NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #21 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 10 [END]

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 65



    แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)

     







     

    ข้อแลกเปลี่ยนของการอุดรอยรั่วระหว่างมิติ นั่นหมายถึงสิ่งที่ผิดที่ผิดทางควรถูกจัดวางให้ถูกต้องเสียที…

     

    “ เอ็กคลาลิเบอร์ของเจ้าร่วมกับพลังของข้า ทำลายพลังที่บิดเบี้ยวของมิตินี้เสีย และโชคชะตาของเจ้าทั้งสองจะไม่เชื่อมต่อกันอีกต่อไป ”

     

            สิ้นเสียงทุ้มนั้น ร่างที่ควรจะถูกกักขังอยู่ ณ ดินแดนอันแสนไกลกลับปรากฏตัวข้างๆ กับอาเธอเรีย แม้เด็กสาวจะยินดีที่ในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้ง แต่ความหมายของประโยคดังกล่าวทำให้ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น

     

            แต่เดิมแล้วดาบศักดิ์สิทธิ์อาศัยเวทย์มนต์ของเมอร์ลินในการก่อรูปร่างอันประณีต แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองล้วนแล้วแต่สืบทอดผ่านสายเลือดเพนดราก้อน หากพลังดังกล่าวผนึกรวมเข้ากับเวทมนต์ที่ทรงอำนาจของพ่อมดแห่งบริทาเนีย อาจมีกำลังพอที่จะปิดกั้นรอยรั่วที่วิเวียนฝ่าฝืนมายังบาบิโลนได้

     

    แต่นั่นหมายความว่าทั้งเธอ เมอร์ลิน และวิเวียนจะต้องถูกส่งกลับไปยังบริทาเนียเช่นกัน…

     

            มือเรียวกำดาบแน่น เอ่ยเรียกพลังศักดิ์สิทธิ์และทุ่มกำลังทั้งหมดไปที่รอยแยกแห่งมิติที่ปรากฏทันที เมอร์ลินเมื่อเห็นการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวจึงวาดฝ่ามือไปในอากาศตรงหน้า พลันเกิดแสงสว่างสีขาวเข้าช่วยเสริมอานุภาพดังกล่าว เบื้องหน้าคือม่านพลังที่เชื่อมลงมาจากท้องฟ้ากว้าง รอยแยกที่บิดเบือนค่อยๆ ถูกประสาน เกิดเป็นเสียงฟ้าคะนองดังก้องไปทั่วพื้นที่

     

    หากไม่ทำอะไรสักอย่าง กิลกาเมซจะแพ้และต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้เป็นแน่

     

     เจ้ากำลังทำอะไร หยุดนะ! ” สิ่งนั้นเรียกความสนใจจากหญิงที่กำลังได้เปรียบให้กลับมาว้าวุ่น ดวงตาสีโลหิตคู่สวยตวัดมองยังกษัตริย์แห่งบริทาเนีย ในอดีตหญิงคนนี้มีปมด้อยเรื่องเพศสภาพ การปั่นหัวคนใกล้ตัวจึงทำได้ง่ายนัก แต่ ณ มิติแห่งนี้ คนที่ควรจะตายไปแล้วกลับกำลังขัดขวางหนทางสู่การครอบครองทุกสิ่งอย่างที่วิเวียนปรารถนา ซ้ำยังมีชายหน้าโง่ที่เธอผนึกเขาไว้เองกับมือร่วมส่งเสริมด้วยอีก

     

            พลังที่มากมายของคนเหล่านั้นทำให้มิติที่ปั่นป่วนกลับมาเสถียรอีกครา… ทั้งที่มั่นใจแล้วว่าเขาจะไม่มีวันหนีออกมาได้อีก แต่พ่อมดผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างไร

     

    “ เมอร์ลิน ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ ” ในเวลานี้เมอร์ลินไม่ได้ใส่ใจท่าทางของเธอ แม้วิเวียนจะเป็นหญิงที่เขารักจนหมดใจ แต่ด้วยเส้นทางที่แยกจากกัน ไม่ว่าอย่างไรชายหนุ่มก็ไม่อาจอภัยให้นางได้

     

    “เจ้าทรยศข้าวิเวียน ข้าคงปล่อยให้เจ้าปั่นป่วนมิติอีกต่อไปไม่ได้”

     

            กษัตริย์แห่งอุรุคที่ได้รับการช่วยเหลือพยุงตัวขึ้นยืนอย่างยากลำบาก เขาทำความเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่ภาพของอาเธอเรียที่เห็นในสายตาส่งให้รู้สึกปั่นป่วนในจิตใจอย่างบอกไม่ถูก

     

            พลังที่เคยเข้าแทรกแซงในกายของอิชทาร์กำลังสั่นไหวอย่างไม่มั่นคง ดวงจิตที่เคยหลอมรวมกันแล้วกำลังค่อยๆ แตกเป็นสอง ร่างและพลังเวทย์ของวิเวียนโดนดึงออกมาก่อนผนึกการเคลื่อนไหวไว้เช่นนั้น แรงดึงบางอย่างกระทบผิวหนังทำให้รู้ตัวว่าถึงเวลาที่ต้องกลับไปยังมิติที่จากมาเสียแล้ว

     

