คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ▲ [Conan] Catch me if you can (Kaito x Shinichi) - Part5
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
มันเป็นเวลาสายของวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผู้คนค่อนข้างพลุกพล่าน
จุดนัดหมายคือสถานีชิบุยะที่โคนันใช้เวลาไม่กี่นาทีจากบ้านก็มาถึง
ขายาวทั้งสองข้างสาวไปตามทางในขณะที่บนบ่าพาดด้วยเป้เล็กๆลงไปถึงสีข้างอีกฝั่ง
มองเห็นเพื่อนเจ้าของสำเนียงเหน่อที่โบกมือทักทายให้แต่ไกล
เด็กหนุ่มจึงไม่ลังเลที่จะวิ่งเข้าไปหา
เผลอนอนเพลินไปหน่อยแฮะ… ขนาดมาเร็วสุดยังอุตส่าห์เลทไปตั้งสิบห้านาที
“ เอ่อ… ขอโทษที่มาช้า
เกิดเรื่องสุดวิสัยนิดหน่อยน่ะ ” แถไปตามประสาคนตื่นสาย
แต่คนรอก็ไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร เพียงยักไหล่ให้ครั้งหนึ่งก่อนยิ้มน้อยๆ
“ ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไคโตะยังมาไม่ถึงเลย
ทั้งที่อยู่ไม่ไกลแท้ๆ ”
“ ไคโตะ…? ”
ไคโตะ…? จอมโจรน่ะหรอ?
* หมายเหตุ : Kaito เป็นการเล่นคำภาษาญี่ปุ่น ซึ่งออกเสียงคล้ายกับคำว่า Kaitou ที่แปลว่า จอมโจรค่ะ
เฮ้อ… อยากจะด่าตัวเองที่ช่วงนี้ชักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเดียวมากเกินไปแล้วชะมัด
“
หมอนั่นเป็นเพื่อนกับฉันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้วล่ะ …บ้านอยู่แค่โยโกฮาม่านี่เอง
” ฮัตโตริ เฮย์จิ
ดูภูมิใจที่จะบรรยายสรรพคุณเพื่อนคนนี้ให้เด็กหนุ่มฟังเสียเหลือเกิน
โคนันพยักหน้ารับรู้ไปตามนั้น อย่างน้อยคนที่กล่าวถึงก็กำลังจะมาพักที่บ้านเขาด้วย…
เพื่อนต่างวัยที่อายุความคิดเท่ากัน
ร่างกายสูงโปร่งรับกับผิวสีน้ำผึ้ง
ติดจะเด่นตรงคิ้วของเจ้าตัวที่เป็นเส้นหนาเพิ่มความคมเข้มของใบหน้า
เป็นเวลาร่วมสิบนาทีที่สองเพื่อนสนิทได้พูดคุยหลังไม่ได้พบกันนาน
เรื่องราวที่เด็กแว่นกำลังปวดหัวอยู่ทุกวันถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น
แต่ครั้นยังไม่ทันได้เอ่ยออกไป
หนึ่งเสียงของคนไม่รู้จักก็ดังขึ้นมาแทรกเหมือนรู้จังหวะ
“
อันที่จริงช่วงนี้ฉันมีปัญหานิดหน่อย และนายก็มาได้ทันเวลาพอดี …‘หมอนั่น’สร้างเรื่องปวดหัวอีกแล้วล่ะ ”
“ หมอนั่น… ใครล่ะ? ” น้ำเสียงทุ้มเหน่อตอบกลับเด็กหนุ่มที่มีท่าทีเหนื่อยใจไปด้วยติดจะงุนงงเล็กน้อย
ระยะหลังมานี้ ด้วยงานของนักสืบทำให้พวกเขาไม่ได้เจอหน้ากันมาร่วมปีสองปีได้แล้ว
“ ก็จอมโจรคิ— ”
“ ขอโทษนะฮัตโตริ! ไม่คิดว่ารถมันจะยางแตกกลางทางได้น่ะสิ!
