ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์จันทรา มายาลวง

    ลำดับตอนที่ #15 : มนตราแห่งมายา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.69K
      19
      14 มิ.ย. 50

    บทที่ 15

     

    มนตราแห่งมายา

     

    ท่ามกลางความน่าสะพรึงกลัวที่รายล้อมเข้ามา  เสียงปืนนัดแรกระเบิดขึ้นจากนั้นจึงตามติดมาด้วยปืนอีกหลายกระบอก   เสียงนั้นดังประสานกันทั้งสองด้านจากเต็นท์พักทั้งสองหลัง   มันดังกลบเสียงอื่น ๆ ไปเสียสิ้น    แต่ดินปืนไม่อาจหยุดยั้งพวกมันไว้ได้    เลือดสีแดงฉานพร้อม ๆ กับซากงูที่กระจุยกระจายเป็นชิ้น ๆ จากแรงระเบิดของกระสุน   กลิ่นเลือดคาวคลุ้ง  ตัวแล้วตัวเล่าตายกองทับถม  แต่พวกมันก็ยังไม่ยอมหยุด    ต่างเลื้อยบีบใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ  ทุกคนที่มองภาพนั้นยิ่งนานยิ่งเสียขวัญ   ดูเหมือนความตายกำลังบีบวงคืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ

     

    ในที่สุดขีดความอดทนของคนก็ขาดผึง   เสียงตะโกนก้องดังขึ้นจากอีกฟากฝั่งของที่พัก

     

    ทนไม่ไหวแล้วโว๊ย!”   พร้อมกับเสียงนั้น  เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายก็ระเบ็งเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์พอ ๆ กับเสียงปืนที่กราดรัวยิ่งกว่าเมื่อแรกอย่างคนที่ควบคุมสติตัวเองไม่อยู่  ฝั่งด้านจัสมินก็ใช่ว่าจะดีไปกว่ากัน   ขณะนี้ทุกคนอยู่ในสภาพเสียขวัญกับกองทัพงูมหาศาลที่ทวีจำนวนมากขึ้น  มากขึ้น   ทหารสองสามคนแรกถึงกับทิ้งปืนแล้วออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต  พร้อมกับร้องตะโกนคล้ายจะเสียสติหายไปในความมืด  

     

    หนีเร็ว!  หนีเร็ว!”   เสียงร้องประสานกันก่อนความโกลาหลวุ่นวายจะบังเกิด     ไม่มีใครสนใจใคร ต่างดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด     

     

    วิ่งเร็วคุณหนู   ทางนี้    ซาเล็มคว้าข้อมือเธอลากวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับกองทัพอสรพิษที่เห็นอยู่    หญิงสาวคว้าข้อมือเจ้ามูซาลากให้วิ่งมาด้วยกัน   ต่างฝ่ายต่างล้มลุกคลุกคลาน   หลายครั้งที่เธอโดนกระแทกจากด้านข้างบ้าง  ด้านหลังบ้างแต่ซาเล็มยังฉุดรั้งเธอให้ลุกขึ้นวิ่งไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ทิศทาง      เบื้องหลังท่ามกลางแสงไฟที่ส่องสว่างเพียงเหลียวมองกลับไปภาพชวนสยดสยองก็ปรากฏในสายตา     เหล่าผู้คนที่ไม่อาจหนีทันต่างล้มลงนอนดีดดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นทรายที่เต็มไปด้วยอสรพิษ  เต็นท์พักล้มระเนระนาด  เลือดแดงฉานสาดเปรอะไปทั่วย้อมทรายให้กลายเป็นสีเลือด

     

     

    จัสมินรู้สึกว่าตนปะทะเข้ากับอะไรอย่างหนึ่งโดยแรงและเป็นผลให้เธอผลัดหลุดจากทั้งซาเล็มและมูซา   พอตั้งตัวได้ก็มองไม่เห็นคนทั้งคู่แล้ว     เธอเห็นแต่ผู้คนอีกมากมายวิ่งวุ่นหนีตาย   สีหน้าหวาดหวั่น   จากการแต่งกายบ่งบอกลักษณะของชาวทะเลทราย     ภาพทหารถือปืน   คนงานขุดสำรวจที่วิ่งนำหน้าเธออยู่เมื่อครู่หายไปจากสายตา    ผู้คนที่เธอเห็นตอนนี้ล้วนไม่รู้จักและไม่คุ้นหน้าทั้งสิ้น    เสียงหวีดร้องของเด็ก  ผู้หญิง  ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก

     

    ซาเล็ม!   มูซา   ซาเล็ม   อยู่ที่ไหน    ไม่มีเสียงขานรับเสียงเรียกของเธอแต่คลื่นกระแสชนด้านหลังผลักดันให้ต้องก้าวต่อไป   หากแล้วเบื้องหน้าคล้ายเกิดอะไรขึ้นเพราะกระแสคนหยุดชะงักลนลานถอยกลับเบียดเสียดกับพวกที่ดันเข้าไป  

     

    หญิงสาวถูกกระแทกจนเซถลาแต่แล้วก็รู้สึกว่าถูกลำแขนแข็งแรงคว้ารวบดึงไว้      ร่างบางถูกตรึงอยู่ในวงแขนของร่างสูงชุดดำ   ชิดใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจเต้นและกลิ่นหอมอวลซึ่งไม่น่าจะมีในผู้ชายโดยเฉพาะผู้ชายกลางทะเลทรายที่กำลังโกลาหลวุ่นวายอยู่ขณะนี้   เธอเงยหน้าขึ้นมองแต่ไม่เห็นอะไรนอกจากผ้าคลุมหน้าที่ปิดมิดชิด

     

    แสงนวลแห่งจันทราทำให้เห็นเพียงผ้าสีคล้ำที่คลุมตลอดตัวแต่ลักษณะบางอย่างคุ้นความรู้สึกทำให้แน่ใจ ว่าผู้ชายคนนี้คือคนคนเดียวกับคนที่เธอพบในความฝัน   

     

    คุณ!  นี่มันอะไรกัน    พอตั้งสติได้เธอก็ทำท่าจะสะบัดออกจากวงแขนแต่อ้อมแขนนั้นยังรัดรึงไม่ยอมปล่อย   หนำซ้ำยังกึ่งลากกึ่งประคองเธอให้หลบพ้นจากความตื่นตระหนกของฝูงชน

     

    เอาละ  อยู่ตรงนี้แหละ    เสียงบอกจากชายลึกลับเมื่อพาเธอมาหลบซุกอยู่ที่ซอกแนวกำแพงยาว    ผู้คนมากมายวิ่งผ่านเธอไป

     

    นี่มันอะไรกัน   ที่นี่ที่ไหน   แล้วซาเล็มกับมูซาล่ะ  คุณเห็นบ้างหรือเปล่า ?    จัสมินถามเป็นชุดทำเหมือนกับว่านี่เป็นหน้าที่ของชายหนุ่มที่จะต้องเป็นผู้ตอบคำถาม   แต่สิ่งที่ได้รับคือความเงียบไร้คำตอบจากร่างที่ยืนเคียงข้าง

     

    จู่ ๆ เกิดเป็นใบ้ขึ้นมากะทันหันหรือยังไง   ฉันถามทำไมไม่ตอบ    หญิงสาวขึ้นเสียงอย่างลืมตัวลืมสถานะของตนเองว่าตอนนี้อยู่ในสภาพใด   ร่างสูงยักไหล่แต่ไม่พูดอะไรอยู่ดี

     

    ที่นี่ที่ไหน   มันเกิดอะไรขึ้นตอบฉันหน่อยเถอะ   พวกคณะของฉันหายไปไหนกันหมด    คราวนี้น้ำเสียงอ่อนลงจนเกือบจะกลายเป็นอ้อนวอน

     

    วิ่งเล่นอยู่แถวนี้แหละ    เป็นคำตอบแรกที่เธอได้ยินแต่ก็ไม่ทำให้เข้าใจอะไรมากกว่าเดิม

     

    หมายความว่ายังไง ?

