คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : มนตราแห่งมายา
บทที่ 15
มนตราแห่งมายา
ท่ามกลางความน่าสะพรึงกลัวที่รายล้อมเข้ามา เสียงปืนนัดแรกระเบิดขึ้นจากนั้นจึงตามติดมาด้วยปืนอีกหลายกระบอก เสียงนั้นดังประสานกันทั้งสองด้านจากเต็นท์พักทั้งสองหลัง มันดังกลบเสียงอื่น ๆ ไปเสียสิ้น แต่ดินปืนไม่อาจหยุดยั้งพวกมันไว้ได้ เลือดสีแดงฉานพร้อม ๆ กับซากงูที่กระจุยกระจายเป็นชิ้น ๆ จากแรงระเบิดของกระสุน กลิ่นเลือดคาวคลุ้ง ตัวแล้วตัวเล่าตายกองทับถม แต่พวกมันก็ยังไม่ยอมหยุด ต่างเลื้อยบีบใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทุกคนที่มองภาพนั้นยิ่งนานยิ่งเสียขวัญ ดูเหมือนความตายกำลังบีบวงคืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ
ในที่สุดขีดความอดทนของคนก็ขาดผึง เสียงตะโกนก้องดังขึ้นจากอีกฟากฝั่งของที่พัก
“ทนไม่ไหวแล้วโว๊ย!” พร้อมกับเสียงนั้น เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายก็ระเบ็งเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์พอ ๆ กับเสียงปืนที่กราดรัวยิ่งกว่าเมื่อแรกอย่างคนที่ควบคุมสติตัวเองไม่อยู่ ฝั่งด้านจัสมินก็ใช่ว่าจะดีไปกว่ากัน ขณะนี้ทุกคนอยู่ในสภาพเสียขวัญกับกองทัพงูมหาศาลที่ทวีจำนวนมากขึ้น มากขึ้น ทหารสองสามคนแรกถึงกับทิ้งปืนแล้วออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พร้อมกับร้องตะโกนคล้ายจะเสียสติหายไปในความมืด
“หนีเร็ว! หนีเร็ว!” เสียงร้องประสานกันก่อนความโกลาหลวุ่นวายจะบังเกิด ไม่มีใครสนใจใคร ต่างดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
“วิ่งเร็วคุณหนู ทางนี้” ซาเล็มคว้าข้อมือเธอลากวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับกองทัพอสรพิษที่เห็นอยู่ หญิงสาวคว้าข้อมือเจ้ามูซาลากให้วิ่งมาด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างล้มลุกคลุกคลาน หลายครั้งที่เธอโดนกระแทกจากด้านข้างบ้าง ด้านหลังบ้างแต่ซาเล็มยังฉุดรั้งเธอให้ลุกขึ้นวิ่งไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ทิศทาง เบื้องหลังท่ามกลางแสงไฟที่ส่องสว่างเพียงเหลียวมองกลับไปภาพชวนสยดสยองก็ปรากฏในสายตา เหล่าผู้คนที่ไม่อาจหนีทันต่างล้มลงนอนดีดดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นทรายที่เต็มไปด้วยอสรพิษ เต็นท์พักล้มระเนระนาด เลือดแดงฉานสาดเปรอะไปทั่วย้อมทรายให้กลายเป็นสีเลือด
