คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : คำคืนแห่งฝันร้าย....สู่กับดัก
บทที่ 18
ค่ำคืนแห่งฝันร้าย
...สู่กับดัก
ทะเลทรายยามค่ำที่คืนนี้แสงจันทร์หม่นมัวชวนให้หดหู่ใจ เต็นท์พักที่ลดน้อยลงเกือบครึ่งรวมถึงจำนวนผู้คนที่ลดลงไปก่อให้เกิดความอ้างว้างชวนวังเวงใจได้อย่างน่าประหลาด แม้ทั่วบริเวณที่พักจะยังสว่างไสวด้วยแสงสปอตไลท์ หลังจากที่จัดการกับภารกิจต่างๆ เสร็จเรียบร้อยเหล่าคนงานต่างก็แยกไปจับกลุ่มนั่งผิงไฟที่ก่อไว้ข้างเต็นท์ของตน ลมทะเลทรายพัดเย็นยะเยือกทวีความหนาวเย็นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ดวงอาทิตย์เพิ่งจะลาลับขอบฟ้าไปได้ไม่นาน เสียงหวีดหวิวของลมผสานกับเสียงโหยหวนที่แทรกมากับสายลมมันเริ่มจากแผ่วเบา
จัสมินนั่งมองซาเล็มที่ตอนนี้กำลังคร่ำเคร่งพินิจดูเครื่องส่งวิทยุอยู่กับช่างเครื่องที่กำลังแกะชิ้นส่วนของวิทยุสื่อสารเพื่อหาสาเหตุของการขัดข้อง
ซาเล็มถอนใจยาวหลังจากนั่งดูไปได้ซักพัก
“เป็นยังไงบ้าง ซ่อมได้หรือเปล่า” จัสมินถามอย่างร้อนใจ ซาเล็มส่ายหน้าพลางบอก
“หาสาเหตุยังไม่ได้ด้วยซ้ำครับว่ามันติดต่อไม่ได้เพราะอะไร มันดังซ่า ๆ เหมือนคลื่นแทรกแบบนี้ตลอดเลย ปรับคลื่นก็แล้ว ตรวจระบบก็แล้ว แก้ยังไงก็แก้ไม่ตก”
เงียบกันไปอีกพักใหญ่และความเงียบที่ครอบคลุมก็ทำให้ได้ยินเสียง
“ซาเล็ม ได้ยินเสียงอะไรไหม ?” สีหน้าจัสมินไม่ค่อยดีนัก เสียงคร่ำครวญโหยหวนที่ดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ เสียงที่ฟังแล้วรู้สึกเย็นวาบจนขนลุกตั้งชัน
“เสียงสุนัขจิ้งจอกน่ะครับ พวกมันออกหากินตอนกลางคืน” ซาเล็มบอกหลังจากนิ่งฟัง
“ทำไมคืนอื่น ๆ ไม่เห็นมันจะหอนแบบนี้เลย”
“พวกเราอาจจะอยู่ใกล้รังของมันก็ได้ครับคุณหนู ไม่มีอะไรหรอก” เธอก็อยากให้ไม่มีอะไรอย่างที่ซาเล็มว่า หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบ ๆ เหล่าคนงานบางส่วนเริ่มทิ้งตัวลงนอนหลับพักผ่อน หากบางส่วนยังนั่งจับกลุ่มกันอยู่ ท่าทางพวกเขาคล้ายหวั่นเกรงในอะไรบางอย่าง
บนผืนทรายที่ดำมืดดวงตาสีเหลืองวาววับปรากฏตามจุดต่าง ๆ ทั่วเนินทราย มันค่อย ๆ ขยับวงเข้ามาใกล้อาณาเขตที่เป็นที่พักของคณะสำรวจมากขึ้นทุกที กลิ่นสาบสางโชยตลบ
คีลนั่งอยู่กับมูซาที่ตอนนี้ใช้ตักชายหนุ่มหนุนนอนต่างหมอนหลับไปอย่างไม่รับรู้กับบรรยากาศที่ชวนน่าหวาดหวั่น ตัวชายหนุ่มเองก็นั่งหลับตาอยู่เงียบ ๆ ดูเหมือนว่าเขาจะเงียบผิดจากทุกวันเสียด้วยซ้ำ จัสมินเหลือบมองไปทาง ‘ไกด์’ ที่กำลังเข้าฌานหรือว่าหลับในก็ยากจะรู้ได้ ท่านั่งตัวตรงไม่โอนเอนดูสงบนิ่งจนน่าเกรงขามก่อให้เกิดความอบอุ่นใจได้อย่างประหลาด
“คุณหนูไปพักเถอะครับ” เสียงบอกของซาเล็มทำเอาเกือบสะดุ้งยังไม่ทันที่เธอจะขยับลุกกลิ่นเน่าเหม็นอย่างรุนแรงก็โชยมาต้องจมูก
“ซาเล็มได้กลิ่นไหม ?” ซาเล็มผู้ชราเหลียวมองรอบตัวพอ ๆ กับเหล่าคนงานอื่น ๆ ที่ยังไม่หลับ เสียงพูดเริ่มเซ็งแซ่
“อะไรกัน!” เสียงพูดคุยที่เริ่มดังขึ้นทำให้มูซาที่นอนหลับผุดลุกขึ้นเช่นกัน เด็กชายเหลียวมองรอบตัวครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ซึมซาบกับบรรยากาศที่ผิดแปลกไปนั้น