            เจ้าของดวงตาสีมรกตเลื่อนสายตาไปยังใบหน้าคมคายของชายผมทอง เธอจ้องนิ่งอย่างนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร อีกฝ่ายเองก็มองกลับมาอย่างใจหาย สังหรณ์ใจบางอย่างกำลังบอกให้รู้ตัวว่าอาจไม่ได้พบกับเธอคนนี้อีก กิลกาเมซเชื่อเสมอว่าทั้งเธอและเขาสามารถสละชีพของตนเพื่อให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตต่อไปได้

     

     เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ให้เจ้าไป ” ขายาวรีบก้าวเข้าไปใกล้ร่างนั้น ทันใดแสงที่เคยเคลือบอยู่รอบดาบศักดิ์สิทธิ์ของเธอก็แผ่ขยายมาปกคลุมทั้งร่างบางเอาไว้ เพราะทางเลือกที่มีมีเพียงเส้นทางเดียว แม้ไม่ต้องการก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ใบหน้าหวานระบายยิ้มเศร้า ทุกอย่างมันผิดเพี้ยนไปหมดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

     

    เพราะโชคชะตาของเธอถูกกำหนดให้ไม่มีวันได้รับความรักจากผู้ใดทั้งสิ้น…

     

    “ แม้ข้าจะต้องการอยู่ที่นี่แต่ไม่อาจทำได้ โชคชะตาช่างโหดร้ายเหลือเกินนะ ”

     

     

     

     

     

     

            มันเป็นเพียงระยะเวลาแค่อึดใจเดียวเท่านั้น รอยแยกที่ปรากฏบนผืนฟ้ากลับประสานเข้าหากันจนปิดสนิท พร้อมกับร่างของคนต่างมิติทั้งสามที่กลายเป็นภาพจืดจางก่อนเลือนหายไป แม้กษัตริย์แห่งอุรุคจะวิ่งเข้าไปคว้าร่างที่ผูกพันกันเท่าใด ฝ่ามือแกร่งกับคว้าได้เพียงอากาศอันว่างเปล่า สงครามแห่งเทพเจ้าจบลงอย่างง่ายดายพร้อมหยาดฝนที่โปรยปราย ชายหนุ่มทำได้เพียงทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นทรายอยู่แบบนั้น เวลาผ่านไปนานจนไม่อาจรู้ตัว เขาจึงตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในปราสาทของตนที่ในเวลานี้เงียบเหงาขึ้นมาทันตา

     

    เส้นทางที่ทุกคนไม่ต้องสละชีวิต นั่นหมายถึงการอยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอดกาลเท่านั้น

     

    เป็นอีกครั้งที่อาเธอเรียจากเขาไปโดยไร้คำร่ำลา ในเวลานี้แม้แต่เอนคิดูก็ยังหายสาบสูญไปอีกคน…

     

            ในอดีตกิลกาเมซไม่เคยเชื่อเรื่องความรัก ไม่คิดว่าจะมีใครสามารถมอบสิ่งนั้นกับเขาได้ หรือเขาจะสามารถมอบให้ใครได้อย่างไร้เงื่อนไข แต่ในเวลาที่ต้องสูญเสียสิ่งที่อยู่เคียงข้างมาโดยตลอดไป ก็รู้สึกราวกับโลกที่ยืนอยู่พังทลายลง ชายหนุ่มเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวไม่ออกไปที่ใด กิจวัตรประจำวันของเขาวนเวียนอยู่เพียงห้องนอนกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้จิตใจสงบลงได้เล็กน้อยก็เท่านั้น

     

            หญิงชราผู้ดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เห็นภาพเหล่านั้นจนเป็นเรื่องปกติ บางครั้งเธอวนเวียนเอาเครื่องดื่มหรืออาหารว่างมาให้ราชาหนุ่มผู้นั้นบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมันสักเท่าไรนัก หากความรักทำให้คนๆ หนึ่งสามารถตรอมใจได้ เธอคิดว่าชายคนนี้คงกำลังจมดิ่งอยู่กับความโดดเดี่ยวอันโหดร้าย ร่างกายทรุดโทรมลงจนใบหน้าที่เคยหล่อเหลาหม่นหมอง

     

            ชายหนุ่มทำเพียงทิ้งตัวลงนั่งลงหน้ารูปปั้นดินเหนียวของสหาย ดวงตาสีชาดทอดมองออกไปตามผืนทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตาอย่างไร้จุดหมาย หญิงผู้เชื่อมต่อกับเทพเจ้าได้กล่าวว่าเอนคิดูสูญเสียพลังไปมหาศาล ส่งให้เขาอยู่ในภาวะคล้ายคลึงกับการจำศีล อย่างไรก็ตามนั่นหมายความว่าเทพผมเขียวผู้นั้นยังมีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตเคียงข้างเขาได้อีกครั้ง กลับกันกลับไม่มีโอกาสใดทำให้หญิงที่ปรารถนากลับมาได้อีก เพราะหากฝืนเปิดมิติที่บิดเบี้ยวอีกครั้ง จุดจบของมันอาจไม่ได้เป็นแค่ชีวิตของราชาหนุ่มอีกต่อไป แต่อาจหมายถึงความสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์อีกมหาศาล

     