จัสมินรู้สึกว่าตนปะทะเข้ากับอะไรอย่างหนึ่งโดยแรงและเป็นผลให้เธอผลัดหลุดจากทั้งซาเล็มและมูซา พอตั้งตัวได้ก็มองไม่เห็นคนทั้งคู่แล้ว เธอเห็นแต่ผู้คนอีกมากมายวิ่งวุ่นหนีตาย สีหน้าหวาดหวั่น จากการแต่งกายบ่งบอกลักษณะของชาวทะเลทราย ภาพทหารถือปืน คนงานขุดสำรวจที่วิ่งนำหน้าเธออยู่เมื่อครู่หายไปจากสายตา ผู้คนที่เธอเห็นตอนนี้ล้วนไม่รู้จักและไม่คุ้นหน้าทั้งสิ้น เสียงหวีดร้องของเด็ก ผู้หญิง ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก
“ซาเล็ม! มูซา ซาเล็ม อยู่ที่ไหน” ไม่มีเสียงขานรับเสียงเรียกของเธอแต่คลื่นกระแสชนด้านหลังผลักดันให้ต้องก้าวต่อไป หากแล้วเบื้องหน้าคล้ายเกิดอะไรขึ้นเพราะกระแสคนหยุดชะงักลนลานถอยกลับเบียดเสียดกับพวกที่ดันเข้าไป
หญิงสาวถูกกระแทกจนเซถลาแต่แล้วก็รู้สึกว่าถูกลำแขนแข็งแรงคว้ารวบดึงไว้ ร่างบางถูกตรึงอยู่ในวงแขนของร่างสูงชุดดำ ชิดใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจเต้นและกลิ่นหอมอวลซึ่งไม่น่าจะมีในผู้ชายโดยเฉพาะผู้ชายกลางทะเลทรายที่กำลังโกลาหลวุ่นวายอยู่ขณะนี้ เธอเงยหน้าขึ้นมองแต่ไม่เห็นอะไรนอกจากผ้าคลุมหน้าที่ปิดมิดชิด
แสงนวลแห่งจันทราทำให้เห็นเพียงผ้าสีคล้ำที่คลุมตลอดตัวแต่ลักษณะบางอย่างคุ้นความรู้สึกทำให้แน่ใจ ว่าผู้ชายคนนี้คือคนคนเดียวกับคนที่เธอพบในความฝัน
“คุณ! นี่มันอะไรกัน” พอตั้งสติได้เธอก็ทำท่าจะสะบัดออกจากวงแขนแต่อ้อมแขนนั้นยังรัดรึงไม่ยอมปล่อย หนำซ้ำยังกึ่งลากกึ่งประคองเธอให้หลบพ้นจากความตื่นตระหนกของฝูงชน
“เอาละ อยู่ตรงนี้แหละ” เสียงบอกจากชายลึกลับเมื่อพาเธอมาหลบซุกอยู่ที่ซอกแนวกำแพงยาว ผู้คนมากมายวิ่งผ่านเธอไป
“นี่มันอะไรกัน ที่นี่ที่ไหน แล้วซาเล็มกับมูซาล่ะ คุณเห็นบ้างหรือเปล่า ?” จัสมินถามเป็นชุดทำเหมือนกับว่านี่เป็นหน้าที่ของชายหนุ่มที่จะต้องเป็นผู้ตอบคำถาม แต่สิ่งที่ได้รับคือความเงียบไร้คำตอบจากร่างที่ยืนเคียงข้าง
“จู่ ๆ เกิดเป็นใบ้ขึ้นมากะทันหันหรือยังไง ฉันถามทำไมไม่ตอบ” หญิงสาวขึ้นเสียงอย่างลืมตัวลืมสถานะของตนเองว่าตอนนี้อยู่ในสภาพใด ร่างสูงยักไหล่แต่ไม่พูดอะไรอยู่ดี
“ที่นี่ที่ไหน มันเกิดอะไรขึ้นตอบฉันหน่อยเถอะ พวกคณะของฉันหายไปไหนกันหมด” คราวนี้น้ำเสียงอ่อนลงจนเกือบจะกลายเป็นอ้อนวอน
“วิ่งเล่นอยู่แถวนี้แหละ” เป็นคำตอบแรกที่เธอได้ยินแต่ก็ไม่ทำให้เข้าใจอะไรมากกว่าเดิม
“หมายความว่ายังไง ?”
