดเปรียวที่กระโจนเข้าหา   ไฟลุกท่วมร่างของเจ้าปีศาจสี่ขา  เสียงกรีดร้องโหยหวนดังยาวชวนสยดสยองก่อนที่ไฟจะดับลงพร้อม ๆ กับเศษธุลีสีถ่านกองอยู่บนพื้นทราย  

     

    แม้จะรู้วิธีต่อสู้แต่ด้วยจำนวนที่มีมากมายหนุนเนื่องมาไม่ขาดสาย  แถมพวกมันยังได้เปรียบเรื่องความว่องไวทำให้กลุ่มคนที่เหลืออยู่ต้องถอยร่นมารวมกัน   ทหารที่เหลืออยู่ทั้งหมดกระจายล้อมกันไว้เป็นวงกลมหันหลังชนกัน   แต่ละคนถือท่อนฟืนที่ติดไฟลุกวาบโดยมีเจ้าปีศาจสี่ขาขู่คำรามล้อมอยู่อีกชั้นหนึ่ง   หลายตัวทำท่าจะกระโจนเข้ามาขย้ำแต่เพราะเปลวเพลิงที่กั้นขวางทำให้พวกมันยังไม่กล้าเข้าใกล้ได้แต่เดินคุมเชิงส่งเสียงขู่คำรามอยู่เป็นระยะ

     

    เส้นประสาทของทุกคนตอนนี้ตึงเครียด    จัสมินกอดมูซาไว้แน่นในขณะที่เด็กชายเองก็ตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมแขนเธอเช่นกัน   เบนดาฮาร่าตัวสั่นงันงกร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้าง ๆ โดยมีผู้เป็นพี่ชายคอยปลอบ

     

     

    ในช่วงเวลาเลวร้ายที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่    แสงสีแดงจากขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกก็เริ่มเปล่งประกายเป็นสัญญลักษณ์ว่ารุ่งอรุณแห่งวันใหม่กำลังจะมาเยือน   และแสงนี้ก็ทำให้พวกจิ้งจอกปีศาจทั้งหมดชะงักท่าทีคุกคามพวกมันส่งเสียงโหยหวนคล้ายจะส่งสัญญาณบอกกันต่อ ๆกัน   ในท่ามกลางแสงแรกแห่งวันที่ส่องสว่างร่างมฤตยูสี่ขาค่อย ๆ อันตธานไปไม่เหลือแม้แต่รอยเท้าบนผืนทรายทิ้งไว้เพียงซากศพและสิ่งของที่พังพินาศย่อยยับ

     

     

    แสงตะวันจัดจ้าของรุ่งอรุณวันใหม่ดูจะขับไล่ความลึกลับที่ครอบคลุมทะเลทรายแห่งนี้ให้หายวับไปอย่างไม่น่าเชื่อว่ามันเคยเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นถ้าเพียงแต่ซากศพเหล่านั้นจะไม่เกลื่อนกลาดเป็นหลักฐานที่ทิ้งไว้ถึงโศกนาฏกรรมที่เพิ่งผ่านพ้นไป

     

    จัสมินมองภาพเหล่านั้นด้วยความสลดใจ   น้ำตาอาบแก้มผสมกับฝุ่นทรายที่ปลิวพัดมาตามลมแต่หญิงสาวไม่คิดจะปัดมันออก    ผู้คนมากมายที่ต้องมาล้มตายแบบนี้เป็นความผิดของเธอหรือเปล่า   เธอน่าจะขอให้ยุติการเดินทางตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งแรก  แต่เธอยังดื้อยังอยากที่จะไปต่อทั้ง ๆ ที่ผู้ชายคนนั้นได้เตือนเธอแล้วถึงอันตรายในการก้าวย่างสู่คาเธย์

     

    “คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”   ซาเล็มเอ่ยถามอย่างห่วงใย   จัสมินส่ายหน้า

     

    “เรากลับกันดีกว่าซาเล็ม   ถ้าต้องเดินทางต่อไปฉัน...ฉันกลัวว่าจะต้องมีผู้คนล้มตายกันอีก”

     

