Ziggurat ของชาว Sumerian, นอกลู่นอกทางบอร์ดไหมเนี่ย ประวัติศ - Ziggurat ของชาว Sumerian, นอกลู่นอกทางบอร์ดไหมเนี่ย ประวัติศ นิยาย Ziggurat ของชาว Sumerian, นอกลู่นอกทางบอร์ดไหมเนี่ย ประวัติศ : Dek-D.com - Writer

    Ziggurat ของชาว Sumerian, นอกลู่นอกทางบอร์ดไหมเนี่ย ประวัติศ

    โดย RamayBandit

    เอาเรื่องราวของ Ziggurat มาให้อ่านกัน ใครที่เรียนสังคม ม.6 มาคงสงสัยว่ามันเป็นยังไงและ อักษรลิ่ม คูนิฟอร์ม นั้นเป็นยังไง เชิญติดตาม จากบทความข้างล่างนี้ เลย ที่มา www.teenee.com

    ผู้เข้าชมรวม

    2,842

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    9

    ผู้เข้าชมรวม


    2.84K

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 มี.ค. 50 / 01:02 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำ Tigris และ Euphrates มีอากาศร้อน และแห้งแล้งในอดีตเมื่อ 6,000 ปีก่อนนี้ พื้นที่แถบนี้มีลมพัดแรง ไม่มีต้นไม้ ไม่มีอาคารที่อยู่อาศัยใดๆ ทั้งสิ้น จนผู้คนยุคนั้นเรียกบริเวณนี้ว่า พื้นที่ที่พระผู้เป็นเจ้าห้ามอาศัย ถึงกระนั้นในเวลาต่อมาพื้นที่ต้องห้ามนี้ก็ได้ให้กำเนิดอารยธรรมแรกๆ เช่น ให้กำเนิดอักษรเขียนเทคโนโลยีการเกษตร สถาปัตยกรรม กฎหมายฉบับแรก และเมืองแรกๆ ของโลก ดังนั้น จึงอาจเป็นไปได้ว่า ความลำบากยากจนได้ชักนำให้ผู้คนในแถบนั้น รู้จักประดิษฐ์สิ่งต่างๆ และสร้างความรู้เพื่อการอยู่รอด บุคคลที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนนี้ ในสมัยนั้นคือชาว Sumerian

      การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาว Sumerian ทำให้เรารู้ว่า คนเผ่านี้มีความคิดสร้างสรรค์มาก เช่น รู้จักสิทธิส่วนบุคคล ทะเยอทะยาน และจริงจัง ทั้งๆ ที่ถิ่นฐานที่อยู่ไม่มีป่าไม้ แต่ก็รู้จักนำต้นอ้อและโคลนในแม่น้ำมาทำอิฐสร้างบ้านเรือนจนเป็นเมือง รู้จักขุดคลองแยกจากแม่น้ำ Tigris และ Euphrates เพื่อทดน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร จนทำให้อาณาจักรมีสภาพเหมือนสวน Eden ของ Adam กับ Eve รู้จักจัดตั้งระบอบการปกครองส่วนกลาง รู้จักสร้างภาษาเขียนโดยใช้อักษรลิ่ม (cuneiform) ที่ได้จากการแกะแผ่นดินเหนียวเป็นอักษรต่างๆ รู้จักค้าขายโดยการแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรกรรมที่ผลิตได้กับโลหะหรือวัสดุอื่นๆ ที่ตนไม่มีความเจริญก้าวหน้าเช่นนี้ได้ ทำให้อารยธรรมของชาว Sumerian แผ่ขยายไปทั่วตะวันออกกลาง จากอินเดียจดทะเล Mediteranean จนเราสามารถกล่าวได้ว่าแทบไม่มีวัฒนธรรมหรืออารยธรรมด้านใดของยุโรปที่ไม่ได้รับอิทธ
      ิพลจากอารยธรรมของชาว Sumerian ไม่ว่าจะเป็นด้านคณิตศาสตร์ ปรัชญา วรรณคดี สถาปัตยกรรม การคลัง การศึกษา กฎหมาย การเมือง เรื่องเล่าเชิงตำนานหรือการศาสนา


