คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : .....บทนำ....
ณ ชายฝั่งทะเลเมืองโอเปชาเนโต ประเทศบราซิลวูด ทิศใต้ของกาฬทวีป
เหล่านักรบชนพื้นเมืองผิวสีแทนกว่า70ชีวิต เดินเท้าย่ำผ่านป่าที่อยู่ติดชายทะเลพร้อมอาวุธครบมือ พวกเขาเดินย่อเข่าลงต่ำอย่างทะมัดทะแมง ราวกับเตรียมท่าพร้อมรบตลอดเวลา ความมืดของยามราตรีไม่ได้เป็นปัญหาหากแสงจันทร์เต็มดวงบนฟ้า และความชำนาญในการเดินป่านั้นเป็นเครื่องนำทาง
“หากพ้นป่าไป เราก็จะเจอกับเหล่าผู้รุกรานแล้ว – ภาษาพื้นเมือง”
เสียงทุ้มต่ำของ‘ดรากอน’ หัวหน้ากลุ่มสอดแนมกระซิบกับบรรดานักรบที่อยู่ใกล้ๆ เขาเป็นชายร่างยักษ์ส่วนสูงราว220ซม. ถึงจะเป็นคนวัยหนุ่มอายุน้อย แต่ก็มีฝีมือการรบที่ชำนาญ บวกกับอุปนิสัยกล้าหาญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าตำแหน่งที่ได้มาไม่ใช่เพียงแค่เป็นหลานแท้ๆของหัวหน้าเผ่า
เป้าหมายในคืนนี้แค่เพียงจะมาสำรวจดูว่าเหล่าผู้รุกรานจากเรือลำมโหฬารนั้นมาจากไหน และมีวัตถุประสงค์อะไร หลังจากถอนสมอลงในบริเวณที่ห่างจากชายทะเลราว1กิโลเมตร ณ เวลาเที่ยงของเมื่อวาน เวรยามชนพื้นเมืองบนป้อมปราการไม่จำเป็นที่จะต้องรายงานไปยังท่านหัวหน้าเผ่าเลย เพราะขนาดอันใหญ่โตของมันทำให้เหล่าชาวเมืองหรือแม้แต่หัวหน้าเผ่าได้เห็นกันถนัดตาแล้ว หน้าที่ของเวรยามจึงมีแค่รายงานการนำเรือเล็กจำนวนหลายลำขึ้นบกเพื่อตั้งเต้นท์พักแรมเท่านั้น แน่นอนสิ่งที่ชนพื้นเมืองบนเนินเขาแห่งนี้หวาดกลัว คงจะเป็นการรุกรานเพื่อจับคนไปเป็นทาส หรือจะเพื่อปล้นสะดม
“หากไม่สามารถเจรจาได้ เราอาจจำเป็นต้องรบ…ลำพังคนแค่นี้ คงพอถ่วงเวลาให้พรรคพวกบางคนไปขอกำลังเสริม – ภาษาพื้นเมือง” โยลันเธ นักรบหญิงผู้เก่งกาจกล่าวขึ้น เธอกับหัวหน้าหน่วยและพรรคพวกบางคนเข้าใจภาษาจักรวรรดิเป็นอย่างดีจากการศึกษาภาคบังคับ(สำหรับบรรดาลูกคนมีเงินในประเทศ) แผนที่วางไว้คือ ขอเข้าพบกัปตันเรือเพื่อเจรจา หรือเพื่อพาตัวไปเจรจาน่ะนะ นักรบหญิงคิดในใจ
“พ้นเขตป่าแล้วล่ะ ตอนนี้โยลันเธกับฉัน ขอพรรคพวกเราสองสามคนไปสำรวจดูพื้นที่รอบๆนี้ ขอคนที่เข้าใจภาษาจักรวรรดิด้วยนะ – ภาษาพื้นเมือง” ผู้เป็นหัวหน้าออกคำสั่ง
“หัวหน้าครับ โน้น! มีคนยืนตรงนั้น ตรงโขดหินริมทะเลนั่น ดูเหมือนเขาถือ...เอ่อ กีต้าร์อยู่ด้วย – ภาษาพื้นเมือง”
สิ้นเสียงของหนึ่งในลูกน้องทั้ง4 ดรากอนโบกมือเป็นเชิงออกคำสั่ง ก่อนที่จะนำหน้ามุ่งไปหาชายหนุ่มที่ว่านั่น บางที…คนๆนี้อาจจะช่วยพาไปพบกับกัปตันของเขาได้
อีกด้านหนึ่ง ‘ปีเตอร์’เดินถือกีต้าร์ออกมาจากเต้นท์ เขาเดินเลียบชายหาดผ่านเต้นท์อื่นๆไปยังโขดหินใหญ่ริมทะเล หวังแค่ว่าจะได้เล่นสักเพลงสองเพลง แก้อาการนอนไม่หลับ และในขณะที่กำลังจะหย่อนตัวลงนั่ง เสียงของชนพื้นเมืองก็ดังขึ้นตัดกับเสียงเกลียวคลื่น
“สวัสดีครับคุณ พวกเราเป็นชาวเมืองที่มาจากภู…”
“สวัสดีเช่นกันครับ พวกคุณคงเป็นตัวแทนจากหมู่บ้านที่อยู่บนภูเขานั่นเอง! เอาเข้าจริงแล้วเนี่ย พวกเราน่ะตั้งใจที่จะไปเจรจากับผู้นำของท่านในวันพรุ่งนี้อยู่แล้วล่ะ”
ดรากอนและพรรคพวกงงเป็นไก่ตาแตก เขานึกทึ่งในความช่างเจรจาของหนุ่มน้อยคนขาวผู้นี้ ไม่มีทีท่าแสดงอาการตกใจจากการถูกคนแปลกหน้าอาวุธครบมือรุมล้อม… แต่จากที่หนุ่มน้อยพูดมา พวกเขาคงเห็นที่ตั้งของเมืองบนภูเขาแล้วล่ะ
“หวังว่าคงไม่เป็นการเสียมารยาท หากเราจะขอเชิญตัวผู้เป็นกัปตันเรือไปเจรจากับเจ้าเมืองของเรา ไม่ว่าประสงค์สิ่งใด หรือเพื่อทำการค้า เจ้าเมืองของเราก็ยินดีให้ความร่วมมือ” โยลันเธกล่าวเชิญ นักรบชนพื้นเมืองต่างยิ้มอย่างเป็นมิตรและลดอาวุธลง
“เวลานี้เลยหรอครับ?” ปีเตอร์เลิกคิ้ว