“อย่าช่างสงสัยนักเลยน่า” คราวนี้ทำเอาที่หวาดกลัวอยู่หายเป็นปลิดทิ้ง อารมณ์ฉุนเฉียวแทรกเข้ามาแทนที่
“อยู่ ๆ เกิดเหตุการณ์แบบนี้คนบ้าที่ไหนบ้างไม่สงสัย”
“น่าจะทำใจให้ชินไว้นะ ถ้าคิดจะเหยียบเข้ามาในคาเธย์มันก็เป็นแบบนี้ละ”
“อะไรนะ นี่เราอยู่ในคาเธย์งั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไงก็เรายังไปไม่ถึงซักหน่อย”
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในนครแห่งนี้หรอก” ชายหนุ่มบอกพลางเริ่มออกเดินทำให้จัสมินต้องก้าวตามไปอย่างไม่มีทางเลือก
“แล้วคนอื่น ๆ จะปลอดภัยไหม”
“ตัวเองยังเอาตัวแทบไม่รอดยังจะไปห่วงคนอื่นเขาทำไม”
“เอ๊ะ! ฉันเป็นห่วงคนอื่นมันผิดด้วยหรือ ไม่ใช่พวกลึกลับล่องหนแบบคุณนี่ทำตัวแข็งทื่ออย่างกับพวกผีดิบไร้หัวใจ” หญิงสาวย้อนกลับอย่างเหลืออดแต่ไม่มีคำโต้ตอบกลับมาจากร่างสูงที่เดินนำ กริยาไม่พอใจซักนิดก็ยังไม่มีปรากฏให้เห็น
“ถามจริง ๆ เถอะ พวกมาฮาร่าเนี่ยเป็นแบบนี้ทุกคนเลยหรือไง แข็งทื่อยังกับซากศพ ชอบปิดบังหน้าตาเหมือนพวกโจร สงสัยจะเป็นโรคขาดความมั่นใจเลยไม่กล้าปรากฏตัวออกสู่สังคม” ยังไม่ทันทราบผลของการยั่วยุเสียงหัวเราะขัดจังหวะก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ตาย ตาย กลายเป็นพวกขาดความมั่นใจไปเสียแล้วมาฮาร่าของข้า เฮ้อ!” กำแพงทอดยาวที่เดินผ่านมาไม่มีทางแยกทางเลี้ยวที่ไหนและไม่มีใครเดินตามมาแต่กลับปรากฏผู้ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวแทบไม่ต่างอะไรจากผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าเธอ เพียงแต่ไม่มีผ้าคลุมหน้าปิดมิดชิดเท่านั้น หญิงสาวกระถดถอยไปเกาะแขนคนนำโดยอัตโนมัติ
“อ้าว เพิ่งรู้ว่าชอบแบบทื่อ ๆ เป็นผีดิบ เห็นบ่นอยู่หยก ๆ ไอ้เรารึก็ไม่เหมือนผีดิบซักหน่อย” เสียงบ่นมาให้ได้ยินแต่ใครจะไปกล้าไว้ใจ จู่ ๆ ก็ยังกับโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า
“มาก็ดีฝากด้วย” คนที่เธอเกาะแขนพูดขึ้น คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจึงมองคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างงงๆ
“ให้ข้าไปเองดีกว่า” คราวนี้น้ำเสียงขี้เล่นของผู้มาใหม่เปลี่ยนเป็นจริงจัง
“อย่าเลย เท่าที่ดูฝีมือฝ่ายนั้นก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน”
“แล้วอย่างนี้จะมีวิญญาณอารักษ์ไว้ทำไม”
“เอาไว้คุยแก้เหงาก็ยังดีไม่ใช่หรือ”
“ถ้ามันดีสำหรับท่านข้าก็ยินดีเสมอ” อัมซาค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม อย่างผู้ต่ำศักดิ์พึงกระทำต่อผู้สูงศักดิ์ จัสมินมองกริยานั้นอย่างฉงน
“คุณอยู่ที่นี่กับอัมซาก่อนก็แล้วกันไว้เสร็จเรื่องผมจะพากลับไปส่ง” ชายหนุ่มหันมาบอกกับสตรีเพียงคนเดียวที่ยืนฟังอยู่
“อัมซาเป็นเพื่อนผม เขาไม่ทำอันตรายคุณแน่นอน” คำบอกต่อมาเพื่อให้คลายกังวล อัมซายิ้มรับใบหน้าขรึมดุจึงดูดีขึ้น
“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการขอรับคุณหนู” วิญญาณอารักษ์เอ่ยทักทาย จัสมินน้อมศีรษะลงเพื่อคารวะผู้มากวัยกว่า หากเมื่อเธอหันไปมองข้างตัวก็ปรากฏว่าชายหนุ่มในชุดคลุมดำอันตธานไปจาก ณ ที่นั้นแล้วอย่างไร้ร่องรอย ไม่ได้ยินแม้เสียงความเคลื่อนไหว นี่เธอกำลังฝันไปหรือว่าถูกผีหลอกกันแน่!
