NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #6 : ▲ [Conan] Catch me if you can (Kaito x Shinichi) - Part5

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 65



    แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)

     










                มันเป็นเวลาสายของวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผู้คนค่อนข้างพลุกพล่าน จุดนัดหมายคือสถานีชิบุยะที่โคนันใช้เวลาไม่กี่นาทีจากบ้านก็มาถึง ขายาวทั้งสองข้างสาวไปตามทางในขณะที่บนบ่าพาดด้วยเป้เล็กๆลงไปถึงสีข้างอีกฝั่ง มองเห็นเพื่อนเจ้าของสำเนียงเหน่อที่โบกมือทักทายให้แต่ไกล เด็กหนุ่มจึงไม่ลังเลที่จะวิ่งเข้าไปหา

      

    เผลอนอนเพลินไปหน่อยแฮะ… ขนาดมาเร็วสุดยังอุตส่าห์เลทไปตั้งสิบห้านาที

      

    “ เอ่อ… ขอโทษที่มาช้า เกิดเรื่องสุดวิสัยนิดหน่อยน่ะ ” แถไปตามประสาคนตื่นสาย แต่คนรอก็ไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร เพียงยักไหล่ให้ครั้งหนึ่งก่อนยิ้มน้อยๆ

      

    “ ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไคโตะยังมาไม่ถึงเลย ทั้งที่อยู่ไม่ไกลแท้ๆ ”

      

    “ ไคโตะ…? ” 

     

    ไคโตะ…? จอมโจรน่ะหรอ

     

    หมายเหตุ : Kaito เป็นการเล่นคำภาษาญี่ปุ่น ซึ่งออกเสียงคล้ายกับคำว่า Kaitou ที่แปลว่า จอมโจรค่ะ

      

    เฮ้อ… อยากจะด่าตัวเองที่ช่วงนี้ชักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเดียวมากเกินไปแล้วชะมัด

      

    “ หมอนั่นเป็นเพื่อนกับฉันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้วล่ะ …บ้านอยู่แค่โยโกฮาม่านี่เอง ” ฮัตโตริ เฮย์จิ ดูภูมิใจที่จะบรรยายสรรพคุณเพื่อนคนนี้ให้เด็กหนุ่มฟังเสียเหลือเกิน โคนันพยักหน้ารับรู้ไปตามนั้น อย่างน้อยคนที่กล่าวถึงก็กำลังจะมาพักที่บ้านเขาด้วย… 

     

    เพื่อนต่างวัยที่อายุความคิดเท่ากัน ร่างกายสูงโปร่งรับกับผิวสีน้ำผึ้ง ติดจะเด่นตรงคิ้วของเจ้าตัวที่เป็นเส้นหนาเพิ่มความคมเข้มของใบหน้า เป็นเวลาร่วมสิบนาทีที่สองเพื่อนสนิทได้พูดคุยหลังไม่ได้พบกันนาน เรื่องราวที่เด็กแว่นกำลังปวดหัวอยู่ทุกวันถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น แต่ครั้นยังไม่ทันได้เอ่ยออกไป หนึ่งเสียงของคนไม่รู้จักก็ดังขึ้นมาแทรกเหมือนรู้จังหวะ 

     

    “ อันที่จริงช่วงนี้ฉันมีปัญหานิดหน่อย และนายก็มาได้ทันเวลาพอดี …‘หมอนั่นสร้างเรื่องปวดหัวอีกแล้วล่ะ ”

      

    “ หมอนั่น… ใครล่ะ? ” น้ำเสียงทุ้มเหน่อตอบกลับเด็กหนุ่มที่มีท่าทีเหนื่อยใจไปด้วยติดจะงุนงงเล็กน้อย ระยะหลังมานี้ ด้วยงานของนักสืบทำให้พวกเขาไม่ได้เจอหน้ากันมาร่วมปีสองปีได้แล้ว 

     

    “ ก็จอมโจรคิ— ”

      

    “ ขอโทษนะฮัตโตริไม่คิดว่ารถมันจะยางแตกกลางทางได้น่ะสิ! ” เสียงทุ้มดังขึ้นมาจากด้านหลังของโคนัน ร่างสูงโปร่งของผู้มาใหม่วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน ถึงอย่างนั้นบนใบหน้าคมยังคงเจือไปด้วยรอยยิ้มทะเล้น เฮย์จิที่ได้ฟังประโยคนั้นเพียงส่งสีหน้าเอือมระอากลับไป 