            ‘ด้วยพลังของพ่อมดท่านนั้น ข้าไม่อาจทราบได้เลยว่านางอยู่ที่ใด นั่นคือคำกล่าวจากแม่เฒ่า กิลกาเมซรู้ดีว่ามิติที่ถูกปิดตายไปแล้วยากที่จะเข้าไปแทรกแซงได้ เส้นทางที่อาเธอเรียเลือกคือการส่งตัวเองกลับไปยังที่ที่จากมา หากแต่ที่แห่งนั้นต้องการเพียงต้องการสังหารเธอให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้น ทั้งอย่างนั้นก็ยังจะเลือกกลับไปในโลกที่ปฏิเสธอยู่งั้นหรือ

     

            ฉับพลันภาพตรงหน้าที่เคยมีเพียงรูปปั้นอสูรกับแสงสลัวของคบเพลิงที่ประดับอยู่ตามเสาของวิหารก็ปรากฏแสงสว่างสีเขียวออกมาโดยรอบ แม้ไม่ได้มีเสียงเรียก แต่เปลวไฟสีเขียวที่กำลังลุกไหม้อย่างไร้ความร้อนเหล่านั้นราวกับกำลังดึงดูดชายหนุ่มให้เข้าไปหา

     

    “ นั่นเจ้าหรือสหาย ”

     

            เขาตั้งคำถามแต่ก็ไม่มีผู้ใดตอบกลับ บางสิ่งดลใจให้ยื่นมือไปสัมผัสรูปเคารพตรงหน้า ราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงอากาศที่กำลังหวีดร้อง ก่อนที่ทั้งร่างของเขาจะหายไปทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบเท่านั้น

     

            เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นทัศนียภาพอันมืดมิดรอบตัว แสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าก่อนจะกลายเป็นผืนน้ำและท้องฟ้าสีสดใสกว้างสุดลูกหูลูกตา แรงกระเพื่อมขยายเป็นวงกว้างทุกครั้งที่ก้าวเดิน แม้จะไม่คุ้นตาแต่กลับให้ความรู้สึกสงบจิตใจอย่างบอกไม่ถูก

     

    “ สวัสดีกิลกาเมซ ไม่ได้พบกันนาน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ”

     

            น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยสนทนาด้วย ก่อนภาพตรงหน้าจะค่อยๆ ก่อเป็นรูปร่างที่คุ้นเคยของอสูรแห่งบาบิโลน ปลายผมสีเขียวที่ยาวสลวยพลิ้วไหวไปตามแรงลม ใบหน้างดงามระบายรอยยิ้มสดใสราวกับกำลังต้องการทักทายสหายตรงหน้าที่มีใบหน้าหม่นหมองกว่าทุกครา

     

    “ ไม่ดีใจที่เจอข้าเลยงั้นหรือ ” เอนคิดูขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ทั้งที่เขาหายไปตั้งนานสองนาน แต่ราชาหนุ่มผู้นี้ก็ยังไม่มีท่าทางยินดีที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งเลยแม้แต่นิด …ใช่สิ เพราะเขารู้ว่าอย่างไรเอนคิดูก็จะต้องกลับมาในสักวันหนึ่ง

     

    “ แม่เฒ่าบอกว่าเจ้าเอาแต่หมกตัวอยู่ที่วิหาร ไม่เป็นอันทำการทำงานนี่ คิดถึงนางงั้นหรือ ”

     

    เสียงที่ควรจะเล็กเช่นเด็กหนุ่มกลับทุ้มขึ้น แต่ความน่าฟังยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ปลายเท้าของใครคนหนึ่งก้าวเข้ามายืนข้างกันกับเอนคิดู เขาสวมชุดสีขาวยาวถึงพื้น ผมสีเดียวกันปล่อยสยายลงไปตามแผ่นหลัง ใบหน้าคมคายระบายความอ่อนโยน

     

    “ เจ้า… ชายที่ชื่อเมอร์ลิน ” ใบหน้างุนงงที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนจนเมอร์ลินยกยิ้มบางๆ กิลกาเมซมองชายสองคนตรงหน้าสลับกันอย่างไม่เข้าใจนัก มิติแห่งนี้คือมิติที่รูปปั้นของเอนคิดูดึงดูดเขาเข้ามา เหตุใดจึงมีพ่อมดที่ควรจะกลับไปยังโลกของตนแล้วปรากฏกายขึ้นมาได้

     

    “ ทั้งเจ้า ข้า อาเธอเรีย วิเวียนและแลนเซลอตมีชะตาผูกกันแม้ช่วงเวลาจะเกิดในคนละยุคสมัย ”

     

    “ แม้แต่ข้าเองก็ถูกกำหนดให้ต้องเกิดมาในทุกยุคสมัยเช่นกัน ”

     

            กลิ่นอายของคนทั้งคู่คล้ายคลึงกันมากเสียจนน่าแปลกใจ กษัตริย์หนุ่มเคยได้ยินเรื่องราวของแม่ทัพหนุ่มที่มีนามว่าแลนเซลอตมาบ้าง ก็นับเป็นเรื่องแปลกที่คนทั้งคู่มีใบหน้าและร่างกายเดียวกัน ซ้ำเหตุการณ์ลอบสังหารกษัตริย์ยังเกิดขึ้นอีกครั้งราวกับถูกกำหนดเอาไว้ หากเป้าหมายของโชคชะตาดังกล่าวคือความตายของทั้งอาเธอเรียและเขา แลนเซลอตที่มีตัวตนเดียวกันกับแม่ทัพฮูวาวา และอิชทาร์ที่มีกลิ่นอายเดียวกันกับแม่มดที่ชื่อว่าวิเวียนนางนั้น