“พวกเราหวังว่าคุณจะเข้าใจ ชาวเมืองทุกคนขวัญผวาจริงๆที่เห็นเรือโจรสลัดลำใหญ่ขนาดนี้มาถอนสมอ หากคุณได้ศึกษาเกี่ยวกับประเทศของเรามาก่อน คุณคงทราบดีว่า20ปีมาแล้วที่ประเทศเราต้องตกเป็นเมืองในอาณานิคมของจักรวรรดิอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมืองของเราที่เป็นหน้าด่านชายทะเลไม่พบเรือมาเทียบท่านานแล้ว จะมีก็แค่พวกเรือค้าทาสที่ผ่านเราไปยังประเทศอื่น แล้วสำหรับเรือโจรสลัดเราคงรอช้าไม่ได้”
หลังจากฟังที่ชายร่างยักษ์กล่าวแล้ว หนุ่มน้อยรู้สึกไม่ดีนักกับวิธีการเชื้อเชิญอย่างกะทันหันในยามวิกาลเช่นนี้ ต่อให้จะเข้าใจว่าเรือโจรสลัดนั้นน่ากลัวก็เถอะ แต่สำหรับเขาแล้ว การถูกมองรวมกับพวกโจรที่จะมาปล้นสะดมนั้นดูจะเป็นการมองกันในแง่ร้ายเกินไปสักหน่อย และเขาไม่ปล่อยให้เรื่องตลกนี้จบลงง่ายๆหรอกนะ
“จะพูดอีกครั้งนะครับ นี่มันตีสี่! เลยคำว่าเวลาดึกไปด้วยซ้ำเพราะมันจะเช้าอยู่แล้ว รออีกหน่อยไม่ได้หรือไง ยังไงเราก็ไปพบหัวหน้าคุณอยู่แล้วต่อให้จะไม่จำเป็น” ปีเตอร์พูดด้วยเสียงดังขึ้นอย่างจงใจ เขาแบกกีต้าร์ไว้บนบ่าและทำเป็นไม่สนใจ รอยยิ้มยียวนบนใบหน้ากับคำพูดกำกวมของเขาทำให้อีกฝ่ายชะงัก
“ทำไมถึงจะไม่จำเป็นล่ะครับ คุณไม่เข้าใจหรือไง โปรดทำตามที่พวกเราบอกด้วย”
“ถ้าไม่จำเป็นต้องพบเจ้าเมืองเรา ก็เหมือนไม่ต้องเจรจากัน ซึ่งนั้นหมายความว่าไม่ได้มีมาด้วยสันติ”โยลันเธและนักรบพื้นเมืองเริ่มรู้สึกโกรธ
“จะบอกว่าพวกฉันมาปล้นสะดมงั้นสิ! ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงล่ะก็คงทำไปตั้งแต่จอดเรือ ไม่มารอๆๆๆๆตั้งเต้นท์ย่างปลาให้เสียเวลาหรอก ถ้าเราเอาจริงขึ้นมา พวกคุณคงถูกฆ่าตายไปแล้วด้วยซ้ำ” เขายืนนิ่ง ทำสีหน้าจริงจัง “อยากจะขำตาย ปากบอกขอรีบเจรจาๆเพื่อสันติ แต่ดันเลือกวิธีส่งคนมากมายมาหาตัวกัปตันตอนตีสี่ ไอ้แบบนี้นี่ไม่ได้แสดงถึงความหวาดกลัวและไม่ไว้วางใจจนต้องรีบหาคำตอบเร็วๆรึไง ฮ่าๆๆๆๆๆ เพราะผู้คนอ่อนแอขี้คลาดแบบนี้เปล่าล่ะ ถึงได้ปกป้องเมืองหน้าด่านไว้ไม่ได้จนเป็นกลายเป็นเมืองขึ้นชาวบ้านเขาตั้ง20ปี!” หนุ่มน้อยจอมแสบหัวเราะยั่ว
“แก!! มันจะมากเกินไปแล้ว ไอ้เด็กปากดี”กลุ่มชนพื้นเมืองบันดาลโทสะขึ้นมาจริงๆ แต่ปีเตอร์ก็ยังใส่ไฟไม่หยุด
“อ้าว โกรธแล้วรึไง ไม่พาไปเจรจาแล้วล่ะ หรืออยากสู้แล้ว มาเลยเข้ามา ฉันน่ะ…เฮ้ยย่า! ฟ้าววววว เฟี้ยวววว เหยดดดดด” เด็กหนุ่มแกล้งแกว่งกีต้าร์คู่ใจไปมาพร้อมกับทำท่าโจมตีประหลาดชวนหัวเราะ ซ้ำยังทำคอบิดเบี้ยวไปมา แต่ดูเหมือนกลุ่มชนพื้นเมืองที่ถูกมอบหมายหน้าที่จะขำไม่ออก พวกเขาหมดความอดทนแล้ว ฉับพลันทันใด…โยลันเธแทงศอกเธอเข้าที่ทองของเด็กหนุ่มจนกีต้าร์หลุดจากมือลงไปกระแทกพื้นทราย ผู้ติดตามทั้งสามรีบคว้าตัวเขาไว้แล้วปิดปากแน่นด้วยผ้าดิบ ปีเตอร์พยายามที่จะถีบเท้าไปออกไปเพื่อต่อสู้ แต่ท้องที่ถูกกระแทกจนจุกนั้นทำให้เขาอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ สิ่งที่เจ้าตัวแสบทำได้อย่างเดียวในตอนนี้คือปล่อยให้ร่างสูง176ซม. ถูกจับมัดมือไพล่หลัง มัดข้อเท้า และแบกเข้าป่าไป ภารกิจของพวกเขาอาจจะเหลือแค่ให้ผู้บุกรุกตื่นขึ้นมาตกใจกับการหายไปสมาชิก ในกรณีที่เขาเป็นคนสำคัญพอ แต่เมื่อคิดถึงคำพูดอันยียวนแฝงการดูถูกของเจ้าเด็กปากดีนี่แล้ว ดรากอนคงจะทำใจให้ปล่อยเรื่องจบง่ายๆแค่ตื่นมาตามหาไม่ได้
“เราจะเอาตัวเด็กนี่กลับไป จากที่เด็กนี้พูดดูท่าว่าผู้บุกรุกนั้นจะไม่ได้มาอย่างสันติเป็นแน่ พวกมันดูถูกเผ่าของเรา…– ภาษาพื้นเมือง” เขากำดาบในมือแน่น
“ภารกิจสุดท้ายของคืนนี้! ระหว่างที่ข้าจับคนของพวกมันกลับไปที่เผ่า พวกเจ้าจงทำให้ผู้บุกรุกเห็นว่าเผ่าหน้าด่านของเราแข็งแกร่งเพียงใด! – ภาษาพื้นเมือง”
สิ้นเสียงของหัวหน้าเผ่า นักรบทั้งหมดที่อยู่ชายป่าต่างกู่ร้องวิ่งออกจากชายป่าที่หลบซ่อนตัว เพื่อโจมตีผู้บุกรุกในเต้นท์ อันเป็นภารกิจสุดท้ายของราตรีนี้
..