     

    อย่าช่างสงสัยนักเลยน่า     คราวนี้ทำเอาที่หวาดกลัวอยู่หายเป็นปลิดทิ้ง  อารมณ์ฉุนเฉียวแทรกเข้ามาแทนที่

     

    อยู่ ๆ เกิดเหตุการณ์แบบนี้คนบ้าที่ไหนบ้างไม่สงสัย  

     

    น่าจะทำใจให้ชินไว้นะ    ถ้าคิดจะเหยียบเข้ามาในคาเธย์มันก็เป็นแบบนี้ละ

     

    อะไรนะ    นี่เราอยู่ในคาเธย์งั้นเหรอ   เป็นไปได้ยังไงก็เรายังไปไม่ถึงซักหน่อย

     

    ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในนครแห่งนี้หรอก    ชายหนุ่มบอกพลางเริ่มออกเดินทำให้จัสมินต้องก้าวตามไปอย่างไม่มีทางเลือก

     

    แล้วคนอื่น ๆ จะปลอดภัยไหม    

     

    ตัวเองยังเอาตัวแทบไม่รอดยังจะไปห่วงคนอื่นเขาทำไม  

     

    เอ๊ะ!  ฉันเป็นห่วงคนอื่นมันผิดด้วยหรือ   ไม่ใช่พวกลึกลับล่องหนแบบคุณนี่ทำตัวแข็งทื่ออย่างกับพวกผีดิบไร้หัวใจ    หญิงสาวย้อนกลับอย่างเหลืออดแต่ไม่มีคำโต้ตอบกลับมาจากร่างสูงที่เดินนำ   กริยาไม่พอใจซักนิดก็ยังไม่มีปรากฏให้เห็น

     

    ถามจริง ๆ เถอะ   พวกมาฮาร่าเนี่ยเป็นแบบนี้ทุกคนเลยหรือไง    แข็งทื่อยังกับซากศพ   ชอบปิดบังหน้าตาเหมือนพวกโจร    สงสัยจะเป็นโรคขาดความมั่นใจเลยไม่กล้าปรากฏตัวออกสู่สังคม    ยังไม่ทันทราบผลของการยั่วยุเสียงหัวเราะขัดจังหวะก็ดังขึ้นเสียก่อน

     

    ตาย  ตาย  กลายเป็นพวกขาดความมั่นใจไปเสียแล้วมาฮาร่าของข้า  เฮ้อ!”     กำแพงทอดยาวที่เดินผ่านมาไม่มีทางแยกทางเลี้ยวที่ไหนและไม่มีใครเดินตามมาแต่กลับปรากฏผู้ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวแทบไม่ต่างอะไรจากผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าเธอ  เพียงแต่ไม่มีผ้าคลุมหน้าปิดมิดชิดเท่านั้น    หญิงสาวกระถดถอยไปเกาะแขนคนนำโดยอัตโนมัติ

     

    อ้าว  เพิ่งรู้ว่าชอบแบบทื่อ ๆ เป็นผีดิบ  เห็นบ่นอยู่หยก ๆ  ไอ้เรารึก็ไม่เหมือนผีดิบซักหน่อย    เสียงบ่นมาให้ได้ยินแต่ใครจะไปกล้าไว้ใจ   จู่ ๆ ก็ยังกับโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า

     

    มาก็ดีฝากด้วย     คนที่เธอเกาะแขนพูดขึ้น   คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจึงมองคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างงงๆ

     

    ให้ข้าไปเองดีกว่า     คราวนี้น้ำเสียงขี้เล่นของผู้มาใหม่เปลี่ยนเป็นจริงจัง

     

    อย่าเลย   เท่าที่ดูฝีมือฝ่ายนั้นก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

     

    แล้วอย่างนี้จะมีวิญญาณอารักษ์ไว้ทำไม  

     

    เอาไว้คุยแก้เหงาก็ยังดีไม่ใช่หรือ

     

    ถ้ามันดีสำหรับท่านข้าก็ยินดีเสมอ     อัมซาค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม  อย่างผู้ต่ำศักดิ์พึงกระทำต่อผู้สูงศักดิ์    จัสมินมองกริยานั้นอย่างฉงน

     

    คุณอยู่ที่นี่กับอัมซาก่อนก็แล้วกันไว้เสร็จเรื่องผมจะพากลับไปส่ง    ชายหนุ่มหันมาบอกกับสตรีเพียงคนเดียวที่ยืนฟังอยู่

     

    อัมซาเป็นเพื่อนผม  เขาไม่ทำอันตรายคุณแน่นอน    คำบอกต่อมาเพื่อให้คลายกังวล    อัมซายิ้มรับใบหน้าขรึมดุจึงดูดีขึ้น

     

    ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการขอรับคุณหนู     วิญญาณอารักษ์เอ่ยทักทาย   จัสมินน้อมศีรษะลงเพื่อคารวะผู้มากวัยกว่า  หากเมื่อเธอหันไปมองข้างตัวก็ปรากฏว่าชายหนุ่มในชุดคลุมดำอันตธานไปจาก ณ ที่นั้นแล้วอย่างไร้ร่องรอย   ไม่ได้ยินแม้เสียงความเคลื่อนไหว     นี่เธอกำลังฝันไปหรือว่าถูกผีหลอกกันแน่!