“มันกลิ่นบ้าอะไร เหม็นสาบสางรุนแรงขนาดนี้” เสียงโวยวายหงุดหงิดดังมาจากเต็นฑ์พักของฮัดซันก่อนร่างสูงจะเดินอารมณ์เสียเข้ามาสมทบกับกลุ่มของจัสมิน ในขณะที่เหล่าคนงานเริ่มปลุกกันขึ้นมาเพราะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดธรรมดา ทหารรักษาการณ์ที่ยืนยามอยู่วงนอกเริ่มกระชับปืน สีหน้าของแต่ละคนหวาดหวั่น เหตุการณ์ขวัญผวาเมื่อคืนก่อนยังไม่เลือนคืนนี้ไม่รู้ว่าจะเจออะไรอีกบ้าง
ขณะนี้เต็นฑ์พักอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยออกมาสมทบ ไม่มีใครข่มตาหลับได้เลยซักคน กลิ่นเหม็นสาบสางรุนแรงที่มาพร้อมกับกังวานเสียงโหยหวนที่ดูเหมือนจะขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
“มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” เบนดาฮาร่าเสียงสั่นเกาะแขนฮัดซันไว้แน่นโดยมีเบซาร์ผู้เป็นพี่ชายยืนขนาบข้างอยู่ด้วยสีหน้ากังวลใจเช่นกัน อีกด้านหนึ่งยูซูสนายทหารผู้ดูแลด้านความปลอดภัยในการเดินทางครั้งนี้เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวังเช่นกัน อิทธิฤทธิ์ของมาฮาร่าเขาเคยได้เห็นกับตามาแล้วแต่ครั้งนั้นยังดีเพราะเขาอยู่กับพวกเตห์ลาแต่ตอนนี้เตห์ลาหนึ่งเดียวก็คือเจ้าเบซาร์นี่ แล้วมันจะต้านทานอำนาจของมาฮาร่าได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ดูอย่างคืนก่อนที่แต่ละคนเจอภาพหลอนนั่นประไร มันยังไม่มีปัญญาแม้แต่จะช่วยตัวเอง
“ทุกคนระวังตัวด้วย เกาะกลุ่มกันไว้ ยูซูสสั่งทหารรักษาการณ์ให้ตั้งแนวล้อมรอบเต็นฑ์พักไว้อย่าออกนอกแสงไฟเป็นอันขาด” ฮัดซันสั่งการ ตอนนี้ไม่ว่าเจ้ากลิ่นสาบสางรุนแรงกับเสียงโหยหวนนั่นจะเป็นอะไรก็ต้องเตรียมตัวตั้งรับ เสียงถ่ายทอดคำสั่งของเขาต่อ ๆ กันไปท่ามกลางสีหน้าไม่สบายใจของเหล่าคนงานหรือแม้แต่กลุ่มนายจ้างเองก็ตาม
“คีล ตอบฉันหน่อยซิว่า ไอ้เสียงโหยหวนนั่นมันเสียงอะไรกัน” ฮัดซันหันไปถามชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่ไกด์ แม้จะไม่ชอบหน้าแต่เวลาคับขันแบบนี้ยังไงซะก็ต้องถามคนที่ควรจะรู้เรื่องดีที่สุดนั่นก็คือ คนนำทางนั่นเอง
ชายหนุ่มผู้ถูกถามค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน สายตาที่ทอดมองออกไปในความมืดสงบนิ่ง น้ำเสียงเรียบ ๆ ตอบกลับมา
“สุนัขจิ้งจอก”
“สุนัขจิ้งจอกบ้าอะไรถึงได้ร้องโหยหวนขนาดนั้น แล้วไอ้กลิ่นนั่นอีก”
“สุนัขจิ้งจอกแห่งคาเธย์นครต้องคำสาปไง อะไรที่ไม่รู้ ไม่เคยได้ยิน ไม่จำเป็นว่าจะไม่มี”
“เอาละ” ฮัดซันพยายามสะกดอารมณ์
“ถ้างั้น พวกมันกำลังทำอะไรกัน ทำไมเสียงมันถึงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ”
“พวกมันกำลังมุ่งตรงมาที่นี่ เป็นร้อยตัวเชียวละ” น้ำเสียงตอนสุดท้ายออกจะมีรอยขำขันปนอยู่ด้วยแต่คำพูดนั้นทำให้คนฟังร้อนใจเกินกว่าจะสังเกตเรื่องอื่น
“พวกมันออกล่าเหยื่ออย่างงั้นหรือ ?” ซาเล็มพึมพำ คีลยิ้มมองสบตา
“มันไม่ต้องการอาหารหรอก แต่ใช่ มันล่าเหยื่อ ผู้บุกรุกอาณาเขตแห่งคาเธย์”
“บ้า พูดอะไรบ้า ๆ ยิ่งหน้าสิ่วหน้าขวานยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก แกนี่มันบ้าชัด ๆ” เบนดาฮาร่าตวาดลั่น ใบหน้าซีดเซียวด้วยความกลัว แต่เบซาร์รู้ดีว่าเจ้าไกด์มันพูดถูก เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ใช่เพียงสุนัขจิ้งจอกธรรมดา แต่มันเป็นสุนัขจิ้งจอกปีศาจที่ถูกสร้างขึ้นจากอำนาจแห่งมาฮาร่า อาคมของซาลามาฮานที่สร้างไว้ป้องกันผู้บุกรุกที่จะเข้าสู่คาเธย์