     

    “ เห… จะให้ฉันเชื่อคนที่มาสายประจำอย่างนายเนี่ยนะ ” 

     

                ทันเวลาอย่างกับจงใจ ลอบถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกช่วยไม่ได้ ใบหน้าของผู้มาใหม่ที่สายตาได้หันไปจับจ้องเป็นอันทำให้โคนันต้องเงียบไปเฉยๆ ร่างกายสูงโปร่งกับช่วงอายุที่น่าจะใกล้เคียงกับเฮย์จิ เครื่องแต่งกายมีระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่งให้ดูเป็นผู้ชายวัยทำงานที่ดูดีอย่างร้ายกาจ …เพื่อนที่ชื่อไคโตะคือผู้ชายคนนี้งั้นหรอ ราวกับว่าเคยเห็นมาก่อนที่ไหน… 

     

    “ โห จริงด้วย!! พอมาเทียบกันแล้ว นายหน้าเหมือนหมอนี่มากเลยล่ะคุโด้” จังหวะเดียวกันกับที่เพื่อนสนิทต่างวัยจับไหล่เด็กหนุ่มหมุนไปหมุนมา มองหน้าเขาสลับกับชายคนใหม่อย่างตื่นเต้น ชินอิจิในวัยมัธยมกดเสียงต่ำให้ได้ยินเพียงสองคนกลับไปอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก

      

    “ อย่าเรียกฉันว่าคุโด้สิ! ” 

     

    “ อ้าก็แบบว่า เหมือนกับพี่ชายนายซะจนตอนแรกฉันเข้าไปทักผิดเลยล่ะ! ” 

     

                เฮย์จิแถข้างๆคูๆกลับไปแบบนั้น แต่เมื่อเพื่อนอีกคนไม่ได้มีทีท่าสงสัยอะไรก็โล่งใจ ผู้ชายหน้าหล่อตัวสูงเพียงยกยิ้มบางๆ ดวงตาคู่คมแฝงแววแพรวพราวจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของโคนัน มือข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้า สะบัดเพียงเบาๆก็ปรากฏกลุ่มควันเล็กๆและดอกกุหลาบสีแดงหนึ่งดอก 

     

    “ ไง ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณนักสืบ… ฉันคุโรบะ ไคโตะ ” รอยยิ้มนั่นทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มกระตุกไปเล็กน้อย

      

    คุณนักสืบกับมายากลงั้นหรอ… 

     

                 ใบหน้าที่เหมือนเขาราวกับแกะ ต่างกันที่ความอ่อนเยาว์ตามวัย ลักษณะคำพูด รูปร่างสูงโปร่ง และดวงตาคู่คมนั่น… สีแซฟไฟร์บลู 

     

    จอมโจรคิด 

     

    มือเรียวรับดอกกุหลาบในมือคนตรงหน้ามาอย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะพูดอะไรตอบกลับไปดีตามประสาคนมนุษย์สัมพันธ์ไม่ค่อยดี อีกทั้งยังติดสงสัยในตัวตนที่ยังยืนยันไม่ได้อีก 

     

                เสียงเครื่องมือสื่อสารของเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินดังขึ้นมาแทรกกลางวงเสียก่อน นั่นเป็นโอกาสให้โคนันรีบดึงตัวของนักสืบโอซาก้าออกมาพูดคุยตอนที่ผู้ชายคนนั้นกำลังรับโทรศัพท์ด้วยท่าทีร้อนรน 

     

    “ ฉันไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้ ” 

     

    “ หาหมายความว่าไงคุโด้ นายเพิ่งเคยเจอหมอนี่ครั้งแรกเองนะ ” 

     

     …มันก็ใช่ แต่ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ” ก็แบบว่าจอมโจรคิดไง ผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นจอมโจรคิดก็ได้นะ

      

    “ ฉันรู้จักหมอนี่มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วนะ รับรองเลยว่าหมอนี่ไม่มีอะไรแอบแฝงแน่นอน! ”

      

    ดูท่าพ่อคุณจะเชื่อใจผู้ชายคนนี้ซะเหลือเกิน… มันไม่ได้มีอะไรแอบแฝงจริงๆน่ะหรอ?