     

    ไม่ต้องวิตกคุณหนู   อีกไม่นานก็จะชินไปเอง     อัมซาบอกหน้าตาเฉย    แถมเอ่ยชวน

     

    คุณหนูอยากเห็นมหาวิหารแห่งมาฮาร่าไหม   อัมซาจะพาไปดู

     

    ไปได้เหรอ ?     ค่ำคืนนี้มีแต่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้จนเธอแทบจะไม่ประหลาดใจเสียแล้ว

     

    ถ้าคุณหนูอยากไป  อัมซาก็จะพาไป    มหาวิหารแห่งมาฮาร่าใช่ว่าคนปัจจุบันจะเห็นได้ง่ายๆ

      

    งั้นก็ไปสิ   เมื่ออีกฝ่ายเชิญชวนถึงขนาดนี้แล้วเห็นทีคงต้องไป     อัมซาก้าวนำไปตามตรอกซอกซอยคดเคี้ยวปราศจากผู้คน    แม้จะเป็นเวลาค่ำคืนแต่แสงจันทร์ที่ส่องสว่างจนคล้ายกับกลางวันทำให้มองเห็นเส้นทางโดยตลอด   

     

    อัมซา ที่นี่คือนครคาเธย์จริงหรือ ?     ตามมาได้ชั่วครู่หญิงสาวก็เอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัย

     

    ใช่ครับ    คาเธย์เมื่อพันปีก่อน  คำอธิบายเรียบเรื่อยเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา

     

    แล้วฉันมาที่นี่ได้ยังไง

     

    ก็ท่าน......

     

    ท่านไหน ?

     

    ท่าน....ท่าน...เอ  ผมควรบอกคุณดีไหม    อัมซาหันมาปรึกษาเสียอีก

     

    แล้วควรบอกไหมล่ะ  

     

    ความจริงเรื่องมาฮาร่าเนี่ยเป็นความลับสำหรับคนนอก   แต่อย่างคุณหนูนี่จะถือว่าเป็นคนนอกรึเปล่าหว่า

     

    ถ้ามันลำบากใจไม่ต้องบอกก็ได้

     

    เอาเป็นว่าด้วยอำนาจของท่านทำให้คุณเห็นที่นี่  ถือซะว่าได้เห็นในสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปไม่มีโอกาสเห็นก็แล้วกัน    อัมซาตัดสินใจบอกเท่าที่ควรบอก

     

    คนที่ฝากฉันไว้ก็คือท่านที่อัมซาพูดถึง   จัสมินตะล่อมถามไปเรื่อย ๆ

     

    ก็ใช่   เอ๊ย!  แหมคุณหนูนี่เผลอไม่ได้  หลอกถามอัมซาซะนี่    วิญญาณอารักษ์ไหวทัน    แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้เธอรู้เพิ่มขึ้นอีกนิดว่า ผู้ชายคนนั้น  อยู่ในฐานะที่ไม่ธรรมดา

     

    แล้ววิญญาณอารักษ์มันคืออะไรเหรอ ?    หญิงสาวถามตามที่ได้ยินการสนทนาระหว่าง ผู้ชายคนนั้น  และอัมซา    คนถูกถามยิ้มกว้างพลางถาม

     

    คุณหนูกลัวผีหรือเปล่า

     

    เกิดมายังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ

     

    หรือเห็นแล้วไม่รู้    อัมซาต่อให้พลางอธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นสีหน้าฉงนของหญิงสาว

     

    วิญญาณอารักษ์คือวิญญาณที่คอยปกปักษ์ดูแล....เอ่อ...คนของมาฮาร่าที่...