“ไม่ต้องวิตกคุณหนู อีกไม่นานก็จะชินไปเอง” อัมซาบอกหน้าตาเฉย แถมเอ่ยชวน
“คุณหนูอยากเห็นมหาวิหารแห่งมาฮาร่าไหม อัมซาจะพาไปดู”
“ไปได้เหรอ ?” ค่ำคืนนี้มีแต่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้จนเธอแทบจะไม่ประหลาดใจเสียแล้ว
“ถ้าคุณหนูอยากไป อัมซาก็จะพาไป มหาวิหารแห่งมาฮาร่าใช่ว่าคนปัจจุบันจะเห็นได้ง่ายๆ”
“งั้นก็ไปสิ” เมื่ออีกฝ่ายเชิญชวนถึงขนาดนี้แล้วเห็นทีคงต้องไป อัมซาก้าวนำไปตามตรอกซอกซอยคดเคี้ยวปราศจากผู้คน แม้จะเป็นเวลาค่ำคืนแต่แสงจันทร์ที่ส่องสว่างจนคล้ายกับกลางวันทำให้มองเห็นเส้นทางโดยตลอด
“อัมซา ที่นี่คือนครคาเธย์จริงหรือ ?” ตามมาได้ชั่วครู่หญิงสาวก็เอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัย
“ใช่ครับ คาเธย์เมื่อพันปีก่อน” คำอธิบายเรียบเรื่อยเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
“แล้วฉันมาที่นี่ได้ยังไง”
“ก็ท่าน......”
“ท่านไหน ?”
“ท่าน....ท่าน...เอ ผมควรบอกคุณดีไหม” อัมซาหันมาปรึกษาเสียอีก
“แล้วควรบอกไหมล่ะ”
“ความจริงเรื่องมาฮาร่าเนี่ยเป็นความลับสำหรับคนนอก แต่อย่างคุณหนูนี่จะถือว่าเป็นคนนอกรึเปล่าหว่า”
“ถ้ามันลำบากใจไม่ต้องบอกก็ได้”
“เอาเป็นว่าด้วยอำนาจของท่านทำให้คุณเห็นที่นี่ ถือซะว่าได้เห็นในสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปไม่มีโอกาสเห็นก็แล้วกัน” อัมซาตัดสินใจบอกเท่าที่ควรบอก
“คนที่ฝากฉันไว้ก็คือท่านที่อัมซาพูดถึง” จัสมินตะล่อมถามไปเรื่อย ๆ
“ก็ใช่ เอ๊ย! แหมคุณหนูนี่เผลอไม่ได้ หลอกถามอัมซาซะนี่” วิญญาณอารักษ์ไหวทัน แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้เธอรู้เพิ่มขึ้นอีกนิดว่า ‘ผู้ชายคนนั้น’ อยู่ในฐานะที่ไม่ธรรมดา
“แล้ววิญญาณอารักษ์มันคืออะไรเหรอ ?” หญิงสาวถามตามที่ได้ยินการสนทนาระหว่าง ‘ผู้ชายคนนั้น’ และอัมซา คนถูกถามยิ้มกว้างพลางถาม
“คุณหนูกลัวผีหรือเปล่า”
“เกิดมายังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ”
“หรือเห็นแล้วไม่รู้” อัมซาต่อให้พลางอธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นสีหน้าฉงนของหญิงสาว
“วิญญาณอารักษ์คือวิญญาณที่คอยปกปักษ์ดูแล....เอ่อ...คนของมาฮาร่าที่...”