      

                จอมโจรคิดไปโจรกรรมที่โอซาก้าไม่บ่อยนัก เฮย์จิไม่เคยปะทะกับบุรุษชุดขาวคนนั้นโดยตรง ต่างจากเขาที่เจอหน้ากันบ่อยเสียจนจำได้ ไม่มีอะไรยืนยันได้บ้างเลยหรือไงนะ… ถ้าใช่ผู้ชายคนนี้จริงๆแล้วล่ะก็ เป้าหมายอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น 

     

    “ จอมโจรคิดไง… ” 

     

    “ เฮ้… ดูท่าพวกนายกำลังคุยอะไรสนุกๆกันอยู่หรือเปล่า? ” ทั้งน้ำเสียงทั้งสัมผัสใหม่ๆบริเวณไหล่ทำให้ชินอิจิต้องสะดุ้งจนตัวโยน เมื่อคนที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ๆก็เข้ามาคล้องคอเขาปานสนิทสนมกันมานาน เฮย์จิที่กำลังประมวลสถานการณ์ไม่ทันเพียงส่งสีหน้าเหรอหราออกมาเท่านั้น โคนันจึงตกเป็นเป้าหมายโดยอัตโนมัติ

      

    “ ไม่มีอะไรหรอกฮะ ผมแค่กำลังพูดเรื่องชายน่าสงสัยในข่าวเท่านั้นล่ะฮะ ” เป็นรอยยิ้มอ่อนๆที่ระบายกลับไป มันช่างดูไม่จริงใจเหลือเกิน แต่ไม่รู้ว่าฝ่ายที่เด็กหนุ่มตอบคำถามกลับไปจะรู้ตัวหรือเปล่าน่ะสิ... มือเรียวค่อยๆแงะเอาแขนอีกฝ่ายออกด้วยติดจะรู้สึกแปลกๆนิดหน่อย 

     

    บทสนทนาต่างๆถูกตัดจบเพียงเท่านั้น ก่อนที่การท่องเที่ยวที่แท้จริงกำลังจะเกิดขึ้น เพื่อนคนใหม่เอ่ยชวนทุกคนให้ตรงไปยังรถของตน สัมภาระต่างๆที่นักสืบตะวันตกขนมารวมถึงของเจ้าตัววางกองอยู่ที่เบาะหลัง

      

                ผู้ชายที่ชื่อคุโรบะคนนั้นขับรถของตนมาจากโยโกฮาม่าซึ่งก็ไม่ไกลจากชิบุยะนัก รถคันนี้เป็นพาหนะตัวเลือกที่ใช้ท่องโตเกียววันนี้ ส่วนเฮย์จิที่มาโตเกียวบ่อยเหมือนบ้านหลังที่สองก็อาสาเป็นไกด์นำทางโดยไม่ขัดข้อง เหลือเพียงเด็กม.ปลายหนึ่งคนที่ต้องปลีกวิเวกมานั่งเบาะหลังพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระของผู้เข้าพักที่บ้านตน

      

    “ เลี้ยวขวาไปเส้นนั้นเลย ...ใช่ๆ เรากำลังจะเข้าเขตมินาโตะกันแล้ว ”

      

    อาดูสิ หมอนั่นดูสนุกกับการนำทางเหลือเกิน ทำไมบรรยากาศในรถมันช่างน่าเบื่อขนาดนี้นะ

      

                โคนันทำได้เพียงแค่มองออกไปนอกกระจกรถพร้อมดวงตาที่หรี่ลงครึ่งดวง เป็นช่วงเวลาที่คนขับดูกำลังตื่นเต้นกับสถานที่ต่างๆในโตเกียว แต่เขาทำได้เพียงแค่หาวหวอดๆ กระทั่งภาพที่มองเห็นจากทิวทัศน์โดยรอบจะเปลี่ยนเป็นอ่าวที่มีเรือโดยสารแล่นผ่าน

      

    “ เราอยู่บนสะพานสายรุ้งแล้วล่ะ ถ้ามาตอนกลางคืนมันจะสวยมากเลยรู้หรือเปล่า ”

      

    “ เหงั้นหรอ? ”

      

    “ คุณนักสืบที่นั่งอยู่ด้านหลังน่ะหลับไปหรือยัง…? ไหนๆมาเที่ยวทั้งทีก็อยากจะได้ไกด์ที่เป็นคนท้องที่ซักหน่อย ”