     

    แล้วเอนคิดูกับพ่อมดเมอร์ลินมีความเกี่ยวข้องกันเช่นไร

     

    “ นี่มันหมายความว่าอย่างไร ” ราวกับต้องการจะตอบข้อสงสัยนั้น เอนคิดูยกยิ้มให้แก่สหายของเขา ก่อนที่ทั้งร่างเพรียวจะค่อยๆ จางหายไป เหลือเพียงเมอร์ลินที่ยืนอยู่ผู้เดียว

     

    “ กว่าข้าจะเชื่อมต่อกับเขาได้ ” นักเวทย์ในชุดสีขาวยื่นมือของตนมาไว้ด้านหน้า เกิดลูกไฟสีเขียวดวงเล็กบนฝ่ามือกว้างนั้น ก่อนที่ดวงตาคู่คมที่เคยมีสีม่วงจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวสว่างในชั่วขณะ กิลกาเมซจำได้ดีว่านั่นเป็นพลังชีวิตของเอนคิดูอย่างไม่ผิดแน่แท้

     

    “ ความจริงแล้วเขาและข้าคือคนๆ เดียวกัน ถูกกำหนดให้เกิดมาเพื่ออยู่เคียงข้างพวกเจ้าทั้งสองน่ะ ”

     

            เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องราวก็ต้องเกิดขึ้นกับคนทั้งคู่ เมอร์ลินล่วงรู้เหตุการณ์เหล่านั้นตั้งแต่วิเวียนเริ่มทรยศต่อเขา เพราะหญิงคนนั้นทะเยอทะยานในการมีอำนาจมากมายในมือ และอิชทาร์เป็นถึงหญิงผู้ถือครองพลังเทพแห่งสงคราม นางจึงละเมิดกฎโดยการเปิดมิติที่ควรจะดำเนินไปตามสัจธรรมของโลกเพื่อนำพลังนั้นมาเป็นของตน ผลกระทบของมันอาจหมายถึงมิติใดมิติหนึ่งโดนกวาดล้างจนไม่เหลือผู้รอดชีวิต

     

            อาจเพราะความผูกพันกับกษัตริย์แห่งบริทาเนียที่ตนเคยเลี้ยงดูมาตั้งแต่กำเนิด เมอร์ลินไม่อาจปล่อยให้อาเธอเรียสิ้นชีวิตต่อหน้าเขาได้ หนึ่งในผู้ฝืนเปิดมิติกลับกลายเป็นตัวเขาเสียเอง เพียงแต่จุดประสงค์ในคราวนี้คือการหยุดยั้งวิเวียนไม่ให้ทำเรื่องเลวร้าย จนกว่าจะถึงเวลาที่ถูกปลดปล่อยจากการกักขัง อาเธอเรียจะต้องได้รับการช่วยเหลือให้รอดชีวิต และเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือเขาในอนาคต

     

    “ อาเธอเรีย ในเวลานี้นางอยู่ที่ใด ” กิลกาเมซเอ่ยถามแม้จะรู้คำตอบดังกล่าวอยู่แล้ว หากแต่เมอร์ลินที่ควรจะถูกส่งกลับไปยังที่แห่งนั้นยังมาปรากฏตัวในมิติของเอนคิดูได้ อาจเป็นไปได้ที่อาเธอเรียจะยังคงไม่ได้จากไปไกล

     

    “ เจ้าเป็นคนพานางไป ส่งนางกลับไปที่เดิมแล้วงั้นหรือ ”

     

    “ นางไม่ยอมกลับไปน่ะ ” นักเวทย์สีขาวส่ายศีรษะปฏิเสธ

     

    “ ครั้งหนึ่งข้าเคยพลาดท่าต่อวิเวียน ทำให้ชะตากรรมของนางต้องเป็นเช่นนั้น ใครจะไปคิดว่าการกลับมาแก้ไขอดีตที่ยุ่งเหยิงของข้า จะทำให้พวกเจ้าได้ผูกพันกัน ”

     

            อาเธอเรียเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กสาวที่มีจิตใจดีโดยเนื้อแท้ เพราะสายเลือดแห่งเพนดราก้อนที่ถือครองพลังศักดิ์สิทธิ์ทำให้ต้องสืบบัลลังก์อย่างมิอาจปฏิเสธได้ แต่เพศสภาพที่เป็นหญิงก่อให้เกิดผู้ต่อต้านจำนวนมากมาย ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของเขาที่เคี่ยวเข็ญให้นางต้องเป็นกษัตริย์ทั้งที่ไม่เคยต้องการ เด็กสาวผู้งดงามคนนั้นควรจะได้มีชีวิตอย่างมีความสุขอย่างที่เธอต้องการมากกว่าด้วยซ้ำ

     