     

    เป็นบุคคลสำคัญ     จัสมินช่วยต่อให้เมื่อเห็นท่าทีอึกอักลำบากใจของคนอธิบาย

     

    ก็ทำนองนั้น    ระดับของวิญญาณจะมีสูงต่ำต่างกันไป   และการปรากฏตัวให้ผู้คนเห็นหรือการทำตัวให้เหมือนคนก็ขึ้นอยู่กับอำนาจของวิญญาณแต่ละดวงมีด้วยเช่นกันและ......อัมซาก็คือวิญญาณอารักษ์   คำพูดนั้นหยุดเพื่อดูปฏิกิริยาของผู้ฟัง

     

    จัสมินอ้าปากค้างมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อ

     

    อย่าล้อเล่นน่าอัมซา

     

    พูดจริงครับคุณหนู    แววตาที่เห็นไม่มีแววล้อเล่น

     

    อัมซาคือวิญญาณอารักษ์ที่อายุกว่าพันปี   พลังอำนาจก็เลยมากกว่าวิญญาณโดยทั่วไป   มันถึงได้คล้ายกับคนมากจนแทบจะแยกไม่ออก

     

    สรุปว่าฉันกำลังคุยอยู่กับวิญญาณ ?   เธอยังไม่อยากเชื่ออยู่ดีแต่รอยยิ้มตอบมาเป็นคำยืนยันได้ดี

     

    โลกนี้มีอะไรเรายังไม่รู้อยู่อีกมากมาย  อย่าจำกัดตัวเองด้วยความรู้ที่พิสูจน์ได้เพียงอย่างเดียวเลยคุณหนู  

      จัสมินถอนใจยาวแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่ตกใจเท่าที่ควร   คืนนี้เธอยังต้องเจออะไรต่อไปอีก.....ตอนแรกก็กองทัพงู    ต่อด้วยพลัดหลงเข้ามาในนครเมื่อพันปีก่อน   แล้วตอนนี้วิญญาณอารักษ์ที่เหมือนคนทุกอย่าง....เฮ้อ!....อ้อตอนนี้เธอจะได้เห็นมหาวิหารแห่งมาฮาร่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองเมื่อครั้งพันปีมาแล้ว   คงจะเรียกว่าโชคดีได้ละมัง

     

     

     

    สายลมที่เพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ร่างสูงที่ยืนปักหลักกอดอกนิ่งอยู่หน้ากระโจมหรี่ตามองอย่างใช้ความคิด   ร่างนั้นขยับยืดตัวตรงเต็มความสูง

     

    ท่าทางจะไม่ค่อยดีแล้ว    เสียงเอ่ยแกมกังวลดังขึ้นเบื้องหลังก่อนชายอีกคนจะก้าวออกมาสมทบ

     

    แค่มนตร์แห่งธาตุกระจอก ๆ แค่นี้เจ้าคิดว่าข้าจะไม่มีปัญญารับมือหรือไง   น้ำเสียงแม้จะเรียบสนิทไม่บ่งบอกอารมณ์แต่ผู้ถูกถามกลับมีท่าทีหวั่นเกรงอย่างเห็นได้ชัด

     

    ขออภัย    ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นเพียงแต่......

     

    ช่างเถอะ    อับราซัคตัดบทสายตายังจับแน่วแน่ไปเบื้องหน้าที่ตอนนี้กลุ่มทรายเริ่มก่อตัวควงม้วนขึ้นสูง

     

    แย่แล้ว !  ท่านอับราซัค  นั่น  นั่น      เสียงตะโกนโหวกเหวกตื่นตระหนกดังขึ้นอีกหลายเสียงเพราะกลุ่มทรายที่ม้วนขึ้นสูงตอนนี้ก่อตัวเป็นร่างงูขนาดยักษ์แผ่แม่เบี้ยตระหง่านเงื้อมบดบังแสงจันทร์

     

    มันข้ามเขตอาคมที่ข้าทำไว้ไม่ได้หรอก     อับราซัคเชื่อมั่นในอำนาจแห่งตน     เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าซาลามาฮานที่ถูกกล่าวขานถึงความเก่งกาจจะเก่งอย่างที่เคยได้ยินหรือไม่   อาคมที่ปกปักษ์อาณาเขตแห่งท้องทะเลทรายมานับพันปีมันควรจบสิ้นลงได้แล้ว    เขาเฝ้าฝึกฝนศึกษาก็เพื่อการณ์นี้   มาฮาร่าจะต้องหายสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง

     

    ก็ทำได้แค่ขู่ให้กลัว    ภาพลวงตา     อับราซัคเยาะหยันพลางร่ายมนต์   คลื่นพลังมหาศาลพุ่งปะทะกับงูอาคมที่ฉกลงมา   รูปทรายที่ก่อตัวแตกกระจายร่วงลงสู่พื้น   

     

    กระจอกกว่าที่คาดไว้ซะอีก      ยังไม่ทันขาดคำพื้นทรายโดยรอบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงร่างดำมะเมื่อม กลาดเกลื่อนอยู่บนพื้น  ดวงตาแดงฉานส่อประกายมุ่งร้าย

     

    อ้อ   อาคมซ้อนงั้นเหรอ     คนที่ตั้งรับสถานการณ์ยังไม่หวั่นไหวแต่คนอื่น ๆ เริ่มรวนเรกันบ้างแล้ว

     

    พวกเจ้าก็รู้วิธีจัดการกับพวกมันไม่ใช่หรือ    มัวยืนซื่อบื้อทำอะไรกัน    เสียงตวาดทำให้เตห์ลาคนอื่น ๆ ได้สตินึกถึงวิธีจัดการกับเหล่าอสรพิษ  แต่วิธีที่เคยได้ผลกลับไม่ได้ผล   พวกมันไม่ถอยหนีแต่กลับดาหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว    ฝ่ายตั้งรับจึงเริ่มเสียขบวน   อับราซัคเพ่งมองอีกครั้งสิ่งที่เขาเห็นมันเป็นเพียงภาพลวงตา

     

    มนตราแห่งมายา!    สงบใจไว้   ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น     อับราซัคสั่งพลางร่ายมนต์แก้แต่เหตุการณ์กลับยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อคนหนึ่งถูกฉกกัดล้มลงชักกระตุก    เพียงไม่นานก็แน่นิ่งก่อนที่ร่างนั้นจะค่อย ๆ บวมอืดและเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว

     

    มันไม่ใช่ภาพลวงตาแล้ว!”   เสียงตื่นตระหนกตะโกนบอกกัน  

     

    เป็นไปไม่ได้   นี่มันมนตราแห่งมายาชัด ๆ แต่ทำไม....     อับราซัคเริ่มสับสน   เป็นไปไม่ได้ที่อาคมนับพันปีจะคงความซับซ้อนแปรเปลี่ยนได้ขนาดนี้    ต้องมีคนกำกับบทแห่งมนตรานั้นอยู่เบื้องหลังแน่นอน     มันเป็นใครกัน    มนต์ที่ใช้แก้ต้องเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ โดยไม่หยุดนิ่งพอ ๆ กับมนต์ที่ใช้โจมตี    

     

    ในขณะที่เขาต้องรับมือกับการโจมตีที่ทำเหมือนหยอกเล่น  แต่ถ้าพลาดเมื่อไหร่ก็อาจถึงตายนั้น   คนของเขาก็ล้มลงทีละคน ๆ   บางคนถึงจะยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้แต่ท่าทางก็ตึงมือเต็มทีเช่นกัน   ถ้าเป็นแบบนี้อีกไม่นานเขาจะไม่เหลือลูกน้องแม้แต่คนเดียว

     

    ขี้ขลาด   แน่จริงก็ปรากฏตัวออกมาซิวะ!”     อับราซัคตะโกนก้องทุกสิ่งทุกอย่างพลันหยุดชะงักนิ่งงัน    กองทัพอสรพิษมากมายอันตธานไปชั่วพริบตา

     

    เจ้าก้าวล่วงอำนาจแห่งมาฮาร่า    แล้วจะมาเรียกร้องอะไรกัน    เสียงกังวานเรียบเรื่อยดังขึ้นพร้อม ๆ กับร่างสูงปรากฏอยู่บนเนินทรายห่างออกไป

     

    อ้อ    ยอมโผล่หัวออกจากที่ซ่อนแล้ว    

     

    ข้ายืนอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว   แต่เจ้าไม่เห็นข้าเองต่างหาก....อับราซัค    คนถูกเอ่ยนามถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ด้วยไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะรู้แม้แต่ชื่อของเขา

     

    เจ้าเป็นใคร ?  