      

    หนึ่งเสียงเป็นตัวเรียกให้ใบหน้าเบื่อโลกหันกลับไปมองยังเก้าอี้คนขับโดยอัตโนมัติ ก็รู้สึกมาซักพักแล้วล่ะว่าแม้แต่เสียงพูดของคนๆนี้ก็ยังคุ้นหูไปด้วย

                

    ไหล่ลาดทั้งสองข้างเพียงยักขึ้นเหมือนยอมรับคำเสนอนั้น ก่อนที่ใบหน้าคมจะหันกลับไปมองด้านข้างอีกครั้ง ในขณะที่เสียงทุ้มน้อยๆก็บอกเล่าเรื่องราวของสะพานตามหน้าที่ ‘ไกด์ที่ได้รับมา

      

    “ อันที่จริงสีรุ้งที่ผู้คนมองเห็นในตอนกลางคืนเกิดจากแสงจากหลอดไฟสีแดง ขาว เขียว ที่เปลี่ยนสีกันไปเรื่อยๆเท่านั้นล่ะฮะ ” 

     

    “ โดยตัวสะพานแขวนที่เป็นตัวฉายภาพจะทาสีขาว กลมกลืนกับท้องฟ้าที่เห็นจากโอไดบะ และหลอดไฟพวกนี้ยังใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในตอนกลางวันด้วย ” สีหน้าเหมือนกำลังเบื่อ แต่นักสืบม.ปลายคนนี้ก็ดูจะพอใจพอสมควรที่ได้อธิบายความรู้ของตน ส่งให้ริมฝีปากของสองคนด้านหน้าเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

      

    “ มองจากฝั่งเหนือของสะพานนี้จะเห็นชายฝั่งโตเกียวกับโตเกียวทาวเวอร์ ”

      

    “ นั่นล่ะที่เรากำลังจะไปกัน ” เป็นเสียงเฮย์จิที่แทรกขึ้นมา

      

    “ ส่วนฝั่งใต้จะเป็นอ่าวโตเกียว …แล้วก็ภูเขาไฟฟูจิ? ” ประโยคหลังที่กล่าวขึ้นมีน้ำเสียงติดจะแปลกใจไม่น้อย

      

    น่าแปลกใจจริงๆ เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่จะเห็นภูเขาไฟฟูจิจากสะพานนี้ ด้วยสภาพอากาศและตึกรามที่สูงเสียดฟ้า ใช่ว่าจะมองเห็นกันได้บ่อยนักเมื่อไร

      

    “ จริงด้วยแฮะมาทีไรฉันยังไม่เคยเห็นเลย ” เป็นเสียงนักสืบโอซาก้าอีกครั้งที่ดูจะตื่นเต้นกับทริปนี้มากกว่าใครเพื่อน จุดหมายต่อไปที่ถูกเลือกคือโตเกียวทาวเวอร์ หอรับสัญญาณโทรทัศน์ที่ยิ่งใหญ่และสูงเด่นกลางเมือง ชินอิจิในร่างเด็กหนุ่มถูกลากไปลากมาเหมือนเป็นรถเข็น สุดท้ายก็ได้แต่เดินตามหลังผู้ชายตัวสูงสองคนด้วยใบหน้าติดจะเบื่อโลกไม่น้อย 

     

    ระยะเวลาเพียงปีสองปีที่หมอนี่ยุ่งอยู่กับงานจนไม่ได้ออกไปไหน มันทำให้ตื่นเต้นกับการท่องเที่ยวโตเกียวมากมายอะไรขนาดนั้นกันนะ… 

     

    เขามัวแต่ปล่อยให้จอมโจรชุดขาวนั่นลอยนวลนานเกินไปแล้ว… อยากจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้จบ แต่มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่เป้าหมายมาให้เจอถึงที่กันแบบนี้ ไม่เคยเข้าใจเลยจริงๆว่าผู้ชายคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ… ได้แต่พยายามเก็บเบาะแสต่างๆจากผู้ชายน่าสงสัยที่มีศักดิ์เป็นเพื่อนสนิทอีกคนของเฮย์จิเท่านั้น

      

    “ คราวนี้จะไปไหนอีกล่ะ? ” 

     