            อาจเพราะโชคชะตาที่ซ้อนทับกันของเด็กสาวและราชาหนุ่มตรงหน้า เป็นสิ่งที่อธิบายได้ดีถึงดวงไฟแห่งจิตวิญญาณที่ได้รับภารกิจชั่วชีวิตก่อนถูกแบ่งออกเป็นสอง เมื่อชิ้นส่วนของดวงไฟทั้งคู่ได้วนกลับมาพบกันอีกครั้ง พวกเขาจึงรักกันอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้

     

    “ แล้วนางอยู่ที่ใด ”

     

            ชายหนุ่มเริ่มรำคาญใจกับท่าทียึกยักของคนตรงหน้า เมอร์ลินสามารถอ่านความคิดดังกล่าวได้ เขาวาดมือไปในอากาศเพียงไม่กี่ครั้ง ภาพตรงหน้าที่เคยเป็นผืนน้ำอันเงียบสงบกลับเปลี่ยนเป็นทะเลลึกที่เชี่ยวกราก ท้องสภาที่เคยสว่างสดใสเปลี่ยนเป็นยามราตรีอันมืดมิด คลื่นลูกใหญ่กระทบฝั่งจนเกิดเป็นเสียงระเบิดของน้ำที่กระเซ็นโดนผิวหนัง

     

    “ ใต้ทะเลลึก… นางไม่ยอมกลับไปยังที่ที่จากมา แต่ก็ไม่ยอมกลับมายังโลกของเจ้าเช่นกัน ” พวกเขายืนอยู่ที่ปลายหน้าผาสูงชะลูด สถานที่แห่งนี้คือช่องว่างระหว่างมิติเวลาทั้งสอง ไม่ใช่ทั้งบาบิโลนและบริทาเนีย

     

    “ เพราะปฏิเสธโชคชะตาจึงทำได้เพียงหลับใหลอยู่แบบนั้น ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ ”

     

            เพราะไม่ต้องการกลับไปยังที่ที่จากมา และเฝ้าโทษว่าโชคชะตาที่เกิดขึ้นกับกิลกาเมซเป็นความผิดของตน อาเธอเรียจึงไม่อาจกลับไปในทั้งสองมิติเวลาได้ แต่เดิมแล้วชีวิตของเธอต้องจบลงที่บริทาเนีย จึงไม่มีตัวตนของกษัตริย์หญิงผู้นี้อยู่ในมิติแห่งนั้นอีกต่อไป รวมถึงไม่เคยมีตัวตนของอาเธอเรียในอาณาจักรบาบิโลนตั้งแต่แรกเช่นกัน ทางเลือกที่เหมาะสมจึงกลายเป็นช่องว่างระหว่างเวลาเพียงเท่านั้น

     

    “ เจ้าจะลงไปช่วยเหลือนางหรือไม่ ” เมอร์ลินเอ่ยถามคนผมทองตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง อีกฝ่ายก็ตอบกลับเขามาด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความลังเลเช่นกัน

     

    “ ข้าจะทำ ต้องทำเช่นใด ”

     

    เด็กสาวคนนั้นไม่ได้รู้ตัวเลยว่า นั่นเป็นสิทธิพิเศษของเธอที่เลือกจะอยู่ ณ มิติใดก็ได้หากเธอปรารถนา

     

    เพียงเพราะอาเธอเรียเลือกกักขังตนเองในทะเลลึก คงมีเพียงชายคนนี้ที่จะดึงเธอขึ้นมาอีกครั้งได้

     

    “ ทะเลแห่งนี้คือมิติระหว่างทั้งสองช่วงเวลา …ตามหานางให้เจอ ณ จุดสิ้นสุดของโลก 

     

            เป็นอีกครั้งที่กิลกาเมซจะต้องออกตามหาเด็กสาวท่ามกลางพื้นที่อันมืดมิด ดวงตาสีโลหิตทอดมองผืนน้ำสีครามตรงหน้าอย่างพิจารณา ไม่อาจทราบได้เลยว่าก้นทะเลจะอยู่ลึกลงไปถึงเพียงใด ทั้งอย่างนั้นเขากลับไม่ลังเลที่จะกระโดดลงไปเพื่อหวังได้พบกับคนที่ตนรักอีกสักครั้ง ต่อให้ต้องถูกกักขังอยู่ในผืนน้ำแห่งนี้ไปชั่วนิรันดร์ก็ตาม

     

            แม้ร่างกายจะสัมผัสได้ถึงผืนน้ำและแรงกดดันจากทะเล แต่น่าแปลกที่เขาสามารลืมตาและหายใจในน้ำได้ ดวงตาสีชาดพยายามกวาดมองไปรอบตัว แต่ก็พบเพียงความมืดมิด ใต้ผืนน้ำแห่งนี้มีเพียงความเงียบเหงาและหนาวเหน็บ ความเย็นที่สัมผัสผิวกายราวกับกำลังกลืนกินพลังชีวิตให้ลดลงอย่างเชื่องช้า

     