” เสียงทุ้มดังขึ้นมาจากด้านหลังของโคนัน
ร่างสูงโปร่งของผู้มาใหม่วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน
ถึงอย่างนั้นบนใบหน้าคมยังคงเจือไปด้วยรอยยิ้มทะเล้น
เฮย์จิที่ได้ฟังประโยคนั้นเพียงส่งสีหน้าเอือมระอากลับไป
“ เห… จะให้ฉันเชื่อคนที่มาสายประจำอย่างนายเนี่ยนะ ”
ทันเวลาอย่างกับจงใจ ลอบถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกช่วยไม่ได้
ใบหน้าของผู้มาใหม่ที่สายตาได้หันไปจับจ้องเป็นอันทำให้โคนันต้องเงียบไปเฉยๆ
ร่างกายสูงโปร่งกับช่วงอายุที่น่าจะใกล้เคียงกับเฮย์จิ
เครื่องแต่งกายมีระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่งให้ดูเป็นผู้ชายวัยทำงานที่ดูดีอย่างร้ายกาจ …เพื่อนที่ชื่อไคโตะคือผู้ชายคนนี้งั้นหรอ ราวกับว่าเคยเห็นมาก่อนที่ไหน…
“ โห จริงด้วย!! พอมาเทียบกันแล้ว
นายหน้าเหมือนหมอนี่มากเลยล่ะคุโด้! ”
จังหวะเดียวกันกับที่เพื่อนสนิทต่างวัยจับไหล่เด็กหนุ่มหมุนไปหมุนมา
มองหน้าเขาสลับกับชายคนใหม่อย่างตื่นเต้น
ชินอิจิในวัยมัธยมกดเสียงต่ำให้ได้ยินเพียงสองคนกลับไปอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
“ อย่าเรียกฉันว่าคุโด้สิ! ”
“ อ้า! ก็แบบว่า
เหมือนกับพี่ชายนายซะจนตอนแรกฉันเข้าไปทักผิดเลยล่ะ! ”
เฮย์จิแถข้างๆคูๆกลับไปแบบนั้น
แต่เมื่อเพื่อนอีกคนไม่ได้มีทีท่าสงสัยอะไรก็โล่งใจ
ผู้ชายหน้าหล่อตัวสูงเพียงยกยิ้มบางๆ
ดวงตาคู่คมแฝงแววแพรวพราวจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของโคนัน มือข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้า
สะบัดเพียงเบาๆก็ปรากฏกลุ่มควันเล็กๆและดอกกุหลาบสีแดงหนึ่งดอก
“ ไง
ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณนักสืบ… ฉันคุโรบะ ไคโตะ ” รอยยิ้มนั่นทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มกระตุกไปเล็กน้อย
‘คุณนักสืบ’กับมายากลงั้นหรอ…
ใบหน้าที่เหมือนเขาราวกับแกะ
ต่างกันที่ความอ่อนเยาว์ตามวัย ลักษณะคำพูด รูปร่างสูงโปร่ง และดวงตาคู่คมนั่น… สีแซฟไฟร์บลู
จอมโจรคิด…
มือเรียวรับดอกกุหลาบในมือคนตรงหน้ามาอย่างทำอะไรไม่ถูก
ไม่รู้จะพูดอะไรตอบกลับไปดีตามประสาคนมนุษย์สัมพันธ์ไม่ค่อยดี
อีกทั้งยังติดสงสัยในตัวตนที่ยังยืนยันไม่ได้อีก
เสียงเครื่องมือสื่อสารของเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินดังขึ้นมาแทรกกลางวงเสียก่อน
นั่นเป็นโอกาสให้โคนันรีบดึงตัวของนักสืบโอซาก้าออกมาพูดคุยตอนที่ผู้ชายคนนั้นกำลังรับโทรศัพท์ด้วยท่าทีร้อนรน
“ ฉันไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้
”
“ หา? หมายความว่าไงคุโด้
นายเพิ่งเคยเจอหมอนี่ครั้งแรกเองนะ ”
“ …มันก็ใช่
แต่ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ” ก็แบบว่าจอมโจรคิดไง
ผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นจอมโจรคิดก็ได้นะ
“
ฉันรู้จักหมอนี่มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วนะ
รับรองเลยว่าหมอนี่ไม่มีอะไรแอบแฝงแน่นอน! ”
ดูท่าพ่อคุณจะเชื่อใจผู้ชายคนนี้ซะเหลือเกิน… มันไม่ได้มีอะไรแอบแฝงจริงๆน่ะหรอ?