“ผมก็แค่พูดตามคำล่ำลือที่เคยได้ยินมา จะจริงหรือเปล่านี่ผมก็ไม่เคยรู้เหมือนกันเพราะผมก็เพิ่งจะมาเหยียบที่นี่พร้อม ๆ กับพวกคุณนั่นแหละ” คำบอกของคีลไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น ยังไม่ทันที่จะตัดสินว่าจะเอาอย่างไรทหารยามนายหนึ่งก็วิ่งเข้ามารายงานอย่างตื่นตระหนก
“แย่แล้วครับ นอกเขตแสงไฟนั่นมีตัวอะไรก็ไม่รู้มันล้อมเราไว้ทุกด้านเลยครับ”
“พวกคุณรวมตัวกันอยู่ที่นี่นะ ผมจะออกไปดูสถานการณ์หน่อย” ยูซูสกล่าวแล้วแยกออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ให้ต่อสู้กับคนนี่เขาไม่เคยถอย แต่ถ้าต้องสู้กับภูตผีปีศาจนี่เขายังไม่แน่ใจว่าจะสู้ได้ไหม ไอ้พวกเตห์ลานั่นก็หายหัวไปหมดแทนที่จะมาช่วยกัน ไหนเจ้าอับราซัคมันบอกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยจะหวังพึ่งเจ้าเบซาร์ดูท่าแล้วคงไม่ไหว ‘โว๊ย! ทำยังไงดีวะ’ ระหว่างที่เดินไปคิดไปนั้นมือหนึ่งก็เอื้อมมาสัมผัสไหล่ดึงร่างนายทหารแห่งทะเลทรายไว้
“เฮ้ย! อะไรวะ” ยูซูสตวาดลั่นตกใจปนหงุดหงิดที่อยู่ ๆ ก็ถูกลากหลบเข้ามาอยู่ในเงามืดด้านข้างเต็นฑ์พักหลังหนึ่ง
“ฉันเอง” เบซาร์ให้เสียง
“เออ มาก็ดี มีวิธีอะไรจัดการกับไอ้พวกที่ล้อมเราอยู่หรือเปล่า แม่งมาเป็นร้อยแบบนั้นแล้วแถมยังเกิดจากอาคมปืนธรรมดาจะจัดการได้ยังไงวะ” ยูซูสถามอย่างหงุดหงิด
“พวกมันกลัวแสง ไม่ว่าจะแสงสว่าง แสงไฟก็ด้วย วิธีทำลายมันต้องใช้ความร้อนจากไฟ”
“แล้วจะให้ทหารคอยเอาไฟเขวี้ยงใส่มันหรือยังไง คงทันหรอกนะ แถมจะเอาไฟมาจากไหนนัก” ยูซูสยังไม่หมดปัญหาง่าย ๆ
“ใครบอกว่าฉันจะให้แกคุ้มครองคนทั้งหมด เอาเฉพาะคนที่มีความสำคัญกับงานของเราคราวนี้ก็พอ ที่เหลือช่างหัวมัน” คำสั่งเหี้ยมเกรียม
“รวมไอ้ไกด์ท่าทางกวนโมโหนั่นด้วยหรือเปล่า” เบซาร์นิ่งคิดก่อนตอบ
“เก็บมันไว้ก่อน ไอ้ซาเล็มกับเจ้าเด็กมูซาด้วย มันอาจมีประโยชน์กับเราภายหลัง”
“งั้นก็สบายมาก” สีหน้าที่เคร่งเครียดค่อยคลายออก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เริ่มฉายแสงมาแทนที่
“นี่ ถ้าชีวิตเจ้าพวกนั้นไม่สำคัญ ฉันขอนังแหม่มเกลด้าก็แล้วกันนะ หุ่นมันน่าฟัดฉิบ”
“ตามใจ อย่าให้เสียงานก็แล้วกัน” เบซาร์สั่งแล้วทำท่าจะผละไปแต่ถูกเรียกไว้เพราะยูซูสยังไม่หมดข้อสงสัย
“เดี๋ยว ไอ้ที่สั่งแบบนี้นี่หมายถึงว่าเราจะเปิดตัวแล้วใช่ไหมว่าเราอยู่ฝ่ายไหน” ร่างสูงหันกลับมารอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าคมเข้มนั้นปนเค้าเหี้ยม
“แกแสดงตัวได้เต็มที่ แต่ฉันจะยังคงอยู่เบื้องหลัง ถึงเวลาเมื่อไหร่ฉันจะบอกเอง” ชายหนุ่มบอกแล้วเดินลัดเลาะหายไปในเงามืดของเต็นฑ์พัก
“เฮอะ ทำเป็นสั่ง มันก็ขี้ข้าเขาเหมือนกันละวะ” ยูซูสพึมพำไล่หลัง ก็แค่พวกสาวกแห่งเตห์ลาทำมาวางก้ามอวดเบ่งเป็นเจ้านายชี้นิ้วสั่ง ไว้รอให้งานสำเร็จซะก่อนเถอะ ที่เขายอมร่วมมือครั้งนี้ก็เพราะ ‘สมบัติล้ำค่าแห่งคาเธย์’ เป็นเป้าหมาย คอยดูเสร็จงานเมื่อไหร่จะเตห์ลาหรือมาฮาร่า พ่อจะจัดการให้สิ้นซาก
ยูซูสแสยะยิ้มอย่างลำพองใจ ร่างสูงเดินเลยไปสั่งการกับลูกน้องเพื่อเปลี่ยนแผนใหม่ คล้อยหลังเพียงไม่นานก็ปรากฏร่างเงาของอัมซาวิญญาณอารักษ์ที่มองตามไปด้วยรอยยิ้มแกมสมเพช ความโลภหลงไม่เคยให้คุณประโยชน์กับใครจริง ๆ ไม่รู้จะอยากได้ไปทำไม ตายไปก็เอาไปไม่ได้อยู่ดี เฮ้อ!