    รอยยิ้มแห้งๆกับสายตาเบื่อจับจิตถูกส่งไปยังเพื่อนต่างวัยจนอีกฝ่ายรู้สึกได้ เฮย์จิยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหัวเด็กหนุ่มเหมือนสุนัขตัวน้อยๆ จึงได้รับสายตาเคืองๆจากดวงตาสีอคอมารีนกลับมาเป็นของตอบแทน

      

    “ เฮ้ ไม่เอาน่านายดูไม่ค่อยสนุกเท่าไรเลยนะเจ้าหนู ”

      

    อันที่จริงก็ใช่… มันมีเรื่องอะไรบางอย่างที่กวนใจอยู่ตลอดเวลา

      

    ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลเพียงตวัดมองใบหน้าของผู้ต้องสงสัยเบาๆ ทั้งโครงหน้า ทั้งน้ำเสียง ทั้งดวงตาสีแบบนั้น มองยังไงมันก็ใช่หมอนั่นจะติดอย่างหนึ่งตรงที่ยังหาหลักฐานอะไรมามัดตัวตรงๆไม่ได้เท่านั้น

      

    เผยออกมาสิ… เบาะแสอะไรซักอย่างก็ได้

      

    “ มันจะไม่ไกลไปหน่อยหรอ กว่าจะถึงงานขาได้ลากพอดี ”

      

    “ บ่นเป็นยายแก่ไปได้ นายก็รู้ว่าถนนมันปิดอยู่น่ะ ”

      

                เสียงทุ้มเหน่อตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มขำ บทสนทนาระหว่างนักท่องเที่ยวสองคนดำเนินไปในระหว่างที่ปลายเท้ากำลังสาวไปตามทาง สถานที่ที่คนยัวะเยี้ยแบบนี้ทำให้โคนันรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ถึงอย่างนั้นบรรยากาศที่ครื้นเครงของงานก็ทำให้เขาผ่อนคลายลงได้บ้าง

      

    วัดเซ็นโซ หรือที่รู้จักกันในชื่อวัดอาซากุสะ ตั้งอยู่ในเขตไทโตของโตเกียว ช่วงเวลาเพียงสามหรือสี่วันของปลายฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นที่จะมีเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทั้งนักท่องเที่ยวทั้งคนในพื้นที่พากันหลั่งไหลเข้ามามากมายทุกปี เพื่อนโอซาก้าที่บ่นว่าตัวเองพลาดงานนี้มาแล้วสามปีจึงรีบบัญชาให้มาที่นี่ทันทีที่ออกจากโตเกียวทาวเวอร์ เป็นเวลาช่วงบ่ายแก่ๆที่เริ่มสัมผัสได้ถึงความครึกครื้นของงานแล้ว

      

    “ เอาล่ะเจ้าหนู ทำหน้าที่ของตัวเองหน่อยสิ ” พอสบโอกาส เจ้าของเสียงเหน่อก็รีบโบ้ยหน้าที่ไกด์จำเป็นให้เขาอีกรอบ พลันเสียงหัวเราะแห้งๆก็ตอบกลับมาพร้อมใบหน้างุนงงเล็กน้อย

      

    “ อ่าก็นะ จากตรงนี้มองเห็นตึกสกายทรีได้ด้วย ส่วนตรงหน้าพวกนายที่มีโคมใหญ่ๆแขวนอยู่นั่นคือประตูคามินาริ เป็นทางเข้างานที่มีถนนนากามิเสะเชื่อมไปถึงวัดเซ็นโซ… เทศกาลก็ถูกจัดขึ้นบนถนนนี้ล่ะ ”

      

    โคมกระดาษขนาดใหญ่ยักษ์สีแดงแขวนอยู่กับคานประตูแบบญี่ปุ่น เสียงเพลงกับความวุ่นวายในเทศกาลดังมาจากในประตูที่เป็นถนนทอดยาว สองข้างทางประดับไปด้วยโคมไฟรูปร่างแปลกตา เหมือนกำลังเชื้อเชิญผู้มาถึง

      

    “ ก็ถ้าจะกล่าวถึงตำนานแล้วล่ะก็ ที่นี่ถูกสร้างมาเพื่อบูชาพระโพธิสัตว์คันนน เชื่อว่าสองพี่น้องชาวประมงที่ชื่อว่— ”

      