จอมโจรคิดไปโจรกรรมที่โอซาก้าไม่บ่อยนัก
เฮย์จิไม่เคยปะทะกับบุรุษชุดขาวคนนั้นโดยตรง
ต่างจากเขาที่เจอหน้ากันบ่อยเสียจนจำได้ ไม่มีอะไรยืนยันได้บ้างเลยหรือไงนะ… ถ้าใช่ผู้ชายคนนี้จริงๆแล้วล่ะก็ เป้าหมายอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น
“ จอมโจรคิดไง… ”
“ เฮ้… ดูท่าพวกนายกำลังคุยอะไรสนุกๆกันอยู่หรือเปล่า?
” ทั้งน้ำเสียงทั้งสัมผัสใหม่ๆบริเวณไหล่ทำให้ชินอิจิต้องสะดุ้งจนตัวโยน
เมื่อคนที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ๆก็เข้ามาคล้องคอเขาปานสนิทสนมกันมานาน
เฮย์จิที่กำลังประมวลสถานการณ์ไม่ทันเพียงส่งสีหน้าเหรอหราออกมาเท่านั้น
โคนันจึงตกเป็นเป้าหมายโดยอัตโนมัติ
“ ไม่มีอะไรหรอกฮะ
ผมแค่กำลังพูดเรื่องชายน่าสงสัยในข่าวเท่านั้นล่ะฮะ ”
เป็นรอยยิ้มอ่อนๆที่ระบายกลับไป มันช่างดูไม่จริงใจเหลือเกิน
แต่ไม่รู้ว่าฝ่ายที่เด็กหนุ่มตอบคำถามกลับไปจะรู้ตัวหรือเปล่าน่ะสิ...
มือเรียวค่อยๆแงะเอาแขนอีกฝ่ายออกด้วยติดจะรู้สึกแปลกๆนิดหน่อย
บทสนทนาต่างๆถูกตัดจบเพียงเท่านั้น
ก่อนที่การท่องเที่ยวที่แท้จริงกำลังจะเกิดขึ้น
เพื่อนคนใหม่เอ่ยชวนทุกคนให้ตรงไปยังรถของตน
สัมภาระต่างๆที่นักสืบตะวันตกขนมารวมถึงของเจ้าตัววางกองอยู่ที่เบาะหลัง
ผู้ชายที่ชื่อคุโรบะคนนั้นขับรถของตนมาจากโยโกฮาม่าซึ่งก็ไม่ไกลจากชิบุยะนัก
รถคันนี้เป็นพาหนะตัวเลือกที่ใช้ท่องโตเกียววันนี้
ส่วนเฮย์จิที่มาโตเกียวบ่อยเหมือนบ้านหลังที่สองก็อาสาเป็นไกด์นำทางโดยไม่ขัดข้อง
เหลือเพียงเด็กม.ปลายหนึ่งคนที่ต้องปลีกวิเวกมานั่งเบาะหลังพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระของผู้เข้าพักที่บ้านตน
“ เลี้ยวขวาไปเส้นนั้นเลย
...ใช่ๆ เรากำลังจะเข้าเขตมินาโตะกันแล้ว ”
อา…ดูสิ
หมอนั่นดูสนุกกับการนำทางเหลือเกิน ทำไมบรรยากาศในรถมันช่างน่าเบื่อขนาดนี้นะ
โคนันทำได้เพียงแค่มองออกไปนอกกระจกรถพร้อมดวงตาที่หรี่ลงครึ่งดวง
เป็นช่วงเวลาที่คนขับดูกำลังตื่นเต้นกับสถานที่ต่างๆในโตเกียว
แต่เขาทำได้เพียงแค่หาวหวอดๆ
กระทั่งภาพที่มองเห็นจากทิวทัศน์โดยรอบจะเปลี่ยนเป็นอ่าวที่มีเรือโดยสารแล่นผ่าน
“
เราอยู่บนสะพานสายรุ้งแล้วล่ะ ถ้ามาตอนกลางคืนมันจะสวยมากเลยรู้หรือเปล่า ”
“ เห…งั้นหรอ? ”
“
คุณนักสืบที่นั่งอยู่ด้านหลังน่ะหลับไปหรือยัง…? ไหนๆมาเที่ยวทั้งทีก็อยากจะได้ไกด์ที่เป็นคนท้องที่ซักหน่อย
”
หนึ่งเสียงเป็นตัวเรียกให้ใบหน้าเบื่อโลกหันกลับไปมองยังเก้าอี้คนขับโดยอัตโนมัติ