ยิ่งดึกบรรยากาศยิ่งตึงเครียดกลิ่นสาบสางที่โชยตลบกับเสียงโหยหวนดังมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ หลายครั้งเงาร่างของเจ้าสัตว์สี่ขานัยน์ตาสีเหลืองวาวจะกลายผ่านเข้ามาในเขตแสงสว่างแล้วก็เผ่นแผล่วหายไปอย่างรวดเร็วสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ที่จับกลุ่มชุมนุมกันอยู่กลางลานกว้าง เหมือนพวกมันกำลังเล่นสงครามประสาทกับเหยื่อ กดดันรอเวลาให้เหยื่อตื่นกลัวถึงขีดสุดจนอดรนทนไม่ไหวแตกกระสานออกมาจากที่ซุ่มซ่อนเพื่อให้มันตะครุบจับได้อย่างง่ายดาย ไม่มีใครนอนหลับได้ลง แต่ละคนตาแข็งค้างทั้งที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาแล้วทั้งวัน ประสาทกำลังตึงเครียด รอเพียงเวลาว่าสติของใครจะขาดผึงก่อนกันเท่านั้น
คีลนั่งสงบอยู่หน้ากองไฟ ดวงตาสีดำขลับจับจ้องอยู่ที่เปลวไฟที่ถูกสุมให้ลุกโชนอยู่เสมอ ซาเล็มเดินมาทรุดลงนั่งข้าง ๆ
“ไม่หลับบ้างล่ะซาเล็ม” คีลเอ่ยทักโดยไม่ละสายตามามองด้วยซ้ำ
“เจอแบบนี้ใครจะไปหลับลง”
“โน่นไง” คีลบุ้ยใบ้ไปทางเจ้าเด็กมูซาที่ตอนนี้มันย้ายที่ไปนั่งอิงกับจัสมิน เด็กชายนั่งหลับพิงไหล่หญิงสาวโดยมีเจ้าของไหล่โบกไล่ยุงให้เสียด้วย
“มันเด็ก ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ถ้าทำอย่างมันได้ก็ดีหรอก” ซาเล็มมองตามสายตาแล้วส่ายหน้า
“หลับเถอะตอนนี้ไม่มีอะไร เอาแรงไว้ก่อน ใกล้รุ่งสางเมื่อไหร่พวกมันเล่นเราแน่” คีลบอกเรียบ ๆ
“รู้ได้ยังไง”
“เดาเอา” ชายหนุ่มยิ้มทะเล้น ช่างไม่เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้เลยซักนิด ซาเล็มมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่คมเพื่อจะจับสังเกตแต่ก็ไม่เห็นอะไรมากกว่านั้น เอาเถอะ ไหนๆ ก็เคยเชื่อกันมาตลอดเขาคงต้องลองเชื่อดูอีกครั้ง
ร่างกำยำล่ำสันของซาเล็มขยับลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าไปหา ‘คุณหนู’ ของตน เจรจากันอยู่ชั่วครู่ก็ถอยออกมา เพียงไม่นานร่างบางก็ค่อย ๆ เอนหลับซบอยู่กับเจ้ามูซาโดยไม่สนใจทั้งกลิ่นและเสียงที่คอยสั่นประสาทอยู่ในขณะนี้ คีลมองภาพนั้นยิ้ม ๆ
ยิ่งดึกเสียงเขย่าขวัญยิ่งค่อย ๆ เบาลงพอ ๆ กับกลิ่นสาบสางที่โชยมา ผู้คนในคณะสำรวจเริ่มโงกหลับหลังจากฝืนทนกันมานาน คีตามองสภาพรอบตัวแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นเลี่ยงหลบออกไปโดยไม่มีใครทันสังเกต ร่างสูงเดินไปเรื่อย ๆ โดยอาศัยเงาสลัวของเต็นฑ์พักเป็นที่กำบัง จวบจนก้าวพ้นบริเวณแห่งแสงสว่าง
ทันทีที่ร่างสูงก้าวออกจากอาณาเขตของแสงสว่างกลิ่นสาบสางก็โชยวูบพร้อม ๆ กับร่างปราดเปรียวกระโจนพรวดเข้าจู่โจม คีลไม่หลบด้วยซ้ำแต่เจ้าสุนัขจิ้งจอกที่จ้องตะครุบเหยื่ออยู่นั้นกลับทำได้เพียงตะกุยอากาศ มันเผ่นแผล็วอย่างว่องไว ดวงตาสีเหลืองในความมืดฉายแสงชวนน่ากลัว เพียงชายหนุ่มดีดนิ้วร่างที่มุ่งร้ายกลับอันตธานไปไม่เหลือแม้แต่เงา
คีลก้าวเท้าต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หวั่นเกรงกับสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า และดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าสัตว์ปีศาจเองก็ไม่ได้สนใจเหยื่อที่ออกมาเดินเล่นท่ามกลางความมืดแม้แต่น้อย พวกมันหันกลับไปเฝ้ารอคอยเวลาที่จะโจมตีเหล่าผู้บุกรุกที่อยู่ในเขตแสงสว่างต่อไปคล้ายมองไม่เห็นผู้ที่ก้าวเดินอยู่นั้น
“ท่านจะปล่อยให้พวกนั้นรับมือกันเองจริงหรือ” อัมซาปรากฏกายเบื้องหลังเอ่ยถาม ร่างสูงที่ก้าวเดินไปเบื้องหน้าถอนใจยาว