     

    เป็นชาวมาฮาร่าคนหนึ่ง   เหมือนที่เจ้าเป็นเตห์ลา

     

    คิดไม่ถึงว่ามาฮาร่าจะยังหลงเหลือคนที่มีฝีมือระดับนี้    คราวนี้อับราซัคเริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองได้บ้างแล้ว  สายตากวาดสำรวจร่างสูงที่ห่อหุ้มร่างกายมิดชิด

     

    มาฮาร่า   ทำตัวลึกลับเหมือนที่เคย   ซ่อนหน้าแอบอยู่เบื้องหลังคนอื่นไม่เคยปรากฏตัวออกสู่แสงสว่าง    คำกล่าวเยาะหยันแต่คนฟังยังนิ่งเฉย

     

    อ้างตัวว่าเป็นผู้ใช้มนต์ขาว   แล้วนี่หรือมนต์ขาว  เพียงแค่ล่วงล้ำพื้นที่ก็ถึงกับต้องฆ่า    ข้าว่านะมาฮาร่าชั่วช้ากว่าพวกมนต์ดำอย่างข้าเตห์ลาเยอะ

     

    เจตนาที่ล่วงล้ำคืออะไรต่างหากคือตัวตัดสินว่าเราจะต้อนรับแขกแบบไหน    ถ้าเจ้ามุ่งร้ายเจ้าก็จะได้ร้ายตอบ   แต่ถ้าเจ้าบริสุทธิ์ใจก็ไม่มีวันที่อะไรจะแผ้วพานเจ้าได้

     

    ข้ามุ่งร้ายอะไรกับเจ้า

     

    ตัวของตัวรู้อยู่แก่ใจทำไมจะต้องให้ข้าพูด     ร่างสูงนั้นตอบกลับโดยไม่ได้มีท่าทีระแวดระวังตัวแต่อย่างใด

     

    สำบัดสำนวนคมคาย    ข้าอยากจะรู้ซะแล้วว่าถ้าสู้กันตรง ๆ เจ้าจะเก่งเหมือนปากหรือเปล่า   และโดยไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านเลยไป  อับราซัคสะบัดมือวูบเม็ดทรายบนพื้นนับล้านเม็ดลอยสูงแล้วพุ่งเข้าหาร่างเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว     ความเร็วแรงของเม็ดทรายประดุจคมมีดกรีดเนื้อให้ขาดเป็นชิ้น ๆ ได้เลยทีเดียว

     

    ร่างในชุดดำยังยืนสงบนิ่งไม่ขยับตัวทำอะไรแต่เมื่อเม็ดทรายอันแหลมคมพุ่งเข้ามาใกล้พลันก็หยุดค้างนิ่งคล้ายดังปะทะเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น

     

    เสียใจ    ข้าไม่มีทางแพ้คนอย่างเจ้าหรอกนะอับราซัค     มันต่างชั้นกันเกินไป      น้ำเสียงแกมหัวเราะบอก   และเพียงร่างในชุดดำดีดนิ้วเม็ดทรายที่หยุดนิ่งก็เปลี่ยนทิศพุ่งกลับไปหาผู้เป็นเจ้าของอาคม   อับราซัคร่ายมนต์สร้างเกราะกำบังให้ตัวเองได้อย่างเฉียดฉิวเต็มที

     

    ที่สำคัญถ้าจะเล่นทีเผลอข้าก็ทำได้และเชื่อว่าทำได้ดีว่าเจ้าด้วย    ขาดคำเกราะกำบังก็ร้าวเม็ดทรายที่พุ่งเข้าหาเปลี่ยนเป็นใบมีดคมวับพุ่งเข้ามาหมายเอาชีวิต    อับราซัคผงะถอยหลังอย่างตระหนกสถานการณ์จวนตัวเกินกว่าจะหลบได้ทัน    แต่คมมีดยังไม่ทันได้สัมผัสผิวกายร่างของเตห์ลาหนุ่มก็หายวับไปดุจล่องหนรวมถึงผู้เป็นลูกน้องที่ยังเหลือรอดอีกสองคนก็หายไปด้วย   ทั่วบริเวณมีเพียงซากศพที่นอนอยู่กราดเกลื่อน

     

    อย่า  ไม่ต้องตามอาหมัด     คำท้วงที่ดังขึ้นทำให้ปรากฏร่างในชุดดำยืนเยื้องออกไปไม่ห่างกันนัก

     

    แต่ว่า...