ก็รู้สึกมาซักพักแล้วล่ะว่าแม้แต่เสียงพูดของคนๆนี้ก็ยังคุ้นหูไปด้วย…
ไหล่ลาดทั้งสองข้างเพียงยักขึ้นเหมือนยอมรับคำเสนอนั้น
ก่อนที่ใบหน้าคมจะหันกลับไปมองด้านข้างอีกครั้ง
ในขณะที่เสียงทุ้มน้อยๆก็บอกเล่าเรื่องราวของสะพานตามหน้าที่ ‘ไกด์’ที่ได้รับมา
“
อันที่จริงสีรุ้งที่ผู้คนมองเห็นในตอนกลางคืนเกิดจากแสงจากหลอดไฟสีแดง ขาว เขียว
ที่เปลี่ยนสีกันไปเรื่อยๆเท่านั้นล่ะฮะ ”
“
โดยตัวสะพานแขวนที่เป็นตัวฉายภาพจะทาสีขาว กลมกลืนกับท้องฟ้าที่เห็นจากโอไดบะ
และหลอดไฟพวกนี้ยังใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในตอนกลางวันด้วย ”
สีหน้าเหมือนกำลังเบื่อ แต่นักสืบม.ปลายคนนี้ก็ดูจะพอใจพอสมควรที่ได้อธิบายความรู้ของตน ส่งให้ริมฝีปากของสองคนด้านหน้าเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“
มองจากฝั่งเหนือของสะพานนี้จะเห็นชายฝั่งโตเกียวกับโตเกียวทาวเวอร์ ”
“
นั่นล่ะที่เรากำลังจะไปกัน ” เป็นเสียงเฮย์จิที่แทรกขึ้นมา
“
ส่วนฝั่งใต้จะเป็นอ่าวโตเกียว …แล้วก็ภูเขาไฟฟูจิ? ” ประโยคหลังที่กล่าวขึ้นมีน้ำเสียงติดจะแปลกใจไม่น้อย
…น่าแปลกใจจริงๆ
เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่จะเห็นภูเขาไฟฟูจิจากสะพานนี้
ด้วยสภาพอากาศและตึกรามที่สูงเสียดฟ้า ใช่ว่าจะมองเห็นกันได้บ่อยนักเมื่อไร
“ จริงด้วยแฮะ! มาทีไรฉันยังไม่เคยเห็นเลย ”
เป็นเสียงนักสืบโอซาก้าอีกครั้งที่ดูจะตื่นเต้นกับทริปนี้มากกว่าใครเพื่อน
จุดหมายต่อไปที่ถูกเลือกคือโตเกียวทาวเวอร์
หอรับสัญญาณโทรทัศน์ที่ยิ่งใหญ่และสูงเด่นกลางเมือง
ชินอิจิในร่างเด็กหนุ่มถูกลากไปลากมาเหมือนเป็นรถเข็น
สุดท้ายก็ได้แต่เดินตามหลังผู้ชายตัวสูงสองคนด้วยใบหน้าติดจะเบื่อโลกไม่น้อย
ระยะเวลาเพียงปีสองปีที่หมอนี่ยุ่งอยู่กับงานจนไม่ได้ออกไปไหน
มันทำให้ตื่นเต้นกับการท่องเที่ยวโตเกียวมากมายอะไรขนาดนั้นกันนะ…
เขามัวแต่ปล่อยให้จอมโจรชุดขาวนั่นลอยนวลนานเกินไปแล้ว… อยากจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้จบ
แต่มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่เป้าหมายมาให้เจอถึงที่กันแบบนี้
ไม่เคยเข้าใจเลยจริงๆว่าผู้ชายคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ… ได้แต่พยายามเก็บเบาะแสต่างๆจากผู้ชายน่าสงสัยที่มีศักดิ์เป็นเพื่อนสนิทอีกคนของเฮย์จิเท่านั้น
“ คราวนี้จะไปไหนอีกล่ะ? ”
รอยยิ้มแห้งๆกับสายตาเบื่อจับจิตถูกส่งไปยังเพื่อนต่างวัยจนอีกฝ่ายรู้สึกได้