            เวลาผ่านไปนานเท่าใดเขาไม่อาจทราบได้ ร่างสูงโปร่งทำเพียงดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ เพื่อหวังจะเจอสิ่งที่เรียกว่าจุดสิ้นสุดของโลก เพราะมันมีเพียงความมืดที่อยู่เคียงข้างกัน กิลกาเมซรู้สึกราวกับกำลังว่ายวนอยู่ที่เดิม ราวกับพื้นที่ระหว่างมิติแห่งนี้จะลึกลงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เพราะถวิลหาเธอคนนั้นเหลือเกิน ร่างกายจึงไม่อาจหยุดเคลื่อนไหวลงตรงนี้ได้

     

    เหตุใดเจ้าจึงผูกตัวเองไว้ในที่แห่งนี้ที่มีเพียงความมืดมิดกันเท่านั้นนะอาเธอเรีย

     

            ความอ่อนล้าเริ่มเข้าปกคลุมทั้งสรรพางค์กาย หลายครั้งนึกอยากถอดใจและว่ายกลับไปยังที่ที่จากมา ครั้นคิดว่าจะทิ้งให้เด็กสาวอยู่คนเดียวในที่แห่งนี้ก็ไม่อาจทำได้ พลันแสงสว่างหนึ่งกลับค่อยๆ ปรากฏเข้ามาในลานสายตา ลึกลงไปไม่มากนักมีสิ่งปลูกสร้างขนาดเล็กคล้ายคลึงกับกรงนกวางอยู่กับผืนทราย และเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่ที่ข้อเท้า

     

    อาเธอเรีย นั่นเจ้าใช่หรือไม่

     

            ในที่สุดกษัตริย์หนุ่มก็พาตนเองมาสู่ก้นทะเลได้ หลังเปิดประตูเหล็กสิ่งที่คล้ายกับกรงนกได้ เขาโผเข้าสวมกอดร่างตรงหน้าแบบไม่ต้องคิด ร่างที่ถูกพันธนาการอยู่ที่ก้นทะเลลึกเป็นเพียงเด็กสาวที่เขาคุ้นเคย ผมยาวสีทองพลิ้วไหวไปตามกระแสน้ำ ใบหน้างดงามทำเพียงหลับไหลอย่างนิ่งสงบเท่านั้น

     

     …กิลกาเมซ ” เพราะสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากกายของใครอีกคน อัญมณีสีเขียวที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตาจึงเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า อาเธอเรียไม่คิดว่าคนที่ปรากฏขึ้นในเวลานี้จะเป็นกษัตริย์หนุ่มที่ตนได้ช่วยเหลือเอาไว้

     

    “ กลับไปกับข้าเถิดหนา ”

     

    “ ข้าไม่อาจกลับไปได้ การมีอยู่ของข้าทำให้ท่านเสี่ยงอันตราย ” เพราะคิดถึงเหลือเกินน้ำตามันจึงไหลออกมาอย่างไม่อาจกลั้น เพราะเธอวิเวียนจึงปรากฏตัวขึ้นที่นครอุรุค หากเด็กสาวไม่ถูกส่งไป ณ ที่แห่งนั้นตั้งแต่แรก โชคชะตาอันโหดร้ายคงไม่วนกลับมาเกิดอีกครั้ง การมีตัวตนของเธอจึงไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นที่แห่งใด

     

    “ เจ้าเป็นผู้ช่วยข้าจากเหตุการณ์นั้น จำไม่ได้หรือ ” ฝ่ามือใหญ่สัมผัสใบหน้าอ่อนเยาว์อย่างอ่อนโยน เขาระบายยิ้มเล็กน้อยให้คนตรงหน้า เด็กสาวคนนี้จิตใจดีเกินกว่าจะถูกลงโทษให้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เรื่องราวที่ผ่านมามันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดอยู่แล้ว ไม่ใช่ความผิดของผู้ใดทั้งสิ้น

     

    จะว่ากันตามความจริง… คนที่ส่งเด็กคนนี้ไปยังบาบิโลนตามความต้องการของตนเองคือพ่อมดสีขาวผู้นั้นเสียด้วยซ้ำ

     

    “ ข้าต้องการเจ้าอาเธอเรีย บาบิโลนคือที่ที่เจ้าสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องมีข้อจำกัดใด ”

     

    เขาทราบเงื่อนไขในการเลือกอยู่ ณ ที่แห่งใดก็ได้จากเมอร์ลินแล้ว และกิลกาเมซไม่มีทางยอมให้นางกลับไปในที่ที่ทำร้ายนางอย่างแน่นอน

     

    “ กลับไปกับข้าเถอะนะ เพราะข้ารักเจ้าเหลือเกิน ”

     

     

     

     

     

     

            เวลาได้ล่วงเลยไปเนิ่นนานนับตั้งแต่เขาได้ดำดิ่งไปสู่ใต้ทะเลลึก อิชทาร์ที่สูญเสียพลังส่วนใหญ่ไปกลายเป็นเพียงเทพเจ้าแค่ในนามเท่านั้น ส่วนแม่ทัพฮูวาวาหลังหลุดออกจากการควบคุมได้ ก็ขอปลดประจำการตนเองและออกเดินทางไปยังพื้นที่ห่างไกลอย่างไม่มีวันย้อนกลับ

     

