คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 10 [END]
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
ข้อแลกเปลี่ยนของการอุดรอยรั่วระหว่างมิติ
นั่นหมายถึงสิ่งที่ผิดที่ผิดทางควรถูกจัดวางให้ถูกต้องเสียที…
“
เอ็กคลาลิเบอร์ของเจ้าร่วมกับพลังของข้า ทำลายพลังที่บิดเบี้ยวของมิตินี้เสีย
และโชคชะตาของเจ้าทั้งสองจะไม่เชื่อมต่อกันอีกต่อไป ”
สิ้นเสียงทุ้มนั้น ร่างที่ควรจะถูกกักขังอยู่ ณ
ดินแดนอันแสนไกลกลับปรากฏตัวข้างๆ กับอาเธอเรีย
แม้เด็กสาวจะยินดีที่ในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้ง
แต่ความหมายของประโยคดังกล่าวทำให้ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น
แต่เดิมแล้วดาบศักดิ์สิทธิ์อาศัยเวทย์มนต์ของเมอร์ลินในการก่อรูปร่างอันประณีต
แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองล้วนแล้วแต่สืบทอดผ่านสายเลือดเพนดราก้อน
หากพลังดังกล่าวผนึกรวมเข้ากับเวทมนต์ที่ทรงอำนาจของพ่อมดแห่งบริทาเนีย
อาจมีกำลังพอที่จะปิดกั้นรอยรั่วที่วิเวียนฝ่าฝืนมายังบาบิโลนได้
แต่นั่นหมายความว่าทั้งเธอ
เมอร์ลิน และวิเวียนจะต้องถูกส่งกลับไปยังบริทาเนียเช่นกัน…
มือเรียวกำดาบแน่น
เอ่ยเรียกพลังศักดิ์สิทธิ์และทุ่มกำลังทั้งหมดไปที่รอยแยกแห่งมิติที่ปรากฏทันที
เมอร์ลินเมื่อเห็นการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวจึงวาดฝ่ามือไปในอากาศตรงหน้า
พลันเกิดแสงสว่างสีขาวเข้าช่วยเสริมอานุภาพดังกล่าว
เบื้องหน้าคือม่านพลังที่เชื่อมลงมาจากท้องฟ้ากว้าง รอยแยกที่บิดเบือนค่อยๆ
ถูกประสาน เกิดเป็นเสียงฟ้าคะนองดังก้องไปทั่วพื้นที่
หากไม่ทำอะไรสักอย่าง
กิลกาเมซจะแพ้และต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้เป็นแน่
“ เจ้ากำลังทำอะไร
หยุดนะ! ” สิ่งนั้นเรียกความสนใจจากหญิงที่กำลังได้เปรียบให้กลับมาว้าวุ่น
ดวงตาสีโลหิตคู่สวยตวัดมองยังกษัตริย์แห่งบริทาเนีย
ในอดีตหญิงคนนี้มีปมด้อยเรื่องเพศสภาพ การปั่นหัวคนใกล้ตัวจึงทำได้ง่ายนัก แต่ ณ
มิติแห่งนี้ คนที่ควรจะตายไปแล้วกลับกำลังขัดขวางหนทางสู่การครอบครองทุกสิ่งอย่างที่วิเวียนปรารถนา
ซ้ำยังมีชายหน้าโง่ที่เธอผนึกเขาไว้เองกับมือร่วมส่งเสริมด้วยอีก
พลังที่มากมายของคนเหล่านั้นทำให้มิติที่ปั่นป่วนกลับมาเสถียรอีกครา… ทั้งที่มั่นใจแล้วว่าเขาจะไม่มีวันหนีออกมาได้อีก
แต่พ่อมดผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างไร
“ เมอร์ลิน
ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ ” ในเวลานี้เมอร์ลินไม่ได้ใส่ใจท่าทางของเธอ
แม้วิเวียนจะเป็นหญิงที่เขารักจนหมดใจ แต่ด้วยเส้นทางที่แยกจากกัน