เฮย์จิยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหัวเด็กหนุ่มเหมือนสุนัขตัวน้อยๆ
จึงได้รับสายตาเคืองๆจากดวงตาสีอคอมารีนกลับมาเป็นของตอบแทน
“ เฮ้ ไม่เอาน่า! นายดูไม่ค่อยสนุกเท่าไรเลยนะเจ้าหนู
”
อันที่จริงก็ใช่… มันมีเรื่องอะไรบางอย่างที่กวนใจอยู่ตลอดเวลา
ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลเพียงตวัดมองใบหน้าของผู้ต้องสงสัยเบาๆ
ทั้งโครงหน้า ทั้งน้ำเสียง ทั้งดวงตาสีแบบนั้น มองยังไงมันก็ใช่หมอนั่น…จะติดอย่างหนึ่งตรงที่ยังหาหลักฐานอะไรมามัดตัวตรงๆไม่ได้เท่านั้น
เผยออกมาสิ… เบาะแสอะไรซักอย่างก็ได้
“ มันจะไม่ไกลไปหน่อยหรอ
กว่าจะถึงงานขาได้ลากพอดี ”
“ บ่นเป็นยายแก่ไปได้
นายก็รู้ว่าถนนมันปิดอยู่น่ะ ”
เสียงทุ้มเหน่อตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มขำ
บทสนทนาระหว่างนักท่องเที่ยวสองคนดำเนินไปในระหว่างที่ปลายเท้ากำลังสาวไปตามทาง
สถานที่ที่คนยัวะเยี้ยแบบนี้ทำให้โคนันรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย
ถึงอย่างนั้นบรรยากาศที่ครื้นเครงของงานก็ทำให้เขาผ่อนคลายลงได้บ้าง
วัดเซ็นโซ หรือที่รู้จักกันในชื่อวัดอาซากุสะ
ตั้งอยู่ในเขตไทโตของโตเกียว
ช่วงเวลาเพียงสามหรือสี่วันของปลายฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นที่จะมีเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้
ทั้งนักท่องเที่ยวทั้งคนในพื้นที่พากันหลั่งไหลเข้ามามากมายทุกปี
เพื่อนโอซาก้าที่บ่นว่าตัวเองพลาดงานนี้มาแล้วสามปีจึงรีบบัญชาให้มาที่นี่ทันทีที่ออกจากโตเกียวทาวเวอร์
เป็นเวลาช่วงบ่ายแก่ๆที่เริ่มสัมผัสได้ถึงความครึกครื้นของงานแล้ว
“ เอาล่ะเจ้าหนู
ทำหน้าที่ของตัวเองหน่อยสิ ” พอสบโอกาส
เจ้าของเสียงเหน่อก็รีบโบ้ยหน้าที่ไกด์จำเป็นให้เขาอีกรอบ
พลันเสียงหัวเราะแห้งๆก็ตอบกลับมาพร้อมใบหน้างุนงงเล็กน้อย
“ อ่า…ก็นะ จากตรงนี้มองเห็นตึกสกายทรีได้ด้วย
ส่วนตรงหน้าพวกนายที่มีโคมใหญ่ๆแขวนอยู่นั่นคือประตูคามินาริ
เป็นทางเข้างานที่มีถนนนากามิเสะเชื่อมไปถึงวัดเซ็นโซ… เทศกาลก็ถูกจัดขึ้นบนถนนนี้ล่ะ
”
โคมกระดาษขนาดใหญ่ยักษ์สีแดงแขวนอยู่กับคานประตูแบบญี่ปุ่น
เสียงเพลงกับความวุ่นวายในเทศกาลดังมาจากในประตูที่เป็นถนนทอดยาว
สองข้างทางประดับไปด้วยโคมไฟรูปร่างแปลกตา เหมือนกำลังเชื้อเชิญผู้มาถึง
“
ก็ถ้าจะกล่าวถึงตำนานแล้วล่ะก็ ที่นี่ถูกสร้างมาเพื่อบูชาพระโพธิสัตว์คันนน
เชื่อว่าสองพี่น้องชาวประมงที่ชื่อว่— ”
“ เดี๋ยวก่อนคุโด้ ไม่ต้องละเอียดขนาดนั้นก็ได้!