    “ เดี๋ยวก่อนคุโด้ ไม่ต้องละเอียดขนาดนั้นก็ได้! ” เฮย์จิอดขำไม่ได้กลับการรับหน้าที่ไกด์ได้อย่างดีเหลือเชื่อของเพื่อนคนนี้ ตลอดทั้งวันบทสนทนายาวๆจากปากของเด็กหนุ่มมีเพียงการแนะนำสถานที่ต่างๆ แต่เพราะชื่อคุโด้ที่เผลอหลุดออกมาจากนักสืบตะวันตกก็ทำให้เขาได้รับสายตาที่แฝงความเคืองกลับไปอีกครั้งจากเจ้าของชื่อ

      

    “ งั้นเข้าไปในงานกันเถอะ”  

      

                เสียงทุ้มเหน่อรีบกล่าวเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่ชายสามคนจะเริ่มก้าวเข้าไปในงาน สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายตั้งแต่อาหารไปจนถึงสินค้าและของที่ระลึก  ถนนเป็นทางยาวทอดไปถึงอาคารหลักของวัดที่ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบญี่ปุ่น หลังคาทั้งสี่ด้านมีลักษณะแหงนขึ้น ทั้งอาคารสร้างด้วยไม้ รอบๆประดับไปด้วยสวนญี่ปุ่นที่เงียบสงบ รวมทั้งเจดีย์ห้าชั้นที่เด่นสะดุดตา

      

                จนกระทั่งถึงตู้บริจาคของวัด ชินอิจิไม่ขอพรอะไรไปมากกว่าการขอให้ชีวิตของเขาได้อยู่อย่างสงบสุข เลิกมีเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งมากวนใจแบบนี้ซักที จนกระทั่งเมื่อเหรียญได้ลงกระทบกับก้นของตู้บริจาค เสียงกรี๊ดลั่นของผู้หญิงก็ดังขึ้นราวกับคำขอนั้นได้รับคำปฏิเสธแทบจะทันที...   

      

    ในสถานที่ที่คนพลุกพล่านจนไหล่ชนกันแบบนี้ ใครจะไปคิดว่าจะเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นได้… ได้ยินเสียงแว่วมาว่ามีคนพบศพอยู่ไม่ห่างขึ้นมา ใบหน้าของนักสืบสองคนก็หันมามองกันโดยอัตโนมัติพร้อมรอยยิ้มแห้ง…

      

    ชักจะคิดว่าตัวเองมีเรดาร์ดึงดูดคดีฆาตกรรมติดอยู่ในตัวซักที่แล้วสิ

      

    เสียงขำเบาๆดังขึ้นมาจากผู้ชายอีกคนที่มาด้วยกัน เรียกให้อคอมารีนคู่สวยเบนกลับไปมองผู้ชายที่ชื่อคุโรบะทันที เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างถูกจังหวะและรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

      

    “ เอาล่ะคุณนักสืบ… คดีคราวนี้จะไปร่วมสืบสวนด้วยหรือเปล่าล่ะ? ”

      

    เป็นประโยคที่เอ่ยขึ้นเหมือนจะสื่อถึงคนสองคน แต่โคนันกลับไม่รู้สึกแบบนั้น… รอยยิ้มกับดวงตาแฝงแววแพรวพราวนั่นกำลังจ้องมองมายังใบหน้าของเขาราวกับจงใจ… เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรกลับไป มีเพียงแค่ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกตีกันไปหมดอยู่ในหัวเท่านั้น

      

     

    ไม่ชอบดวงตาสีแซฟไฟร์บลูคู่นั้นเลยจริงๆ

     

     

     

     

     

     

     

    To be continue…

     

      








    พาร์ทนี้เหมือนพามาเที่ยวญี่ปุ่นเลยค่ะ อันที่จริงไรเตอร์ยังไม่เคยไปญี่ปุ่นเลย 
    อ้างอิงที่อยู่จอมโจรคิดจากโรงเรียนเอโกดะที่เจ้าตัวเรียนอยู่ในเรื่องนะคะ
    ผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัยด้วยค่ะ บอกกันได้เลยน้า

    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ^^


    เอกสารอ้างอิงสำหรับตอนนี้ค่ะ

    วัดเซ็นโซ(อาซากุสะ) - จิ้ม

    สะพานสายรุ้ง - จิ้ม

    โตเกียวทาวเวอร์ - จิ้ม

    แผนที่นากาวะ-โตเกียว - จิ้ม


    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×