    “ผมก็คิดว่าอย่างนั้น  เราควรยุติการสำรวจที่นั่นเพียงแค่นี้    ข้าวของต่าง ๆ ของเราเสียหายเกือบหมดเดินทางต่อไปโดยที่ไม่รู้ว่ายังมีอะไรรออยู่ข้างหน้าจะเป็นอันตรายมากกว่า”

     

    “ฉันจะพูดกับฮัดซันเอง”    หญิงสาวเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองก่อนจะก้าวเข้าไปหากลุ่มของฮัดซันที่สนทนาอยู่กับเบซาร์และยูซูส   เมื่อเธอก้าวเข้ามาสมทบฮัดซันก็หันมายิ้มให้แต่สีหน้าติดจะเครียด

     

    “มาพอดี   ผมกำลังคุยกับเบซาร์ว่าเราจะยุติการสำรวจ   เราคงต้องกลับ”    

     

    “ฉันก็เห็นด้วยค่ะ   เราควรจะกลับ”

     

    “แต่ผมว่าเราควรจะไปต่อ  เรามาเกินครึ่งทางแล้วนะจะกลับง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไง”    เบซาร์ให้เหตุผล

    “ฉันไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียขึ้นมาอีก   แล้วอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ของเราก็เสียหายเกือบหมดแล้วเราจะดื้อไปต่อทำไม”

     

    “มันเกือบจะถึงอยู่แล้วอีกแค่วันสองวันเท่านั้นเอง  ผมแน่ใจ”    คราวนี้เป็นคำกล่าวของยูซูสที่สีหน้าเริ่มหงุดหงิดรำคาญใจ   มันมองสบตากับเบซาร์

     

    “ในฐานะหัวหน้าคณะสำรวจในครั้งนี้ผมสั่งให้กลับ    ไปเตรียมตัวกันได้แล้ว”    ฮัดซันออกคำสั่งเมื่อเห็นว่าพูดต่อไปก็ไม่มีวันยุติได้   เขาอยากจะออกเดินทางให้พ้นไปจากทะเลทรายบ้า ๆ แห่งนี้เต็มทีแล้ว   แค่ที่ได้พบเจอเมื่อคืนมันก็เพียงพอที่จะให้ตัดสินใจเดินทางกลับ    แม้การสำรวจนครคาเธย์จะเป็นสิ่งที่เขามุ่งหวัง   แต่ชีวิตของเขามีค่ามากกว่าไอ้เศษดินเศษหินที่เป็นซากปรักหักพังเก่า ๆ นั่น

     

    “แน่ใจเหรอว่าจะกลับได้”     ยูซูสย้อนถาม  รอยยิ้มชั่วร้ายประดับอยู่บนใบหน้าเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก

    “ก็ฉันสั่งอยู่นี่ไง”

     

    “ที่อยู่นี่ทั้งหมดเป็นคนของผม   ทหารของผม   คนที่มีสิทธิ์สั่งได้ก็มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้น   ผมสั่งให้พวกคุณอยู่พวกคุณก็ต้องอยู่”    น้ำเสียงแกมหัวเราะแต่ความหมายนั้นขมขู่ชัดเจน

     

    “แก....พูดอะไร!

     

    “ฟังไม่เข้าใจหรือไง    จะไม่มีการกลับไปไหนทั้งสิ้นพวกคุณทุกคนต้องเดินทางต่อตามคำสั่งของผม”

     

    “แกมีสิทธิ์อะไร”    ฮัดซันไม่พอใจ  ยูซูสแสยะยิ้มดูถูก

     

    “อย่ามีปัญหาดีกว่าน่า    ดูนั่นซิ”    มันพยักเพยิดไปทางเบื้องหลังฮัดซันเหลียวมองตามก็พบทหารในสังกัดของเจ้ายูซูสที่มีอาวุธครบมือกำลังควบคุมคณะของศาสตราจารย์มาร์คลิก   เคลตัน   รวมถึงเบนดาฮาร่า  ซาเล็ม  มูซาและคีลเดินตรงมา

     

    “แกทำอะไรน่ะ!