” เฮย์จิอดขำไม่ได้กลับการรับหน้าที่ไกด์ได้อย่างดีเหลือเชื่อของเพื่อนคนนี้
ตลอดทั้งวันบทสนทนายาวๆจากปากของเด็กหนุ่มมีเพียงการแนะนำสถานที่ต่างๆ
แต่เพราะชื่อคุโด้ที่เผลอหลุดออกมาจากนักสืบตะวันตกก็ทำให้เขาได้รับสายตาที่แฝงความเคืองกลับไปอีกครั้งจากเจ้าของชื่อ
“ งั้นเข้าไปในงานกันเถอะ! ”
เสียงทุ้มเหน่อรีบกล่าวเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่ชายสามคนจะเริ่มก้าวเข้าไปในงาน
สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายตั้งแต่อาหารไปจนถึงสินค้าและของที่ระลึก ถนนเป็นทางยาวทอดไปถึงอาคารหลักของวัดที่ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบญี่ปุ่น
หลังคาทั้งสี่ด้านมีลักษณะแหงนขึ้น ทั้งอาคารสร้างด้วยไม้
รอบๆประดับไปด้วยสวนญี่ปุ่นที่เงียบสงบ รวมทั้งเจดีย์ห้าชั้นที่เด่นสะดุดตา
จนกระทั่งถึงตู้บริจาคของวัด
ชินอิจิไม่ขอพรอะไรไปมากกว่าการขอให้ชีวิตของเขาได้อยู่อย่างสงบสุข
เลิกมีเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งมากวนใจแบบนี้ซักที
จนกระทั่งเมื่อเหรียญได้ลงกระทบกับก้นของตู้บริจาค เสียงกรี๊ดลั่นของผู้หญิงก็ดังขึ้นราวกับคำขอนั้นได้รับคำปฏิเสธแทบจะทันที...
ในสถานที่ที่คนพลุกพล่านจนไหล่ชนกันแบบนี้
ใครจะไปคิดว่าจะเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นได้… ได้ยินเสียงแว่วมาว่ามีคนพบศพอยู่ไม่ห่างขึ้นมา
ใบหน้าของนักสืบสองคนก็หันมามองกันโดยอัตโนมัติพร้อมรอยยิ้มแห้ง…
ชักจะคิดว่าตัวเองมีเรดาร์ดึงดูดคดีฆาตกรรมติดอยู่ในตัวซักที่แล้วสิ…
เสียงขำเบาๆดังขึ้นมาจากผู้ชายอีกคนที่มาด้วยกัน
เรียกให้อคอมารีนคู่สวยเบนกลับไปมองผู้ชายที่ชื่อคุโรบะทันที
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างถูกจังหวะและรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก…
“ เอาล่ะคุณนักสืบ… คดีคราวนี้จะไปร่วมสืบสวนด้วยหรือเปล่าล่ะ?
”
เป็นประโยคที่เอ่ยขึ้นเหมือนจะสื่อถึงคนสองคน
แต่โคนันกลับไม่รู้สึกแบบนั้น… รอยยิ้มกับดวงตาแฝงแววแพรวพราวนั่นกำลังจ้องมองมายังใบหน้าของเขาราวกับจงใจ… เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
มีเพียงแค่ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกตีกันไปหมดอยู่ในหัวเท่านั้น
ไม่ชอบดวงตาสีแซฟไฟร์บลูคู่นั้นเลยจริงๆ…
To be continue…
พาร์ทนี้เหมือนพามาเที่ยวญี่ปุ่นเลยค่ะ อันที่จริงไรเตอร์ยังไม่เคยไปญี่ปุ่นเลย
อ้างอิงที่อยู่จอมโจรคิดจากโรงเรียนเอโกดะที่เจ้าตัวเรียนอยู่ในเรื่องนะคะ
ผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัยด้วยค่ะ บอกกันได้เลยน้า
แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ^^
เอกสารอ้างอิงสำหรับตอนนี้ค่ะ
วัดเซ็นโซ(อาซากุสะ) - จิ้ม
สะพานสายรุ้ง - จิ้ม
โตเกียวทาวเวอร์ - จิ้ม
แผนที่นากาวะ-โตเกียว - จิ้ม
ความคิดเห็น