      ข้อมูลเช่นนี้ คงทำให้เรารู้สึกว่าความสำเร็จของชาว Sumerian คงเป็นเรื่องที่โลกรู้ และตระหนักในความสำคัญมานานนับพันปีแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะโลกเพิ่งรู้ประวัติของชาว Sumerian เมื่อ 136 ปีมานี้เอง และนับเป็นเวลานานร่วม 2,000 ปี ที่โลกไม่มีประวัติของชาว Sumerian เลย ในขณะที่นักประวัติศาสตร์รู้ประวัติของอียิปต์โบราณ และบาบิลอนดี

      ps.อาณาจักร Sumer, Akkad และ Assyria ใน Mesopotamia

      Attached image(s)
      Attached Image
       

      นักโบราณคดีได้เริ่มค้นหาอารยธรรมโบราณในดินแดน Mesopotamia เมื่อประมาณ 200 ปีก่อนนี้เอง โดยอาศัยหลักฐานที่ได้จากการอ่านคัมภีร์ไบเบิล และวรรณคดีกรีกเกี่ยวกับชาว Assyrian และ Babylonian และก็ได้พบซากเมือง Nineveh และเมืองสำคัญอื่นๆ อีกหลายเมืองของชาว Assyrian รวมทั้งได้พบอักษรลิ่มมากมายด้วย การศึกษาภาษาที่ปรากฏบนอักษรลิ่มทำให้รู้ว่ามีชนอีกเผ่าหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในดินแด
      นแถบนั้น และรู้จักใช้อักษรลิ่มก่อนชาว Assyrian

      ในที่สุด Jules Oppert นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ Mesopotamia ก็ได้ข้อสรุปว่า ในยุคนั้น แผ่นดิน Mesopotamia มีชาว Assyrian อาศัยอยู่ทางตอนเหนือ และชาว Sumerian (ผู้ริเริ่มคิดอักษรลิ่ม) อาศัยอยู่ทางใต้ การขุดหาหลักฐานของอารยธรรม Sumerian โดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกัน และเยอรมัน ทำให้ได้พบซากเมือง Lagash, Nippur, Kish และ Ur ฯลฯ และหลักฐานอื่นๆ อีกเช่น วิหาร อนุสาวรีย์ หลุมฝังศพ รูปปั้น ภาพวาด อุปกรณ์และระบบชลประทานจำนวนมาก จนทำให้เรา ณ วันนี้รู้ว่าเมื่อ 5,000 ปีก่อนโน้น วิถีชีวิตของชาว Sumerian เป็นอย่างไร เช่น เรารู้ว่าชาว Sumerian มีหน้าตาอย่างไร (จากการดูรูปปั้น) รู้ลักษณะบ้าน พระราชวัง กษัตริย์ อุปกรณ์ และอาวุธที่ใช้ศิลปะและอุปกรณ์ดนตรี เครื่องประดับ การอุตสาหกรรม และการพาณิชย์

      ps.เนินดินที่กลบฝัง Ziggurat แห่ง Tchoga Zanbil ก่อนการขุด


      Attached image(s)
      Attached Image
       

      การวัดอายุของวัตถุที่ขุดพบทำให้เรารู้ว่าชาว Sumerian เริ่มตั้งถิ่นฐานในบริเวณ Mesopotamia ตอนใต้ เมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อนนี้ คือตั้งแต่เมืองแบกแดด จนกระทั่งถึงอ่าว Perjia แต่คนเหล่านี้มาจากไหน นั่นคือปัญหาที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน แต่จะอย่างไรก็ตาม เมื่อชาว Sumerian เดินทางถึงหุบเขาระหว่างแม่น้ำ Tigris กับ Euphrates นี้ ก็ได้มีกษัตริย์ชื่อ Etana ปกครองอารยธรรม Sumerian รุ่งเรืองสุดขีดในอีก 500 ปีต่อมา และได้สิ้นสลายไปก่อนคริสต์ศักราช 1,720 ปี เมื่อกษัตริย์ Hammurabi แห่งอาณาจักร Babylon ทรงยาตราทัพ เขายึดครองอาณาจักรของชาว Sumerian อย่างสมบูรณ์แล้วอาณาจักร Sumer ก็ได้เลือนหายไปจากประวัติศาสตร์โลก

      ถึงแม้ผู้คนจะสูญพันธุ์ ถึงแม้อารยธรรมจะสาบสูญไปนานกว่า 2,000 ปีแล้วก็ตาม แต่สิ่งก่อสร้างหนึ่งที่เรียกว่า Ziggurat ก็ยังคงอยู่