“ท่านก็รู้แผนการของพวกนั้นนี่ ตอนแรกพวกมันจะใช้มาฮาร่าคุ้มครองคณะสำรวจโดยพวกมันไม่ต้องเปลืองแรง คราวนี้เมื่อมาฮาร่าไม่เคลื่อนไหว พวกมันก็ต้องเป็นฝ่ายเปิดเผยตัวออกมาจะมัวหลบอยู่แต่ในเงาได้อย่างไร จริงไหมอาหมัด” น้ำเสียงที่ถามแกมหัวเราะ ทันทีที่จบประโยคบนผืนทรายที่ว่างเปล่าก็ปรากฏร่างในชุดคลุมดำยืนสงบอยู่
“แล้วเจ้าพวกคนงาน ลูกหาบต่าง ๆ นั่นจะทำยังไง พวกนั้นไม่รอดแน่ ไอ้ยูซูสกับเจ้าเตห์ลานั่นมันไม่ช่วยให้เปลืองแรงมันหรอก พวกนั้นไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกมัน”
“เป็นนักบุญตั้งแต่เมื่อไหร่อัมซา” คีลถามแกมหัวเราะ แต่วิญญาณอารักษ์ไม่หลงกล
“ข้ารู้ท่านเองก็ไม่สบายใจที่คนไม่รู้เรื่องตั้งมากมายจะต้องมาตายเพราะความต้องการของคนไม่กี่คน”
“ก็ในเมื่อพวกเขาเลือกเองจะทำยังไงได้ เราให้โอกาสพวกเขาในการถอยกลับแล้วแต่ในเมื่อไม่เลือกก็ต้องยอมรับกับชะตากรรมที่จะเกิดในเบื้องหน้า” คีลยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ
“จะทำอย่างนั้นจริง ๆ หรือ” อัมซาถามย้ำ เขาไม่อยากเห็นผู้ชายตรงหน้าต้องทนทุกข์กับการกระทำของตน แม้ปากจะบอกไม่สนใจแต่ใจเล่าทำได้อย่างนั้นจริงหรือในเมื่อคนเหล่านั้นไม่ใช่ศัตรูที่ต้องเข่นฆ่า
“ถ้าไม่ปล่อยให้เป็นไปแล้วจะทำยังไง ?” คีลถามเรียบ ๆ
“ท่านช่วยได้นี่”
“มันก็ไปเข้าแผนพวกเตห์ลาอีกนั่นแหละ”
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าราชาแห่งมาฮาร่าโง่ ใช่ไหมอาหมัด” คนยืนฟังเงียบถูกดึงเข้ามาร่วมวง อาหมัดอึกอักไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี
“อย่าหลอกด่าฉันบ่อยนักเลยน่าอัมซา เอาละเพื่อไม่ให้ท่านหาว่าฉันใจร้ายใจดำและเพื่อไม่เป็นเครื่องมือให้พวกเตห์ลาชักเชิด ฉันคงต้องขอความร่วมมือจากท่าน” คีลหันมายิ้มหวาน ดวงตาเจ้าเล่ห์ นึกแล้วไม่มีผิดว่าต้องวางแผนซ้อนแผนเอาไว้แน่ ๆ แต่ที่ยึกยักไม่บอกออกมานี่สงสัยจะเรียกร้องความสนใจ ผู้เป็นวิญญาณอารักษ์ถอนใจเฮือกแบบให้ได้ยินชัด ๆ บางทีคนตัวโต ๆ ตรงหน้าเขาก็ชอบเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ
“พลังท่านกล้าแข็งขนาดสร้างมายาลวงคนทั้งคณะได้ไหม”
“ได้ แต่ท่านหรืออาหมัดก็ทำได้นี่”
“ก็บอกแล้วไงว่าตอนนี้มาฮาร่าจะเก็บหัวซ่อนหาง เราจะหายไปจากอาณาเขตคาเธย์สักระยะ ฉะนั้นคีลเป็นแค่ไกด์ธรรมดา ๆ ไม่มีอำนาจอะไรที่จะต่อสู้กับใครหรือคุ้มครองใครได้ ส่วนอาหมัดระหว่างนี้ให้มุ่งหน้าไปคอยที่คาเธย์ได้เลย” อาหมัดทำท่าจะแย้ง
“แต่ว่าเตห์ลา.....” คีลยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณให้หยุดคำพูดคัดค้าน
“ฉันเอาตัวรอดได้ มันยังไม่ทำอะไรแน่แม้ว่าจะไม่วางใจก็เถอะ คีลยังมีประโยชน์อยู่ เบซาร์ไม่ใช่คนโง่ อีกอย่างเธอต้องไปเตรียมการตั้งรับพวกนั้นที่นั่น ฉันว่าอีกไม่นานนี่แหละ‘ผู้นำแห่งเตห์ลา’ จะต้องเดินทางมาด้วยตัวเอง”
“ก็แน่ละ ส่งสาร์นท้าทายเขาซะขนาดนั้นนี่” อัมซาพึมพำบ่นมาให้ได้ยิน คีลยังยิ้ม
“แต่ก่อนจะมาน่ะผู้นำแห่งเตห์ลาคงก่อกวนที่อัลมาฮาร์จนวุ่นวายพอแรงเลยละ และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมฉันต้องให้อัมซาเป็นคนสร้างมายาลวง” สายตาอัมซาประสานกับดวงตาสีเข้มพลางพูดช้า ๆ คล้ายพยายามตามความคิดผู้เป็นราชาแห่งตน
“ท่านจะให้ข้าลวงตาเจ้าเบซาร์และคนอื่น ๆ ที่นี่ แล้วคุ้มครองพวกที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกไปพ้นอาณาเขตแห่งคาเธย์ รวมถึงเข้าไปดูลาดเลาในอัลมาฮาร์และติดต่อกับท่านมาฮานที่วิหาร”
“เยี่ยม ไม่มีใครรู้ใจฉันเท่าท่านจริง ๆ นั่นแหละ” คีลชมแกมหัวเราะ อัมซาถอนใจเฮือก