“เป็นบุคคลสำคัญ” จัสมินช่วยต่อให้เมื่อเห็นท่าทีอึกอักลำบากใจของคนอธิบาย
“ก็ทำนองนั้น ระดับของวิญญาณจะมีสูงต่ำต่างกันไป และการปรากฏตัวให้ผู้คนเห็นหรือการทำตัวให้เหมือนคนก็ขึ้นอยู่กับอำนาจของวิญญาณแต่ละดวงมีด้วยเช่นกันและ......อัมซาก็คือวิญญาณอารักษ์” คำพูดนั้นหยุดเพื่อดูปฏิกิริยาของผู้ฟัง
จัสมินอ้าปากค้างมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อ
“อย่าล้อเล่นน่าอัมซา”
“พูดจริงครับคุณหนู” แววตาที่เห็นไม่มีแววล้อเล่น
“อัมซาคือวิญญาณอารักษ์ที่อายุกว่าพันปี พลังอำนาจก็เลยมากกว่าวิญญาณโดยทั่วไป มันถึงได้คล้ายกับคนมากจนแทบจะแยกไม่ออก”
“สรุปว่าฉันกำลังคุยอยู่กับวิญญาณ ?” เธอยังไม่อยากเชื่ออยู่ดีแต่รอยยิ้มตอบมาเป็นคำยืนยันได้ดี
“โลกนี้มีอะไรเรายังไม่รู้อยู่อีกมากมาย อย่าจำกัดตัวเองด้วยความรู้ที่พิสูจน์ได้เพียงอย่างเดียวเลยคุณหนู”
จัสมินถอนใจยาวแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่ตกใจเท่าที่ควร คืนนี้เธอยังต้องเจออะไรต่อไปอีก.....ตอนแรกก็กองทัพงู ต่อด้วยพลัดหลงเข้ามาในนครเมื่อพันปีก่อน แล้วตอนนี้วิญญาณอารักษ์ที่เหมือนคนทุกอย่าง....เฮ้อ!....อ้อตอนนี้เธอจะได้เห็นมหาวิหารแห่งมาฮาร่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองเมื่อครั้งพันปีมาแล้ว คงจะเรียกว่าโชคดีได้ละมัง
สายลมที่เพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ร่างสูงที่ยืนปักหลักกอดอกนิ่งอยู่หน้ากระโจมหรี่ตามองอย่างใช้ความคิด ร่างนั้นขยับยืดตัวตรงเต็มความสูง
“ท่าทางจะไม่ค่อยดีแล้ว” เสียงเอ่ยแกมกังวลดังขึ้นเบื้องหลังก่อนชายอีกคนจะก้าวออกมาสมทบ
“แค่มนตร์แห่งธาตุกระจอก ๆ แค่นี้เจ้าคิดว่าข้าจะไม่มีปัญญารับมือหรือไง” น้ำเสียงแม้จะเรียบสนิทไม่บ่งบอกอารมณ์แต่ผู้ถูกถามกลับมีท่าทีหวั่นเกรงอย่างเห็นได้ชัด
“ขออภัย ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นเพียงแต่......”
“ช่างเถอะ” อับราซัคตัดบทสายตายังจับแน่วแน่ไปเบื้องหน้าที่ตอนนี้กลุ่มทรายเริ่มก่อตัวควงม้วนขึ้นสูง
“แย่แล้ว ! ท่านอับราซัค นั่น นั่น” เสียงตะโกนโหวกเหวกตื่นตระหนกดังขึ้นอีกหลายเสียงเพราะกลุ่มทรายที่ม้วนขึ้นสูงตอนนี้ก่อตัวเป็นร่างงูขนาดยักษ์แผ่แม่เบี้ยตระหง่านเงื้อมบดบังแสงจันทร์
“มันข้ามเขตอาคมที่ข้าทำไว้ไม่ได้หรอก” อับราซัคเชื่อมั่นในอำนาจแห่งตน เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าซาลามาฮานที่ถูกกล่าวขานถึงความเก่งกาจจะเก่งอย่างที่เคยได้ยินหรือไม่ อาคมที่ปกปักษ์อาณาเขตแห่งท้องทะเลทรายมานับพันปีมันควรจบสิ้นลงได้แล้ว เขาเฝ้าฝึกฝนศึกษาก็เพื่อการณ์นี้ มาฮาร่าจะต้องหายสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง
“ก็ทำได้แค่ขู่ให้กลัว ภาพลวงตา” อับราซัคเยาะหยันพลางร่ายมนต์ คลื่นพลังมหาศาลพุ่งปะทะกับงูอาคมที่ฉกลงมา รูปทรายที่ก่อตัวแตกกระจายร่วงลงสู่พื้น
“กระจอกกว่าที่คาดไว้ซะอีก” ยังไม่ทันขาดคำพื้นทรายโดยรอบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงร่างดำมะเมื่อม กลาดเกลื่อนอยู่บนพื้น ดวงตาแดงฉานส่อประกายมุ่งร้าย
“อ้อ อาคมซ้อนงั้นเหรอ” คนที่ตั้งรับสถานการณ์ยังไม่หวั่นไหวแต่คนอื่น ๆ เริ่มรวนเรกันบ้างแล้ว
“พวกเจ้าก็รู้วิธีจัดการกับพวกมันไม่ใช่หรือ มัวยืนซื่อบื้อทำอะไรกัน” เสียงตวาดทำให้เตห์ลาคนอื่น ๆ ได้สตินึกถึงวิธีจัดการกับเหล่าอสรพิษ แต่วิธีที่เคยได้ผลกลับไม่ได้ผล พวกมันไม่ถอยหนีแต่กลับดาหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฝ่ายตั้งรับจึงเริ่มเสียขบวน อับราซัคเพ่งมองอีกครั้งสิ่งที่เขาเห็นมันเป็นเพียงภาพลวงตา
“มนตราแห่งมายา! สงบใจไว้ ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น” อับราซัคสั่งพลางร่ายมนต์แก้แต่เหตุการณ์กลับยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อคนหนึ่งถูกฉกกัดล้มลงชักกระตุก เพียงไม่นานก็แน่นิ่งก่อนที่ร่างนั้นจะค่อย ๆ บวมอืดและเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว
“มันไม่ใช่ภาพลวงตาแล้ว!” เสียงตื่นตระหนกตะโกนบอกกัน
“เป็นไปไม่ได้ นี่มันมนตราแห่งมายาชัด ๆ แต่ทำไม....” อับราซัคเริ่มสับสน เป็นไปไม่ได้ที่อาคมนับพันปีจะคงความซับซ้อนแปรเปลี่ยนได้ขนาดนี้ ต้องมีคนกำกับบทแห่งมนตรานั้นอยู่เบื้องหลังแน่นอน มันเป็นใครกัน มนต์ที่ใช้แก้ต้องเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ โดยไม่หยุดนิ่งพอ ๆ กับมนต์ที่ใช้โจมตี
ในขณะที่เขาต้องรับมือกับการโจมตีที่ทำเหมือนหยอกเล่น แต่ถ้าพลาดเมื่อไหร่ก็อาจถึงตายนั้น คนของเขาก็ล้มลงทีละคน ๆ บางคนถึงจะยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้แต่ท่าทางก็ตึงมือเต็มทีเช่นกัน ถ้าเป็นแบบนี้อีกไม่นานเขาจะไม่เหลือลูกน้องแม้แต่คนเดียว
“ขี้ขลาด แน่จริงก็ปรากฏตัวออกมาซิวะ!” อับราซัคตะโกนก้องทุกสิ่งทุกอย่างพลันหยุดชะงักนิ่งงัน กองทัพอสรพิษมากมายอันตธานไปชั่วพริบตา
“เจ้าก้าวล่วงอำนาจแห่งมาฮาร่า แล้วจะมาเรียกร้องอะไรกัน” เสียงกังวานเรียบเรื่อยดังขึ้นพร้อม ๆ กับร่างสูงปรากฏอยู่บนเนินทรายห่างออกไป
“อ้อ ยอมโผล่หัวออกจากที่ซ่อนแล้ว”
“ข้ายืนอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว แต่เจ้าไม่เห็นข้าเองต่างหาก....อับราซัค” คนถูกเอ่ยนามถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ด้วยไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะรู้แม้แต่ชื่อของเขา
“เจ้าเป็นใคร ?”