เสียงอึกทึกจากการโจมตีของนักรบพื้นเมืองปลุกให้เหล่าโจรสลัดลูกเรือตื่นก่อนเวลาอันควร พวกเขาคว้าอาวุธที่มีออกมาป้องกันตนเองทั้งๆที่ยังไม่สร่างง่วง
“บ้าเอ้ย!!” ลูกเรือคนหนึ่งสบถ “เจ้าพวกคนป่านี่มันอะไรกัน กะจะฆ่ากันแต่เช้ามืดอย่างนี้เลยหรอไงฟระเนี่ย”
“ไม่ทันตั้งตัวเลยเฟร้ย…บุกเข้ามาเองแท้ๆ แถมเรายังต้องมานั่งระวังไม่ฆ่ามันตายด้วย ฮ่ะๆ”ลูกเรืออีกคนหัวเราะฝืดก่อนจะชกหน้าชนพื้นเมืองคนหนึ่งจนสลบ
“ก็นะ คำสั่งของกัปตันย่อมเป็นที่สิ้นสุด” พวกเขาต่างยิ้มให้กันอย่างมีเลศนัย
ก่อนถอนสมอลงที่นี่ กัปตันของพวกเขาได้กำชับเอาไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จากการมาเยือนกาฬทวีปครั้งแรก
ถ้าเราถูกโจมตีจากชนพื้นเมืองขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่เราจะทำกันคือปกป้องตนเองโดยไม่ฆ่าใคร เพื่อเป้าหมายในครั้งนี้… และพวกเราต้องไม่มีใครตายด้วย
อีกด้านหนึ่งของความวุ่นวายที่เหล่าโจรสลัดร่วม200คนเผชิญ…
ภายในเต้นท์สีน้ำเงินที่มีขนาดใหญ่กว่าเต้นท์ของลูกเรือ เสียงอันอึกทึกจากการต่อสู้ภายนอกได้ปลุกให้รองกัปตันหญิงควบตำแหน่งผู้วางแผน(กุนซือ) ‘เอวาเจลีน’สะดุ้งตื่นขึ้นมา
“กัปตัน กัปตัน! เอวาคะ…เกิดเรื่องใหญ่แล้วล่ะค่ะ! พวกชนพื้นเมืองบุกเข้ามาโจมตีพวกเรา”
เอวาเจลีนรีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้วหยิบเสื้อคลุมตัวยาวสีขาวมาคลุมร่างกายอย่างรวดเร็ว เพื่อเตรียมพร้อมจะออกไปดูสถานการณ์ แต่ในวินาทีนั้นเอง ลูกเรือหญิงอีกคนก็พรวดพราดเข้ามายืนหน้าเต้นท์
“เอวาคะ เอวา…พวกสตีฟเจอกีต้าร์ของปีเตอร์วางอยู่ที่ชายหาดค่ะ”
“แล้วพีทล่ะ?” หญิงสาวถาม
“ไม่มีใครเห็นเขาเลยค่ะ แม้แต่ในเต้นท์พักก็ไม่มี”
เอวาเจลีนรีบสาวเท้าเดินออกไปจากเต้นท์อย่างรีบร้อน พร้อมเหล่าลูกเรือเข้ามาคุ้มกันอย่างรู้งาน วินาทีที่ชนพื้นเมืองเห็นเธอนั้นราวกับต้องมนตร์สะกด เธอสูง171ซม.ผ่านมาตรฐานโลกมาอย่างเฉียดฉิว มีดวงตาสีฟ้าแบบยูโรเปียนและจมูกรูปหยดน้ำโด่งสวยรับกับใบหน้าเรียวรูปไข่เหมือนหญิงเอเซีย เธอมีผิวที่ขาวนวลละเอียด มีแขนขาเรียวยาวสมส่วนกับโครงร่างเหมือนนาฬิกาทราย ดวงตาของเธอฉายแววเข้มแข็งโดดเด่นเปี่ยมไปด้วยลักษณะของผู้ที่มีปัญญา และด้วยเหตุนี้ กิริยาท่าทางผสมความงามพิลาศดุจเทพีของเอวาเจลีนจึงถูกยกย่องว่า เป็นสตรีที่งดงามที่สุดในโลก
และนอกเหนือจากความงามบนเรือนร่างหรือความเป็นนักวางแผนยอดเยี่ยมเป็นที่เลื่องลือของเธอ เสน่ห์อันเหลือล้นที่ผู้คนทั่วโลกต้องตกตะลึงนั้นคงไม่พ้น เส้นผมยาวสลวยที่มีสีขาวเสมอกันทั้งศีรษะ จากภูมิหลังอันน่าเศร้าสลดของสตรีโฉมงามผู้นี้!
“เอวา จากที่ผมดู กีต้าร์เป็นของพีทจริงๆ แต่ทุกๆคนไม่มีใครเห็นพีทเลย ผมคิดว่าเขาน่าจะถูกชนพื้นเมืองพวกนั้นจับไป แล้วทำกีต้าร์ตกไว้” ‘เบอร์แมน’วิ่งเข้ามาแจ้งข่าวของปีเตอร์ให้เธอทราบเพิ่มเติม เด็กหนุ่มวัย19ปีคนนี้เป็นสิงห์อมควันผู้เย็นชา ความที่ดูเป็นคนเจ้าอารมณ์ของเขาดูเหมือนจะอยู่คนละขั้วกับจอมซ่าแบบพีท แต่เขาก็สนิทสนมกับรุ่นน้องร่วมรุ่นคนนี้เป็นอย่างดี
“เราต้องหยุดความวุ่นวายนี้ลงซะ ฝากเธอดูแลสถานการณ์ตรงนี้ด้วยเบอร์แมน พวกเราต้องระวังตัวเองให้มาก คนของเราจะต้องอยู่กันครบ และต้องไม่ลงมือฆ่าใครด้วยเช่นกัน”
“ยากนะ จริงแล้วๆผมน่ะอยากจะเป่ากะโหลกเจ้าพวกวุ่นวายนี้ด้วยCobra Ashe(คอบบร้า แอช)ซะให้หมด!” เบอร์แมนหยิบบุหรี่แบล็คสโตนขึ้นมาคาบก่อนจะจุดไฟด้วยซิปโป้สีดำลายหัวกะโหลกไขว้ เขาลูบปลายปืนกระบอกยักษ์รูปทรงเป็นหน้าปลาฉลามที่สะพายไว้ข้างหลังอย่างหงุดหงิด
“เป้าหมายของเราเป็นสำคัญเบอร์แมน เราจะทำแบบนั้นกับคนที่จะมาเป็นกำลังให้เราในอนาคตอันใกล้นี้ไม่ได้”หญิงสาวฝืนยิ้ม เธอนึกโกรธอยู่ไม่น้อยกับการที่พีทหายไป พวกชนพื้นเมืองจับเขาไปแน่ เหตุผลไร้สาระอย่างตกทะเลน้ำตื้นๆหรือไปยิงกระต่ายในป่านั้นเป็นไปไม่ได้เลย
“หึ…ยังไงก็อัดหน้าพวกนี้ด้วยกำปั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน ย้ากกกกกก!”เขากระแทกกำปั้นใส่หน้าของชนพื้นเมืองที่พุ่งเข้ามาระหว่างเขากับเอวา ก่อนที่เตะเสยคางจนกระเด็น หญิงสาวหันหน้ากลับไปทิศที่เต้นท์ของเธอเพื่อจะปลุกกัปตัน แต่เมื่อหันกลับไปภาพที่เธอเห็นนั้นคือกัปตันเรือผู้นำกลุ่ม‘ออสการ์’เดินออกมาจากเต้นท์ค้างแรมพร้อมกับส่งรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์มาให้เธออยู่ก่อนแล้ว
“ออสการ์…ถ้าเดาไม่ผิดดูเหมือนพีทจะถูกชนพื้นเมืองบางส่วนจับไปที่เมืองบนภูเขานั้น”เอวารีบสาวเท้าเข้ามาหาออสการ์ สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความกังวล
“พวกชาวเมืองแถบนี้นี่ใจร้อนกันจริงๆ” ชายหนุ่มมองไปรอบๆ “พระอาทิตย์ยังไม่ตื่นนอนเลย”
..