ไม่ว่าอย่างไรชายหนุ่มก็ไม่อาจอภัยให้นางได้
“เจ้าทรยศข้าวิเวียน
ข้าคงปล่อยให้เจ้าปั่นป่วนมิติอีกต่อไปไม่ได้”
กษัตริย์แห่งอุรุคที่ได้รับการช่วยเหลือพยุงตัวขึ้นยืนอย่างยากลำบาก
เขาทำความเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ภาพของอาเธอเรียที่เห็นในสายตาส่งให้รู้สึกปั่นป่วนในจิตใจอย่างบอกไม่ถูก
พลังที่เคยเข้าแทรกแซงในกายของอิชทาร์กำลังสั่นไหวอย่างไม่มั่นคง
ดวงจิตที่เคยหลอมรวมกันแล้วกำลังค่อยๆ แตกเป็นสอง
ร่างและพลังเวทย์ของวิเวียนโดนดึงออกมาก่อนผนึกการเคลื่อนไหวไว้เช่นนั้น
แรงดึงบางอย่างกระทบผิวหนังทำให้รู้ตัวว่าถึงเวลาที่ต้องกลับไปยังมิติที่จากมาเสียแล้ว
เจ้าของดวงตาสีมรกตเลื่อนสายตาไปยังใบหน้าคมคายของชายผมทอง
เธอจ้องนิ่งอย่างนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร อีกฝ่ายเองก็มองกลับมาอย่างใจหาย
สังหรณ์ใจบางอย่างกำลังบอกให้รู้ตัวว่าอาจไม่ได้พบกับเธอคนนี้อีก
กิลกาเมซเชื่อเสมอว่าทั้งเธอและเขาสามารถสละชีพของตนเพื่อให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตต่อไปได้
“ เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ให้เจ้าไป ”
ขายาวรีบก้าวเข้าไปใกล้ร่างนั้น
ทันใดแสงที่เคยเคลือบอยู่รอบดาบศักดิ์สิทธิ์ของเธอก็แผ่ขยายมาปกคลุมทั้งร่างบางเอาไว้
เพราะทางเลือกที่มีมีเพียงเส้นทางเดียว แม้ไม่ต้องการก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ใบหน้าหวานระบายยิ้มเศร้า ทุกอย่างมันผิดเพี้ยนไปหมดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เพราะโชคชะตาของเธอถูกกำหนดให้ไม่มีวันได้รับความรักจากผู้ใดทั้งสิ้น…
“
แม้ข้าจะต้องการอยู่ที่นี่แต่ไม่อาจทำได้ โชคชะตาช่างโหดร้ายเหลือเกินนะ ”
มันเป็นเพียงระยะเวลาแค่อึดใจเดียวเท่านั้น
รอยแยกที่ปรากฏบนผืนฟ้ากลับประสานเข้าหากันจนปิดสนิท
พร้อมกับร่างของคนต่างมิติทั้งสามที่กลายเป็นภาพจืดจางก่อนเลือนหายไป
แม้กษัตริย์แห่งอุรุคจะวิ่งเข้าไปคว้าร่างที่ผูกพันกันเท่าใด
ฝ่ามือแกร่งกับคว้าได้เพียงอากาศอันว่างเปล่า
สงครามแห่งเทพเจ้าจบลงอย่างง่ายดายพร้อมหยาดฝนที่โปรยปราย ชายหนุ่มทำได้เพียงทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นทรายอยู่แบบนั้น
เวลาผ่านไปนานจนไม่อาจรู้ตัว
เขาจึงตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในปราสาทของตนที่ในเวลานี้เงียบเหงาขึ้นมาทันตา
เส้นทางที่ทุกคนไม่ต้องสละชีวิต
นั่นหมายถึงการอยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอดกาลเท่านั้น
เป็นอีกครั้งที่อาเธอเรียจากเขาไปโดยไร้คำร่ำลา
ในเวลานี้แม้แต่เอนคิดูก็ยังหายสาบสูญไปอีกคน…
ในอดีตกิลกาเมซไม่เคยเชื่อเรื่องความรัก