     

    “น่ารำคาญถามอยู่ได้    ไปขึ้นรถได้แล้ว   เราจะออกเดินทางกันต่อ”    ฮัดซันทำท่าจะขัดขืนจึงถูกพานท้ายปืนซัดเปรี้ยงเข้าที่ท้ายทอยทรุดลงไปกอง    เบนดาฮาร่ากรี๊ดลั่นแต่ถูกรั้งตัวไว้    จัสมินก้าวถอยหนีอย่างตระหนกแต่ยูซูสคว้าแขนเธอกระชากเข้าหาตัว   สายตาที่กวาดไปทั่วร่างจาบจ้วงล่วงเกิน

     

    “จัดการพวกที่เป็นภาระหน่อยซิ”    มันสั่งโดยไม่หันไปมอง   เสียงปืนดังก้องในความเงียบสามนัดก่อนร่างสูงของชายตะวันตกสามคนจะทรุดลงไปกองกับพื้นทรายนิ่งสนิท  เลือดทะลักสีแดงฉานท่ามกลางเสียงหวีดร้องของแหม่มคนสวยหนึ่งเดียวในกลุ่มชาวตะวันตกและเบนดาฮาร่า

     

    “แค่นี้ก็เรียบร้อย   หวังว่าคราวคงจะเข้าใจสถานะของตัวเองแล้วนะครับคุณหนูคนสวย”    จัสมินพยายามสะบัดมือออกแต่ไม่หลุด  หนำซ้ำยิ่งถูกรัดแน่นก่อนที่มันจะลากร่างบางให้เซตามไปขึ้นรถ  ซาเล็มขยับตัวแต่ถูกกระบอกปืนจี้บังคับไว้ทำให้ต้องนิ่ง

     

    “ไปขึ้นรถได้แล้ว”   คำสั่งสำทับมา    คนที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดถูกผลักให้นั่งเบียดกันอยู่ในรถ   มือทั้งสองถูกพันธนาการไว้  ฮัดซันยังหมดสติไม่ฟื้น

     

    “เก็บรวมรวมข้าวของที่จำเป็นแล้วออกเดินทางกันได้”     ทหารอีกคนสั่งลูกน้อง

     

    “เอาไอ้ไกด์นั่นมาที่รถคันหน้า”   ยูซูสร้องสั่งมาจากบนรถ    ร่างสูง ๆ ของคีลจึงถูกกระชากลงมาแล้วผลักให้ขึ้นไปที่เบาะหลังของรถคันหน้า

     

    “นำทางให้ดี ๆ ล่ะ   ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนไอ้ฝรั่งสามตัวนั่น”   เจ้าโจรในคราบทหารสั่งแกมหัวเราะมาจากที่นั่งถัดไปมันนั่งเบียดชิดกับร่างบางโดยไม่ยอมขยับห่าง    จัสมินขยะแขยงมือที่บีบรัดมือเธอไว้แต่ไม่สามารถทำอะไรได้   ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนแทบจะเป็นเส้นตรง   ดวงตาคู่งามบัดนี้มีรอยโกรธกรุ่น   คีลมองสบตาหญิงสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ   แต่จะตาฝาดหรือเปล่าจัสมินไม่แน่ใจคล้ายเธอมองเห็นแววเหี้ยมเกรียมที่มองยูซูสแวบหนึ่งก่อนมันจะจางไปอย่างรวดเร็ว     ชายหนุ่มนั่งชิดติดกับเธอโดยมีทหารอีกคนประกบข้าง 

     

    รถเริ่มแล่นตามกันไปอีกครั้งบนทะเลทรายที่กว้างใหญ่ทิ้งไว้เพียงซากศพและซากสิ่งของที่เสียหายยับเยินเท่านั้นท่ามกลางแสงแดดที่แผดร้อน

     

    หากเพียงคล้อยหลังฝุ่นตลบที่แล่นจากไปไม่นานภาพที่เห็นอยู่นั้นกลับเลือนหายเหลือไว้เพียงข้าวของกระจายเกลื่อนแต่ซากศพที่เรียงรายกลับไม่เหลือร่องรอย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×