ลานกว้างใจกลางเมืองโอเปชาเนโต
“ท่านผู้เฒ่า พวกเราจับตัวเด็กหนุ่มคนนี้มา เขาเป็นคนของเรือนั่น และไม่ให้ความร่วมมือกับเราในการเชื้อเชิญมาเจรจากันอย่างสันติ”ดรากอนกล่าวรายงายชายชราอเมนโทผู้เป็นเจ้าเมือง หลังจากที่พรรคพวกของเขากับโยลันเธทิ้งตัวปีเตอร์ลงไปนอนเหยียดยาวบนพื้น
เมืองนี้เป็นเมืองหน้าด่านของประเทศ มีลักษณะเป็นเมืองเล็กๆที่สร้างบนภูเขาที่ไม่สูงมาก มีกำแพงเป็นท่อนซุงไม้ใหญ่ๆแข็งแรงก่อเป็นกำแพงและป้อม ใจกลางเมืองที่ปีเตอร์ถูกพาตัวมาเป็นลานกว้างมีบ่อน้ำบาดาลที่ชาวเมืองไว้ใช้สอยอยู่ทั้ง4มุม เว้นจากบริเวณนี้รอบๆเป็นบ้านของชาวเมืองที่ก่อด้วยดินและมุมหลังคาด้วยหญ้าฟางเรียงรายกัน ถึงแม้ว่าเวลานี้จะไม่ใช่เวลาตื่นนอนของชาวเมือง แต่อย่างไรก็ตามพื้นที่ว่างตามตรอกซอยและลานกว้างก็ต่างแเน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มามุงดูเสียหมด เว้นที่ว่างไว้ตรงกลางระหว่างผู้บุกรุกที่ถูกจับมัดและเจ้าเมืองอยู่ในระยะสามถึงสี่เมตร ผู้เฒ่าอเมนโทนเจ้าเมืองนั่งอยู่บนแผ่นหนังสีแดง ซึ่งลอยอยู่กลางอากาศเหนือพื้นประมาณเมตรครึ่ง
บนป้อมปราการไม้ที่อยู่สูงขึ้นไป เหล่าทหารของจักรวรรดิที่มาประจำการประเทศอาณานิคมแห่งนี้ กำลังนั่งหาวหวอดอย่างงัวเงีย พวกเขาทุกคนต่างไม่สนใจใยดีหรือตื่นเต้นไปกับเรื่องที่ชาวบ้านต่างแห่แหนกันไปมุ่งดูสักนิด กะอีแค่คนจากเรือโจรสลัดโดนจับมามันจะน่าดูตรงไหน ความเป็นจริงในขณะที่พวกชาวบ้านตื่นตระหนกกับเรือโจรสลัดลำยักษ์ที่มาถอนสมอเมื่อวาน พวกเขาก็ไม่ได้มีใครสนใจเงยหน้าขึ้นไปดูด้วยซ้ำ
“เจ้าพวกชาวบ้านบ้าๆนี่มันตื่นเต้นอะไรกันหนักหนา กะอีแค่จับโจรทะเลได้คนเดียว” นายทหารคนหนึ่งกล่าวก่อนจะอ้าปากหาว
“ถึงขนาดแหกปากตะโกนเป็นภาษาจักรวรรดิโดยที่เราไม่ต้องสั่งเชียวนา… ชะรอยพวกนี้มันอยากให้เราสนใจมันมากเลยล่ะ” นายทหารอีกคนหนึ่งหัวเราะ
“นี่มันยังเช้ามืดอยู่เลย มันมีอะไรน่าดูฟระ ไอ้โจรนั่นเป็นคนผิวขาวหรอ มันหล่อมากเลยรึไง ทุกวันนี้มันยังไม่หายเห่อคนผิวขาวแบบพวกเราอีกหรอไง” นายทหารคนที่สามไม่พูดเปล่า เขาชะโงกหน้าออกไปดูตรงลานกว้าง นึกอยากเห็นว่าโจรกระจอกนั่นหน้าตาเป็นอย่างไง แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของไอ้โจรนั้น เขาถึงกับผงะด้วยความตกใจสุดขีด
“บ้าเอ้ยพวกมึง! งานเข้าแล้ว ใครก็ได้รีบโทรศัพท์รายงานไปยังจักรวรรดิเดี๋ยวนี้! ไอ้คนที่ถูกจับมานั่นมันไอ้เด็กแสบปีเตอร์ เอฟ โจนส์ ลูกรักของเจ้าคนผมขิงออสการ์!” สิ้นเสียงของนายทหาร พวกเขาต่างกระโจนเข้าหากำแพงป้อมเพื่อดูสถานการณ์ข้างล่างอย่างรวดเร็วจนแทบจะตกจากกำแพง บางคนรีบส่องกล้องไปยังเรือโจรสลัดดาร์กโฮปส์เพื่อดูให้แน่ใจ ก่อนจะต่อสายโทรไปยังจักรวรรดิ
เวลานี้กลางลานกว้างของเมือง ปีเตอร์เงยหน้ามองไปยังเจ้าเมือง เขาสังเกตไปรอบๆ พบว่าชาวบ้านผิวสีแทนมากมายทั้งหญิงชาย ลูกเด็กเล็กเล็กแดงต่างแห่กันมาดูเขา เขาพยายามดิ้นรนจากเชือกและส่งเสียงอู้อี้เสียงดังเป็นเชิงให้พวกที่จับเขามาเอาของทุเรศๆออกไปจากปากและตัวเขาสักที
“ให้เขาได้พูดเถอะดรากอน เราจำเป็นต้องคุยกับเขา”ชายชราเอ่ยขึ้น ดรากอนพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะย่อเข่าแล้วกระชากผ้าดิบที่มัดปากของเด็กหนุ่มออกไป
“อ้า……..อา…..แค่ก แค่ก แอ่ก……”ปีเตอร์กระแอมไอเสียงดังราวกับรับอากาศเข้าไปทางปาก “จะกรุณาอย่างมากครับท่าน ถ้าจะให้ทหารของท่านแก้มัดผม” เขาเงยหน้าพูดกับชายชรา โดยไม่แฝงน้ำเสียงประชดประชัน
“ใครจะไปยอมกัน ถ้าแกพุ่งเข้าไปทำร้ายคนของเราจะทำยังไง”ดรากอนตะโกนก่อนที่จะหันไปหาเจ้าเมืองผู้เป็นปู่ของเขาในเชิงขอคำสั่ง
“อย่ามางี่เง่าไปหน่อยเลยหน่าพี่ชาย ช่วยดูสารรูปคนอื่นเขาก่อนจะพูดนะ ฉันโดนลักพาตัวมาจากกลุ่ม ไม่มีอาวุธสักชิ้น แถมยังอยู่ในถิ่นของพวกพี่ชาย ถ้าฉันพุ่งไปทำร้ายใครสักคน ไม่ใช่ว่าจะโดนชาวบ้านกับทหารรุมยำตายคาที่เลยรึไง”ปีเตอร์นึกฉุน ตาจอมโหดนี่ความคิดตลกจริงๆ “อย่างน้อยท่านจะกรุณาแก้มัดเชือกที่ขาผมก็ได้ครับ ผมไม่อยากพูดคุยกับท่านในสภาพเช่นนี้ ขอให้ผมได้แสดงมารยาทกับท่าน และทุกคนที่นี่อย่างที่ควรจะเป็นด้วย”เขาหยุดพูดแล้วมองไปทางดรากอน รวมถึงตาจอมโหดนี้ด้วย