ไม่คิดว่าจะมีใครสามารถมอบสิ่งนั้นกับเขาได้
หรือเขาจะสามารถมอบให้ใครได้อย่างไร้เงื่อนไข
แต่ในเวลาที่ต้องสูญเสียสิ่งที่อยู่เคียงข้างมาโดยตลอดไป
ก็รู้สึกราวกับโลกที่ยืนอยู่พังทลายลง ชายหนุ่มเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวไม่ออกไปที่ใด
กิจวัตรประจำวันของเขาวนเวียนอยู่เพียงห้องนอนกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้จิตใจสงบลงได้เล็กน้อยก็เท่านั้น
หญิงชราผู้ดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เห็นภาพเหล่านั้นจนเป็นเรื่องปกติ
บางครั้งเธอวนเวียนเอาเครื่องดื่มหรืออาหารว่างมาให้ราชาหนุ่มผู้นั้นบ้าง
แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมันสักเท่าไรนัก หากความรักทำให้คนๆ หนึ่งสามารถตรอมใจได้
เธอคิดว่าชายคนนี้คงกำลังจมดิ่งอยู่กับความโดดเดี่ยวอันโหดร้าย
ร่างกายทรุดโทรมลงจนใบหน้าที่เคยหล่อเหลาหม่นหมอง
ชายหนุ่มทำเพียงทิ้งตัวลงนั่งลงหน้ารูปปั้นดินเหนียวของสหาย
ดวงตาสีชาดทอดมองออกไปตามผืนทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตาอย่างไร้จุดหมาย
หญิงผู้เชื่อมต่อกับเทพเจ้าได้กล่าวว่าเอนคิดูสูญเสียพลังไปมหาศาล
ส่งให้เขาอยู่ในภาวะคล้ายคลึงกับการจำศีล
อย่างไรก็ตามนั่นหมายความว่าเทพผมเขียวผู้นั้นยังมีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตเคียงข้างเขาได้อีกครั้ง
กลับกันกลับไม่มีโอกาสใดทำให้หญิงที่ปรารถนากลับมาได้อีก
เพราะหากฝืนเปิดมิติที่บิดเบี้ยวอีกครั้ง
จุดจบของมันอาจไม่ได้เป็นแค่ชีวิตของราชาหนุ่มอีกต่อไป
แต่อาจหมายถึงความสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์อีกมหาศาล
‘ด้วยพลังของพ่อมดท่านนั้น ข้าไม่อาจทราบได้เลยว่านางอยู่ที่ใด’ นั่นคือคำกล่าวจากแม่เฒ่า
กิลกาเมซรู้ดีว่ามิติที่ถูกปิดตายไปแล้วยากที่จะเข้าไปแทรกแซงได้
เส้นทางที่อาเธอเรียเลือกคือการส่งตัวเองกลับไปยังที่ที่จากมา
หากแต่ที่แห่งนั้นต้องการเพียงต้องการสังหารเธอให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้น
ทั้งอย่างนั้นก็ยังจะเลือกกลับไปในโลกที่ปฏิเสธอยู่งั้นหรือ…
ฉับพลันภาพตรงหน้าที่เคยมีเพียงรูปปั้นอสูรกับแสงสลัวของคบเพลิงที่ประดับอยู่ตามเสาของวิหารก็ปรากฏแสงสว่างสีเขียวออกมาโดยรอบ
แม้ไม่ได้มีเสียงเรียก
แต่เปลวไฟสีเขียวที่กำลังลุกไหม้อย่างไร้ความร้อนเหล่านั้นราวกับกำลังดึงดูดชายหนุ่มให้เข้าไปหา
“ นั่นเจ้าหรือสหาย ”
เขาตั้งคำถามแต่ก็ไม่มีผู้ใดตอบกลับ
บางสิ่งดลใจให้ยื่นมือไปสัมผัสรูปเคารพตรงหน้า ราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล
ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงอากาศที่กำลังหวีดร้อง
ก่อนที่ทั้งร่างของเขาจะหายไปทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบเท่านั้น
เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นทัศนียภาพอันมืดมิดรอบตัว
แสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าก่อนจะกลายเป็นผืนน้ำและท้องฟ้าสีสดใสกว้างสุดลูกหูลูกตา
แรงกระเพื่อมขยายเป็นวงกว้างทุกครั้งที่ก้าวเดิน
แม้จะไม่คุ้นตาแต่กลับให้ความรู้สึกสงบจิตใจอย่างบอกไม่ถูก
“ สวัสดีกิลกาเมซ
ไม่ได้พบกันนาน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยสนทนาด้วย ก่อนภาพตรงหน้าจะค่อยๆ
ก่อเป็นรูปร่างที่คุ้นเคยของอสูรแห่งบาบิโลน
ปลายผมสีเขียวที่ยาวสลวยพลิ้วไหวไปตามแรงลม
ใบหน้างดงามระบายรอยยิ้มสดใสราวกับกำลังต้องการทักทายสหายตรงหน้าที่มีใบหน้าหม่นหมองกว่าทุกครา
“
ไม่ดีใจที่เจอข้าเลยงั้นหรือ ” เอนคิดูขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
ทั้งที่เขาหายไปตั้งนานสองนาน
แต่ราชาหนุ่มผู้นี้ก็ยังไม่มีท่าทางยินดีที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งเลยแม้แต่นิด …ใช่สิ
เพราะเขารู้ว่าอย่างไรเอนคิดูก็จะต้องกลับมาในสักวันหนึ่ง
“
แม่เฒ่าบอกว่าเจ้าเอาแต่หมกตัวอยู่ที่วิหาร ไม่เป็นอันทำการทำงานนี่
คิดถึงนางงั้นหรือ ”
เสียงที่ควรจะเล็กเช่นเด็กหนุ่มกลับทุ้มขึ้น
แต่ความน่าฟังยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง
ปลายเท้าของใครคนหนึ่งก้าวเข้ามายืนข้างกันกับเอนคิดู เขาสวมชุดสีขาวยาวถึงพื้น
ผมสีเดียวกันปล่อยสยายลงไปตามแผ่นหลัง ใบหน้าคมคายระบายความอ่อนโยน
“ เจ้า… ชายที่ชื่อเมอร์ลิน ”
ใบหน้างุนงงที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนจนเมอร์ลินยกยิ้มบางๆ
กิลกาเมซมองชายสองคนตรงหน้าสลับกันอย่างไม่เข้าใจนัก
มิติแห่งนี้คือมิติที่รูปปั้นของเอนคิดูดึงดูดเขาเข้ามา
เหตุใดจึงมีพ่อมดที่ควรจะกลับไปยังโลกของตนแล้วปรากฏกายขึ้นมาได้
“ ทั้งเจ้า ข้า อาเธอเรีย
วิเวียนและแลนเซลอตมีชะตาผูกกันแม้ช่วงเวลาจะเกิดในคนละยุคสมัย ”
“
แม้แต่ข้าเองก็ถูกกำหนดให้ต้องเกิดมาในทุกยุคสมัยเช่นกัน ”
กลิ่นอายของคนทั้งคู่คล้ายคลึงกันมากเสียจนน่าแปลกใจ
กษัตริย์หนุ่มเคยได้ยินเรื่องราวของแม่ทัพหนุ่มที่มีนามว่าแลนเซลอตมาบ้าง
ก็นับเป็นเรื่องแปลกที่คนทั้งคู่มีใบหน้าและร่างกายเดียวกัน ซ้ำเหตุการณ์ลอบสังหารกษัตริย์ยังเกิดขึ้นอีกครั้งราวกับถูกกำหนดเอาไว้
หากเป้าหมายของโชคชะตาดังกล่าวคือความตายของทั้งอาเธอเรียและเขา
แลนเซลอตที่มีตัวตนเดียวกันกับแม่ทัพฮูวาวา
และอิชทาร์ที่มีกลิ่นอายเดียวกันกับแม่มดที่ชื่อว่าวิเวียนนางนั้น