            บ้านเมืองกลับเข้าสู่ความปกติอีกครา มหานครอุรุคยังคงเป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองและมีการปกครองที่ดี แม้ภาพลักษณ์ผู้มักมากในกามและมัวเมาในสุราจะยังมิอาจสลัดไปได้จนหมดสิ้น แต่ผู้คนต่างทราบกันดีว่ากษัตริย์กิลกาเมซกลายเป็นชายหนุ่มผู้ทรงอำนาจที่กลับมาอยู่ในทำนองครองธรรม เขาเลิกให้ความสนใจในสตรีทุกนาง ไม่ว่าหญิงคนนั้นจะงดงามเพียงใดก็ไม่อาจซื้อใจของเขาได้

     

            ในเวลานี้กษัตริย์ผู้หล่อเหลาคนนั้นกำลังประคองร่างบอบบางของหญิงคนหนึ่งให้เดินไปข้างหน้าอย่างทะนุถนอม เธอเป็นหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีทองที่ปล่อยยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าเล็กงดงามราวกับเทพธิดา กระโปรงสีขาวสะอาดส่งให้ผิวเนียนละเอียดโดดเด่นราวกับไข่มุก

     

    “ ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้ ” เจ้าของใบหน้าหวานขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย แขนแกร่งกำลังโอบรอบเอวบางราวกับกลัวเธอล้มพับไปเสียตอนนี้ หากแต่สุขภาพของเธอกำลังแข็งแรงดี ไม่ได้มีปัญหาตรงไหนเสียหน่อย

     

    “ ไม่เอา เจ้าต้องไปนั่งตรงนั้นก่อน ”

     

            คนตัวสูงไม่ยอมปล่อยมือ ซ้ำยังชี้นิ้วไปยังเก้าอี้ตรงหน้าที่ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้นานาพรรณ กิลกาเมซเอ่ยให้ฟังว่าก่อนหน้านี้เขาตั้งใจสร้างมันขึ้นมาเพื่อเธอคนเดียวเท่านั้น กลิ่นหอมละมุนของดอกไม้หลากสีสันให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างง่ายดาย กว่าคนตัวใหญ่จะปล่อยเธอให้เป็นอิสระก็ตอนที่ทั้งร่างทิ้งตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้แล้ว

     

    “ ข้าแค่ตั้งครรภ์ไม่ได้พิการเสียหน่อย ”

     

            กษัตริย์หนุ่มหาได้ฟังคำพูดเหล่านั้นไม่ เขายกยิ้มพอใจขึ้นมาบนใบหน้าก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างภรรยาของตน ไม่ทันได้ตั้งตัวก็วางศีรษะของตนลงบนตักนุ่มของอาเธอเรียจนเธอสะดุ้งขึ้นเบาๆ เขาจุมพิตลงกับหน้าท้องที่นูนโตขึ้นมาของคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน

     

    “ ลูกของข้ากับเจ้าจะหน้าตาเป็นอย่างไรกันนะ หากเป็นหญิงคงงดงามเช่นเจ้า หากเป็นชายคงคมคายร่ำลือไปหลากหลายอาณาจักรเช่นกัน”

     

    “ แต่อย่างไรคงไม่งามไปกว่าข้าไปได้ ” ใบหน้าที่พูดขึ้นอย่างจริงจังเรียกเสียงหัวเราะออกมาจากผู้ฟังเบาๆ รอยยิ้มอันงดงามของเธอคนนั้นส่งให้กิลกาเมซมิอาจหุบยิ้มลงได้ เขาชอบรอยยิ้มนั้นยิ่งกว่าอัญมณีอันมีค่าใดๆ บนโลกนี้

     

            ฝ่ามือบอบบางเลื่อนไปสัมผัสใบหน้าคมคายของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา ดวงตาสีมรกตทอดมองรายละเอียดตรงหน้าอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีโลหิตสอดประสานกันชั่วขณะหนึ่ง เขายังคงระบายยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่ชอบทำบ่อยๆ ให้เห็นอยู่เสมอ

     

    “ ท่านไม่เห็นจะรูปงามตรงไหนเลย ทำไมข้าจึงรักท่านนักนะ ”

     

    “ เจ้านี่ใจร้ายชะมัด ” รอยยิ้มนั่นหุบลงกลายเป็นการขมวดคิ้วงอนเช่นเด็กน้อยแทบจะทันที

     

    “ แต่ข้าก็รักคนใจร้ายนะ ”

     

            อาเธอเรียหัวเราะขำออกมาอีกครั้งกับคำพูดนั้น เป็นเวลาสักพักแล้วที่คนทั้งคู่ตัดสินใจร่วมกันว่าจะไม่ปกปิดความรู้สึกที่มีต่อกันอีกต่อไป แต่ครั้นจะให้พูดเรื่องแบบนี้ออกมาอยู่ตลอดมันก็ทำให้เธอรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อยเช่นกัน …เลี่ยนจะตายอยู่แล้ว

     

    “ อยู่กับข้านะอาเธอเรีย อย่าจากไปที่ใดอีกเลย ไม่เช่นนั้นข้าคงเหมือนคนตาย ” กิลกาเมซประกบฝ่ามือของตนเข้ากับคนตรงหน้า มือของเธอทั้งบอบบางและมีขนาดเล็กราวกับเด็ก หากแต่มีฝีมืออันแกร่งกล้าผิดกับภายนอกที่เห็นนัก แต่ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ยังให้ความรู้สึกว่าอยากปกป้อง อยากทะนุถนอมเธอคนนี้ไว้ไม่ให้ลำบาก