“ช่วยบอกข้าทีได้ไหมหนุ่มน้อย เรือของเจ้ามาเทียบท่าทีนี้ด้วยวัตถุประสงค์อะไร จากการคาดคะเนของพวกเรา พวกเจ้าคงไม่ใช่พวกโจรสลัดทั่วไปที่หวังปล้นสะดม ขอเพียงแค่รู้เป้าหมายหรือความต้องการ เจ้าช่วยให้ความร่วมมือกับเราที หนุ่มน้อย”ชายชราพูดกับเด็กหนุ่ม ท่ามกลางเสียงชาวบ้านที่เริ่มดังขึ้น เพราะทุกบทสนทนานั้นเป็นภาษาอังกฤษ คนที่ฟังเข้าใจจึงหันไปพูดคุยแปลความหมายให้กันฟัง ปีเตอร์ยืนขึ้นหลังจากเชือกที่พันธนาการขาหลุดอกไป ก่อนหันมาหาชายชรา เสื้อผ้ากับหน้าตาที่เปรอะเปื้อนไม่ได้ปกปิดสีหน้าท่าทางอันสดใส กระตือรือร้นของเขาหลังพ้นสภาพถูกมัดเหมือนหนอนสักเท่าไร
ตามลักษณะภายนอกที่ชาวเมืองจ้องมองนั้น ปีเตอร์ เอฟ โจนส์เป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ16ปี มีผมสีน้ำตาลเข้มเหมือนสีโกโก้ ดวงตาสีเทามีประกายความสดใสดูเจ้าเล่ห์ เขามีฟันเขี้ยวแหลมออกมามากทางด้านขวาดูมีเสน่ห์ รูปร่างสูงโปร่ง ดูเป็นเด็กหนุ่มที่มีเสน่ห์และอยากรู้อยากเห็น
“ผมชื่อปีเตอร์…ปีเตอร์ เอฟ โจนส์ เป็นคนของเรือดาร์กโฮป เป้าหมายของพวกเรานั้นคงไม่เหมาะที่จะให้ผมบอก เพราะเป็นความลับสำคัญ เอ่อ ซึ่งจริงๆแล้วเนี่ยกัปตันของเราอยากจะมาพบกับท่านผู้เฒ่าเพื่อจะคุยกันถึงเรื่องนั้นนั่นแหละ แต่เพราะพวกเราเหนื่อยกันมาก จึงตั้งเต้นท์พักผ่อนกันที่ชายหาด แล้วกะว่าค่อยมาพบท่านในตอนเช้า” เขากล่าวต่อ “นั่นเป็นเหตุผลจริงๆนะ พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ชาวเมืองหวาดกลัวเลย ”
ผู้เฒ่าอเมนโทลูบเครา ร่วม20ปีมาแล้วที่บราซิลวูดตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิ รวมไปถึงประเทศอื่นๆในกาฬทวีปด้วย หากจะให้เดาถึงเหตุผลที่ออสการ์เลือกจะมาถอนสมอลงที่เมืองโอเปชาเนโตแล้วล่ะก็ เขาคงพอจะเดาได้ว่าชายผมขิงคนนั้นต้องการอะไร
“เจ้าหนู มานี่สิ อยากให้เจ้าได้ยินแค่คนเดียว”
“ท่านปู่ อย่าไปเชื่อใจเขาง่ายๆสิครับ เจ้าโจรสลัดนี่มันเชื่อถือไม่ได้ มันดูถูกพวกเรา!”ดรากอนแย้งขึ้น เขาไม่ไว้ใจเจ้าเด็กแสบคนนี้แน่
“ดรากอน…ข้ามีเหตุผลของข้า เจ้าไม่ไว้ใจเขา แต่เจ้าเชื่อข้าใช่ไหม”ชายชราสบตากับหลานชาย บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความเงียบ พวกชาวเมืองและทหารที่อยู่บนป้อมต่างจ้องมองไปที่ชายชราและลูกเรือโจรสลัดผมสีโกโก้
ปีเตอร์เดินเข้าไปใกล้ชายชรา แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เขาพยักหน้ารับและกระซิบให้ชายชราฟังบ้าง ชายชรามีท่าทีตกใจ ก่อนที่จะรีบเรียกให้หลานชายแก้มัดเชือกที่แขนให้เด็กหนุ่มด้วย
“แก้มัดให้เขาได้แล้วดรากอน! เราต้องไปห้ามคนของเราที่ชายหาดเดี๋ยวนี้ พวกเขาเป็นพันธมิตรกับเรา ก่อนที่เรื่องราวจะใหญ่โตไปจนสายเกินแก้! – ภาษาพื้นเมือง”
“ท่านผู้เฒ่า เขาพูดอะไร ทำไมเขาถึงเป็นพันธมิตรกับเรา เขา…”
“โยลันเธ จงทำตามที่ข้าบอก สิ่งที่เราต้องตอนนี้ทำคือไปห้ามคนของเราซะ พวกเราจำเป็นต้องพึ่งพาเขา – ภาษาพื้นเมือง” ชายชราประกาศด้วยเสียงอันดัง “กัปตันของเขาคือออสการ์ ชายผู้ต่อต้านจักรวรรดิ ข้ามั่นใจว่าเขาสามารถปลดปล่อยประเทศเรา– ภาษาพื้นเมือง”
สิ้นคำสั่งของชายชรา ชาวเมืองบางคนเป่าปากโห่ร้องด้วยความดีใจ ดรากอนรีบนำมีดมาตัดเชือกที่มัดข้อมือของปีเตอร์ แต่เหล่าทหารของจักรวรรดิที่สังเกตการณ์อยู่ไม่ยักดีใจด้วย ทหารพวกนั้นวิ่งกรูลงมาจากป้อมแหวกพวกชาวเมืองออก พวกเขาผลักทุกคนที่ไม่หลีกทาง ชาวบ้านที่มามุงดูวิ่งหนีกันอย่างตื่นตระหนก นายทหารคนหนึ่งวิ่งออกไปดักหน้าชายชราและพวกนักรบพื้นเมือง เขาชักดาบออกมาแล้วชี้ไปทางไปผู้อาวุโส ก่อนจะหันไปทางปีเตอร์
“พวกแกคุยอะไรกัน! ทำไมถึงไม่ใช้ภาษาจักรวรรดิ แกคิดจะต่อต้านเราใช่ไหมตาแก่!...แล้วสำหรับแกไอ้เด็กแสบ องค์จักรพรรดิทรงพิโรธแน่ถ้ารู้ว่าไอ้ปีศาจผมขิงนายแกมาทำกร่างถึงนี่!”