“เป็นชาวมาฮาร่าคนหนึ่ง เหมือนที่เจ้าเป็นเตห์ลา”
“คิดไม่ถึงว่ามาฮาร่าจะยังหลงเหลือคนที่มีฝีมือระดับนี้” คราวนี้อับราซัคเริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองได้บ้างแล้ว สายตากวาดสำรวจร่างสูงที่ห่อหุ้มร่างกายมิดชิด
“มาฮาร่า ทำตัวลึกลับเหมือนที่เคย ซ่อนหน้าแอบอยู่เบื้องหลังคนอื่นไม่เคยปรากฏตัวออกสู่แสงสว่าง” คำกล่าวเยาะหยันแต่คนฟังยังนิ่งเฉย
“อ้างตัวว่าเป็นผู้ใช้มนต์ขาว แล้วนี่หรือมนต์ขาว เพียงแค่ล่วงล้ำพื้นที่ก็ถึงกับต้องฆ่า ข้าว่านะมาฮาร่าชั่วช้ากว่าพวกมนต์ดำอย่างข้าเตห์ลาเยอะ”
“เจตนาที่ล่วงล้ำคืออะไรต่างหากคือตัวตัดสินว่าเราจะต้อนรับแขกแบบไหน ถ้าเจ้ามุ่งร้ายเจ้าก็จะได้ร้ายตอบ แต่ถ้าเจ้าบริสุทธิ์ใจก็ไม่มีวันที่อะไรจะแผ้วพานเจ้าได้”
“ข้ามุ่งร้ายอะไรกับเจ้า”
“ตัวของตัวรู้อยู่แก่ใจทำไมจะต้องให้ข้าพูด” ร่างสูงนั้นตอบกลับโดยไม่ได้มีท่าทีระแวดระวังตัวแต่อย่างใด
“สำบัดสำนวนคมคาย ข้าอยากจะรู้ซะแล้วว่าถ้าสู้กันตรง ๆ เจ้าจะเก่งเหมือนปากหรือเปล่า” และโดยไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านเลยไป อับราซัคสะบัดมือวูบเม็ดทรายบนพื้นนับล้านเม็ดลอยสูงแล้วพุ่งเข้าหาร่างเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ความเร็วแรงของเม็ดทรายประดุจคมมีดกรีดเนื้อให้ขาดเป็นชิ้น ๆ ได้เลยทีเดียว
ร่างในชุดดำยังยืนสงบนิ่งไม่ขยับตัวทำอะไรแต่เมื่อเม็ดทรายอันแหลมคมพุ่งเข้ามาใกล้พลันก็หยุดค้างนิ่งคล้ายดังปะทะเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น
“เสียใจ ข้าไม่มีทางแพ้คนอย่างเจ้าหรอกนะอับราซัค มันต่างชั้นกันเกินไป” น้ำเสียงแกมหัวเราะบอก และเพียงร่างในชุดดำดีดนิ้วเม็ดทรายที่หยุดนิ่งก็เปลี่ยนทิศพุ่งกลับไปหาผู้เป็นเจ้าของอาคม อับราซัคร่ายมนต์สร้างเกราะกำบังให้ตัวเองได้อย่างเฉียดฉิวเต็มที
“ที่สำคัญถ้าจะเล่นทีเผลอข้าก็ทำได้และเชื่อว่าทำได้ดีว่าเจ้าด้วย” ขาดคำเกราะกำบังก็ร้าวเม็ดทรายที่พุ่งเข้าหาเปลี่ยนเป็นใบมีดคมวับพุ่งเข้ามาหมายเอาชีวิต อับราซัคผงะถอยหลังอย่างตระหนกสถานการณ์จวนตัวเกินกว่าจะหลบได้ทัน แต่คมมีดยังไม่ทันได้สัมผัสผิวกายร่างของเตห์ลาหนุ่มก็หายวับไปดุจล่องหนรวมถึงผู้เป็นลูกน้องที่ยังเหลือรอดอีกสองคนก็หายไปด้วย ทั่วบริเวณมีเพียงซากศพที่นอนอยู่กราดเกลื่อน
“อย่า ไม่ต้องตามอาหมัด” คำท้วงที่ดังขึ้นทำให้ปรากฏร่างในชุดดำยืนเยื้องออกไปไม่ห่างกันนัก
“แต่ว่า...”