     

    อำนาจของคนที่มาช่วยพวกนี้นั้นเกินกำลังฝีมือของเธอ   อย่าเสี่ยงโดยไม่จำเป็นดีกว่า

     

    มันเป็นใครครับ

     

    ผู้นำแห่งเตห์ลา    

     

    หมายความว่า    ผู้นำของพวกมันมาที่นี่แล้วงั้นหรือครับ

     

    เปล่า    เพียงแต่เขาคงไม่อยากเสียคนฝีมือดี ๆ ไปก็เลยต้องยื่นมือเข้ามาแทรก   แต่การทำแบบนี้ก็ทำให้เสียพลังไปไม่น้อยละนะ     คำบอกแกมหัวเราะไม่ได้ทุกข์ร้อนแม้แต่น้อยดูจะสมใจเสียด้วยซ้ำ    อาหมัดนิ่งคิดในที่สุดก็เอ่ยถาม

     

    ท่านคาดไว้ก่อนหรือเปล่าครับว่าผู้นำแห่งเตห์ลาจะเข้ามาแทรก

     

    เธอคิดว่าฉันวางแผนไว้ก่อนหรือไง

     

    เอ่อ   ไม่แน่ใจครับ     อาหมัดไม่กล้ากล่าวหา

     

    เธอยังรักษาน้ำใจฉันนะ    ถ้าเป็นอัมซาเขาจะหาว่าฉันขี้โกง   ตัดกำลังฝ่ายตรงข้ามก่อนลงสนามจริง     อาหมัดเงียบรอฟังเพราะไม่รู้จะออกความเห็นว่าอะไรเหมือนกัน    ใจส่วนหนึ่งก็คิดเหมือนกับที่องค์ราชาชิงพูดออกมาก่อนนั่นแหละ

     

    ก็ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่เคยเล่นตรง ๆ กับเรา  แล้วทำไมเราจะต้องตรงไปตรงมาจริงไหม    ถ้าอยากจะปลดปล่อยอาบรีซาก็เดินหน้าเข้ามาอย่างเปิดเผย   ไม่ใช่ลับ ๆ ล่อ ๆ คิดจะเอาเรื่องโน้น   หาเรื่องนี้มาใช้เราเป็นเครื่องมือ   ฉันชอบเป็นคนเชิดหุ่น   แต่ไม่ชอบเป็นหุ่นถูกเชิด    

     

    ผมก็ยังไม่เคยเห็นท่านเป็นหุ่นให้ใครเชิดซักที   อาหมัดอดบ่นพึมพำกับตัวเองไม่ได้

     

    อย่าบ่นน่า    ถ้าว่างนักละก้อกลับไปแก้มายามนต์ให้พวกคณะสำรวจดีกว่าไป   ป่านนี้คงเหนื่อยแย่แล้วมั้ง

     

    ให้อยู่อย่างนั้นไปถึงเช้าเลยไม่ดีหรือครับจะได้เข็ดกันจริง ๆ  พอเช้าก็เผ่นแนบกลับเข้าเมืองไปเลยไม่ต้องสำรวจกันอีก    อาหมัดเสนอแกมหัวเราะ

     

    ไม่ต้องเผ่นกลับหมดหรอก  แค่ครึ่งหนึ่งก็ยังดี     ผู้เป็นราชาแห่งมาฮาร่ากล่าวทิ้งท้ายไว้แค่นั้นและเพียงสะบัดชายผ้าคลุมร่างสูงก็หายวับไป

     

    อย่างนี้มันต้องหลอกทุกคืน   จะได้เปิดแนบกลับกันเสียให้หมด   วุ่นวายกันดีนัก  

     

    เธอหัดใจร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่อาหมัด ?    คำถามแกมหัวเราะแว่วแผ่วมาตามสายลม

     

    ก็ตั้งแต่มาเป็นองครักษ์ของท่านนั่นแหละครับ   อาหมัดยอกย้อนแต่ไม่มีคำตอบใด ๆ กลับมามีเพียงเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่ค่อย ๆ จางหายไปกับแรงลมที่พัดผ่าน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×