“ถ้าเดาไม่ผิด อัคบาร์คงต้องการให้ฉันห่วงหน้าพะวงหลัง ก่อเรื่องที่อัลมาฮาร์ในขณะที่มันรู้ว่าคาเธย์ฉันก็ปล่อยไม่ได้ พวกเตห์ลาต้องการล่อให้ราชาแห่งมาฮาร่าวิ่งวุ่น การใช้พลังในการเดินทางไป กลับรวมถึงคุ้มครองคนมากๆ แบบนั้นจะทำให้ราชาแห่งมาฮาร่าอ่อนแอลง ยิ่งใกล้วันสุริยันแผดเผาและจันทราดับแสงด้วยแล้วพลังแห่งมาฮาร่าก็จะยิ่งลดลงไปอีก ในขณะที่ฝ่ายเตห์ลาจะมีพลังเพิ่มขึ้น”
“ข้านึกว่าจะมีท่านเพียงคนเดียวเสียอีกที่ชอบตัดกำลังศัตรู”
“แค่เกมชิงไหวชิงพริบง่าย ๆ ใครตามไม่ทันก็ต้องถูกรุกฆาต”
“ข้าว่าท่านจะคว่ำกระดานเองมากกว่า” วิญญาณอารักษ์เหน็บแนม
“ไอ้เรื่องเดินตามเกมคนอื่นท่านไม่เคยทำอยู่แล้ว” คีลยิ้มเจ้าเล่ห์
“เรียนท่านมาฮานว่าฉันฝากเรื่องทางอัลมาฮาร์ด้วย ส่วนทางด้านคาเธย์ฉันจะจัดการเองไม่ต้องห่วง”
“แล้วเรื่องสายของเตห์ลาที่อยู่ในวิหารแห่งมาฮาร่าจะทำยังไง” ซาเล็มถาม
“หน้าที่ท่านไม่ใช่เหรอ” คีลย้อนถาม วิญญาณอารักษ์พยักยิ้ม
“งั้นข้าจะจัดการตามวิธีของข้าก็แล้วกัน”
“ตามสบาย เริ่มงานได้แล้วละ ดูเหมือนว่าเจ้าพวกนั้นก็จะเริ่มทำหน้าที่ของมันแล้วเหมือนกัน” คีลยิ้มสายตาทอดมองร่างที่ซุ่มเงียบกริบ พวกมันค่อย ๆ คืบคลานขยับใกล้เขตแสงสว่างเข้าไปทุกที บางตัวอาศัยเงาที่ทอดยาวของเต็นฑ์พักที่อยู่ด้านริมสุดเป็นที่กำบังในการเขยิบเข้าใกล้เหยื่อให้มากที่สุด
อัมซาไม่พูดอะไรอีก ร่างสูงคำนับผู้เป็นราชาแห่งตนแล้วหายวับไปเหลือเพียงอาหมัดที่ยังรออยู่
“จำไว้นะหยุดอยู่ที่คาเธย์เท่านั้นอย่าเข้าสู่นครมรณะเด็ดขาด” คีลย้ำ อาหมัดรับคำก่อนจะทำความเคารพ และเพียงชายผ้าคลุมสะบัดวูบ ร่างนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เสียงคำรามกู่ก้อง เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกดังขึ้นในความเงียบสงัดในขณะที่ทุกคนเริ่มผ่อนคลายหลับไหลเพราะคิดว่าฝูงจิ้งจอกปีศาจเหล่านั้นล่าถอยไปด้วยไม่อาจเข้ามาทำอะไรกับเหยื่อได้ โดยหารู้ไม่ว่าพวกมันเพียงรอเวลาที่เหมาะสมในการเล่นงาน เสียงตะโกนโหวกเหวก เสียงสั่งการและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังระงมไปทั่วบริเวณ ร่างคนงานมากมายถูกเจ้าหมาจิ้งจอกกระหายเลือดกระโจนเข้าเล่นงานนอนล้มกลิ้งทุรนทุรายเพียงไม่นานก็แน่นิ่ง เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณกระจายเกลื่อนอยู่บนพื้นทรายโดยเจ้าตัวการสังหารเผ่นวูบหายวับไปในเงามืดและเพียงไม่นานแสงสปอตไลท์ก็ดับวูบ เสาไฟที่ตั้งสูงถูกโค่นลงมาด้วยฝีมือเจ้าสัตว์ปีศาจที่ฉลาดเป็นกลด ทั่วทั้งบริเวณตอนนี้มีเพียงกองไฟที่ก่อไว้ตามจุดต่าง ๆ ให้แสงสว่างอยู่เท่านั้น
“ไฟ ใช้ไฟจัดการมัน” เสียงยูซูสตะโกนก้อง นายทหารอีกหลายคนโยนท่อนไม้สุมเข้าไปในกองไฟที่ก่อไว้ บางคนลากดุ้นฟืนที่ติดไฟลุกโชนออกมากวัดแกว่งต่อสู้กับร่างปราดเปรียวที่กระโจนเข้าหา ไฟลุกท่วมร่างของเจ้าปีศาจสี่ขา เสียงกรีดร้องโหยหวนดังยาวชวนสยดสยองก่อนที่ไฟจะดับลงพร้อม ๆ กับเศษธุลีสีถ่านกองอยู่บนพื้นทราย
แม้จะรู้วิธีต่อสู้แต่ด้วยจำนวนที่มีมากมายหนุนเนื่องมาไม่ขาดสาย แถมพวกมันยังได้เปรียบเรื่องความว่องไวทำให้กลุ่มคนที่เหลืออยู่ต้องถอยร่นมารวมกัน ทหารที่เหลืออยู่ทั้งหมดกระจายล้อมกันไว้เป็นวงกลมหันหลังชนกัน แต่ละคนถือท่อนฟืนที่ติดไฟลุกวาบโดยมีเจ้าปีศาจสี่ขาขู่คำรามล้อมอยู่อีกชั้นหนึ่ง หลายตัวทำท่าจะกระโจนเข้ามาขย้ำแต่เพราะเปลวเพลิงที่กั้นขวางทำให้พวกมันยังไม่กล้าเข้าใกล้ได้แต่เดินคุมเชิงส่งเสียงขู่คำรามอยู่เป็นระยะ
เส้นประสาทของทุกคนตอนนี้ตึงเครียด จัสมินกอดมูซาไว้แน่นในขณะที่เด็กชายเองก็ตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมแขนเธอเช่นกัน เบนดาฮาร่าตัวสั่นงันงกร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้าง ๆ โดยมีผู้เป็นพี่ชายคอยปลอบ