“อำนาจของคนที่มาช่วยพวกนี้นั้นเกินกำลังฝีมือของเธอ อย่าเสี่ยงโดยไม่จำเป็นดีกว่า”
“มันเป็นใครครับ”
“ผู้นำแห่งเตห์ลา”
“หมายความว่า ผู้นำของพวกมันมาที่นี่แล้วงั้นหรือครับ”
“เปล่า เพียงแต่เขาคงไม่อยากเสียคนฝีมือดี ๆ ไปก็เลยต้องยื่นมือเข้ามาแทรก แต่การทำแบบนี้ก็ทำให้เสียพลังไปไม่น้อยละนะ” คำบอกแกมหัวเราะไม่ได้ทุกข์ร้อนแม้แต่น้อยดูจะสมใจเสียด้วยซ้ำ อาหมัดนิ่งคิดในที่สุดก็เอ่ยถาม
“ท่านคาดไว้ก่อนหรือเปล่าครับว่าผู้นำแห่งเตห์ลาจะเข้ามาแทรก”
“เธอคิดว่าฉันวางแผนไว้ก่อนหรือไง”
“เอ่อ ไม่แน่ใจครับ” อาหมัดไม่กล้ากล่าวหา
“เธอยังรักษาน้ำใจฉันนะ ถ้าเป็นอัมซาเขาจะหาว่าฉันขี้โกง ตัดกำลังฝ่ายตรงข้ามก่อนลงสนามจริง” อาหมัดเงียบรอฟังเพราะไม่รู้จะออกความเห็นว่าอะไรเหมือนกัน ใจส่วนหนึ่งก็คิดเหมือนกับที่องค์ราชาชิงพูดออกมาก่อนนั่นแหละ
“ก็ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่เคยเล่นตรง ๆ กับเรา แล้วทำไมเราจะต้องตรงไปตรงมาจริงไหม ถ้าอยากจะปลดปล่อยอาบรีซาก็เดินหน้าเข้ามาอย่างเปิดเผย ไม่ใช่ลับ ๆ ล่อ ๆ คิดจะเอาเรื่องโน้น หาเรื่องนี้มาใช้เราเป็นเครื่องมือ ฉันชอบเป็นคนเชิดหุ่น แต่ไม่ชอบเป็นหุ่นถูกเชิด”
“ผมก็ยังไม่เคยเห็นท่านเป็นหุ่นให้ใครเชิดซักที” อาหมัดอดบ่นพึมพำกับตัวเองไม่ได้
“อย่าบ่นน่า ถ้าว่างนักละก้อกลับไปแก้มายามนต์ให้พวกคณะสำรวจดีกว่าไป ป่านนี้คงเหนื่อยแย่แล้วมั้ง”
“ให้อยู่อย่างนั้นไปถึงเช้าเลยไม่ดีหรือครับจะได้เข็ดกันจริง ๆ พอเช้าก็เผ่นแนบกลับเข้าเมืองไปเลยไม่ต้องสำรวจกันอีก” อาหมัดเสนอแกมหัวเราะ
“ไม่ต้องเผ่นกลับหมดหรอก แค่ครึ่งหนึ่งก็ยังดี” ผู้เป็นราชาแห่งมาฮาร่ากล่าวทิ้งท้ายไว้แค่นั้นและเพียงสะบัดชายผ้าคลุมร่างสูงก็หายวับไป
“อย่างนี้มันต้องหลอกทุกคืน จะได้เปิดแนบกลับกันเสียให้หมด วุ่นวายกันดีนัก”
“เธอหัดใจร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่อาหมัด ?” คำถามแกมหัวเราะแว่วแผ่วมาตามสายลม
“ก็ตั้งแต่มาเป็นองครักษ์ของท่านนั่นแหละครับ” อาหมัดยอกย้อนแต่ไม่มีคำตอบใด ๆ กลับมามีเพียงเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่ค่อย ๆ จางหายไปกับแรงลมที่พัดผ่าน
ความคิดเห็น