ปีเตอร์สไลด์ร่างกายลงไปใต้ไปดาบ เขาเตะข้อมือของนายทหาร แล้วเอื้อมมือไปคว้าดาบไว้ได้ทันก่อนจะหลุดกระทบพื้น เตะซ้ำเข้าที่ชายโครงด้วยหน้าแข้ง นายทหารทุกคนโกรธจัด พวกเขาต่างชักดาบออกมาหมายจะทำร้ายเด็กหนุ่ม
“พวกแกจะเข้ามาขวางฉันหรือจะฆ่ามาฉันก็ได้นะ! แต่รู้ไว้ด้วยเลยว่าฉันจะไม่ยอมให้สุนัขรับใช้จักรวรรดิตัวไหนมาเรียกกัปตันที่รักฉันอย่างหยามเหยียด”เขาตะเบ็งเสียงอย่างโมโห
“พวกแกไม่มีค่าพอจะเรียกออสการ์ด้วยซ้ำ!”ปีเตอร์เหวี่ยงดาบออกไปบนพื้นโล่งๆ แล้วชูนิ้วกลางใส่ นายทหารคนเดิม เขากัดฟันก่อนทำแก้มป่องอย่างหงุดหงิด
“สิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้บอก ความจริงนั้นกลุ่มดาร์กโฮปแค่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางรอนแรมมาหลายวัน พวกเขาตั้งใจจะพักเท่านั้น แต่ด้วยความที่ไม่เข้าใจภาษาพื้นเมือง เขาเลยต้องเข้ามาอธิบายกับข้าเอง”ชายชรากล่าว
“แล้วชาวบ้านจะโห่ร้องดีใจกันทำไม”ทหารอีกคนถามขึ้น
“พวกเขาก็ดีใจที่โจรสลัดกลุ่มนี้ไม่ได้มารุกรานไงคะ”โยลันเธตัดบท
“หึ งั้นฉันจะรายงานไปยังจักรวรรดิตามนี้” ในท้ายที่สุดทหารจักรวรรดิก็เลิกขัดขวาง พวกเขารีบให้คนต่อสายไปยังจักรวรรดิอีกครั้ง
“หมดเรื่องแล้ว เร็วเข้า เราเสียเวลาไปมากแล้ว” แผ่นหนังสีแดงที่ชายชรานั่งอยู่เคลื่อนตัวผ่านประตูเมืองลงเขาไปอย่างรวดเร็ว ปีเตอร์และเหล่านักรบชุดเดิมรีบเร่งฝีเท้าวิ่งตามลงไป
..
จักรวรรดิบริทช์ทีชเช่
ศูนย์กลางของโลกยุคปัจจุบัน
ภายในห้องบรรทมของจักรพรรดิ บนแท่นบรรทมขนาด6ฟุต ปรากฏร่างของชายอายุประมาณ50กว่าปี ไว้หนวดเคราสั้น บนใบหน้ามีเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก สีหน้าของเขาดูสับสน ระคนความเคร่งเครียด
เจ้าเด็กผมขิงนั่นมันมาบราซิลวูดทำไม?
“ได้ข่าวล่าสุดจากบราซิลวูดแล้วครับท่าน ทหารของเรารายงานว่ากลุ่มดาร์กโฮปมาเพียงแค่พักจอดเรือเท่านั้น”ทหารรับใช้เข้ามารายงาน เขายืนวันทยาหัตถ์อยู่ปลายแท่นบรรทม
“หึ…แค่มาพักเรือรึ หากมีความคืบหน้าอะไรรายงานข้าทันที”
“ขอรับท่าน!”
มันไม่ใช่แค่พักเรือแน่ เขารู้ดี ชายหนุ่มผมขิงนั่นไม่มีทางทำเรื่องธรรมดาแบบนั้นแน่ เขาต้องมีแผนอะไรบางอย่าง…สายลมยามเที่ยงคืนที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เขารู้สึกขนลุก คำทำนายจากนักพยากรณ์เมื่อหลายปีที่แล้วแล่นเข้ามาในโสตประสาท
ต่อจากนี้นับได้อีกหลายราตรี จักรวรรดิจะลุกเป็นไฟ
จะมีชายผมขิงมาทวงราชบัลลังก์ที่ถูกชิงไป ของบิดา
..
ชายฝั่งทะเลเมืองโอเปชาเนโต
เวลาผ่านไปนับตั้งแต่นักรบพื้นเมืองมาถึงชายหาด ราว30นาที ในเวลานี้พระอาทิตย์ดูเหมือนจะเริ่มขึ้นมาแตะขอบฟ้าแล้ว แต่ชนพื้นเมืองและลูกเรือโจรสลัดยังคงต่อสู้กัน ด้วยฝีมือของลูกเรือดาร์กโฮป จริงอยู่ที่พวกเขาสามารถปัดป้องชนพื้นเมืองไว้ได้โดยไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ชนพื้นเมืองนั้นไม่ได้คิดเช่นพวกเขาแน่ และหากยื้อเอาไว้นานกว่านี้ละก็ พรรคพวกของเราต้องได้รับบาดเจ็บกันมากกว่านี้แน่นอน
“ออสการ์ ถ้ายื้อเวลาออกไปกว่านี้พวกเราจะแย่เอาจริงๆนะ”เอวาเจลีนเดินเข้ามาหากัปตันของเธอ
“เอวา…”เขามองหน้าหญิงสาว พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ไม่เคยหายไปจากใบหน้า
“บอกให้คนของเราถอยออกไปซะ ฉันจะคุยกับพวกชนพื้นเมืองนี่เอง”เขาจับไหล่เธอเบาๆ เอวาพยักหน้ารับ เธอร้องเรียกให้เหล่าลูกเรือหยุดการโจมตี
“ทุกคน! ฟังฉัน! นี่เป็นคำสั่ง ถอนกำลังแล้วถอยไปตรงชายทะเลเดี๋ยวนี้!”