ในช่วงเวลาเลวร้ายที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ แสงสีแดงจากขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกก็เริ่มเปล่งประกายเป็นสัญญลักษณ์ว่ารุ่งอรุณแห่งวันใหม่กำลังจะมาเยือน และแสงนี้ก็ทำให้พวกจิ้งจอกปีศาจทั้งหมดชะงักท่าทีคุกคามพวกมันส่งเสียงโหยหวนคล้ายจะส่งสัญญาณบอกกันต่อ ๆกัน ในท่ามกลางแสงแรกแห่งวันที่ส่องสว่างร่างมฤตยูสี่ขาค่อย ๆ อันตธานไปไม่เหลือแม้แต่รอยเท้าบนผืนทรายทิ้งไว้เพียงซากศพและสิ่งของที่พังพินาศย่อยยับ
แสงตะวันจัดจ้าของรุ่งอรุณวันใหม่ดูจะขับไล่ความลึกลับที่ครอบคลุมทะเลทรายแห่งนี้ให้หายวับไปอย่างไม่น่าเชื่อว่ามันเคยเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นถ้าเพียงแต่ซากศพเหล่านั้นจะไม่เกลื่อนกลาดเป็นหลักฐานที่ทิ้งไว้ถึงโศกนาฏกรรมที่เพิ่งผ่านพ้นไป
จัสมินมองภาพเหล่านั้นด้วยความสลดใจ น้ำตาอาบแก้มผสมกับฝุ่นทรายที่ปลิวพัดมาตามลมแต่หญิงสาวไม่คิดจะปัดมันออก ผู้คนมากมายที่ต้องมาล้มตายแบบนี้เป็นความผิดของเธอหรือเปล่า เธอน่าจะขอให้ยุติการเดินทางตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งแรก แต่เธอยังดื้อยังอยากที่จะไปต่อทั้ง ๆ ที่ผู้ชายคนนั้นได้เตือนเธอแล้วถึงอันตรายในการก้าวย่างสู่คาเธย์
“คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ซาเล็มเอ่ยถามอย่างห่วงใย จัสมินส่ายหน้า
“เรากลับกันดีกว่าซาเล็ม ถ้าต้องเดินทางต่อไปฉัน...ฉันกลัวว่าจะต้องมีผู้คนล้มตายกันอีก”
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้น เราควรยุติการสำรวจที่นั่นเพียงแค่นี้ ข้าวของต่าง ๆ ของเราเสียหายเกือบหมดเดินทางต่อไปโดยที่ไม่รู้ว่ายังมีอะไรรออยู่ข้างหน้าจะเป็นอันตรายมากกว่า”
“ฉันจะพูดกับฮัดซันเอง” หญิงสาวเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองก่อนจะก้าวเข้าไปหากลุ่มของฮัดซันที่สนทนาอยู่กับเบซาร์และยูซูส เมื่อเธอก้าวเข้ามาสมทบฮัดซันก็หันมายิ้มให้แต่สีหน้าติดจะเครียด
“มาพอดี ผมกำลังคุยกับเบซาร์ว่าเราจะยุติการสำรวจ เราคงต้องกลับ”
“ฉันก็เห็นด้วยค่ะ เราควรจะกลับ”
“แต่ผมว่าเราควรจะไปต่อ เรามาเกินครึ่งทางแล้วนะจะกลับง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไง” เบซาร์ให้เหตุผล
“ฉันไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียขึ้นมาอีก แล้วอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ของเราก็เสียหายเกือบหมดแล้วเราจะดื้อไปต่อทำไม”
“มันเกือบจะถึงอยู่แล้วอีกแค่วันสองวันเท่านั้นเอง ผมแน่ใจ” คราวนี้เป็นคำกล่าวของยูซูสที่สีหน้าเริ่มหงุดหงิดรำคาญใจ มันมองสบตากับเบซาร์
“ในฐานะหัวหน้าคณะสำรวจในครั้งนี้ผมสั่งให้กลับ ไปเตรียมตัวกันได้แล้ว” ฮัดซันออกคำสั่งเมื่อเห็นว่าพูดต่อไปก็ไม่มีวันยุติได้ เขาอยากจะออกเดินทางให้พ้นไปจากทะเลทรายบ้า ๆ แห่งนี้เต็มทีแล้ว แค่ที่ได้พบเจอเมื่อคืนมันก็เพียงพอที่จะให้ตัดสินใจเดินทางกลับ แม้การสำรวจนครคาเธย์จะเป็นสิ่งที่เขามุ่งหวัง แต่ชีวิตของเขามีค่ามากกว่าไอ้เศษดินเศษหินที่เป็นซากปรักหักพังเก่า ๆ นั่น
“แน่ใจเหรอว่าจะกลับได้” ยูซูสย้อนถาม รอยยิ้มชั่วร้ายประดับอยู่บนใบหน้าเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก
“ก็ฉันสั่งอยู่นี่ไง”
“ที่อยู่นี่ทั้งหมดเป็นคนของผม ทหารของผม คนที่มีสิทธิ์สั่งได้ก็มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้น ผมสั่งให้พวกคุณอยู่พวกคุณก็ต้องอยู่” น้ำเสียงแกมหัวเราะแต่ความหมายนั้นขมขู่ชัดเจน
“แก....พูดอะไร!”