     

    สองหนแล้วที่เขาต้องไปตามเธอกลับมา… คราวหน้าชายหนุ่มจะไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นอีกอย่างเด็ดขาด

     

    “ ข้าจะไม่หนีไปไหนอีกแล้ว สัญญาเลย ”

     

    “ สัญญาแล้วนะ ” เขาพลิกมือของเธอกลับมาให้นิ้วก้อยของคนทั้งคู่ได้เกี่ยวพันกัน รอยยิ้มน้อยๆ ระบายบนริมฝีปากบางอย่างงดงาม

     

    ทำไมชายผู้นี้จึงมีมุมแบบนี้กันนะ

     

            ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่เธอมีความสุขได้มากขนาดนี้… ทั้งที่เคยคิดว่าโอกาสดังกล่าวคงไม่มีวันเกิดขึ้นกับตน อาเธอเรียกุมฝ่ามือที่ใหญ่กว่าตนไว้อย่างเนิ่นนานราวกับไม่ต้องการให้เขาหายไปไหน หากเธอมีโอกาสดังกล่าวนี้แล้ว ก็จะรีบคว้ามันไว้อย่างไม่รีรอ โชคชะตาอันโหดร้ายได้สิ้นสุดลงแล้ว เรื่องราวที่จะดำเนินต่อไปมีเพียงเธอเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดมันเอง

     

    เพราะอาเธอเรียรู้ตัวดี ว่าเธอเองก็ขาดกิลกาเมซไปไม่ได้เช่นกัน

     

    หญิงสาวสมควรที่จะได้รับความรัก และมอบความรักให้ผู้อื่นได้โดยไม่ต้องมีค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น

     

     

            บางครั้งนี่อาจเป็นตำนานที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยจารึกเอาไว้ หากแต่กษัตริย์กิลกาเมซก็ได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เขารักจนวันสุดท้ายของอายุขัย เรื่องราวของกษัตริย์จากทั้งสองมิติเวลาจึงได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้...

     

     

       

     

     

    THE END…

     

     

     


     



              


    ขอโทษที่มาอัพช้านะคะ พอดีไรเตอร์ต้องจัดการกับเรื่องเอกสารส่วนตัวอยู่พักใหญ่เลยค่ะ;-;
    ในที่สุดเรื่องราวก็จบลงแล้ว จบแบบอ้างอิงประวัติศาสตร์นิดหน่อยด้วย
    ทีแรกไม่คิดว่าจะยาวเลยค่ะ แต่ไปแต่มาดัน 4500 กว่าคำซะอย่างนั้น

    หลังจากนี้จะไปอัพฟิคเรื่องอื่นต่อแล้วนะคะ ซึ่งก็คือฟิคดีเกรย์แมนนั่นเอง
    ขอเวลาไรเตอร์ไปแก้ไขพลอตซักหน่อย แล้วจะกลับมาเขียนต่ออย่างแน่นอนค่ะ


    * เกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์เล็กน้อย (สามารถข้ามได้นะคะ แปะมาเพื่อทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้น)

    ▼ บางตำนานของคิงอาเธอร์ก็กล่าวว่าดาบเอ็กคลาลิเบอร์สร้างขึ้นจากพลังของเมอร์ลินค่ะ เพื่อเป็นอุบายให้อาเธอร์สามารถดึงมันออกจากหินได้ และกลายเป็นคำบอกเล่าไปว่าเขานั้นเหมาะสมที่จะได้เป็นกษัตริย์แล้วค่ะ

    ▼ ภายหลังจากเอนคิดูเสียชีวิตไป กิลกาเมซก็เข้าใจสัจธรรมของชีวิตค่ะ เขาพยายามหาหนทางให้ตัวเองมีชีวิตอมตะ จึงออกเดินทางเพื่อตามหาความอมตะนั้น ซึ่งก็คือต้นไม้ที่จะให้ความอ่อนเยาว์นั่นเองค่ะ และต้นไม้ดังกล่าวก็อยู่ในใต้ทะเลลึก ซึ่งป๋ากิลแกก็ลงทุนดำไปใต้ทะเลเพื่อตามหา 'จุดสิ้นสุดของโลก' ที่ต้นไม้นี้เติบโตอยู่ (สมัยก่อนเชื่อว่าโลกแบนนั่นเอง) 

     ปรากฏว่าเขาก็ได้ต้นไม้นั้นมานะคะ แต่มีงูสองตัวชิงต้นไม้นั้นไประหว่างทาง กิลกาเมซเลยกลับขึ้นไปบนพื้นดินแบบตัวเปล่า แล้วก็ปลงได้ว่าคนเราก็ต้องตายอยู่ดี เลยเลือกจะใช้ชีวิตต่อไปจนสิ้นอายุขัย แล้วเลือกให้คนสลักเรื่องราวของเขาไว้บนแผ่นจารึกแทนค่ะ จึงเกิดเป็นตำนานมหากาพย์กิลกาเมซขึ้นมานั่นเองค่ะ


    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงตอนสุดท้ายนะคะ :)
    เป็นอย่างไรกันบ้างมาติชมและพูดคุยกันได้ค่ะ

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×