“ถอนกำลัง!” “พวกเรา เอวาสั่งให้ถอนกำลังแล้ว” ลูกเรือทุกคนทำตามคำสั่งของหญิงสาว พวกเขาถอยกรูดไปยืนตรงชายหาด เอวาสังเกตเห็นลูกเรือบางคนบาดเจ็บจากการต่อสู้
“พวกคุณชนพื้นเมือง ได้โปรดฟังผมก่อน ผมเป็นกัปตันของเรือลำนี้เอง มีใครเข้าใจภาษาจักรวรรดิบ้างไหม?” ออสการ์ตะโกนถาม เขาเดินเข้าไปท่ามกลางกลุ่มนักรบชาวพื้นเมืองอย่างไม่เกรงกลัว ชาวพื้นเมืองจ้องเขาอย่างไม่วางตา ยามที่ชายผู้นี้ก้าวย่างนั้นดูน่าพรั่นพรึง ราวกับมีพลังบางอย่างแฝง รอยยิ้มกว้างที่ประดับบนใบหน้าของเขาเรียบเฉยราวกับไม่เคยแสดงสีหน้าอื่นใด
“เจ้าโจรสลัด แกมาที่นี่ทำไมกัน!”
“แกจะทำปล้นสะดมพวกเราใช่ไหม!” ชาวพื้นเมืองโวยวายด้วยโทสะ
“พวกเราอธิบายได้ครับ พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากพวกคุณ พวกเรารู้ว่าประเทศของคุณเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิ เราแค่อยากยืมคนเท่านั้นเอง พวกเราจะช่วยปลดปล่อยประเทศของคุณ”ชายผมแดงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ดูท่าจะไม่ได้ผลนัก
“คนขาวอย่างแกมันตอแหลทังเพ!!” ชาวพื้นเมืองคนหนึ่งวิ่งเขามาถีบร่างของออสการ์จนชายหนุ่มกระเด็นออกจากวงล้อม ท่ามกลางความตกตะลึงของลูกเรือดาร์กโฮป
“ออสการ์!!!” “กัปตัน!” “โอ้พระเจ้า! กัปตัน”เอวาเจลีนวิ่งเข้าไปหาออสการ์ เธอพยุงตัวเขาขึ้น
“ไอ้พวกบ้าเอ้ย!! แกทำอะไรลงไปน่ะฮะ!!”
“พวกมึงมันล้ำเส้นเกินไปแล้ว!” กลุ่มดาร์กโฮปตะโกนอย่างโมโห พวกเขาแทบจะทนไม่ไหวกับสิ่งที่พวกพื้นเมืองทำกับกัปตัน ลูกเรือคนหนึ่งเล็งปืนไปยังชนพื้นเมืองคนนั้น
“ห้ามยิงนะเจ้าบ้า!”ออสการ์ตะโกนก่อนที่กระสุนจะลั่นออกไป
“ห้ามทำร้ายใครเด็ดขาด! รับปากฉันไว้แล้วไม่ใช่รึไง รู้รึเปล่าว่าถ้าแกทำคนตายแล้วเรื่องมันจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก”ออสการ์มองไปยังลูกเรือของเขา ชนพื้นเมืองอารมณ์ร้อนนั่นทิ้งตัวเองลงไปกองกับพื้น แล้วเปล่งเสียงออกมาราวกับช็อคกับสิ่งที่ชายผมแดงคนนี้พูด เพราะชายที่เขาเตะจนกระเด็นนั้นกำลังพูดราวกับปกป้องชีวิตเขา
ในวินาทีนั้นเอง เสียงของชายชราที่คุ้นหูของชนพื้นเมืองทุกวันเป็นอย่างดีนั้นดังขึ้น พร้อมกับนักรบอีกกลุ่มหนึ่งที่พึ่งมาถึง
“แกทำกันอะไรกันอยู่น่ะ! พวกแกรู้ตัวบ้างไหมว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าใคร หยุดเดี๋ยวนี้!”
..
“เราต้องขออภัยอย่างสูงจริงๆออสการ์ หลังจากตกเป็นอาณานิคมก็ไม่มีเรือมาเทียบท่านานแล้ว จะมีก็แต่พวกเรือค้าทาสที่ผ่านเราไปยังประเทศอื่น หรือถ้าจะให้พูดกันจริงๆนั้นคือประเทศที่ด้อยพัฒนา”ชายชรากล่าวหลังจากที่จัดการให้ทุกอย่างสงบลง ออสการ์นั่งอยู่บนเสื่อที่ลูกเรือยกมา เอวาเจลีนนั่งอยู่ข้างๆเขา ส่วนเจ้าพีทตัวแสบนั้นยืนกอดอกฟังอยู่รวมกับลูกเรือคนสำคัญคนอื่นๆ
“ไม่เป็นไรครับท่าน เป็นความผิดของกระผมเองที่ล่าช้า ความจริงแล้วนักรบของเผ่าท่านช่างเข้มแข็งเก่งกล้าจริงอย่างที่กระผมคาดไว้ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ และที่สำคัญคนมากฝีมือแบบนี้นี่แหละที่กลุ่มของเราต้องการ”ออสการ์เอ่ยปากกับชายชรา“ทางเราเองก็มีส่วนผิดที่คนของเรานั้นไปทำให้พวกท่านต้องขุ่นเคือง เขาเป็นคนสนิทของผมแท้ๆแต่กลับพูดจาหลายคำที่ไม่สมควร ผมต้องขอโทษกับเรื่องทั้งหมดด้วยจริงๆ” ออสการ์ลุกขึ้นโค้งตัวลงให้กับชายชราหลังพูดจบ ปีเตอร์รู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่กัปตันต้องมาขอโทษกับเรื่องไร้สาระที่เขาทำไว้ เขาเขี่ยปลายจมูกตัวเองกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินแบบที่เคยชิน แล้วก้มลงไปหาเอวาเจลีน
“เอวา….”