“ฟังไม่เข้าใจหรือไง จะไม่มีการกลับไปไหนทั้งสิ้นพวกคุณทุกคนต้องเดินทางต่อตามคำสั่งของผม”
“แกมีสิทธิ์อะไร” ฮัดซันไม่พอใจ ยูซูสแสยะยิ้มดูถูก
“อย่ามีปัญหาดีกว่าน่า ดูนั่นซิ” มันพยักเพยิดไปทางเบื้องหลังฮัดซันเหลียวมองตามก็พบทหารในสังกัดของเจ้ายูซูสที่มีอาวุธครบมือกำลังควบคุมคณะของศาสตราจารย์มาร์คลิก เคลตัน รวมถึงเบนดาฮาร่า ซาเล็ม มูซาและคีลเดินตรงมา
“แกทำอะไรน่ะ!”
“น่ารำคาญถามอยู่ได้ ไปขึ้นรถได้แล้ว เราจะออกเดินทางกันต่อ” ฮัดซันทำท่าจะขัดขืนจึงถูกพานท้ายปืนซัดเปรี้ยงเข้าที่ท้ายทอยทรุดลงไปกอง เบนดาฮาร่ากรี๊ดลั่นแต่ถูกรั้งตัวไว้ จัสมินก้าวถอยหนีอย่างตระหนกแต่ยูซูสคว้าแขนเธอกระชากเข้าหาตัว สายตาที่กวาดไปทั่วร่างจาบจ้วงล่วงเกิน
“จัดการพวกที่เป็นภาระหน่อยซิ” มันสั่งโดยไม่หันไปมอง เสียงปืนดังก้องในความเงียบสามนัดก่อนร่างสูงของชายตะวันตกสามคนจะทรุดลงไปกองกับพื้นทรายนิ่งสนิท เลือดทะลักสีแดงฉานท่ามกลางเสียงหวีดร้องของแหม่มคนสวยหนึ่งเดียวในกลุ่มชาวตะวันตกและเบนดาฮาร่า
“แค่นี้ก็เรียบร้อย หวังว่าคราวคงจะเข้าใจสถานะของตัวเองแล้วนะครับคุณหนูคนสวย” จัสมินพยายามสะบัดมือออกแต่ไม่หลุด หนำซ้ำยิ่งถูกรัดแน่นก่อนที่มันจะลากร่างบางให้เซตามไปขึ้นรถ ซาเล็มขยับตัวแต่ถูกกระบอกปืนจี้บังคับไว้ทำให้ต้องนิ่ง
“ไปขึ้นรถได้แล้ว” คำสั่งสำทับมา คนที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดถูกผลักให้นั่งเบียดกันอยู่ในรถ มือทั้งสองถูกพันธนาการไว้ ฮัดซันยังหมดสติไม่ฟื้น
“เก็บรวมรวมข้าวของที่จำเป็นแล้วออกเดินทางกันได้” ทหารอีกคนสั่งลูกน้อง
“เอาไอ้ไกด์นั่นมาที่รถคันหน้า” ยูซูสร้องสั่งมาจากบนรถ ร่างสูง ๆ ของคีลจึงถูกกระชากลงมาแล้วผลักให้ขึ้นไปที่เบาะหลังของรถคันหน้า
“นำทางให้ดี ๆ ล่ะ ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนไอ้ฝรั่งสามตัวนั่น” เจ้าโจรในคราบทหารสั่งแกมหัวเราะมาจากที่นั่งถัดไปมันนั่งเบียดชิดกับร่างบางโดยไม่ยอมขยับห่าง จัสมินขยะแขยงมือที่บีบรัดมือเธอไว้แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนแทบจะเป็นเส้นตรง ดวงตาคู่งามบัดนี้มีรอยโกรธกรุ่น คีลมองสบตาหญิงสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ แต่จะตาฝาดหรือเปล่าจัสมินไม่แน่ใจคล้ายเธอมองเห็นแววเหี้ยมเกรียมที่มองยูซูสแวบหนึ่งก่อนมันจะจางไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มนั่งชิดติดกับเธอโดยมีทหารอีกคนประกบข้าง
รถเริ่มแล่นตามกันไปอีกครั้งบนทะเลทรายที่กว้างใหญ่ทิ้งไว้เพียงซากศพและซากสิ่งของที่เสียหายยับเยินเท่านั้นท่ามกลางแสงแดดที่แผดร้อน
หากเพียงคล้อยหลังฝุ่นตลบที่แล่นจากไปไม่นานภาพที่เห็นอยู่นั้นกลับเลือนหายเหลือไว้เพียงข้าวของกระจายเกลื่อนแต่ซากศพที่เรียงรายกลับไม่เหลือร่องรอย
ความคิดเห็น