      Ziggurat คือวิหารของชาว Sumerian, Babylonian และ Assyrian คำนี้ได้มาจากคำใดภาษา Babylonian ว่า sigguratu ซึ่งแปลว่า ยอดขา ในขณะที่ชาวอียิปต์สร้างพีระมิด ชาว Mesopotamian จะสร้าง Ziggurat ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายพีระมิด แต่มีทรงสูงเหมือนภูเขา และถูกแบ่งออกเป็นชั้นๆ โดยมีขั้นบันไดเชื่อมโยงระหว่างชั้นเป็นทางขึ้น-ลง และกำแพงชั้นที่ได้ตั้งตรงแต่กลับเอนเล็กน้อย และที่ชั้นบนสุดเป็นอาคารบูชาเทพเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์

      ps.หลังการขุด




      Attached image(s)
      Attached Image
       

      นักประวัติศาสตร์ปัจจุบันเชื่อว่า หอคอยแห่ง Babylon ที่มีชื่อเสียงจริงๆ แล้วก็คือ Ziggurat ที่มีฐานล่างสุดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีด้านยาวด้านละ 30 เมตร ตัวอาคารทำด้วยดินเหนียวและอิฐ ฐานอาจเป็นรูป 4 เหลี่ยมจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ได้ และชั้นที่อยู่เรียงขึ้นไปจะมีขนาดเล็กลงๆ การติดต่อระหว่างชั้นสามารถทำได้โดยใช้บันได Ziggurat เอง จึงเปรียบเสมือนจักรวาลที่มีชั้นต่างๆ แทนนรกใต้ดิน โลกมนุษย์ และสวรรค์ โดยเฉพาะชั้นที่อยู่บนสุดซึ่งแทนสวรรค์นั้น ถ้าเป็น Ziggurat ที่เมือง Uruk จะทาสีขาว แต่ที่ Babylon และที่ Ur จะทาสีน้ำเงิน

      Leonard Wooley แห่งมหาวิทยาลัย Pennsylvania ในสหรัฐอเมริกา ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเหตุผลที่ชาว Sumerian สร้าง Ziggurat ว่า เมื่อชนเผ่านี้อพยพมาจากดินแดนที่มีภูเขาสูง (อินเดีย?) มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่ม (Mesopotamia) ซึ่งไม่มีภูเขา จึงไม่มีสถานที่สูงๆ จะใช้ในการบูขาเทพเจ้า ดังนั้น จึงต้องสร้างอาคารสูงขึ้นมา เพื่อจะได้เดินทางขึ้นไปสักการบูชาเทพเจ้าได้อย่างใกล้ชิด และนอกจากจะใช้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ชาว Sumerian ยังใช้ Ziggurat เป็นที่เก็บทรัพย์สมบัติล้ำค่า และประกอบพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนาด้วย ดังนั้น ในภาพรวม Ziggurat คือสะพานที่มนุษย์ใช้ในการติดต่อกับสวรรค์และนรก และอาคารสถานส่วนบนสุดนั้น ก็เพื่อให้พระผู้เป็นเจ้าเสด็จประทับก่อนที่จะปรากฏพระองค์ให้คนธรรมดาเห็น

      ps.ภาพวาดแสดงโครงสร้างของ Ziggurat


      Attached image(s)
      Attached Image
       

      ณ วันนี้ ประเทศอิรักมี Ziggurat อยู่ 20 แห่ง และก็มีแห่งหนึ่งอยู่ที่เมือง Ur ซึ่งเป็นเมืองโบราณอายุ 4,000 ปี และอยู่ใกล้เมือง Nasiriyah ที่อยู่ห่างจากกรุงแบกแดดไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 375 กิโลเมตร Ziggurat ที่ว่านี้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด และได้ถูกขุดพบโดย Sir L. Wooley นักโบราณคดีชาวอังกฤษ เมื่อ 83 ปีมาแล้ว ว่าถูกสร้างขึ้นก่อนคริสต์ศักราช 2,100 ปี และสูง 26 เมตร แต่ปัจจุบันส่วนสูงได้ลดลงเหลือ 17 เมตรเท่านั้น ส่วนฐานก็เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีขนาด 43x62 เมตร เพราะ Ur เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร Sumerian และในยุคที่อารยธรรม Sumerian รุ่งเรือง ประชากรของเมืองมีมากถึง 5,000,000 คน แต่อีก 1,600 ปีต่อมา เมื่อแม่น้ำ Euphrates เปลี่ยนเส้นทางไหล ผู้คนจึงพากันทิ้งเมือง Ur ไปอย่างถาวร

      Ziggurat แห่งนี้ นอกจากจะสวยคงสภาพแล้ว ยังสำคัญอีกว่าเป็นสถานที่เกิดของ Abraham ที่ทั้งคน คริสต์ อิสลาม และยิว ต่างก็เคารพนับถือมาก และแม้แต่สันตะปาปา John Paul ที่ 2 ก็ได้เคยปรารภจะไปเยือนในปี 2543 แต่เมื่อ Saddam ไม่รับประกันความปลอดภัย แผนไป Ziggurat ของสันตะปาปาก็ต้องล้มพับไปโดยปริยาย

      ps.Ziggurat แห่งเมือง Nasiriyah ในอิรัก


      Attached image(s)
      Attached Image
       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×