“……………”
“ผมเสียใจเอวา ผมรู้สึกแย่จริงๆที่ออสการ์ต้องมาขอโทษแทนผม ผมแค่หมั่นไส้พวกนั้นเอง ผม…”เด็กหนุ่มหยุดพูดทันทีที่กุนซือหญิงหันมาหาเขา เธอทำเสียงอุบอิบเหมือนกระซิบอะไรบางอย่างเบาๆ
“อ๋อโอ้ดเอ๊าอ้วยอิอาอู๋”หญิงสาวกระซิบ
“วะ ว่าไงนะ”เขาทำแก้มป่องใส่
“ตาหนู…..ฉันบอกให้ขอโทษเขาด้วย”หญิงสาวย่นคิ้วสั่งเสียงแข็ง
“อ่ะ เอ่อ…ผมเองก็ขอโทษด้วยครับท่านผู้เฒ่า! ผมเป็นคนที่ทำให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเอง ผมขอโทษครับ ขอโทษทุกๆคนด้วย”ปีเตอร์โค้งไปรอบๆพร้อมกับยิ้มหวาน
“ตามที่เราคุยกันนะครับท่าน ขอบคุณจริงๆที่ให้ความร่วมมือกับเรา จากนี้ไปนักรบชาวบราซิลวูดทั้ง20คนจะเคลื่อนไหวในนามของกลุ่มดาร์กโฮป เขาจะเป็นกำลังสำคัญและช่วยสอนการต่อสู้สไตล์ของเผ่าให้กับลูกเรือของเราด้วย”ออสการ์ยิ้ม
“แน่นอนออสการ์ พวกท่านเชิญพักที่นี้ตามสบาย พวกเราจะจัดงานต้อนรับและอำลานักรบของเผ่าเราก่อนท่านเดินทาง พวกเขาจะต้องนำความชื่อเสียง ความมั่งคั่งและเอกราชมาสู่ประเทศของเรา”ชายชราตอบรับ ความจริงแล้วเขาวิตกอย่างยิ่ง การออกทะเลไปกับเรือโจรสลัดนั่นไม่ได้ปลอดภัยแน่ๆ พวกเขามาเพื่อหาคนไปเป็นกำลังให้เช่นนี้ก็เหมือนกันต้องการกำลังเสริมไปร่วมเป็นร่วมตาย
“ฮึ่ยยยย เจ้าบ้าพีท แกเกือบทำเสียเรื่องแล้วมั้ยล่ะ”
“อยากดังรึไงแก! ทำอะไรน่าหวาดเสียวจริง”เบอร์แมนและคนอื่นๆเข้ามาหัวเราะล้อเล่นกับพีท แต่ก็ต้องถอยออกไป เพราะเอวาเจลีนเองก็เดินเข้ามาด้วย แน่นอน…เธอไม่ขำไปด้วยหรอกน่า
“รู้รึยังว่าการทำอะไรห่ามๆแบบนั้นมันส่งผลกระทบยังไง นายเกือบทำให้เกิดสงครามย่อมๆด้วยซ้ำ นะ ตาหนู”เอวาเท้าคางด้วยมือขวาโดยมีมือซ้ายเกาะอกรองศอกข้างขวา เธอเงยหน้าพูดกับเจ้าตัวแสบ “ถึงเรื่องจะจบลงด้วยดีแต่ครั้งนี้มันร้ายแรงเกินไปจริงๆ ฉันคงทำเฉยๆไปไม่ได้หรอกนะ”
“เอวา…ผมรู้แล้ว ผมรู้ตัวว่าซ่าเกินไป ผมสัญญาว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายเลย น้า น้า น้า ให้ผมทำอะไรก็ได้ ผมเสียใจจริงๆ”เด็กหนุ่มโน้มตัวลงสวมกอดกุนซือหญิงอย่างออดอ้อน เธอดันตัวของพีทออกแล้วใช้มือจับที่แก้มด้านขวา ก่อนจะตบหน้าเขาเต็มแรงรัก!
“นี่แน่ะ! พ่อตัวดี วันหลังอย่าก่อเรื่องวุ่นๆแบบนี้อีก”
“โอ้ยยยย! เอวาล่ะก็ โอเคๆ ผมสัญญาด้วยเกียรติของปีเตอร์เลย”เด็กหนุ่มกุมแก้มตัวเอง แล้ววางหน้าลงบนไหล่ของกุนซือหญิง
“มาดาม ผมขอคุยสักคำสองคำได้ไหม ผมอยากทราบเป้าหมายต่อไปของกัปตันคุณ”เสียงของผู้เฒ่าหัวหน้าเผ่าโอเปชาเนโตทำให้เธอสะดุ้ง พีทรีบผละออกไปอย่างรู้งาน ทิ้งให้กุนซือหญิงอยู่คุยกับชายชราเพียงสองคน
“ท่านหัวหน้าเผ่า พวกเราต้องขอบคุณท่านจริงๆ กัปตันของเราต่อต้านจักรวรรดิ เป้าหมายต่อไปของพวกเราคงเป็นเกาะสักแห่ง เราจำเป็นต้องรวมรวมกำลังคนและหาประสบการณ์ รวมถึงหากำลังทรัพย์ด้วย เราตั้งใจจะช่วยเหลือผู้ที่กำลังลำบากจากภัยสงครามและความวุ่นวายบนโลกใบนี้”กุนซือหญิงกล่าวตอบชายชราด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่จริงจัง “พร้อมกันนั้นเราอยากจะออกเดินทางไปเรื่อยๆเพื่อสำรวจโลกใหม่ ด้วยความหวังว่าจะพบและสร้างประเทศสันติสุขที่นั่น”
“ท่านคิดว่าเขาตั้งใจจะหยุดความวุ่นวายบนโลกที่บิดเบี้ยวนี้รึ มาดาม”
“ไม่มีใครรู้ความคิดจริงๆของเขาหรอกค่ะท่าน แต่ฉันคิดว่ากัปตันของฉันมีเหตุผลในการเลือกเส้นทางที่เดินนี้”
“มาดาม…กับคำทำนายที่นักพยากรณ์ให้ไว้กับจักรพรรดิเมื่อหลายปีก่อนล่ะ ท่านคิดเช่นไร”
“ฉันเองก็คิดว่าคงไม่มีใครทราบอนาคต แต่ฉันก็ปรารถนาจะให้คำทำนายนั้นเป็นจริงและสมบูรณ์”
อเมนโทยิ้มให้หญิงสาวเลอโฉมที่อยู่ตรงหน้า หากเป็นอย่างที่เธอกล่าวไว้นั้นจะดีจริงๆ เพราะออสการ์ผมแดงผู้นี้มักจะยิ้มอยู่เสมอจนไม่อาจเดาความคิดได้ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าความแข็งแกร่งและความเป็นผู้นำของเขาจะส่งผลกระทบแบบใดต่อโลกใบนี้
เขาคนนี้จะเป็นผู้คืนสันติสุขให้กับโลก หรือว่าจะทำลายและครอบครองโลกนี้เองกันแน่…
To be continued...
________________________________________________________________________________________________
เป็นไงบ้างคะสำหรับตอนนี้หนึ่ง ผู้เขียนตั้งใจจะบอกเล่าให้จบในม้วนเดียวเลย
ถ้าเกิดทำให้เนื้อหายาวมากเกินไปก็บอกกันได้เลยนะคะ
ความคิดเห็น