แล้วเอนคิดูกับพ่อมดเมอร์ลินมีความเกี่ยวข้องกันเช่นไร…
“
นี่มันหมายความว่าอย่างไร ” ราวกับต้องการจะตอบข้อสงสัยนั้น
เอนคิดูยกยิ้มให้แก่สหายของเขา ก่อนที่ทั้งร่างเพรียวจะค่อยๆ จางหายไป
เหลือเพียงเมอร์ลินที่ยืนอยู่ผู้เดียว
“
กว่าข้าจะเชื่อมต่อกับเขาได้ ” นักเวทย์ในชุดสีขาวยื่นมือของตนมาไว้ด้านหน้า
เกิดลูกไฟสีเขียวดวงเล็กบนฝ่ามือกว้างนั้น
ก่อนที่ดวงตาคู่คมที่เคยมีสีม่วงจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวสว่างในชั่วขณะ
กิลกาเมซจำได้ดีว่านั่นเป็นพลังชีวิตของเอนคิดูอย่างไม่ผิดแน่แท้
“
ความจริงแล้วเขาและข้าคือคนๆ เดียวกัน ถูกกำหนดให้เกิดมาเพื่ออยู่เคียงข้างพวกเจ้าทั้งสองน่ะ
”
เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องราวก็ต้องเกิดขึ้นกับคนทั้งคู่
เมอร์ลินล่วงรู้เหตุการณ์เหล่านั้นตั้งแต่วิเวียนเริ่มทรยศต่อเขา
เพราะหญิงคนนั้นทะเยอทะยานในการมีอำนาจมากมายในมือ
และอิชทาร์เป็นถึงหญิงผู้ถือครองพลังเทพแห่งสงคราม
นางจึงละเมิดกฎโดยการเปิดมิติที่ควรจะดำเนินไปตามสัจธรรมของโลกเพื่อนำพลังนั้นมาเป็นของตน
ผลกระทบของมันอาจหมายถึงมิติใดมิติหนึ่งโดนกวาดล้างจนไม่เหลือผู้รอดชีวิต
อาจเพราะความผูกพันกับกษัตริย์แห่งบริทาเนียที่ตนเคยเลี้ยงดูมาตั้งแต่กำเนิด
เมอร์ลินไม่อาจปล่อยให้อาเธอเรียสิ้นชีวิตต่อหน้าเขาได้
หนึ่งในผู้ฝืนเปิดมิติกลับกลายเป็นตัวเขาเสียเอง
เพียงแต่จุดประสงค์ในคราวนี้คือการหยุดยั้งวิเวียนไม่ให้ทำเรื่องเลวร้าย
จนกว่าจะถึงเวลาที่ถูกปลดปล่อยจากการกักขัง
อาเธอเรียจะต้องได้รับการช่วยเหลือให้รอดชีวิต
และเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือเขาในอนาคต
“ อาเธอเรีย
ในเวลานี้นางอยู่ที่ใด ” กิลกาเมซเอ่ยถามแม้จะรู้คำตอบดังกล่าวอยู่แล้ว
หากแต่เมอร์ลินที่ควรจะถูกส่งกลับไปยังที่แห่งนั้นยังมาปรากฏตัวในมิติของเอนคิดูได้
อาจเป็นไปได้ที่อาเธอเรียจะยังคงไม่ได้จากไปไกล
“ เจ้าเป็นคนพานางไป
ส่งนางกลับไปที่เดิมแล้วงั้นหรือ ”
“ นางไม่ยอมกลับไปน่ะ ”
นักเวทย์สีขาวส่ายศีรษะปฏิเสธ
“
ครั้งหนึ่งข้าเคยพลาดท่าต่อวิเวียน ทำให้ชะตากรรมของนางต้องเป็นเช่นนั้น
ใครจะไปคิดว่าการกลับมาแก้ไขอดีตที่ยุ่งเหยิงของข้า จะทำให้พวกเจ้าได้ผูกพันกัน ”
อาเธอเรียเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กสาวที่มีจิตใจดีโดยเนื้อแท้
เพราะสายเลือดแห่งเพนดราก้อนที่ถือครองพลังศักดิ์สิทธิ์ทำให้ต้องสืบบัลลังก์อย่างมิอาจปฏิเสธได้
แต่เพศสภาพที่เป็นหญิงก่อให้เกิดผู้ต่อต้านจำนวนมากมาย
ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของเขาที่เคี่ยวเข็ญให้นางต้องเป็นกษัตริย์ทั้งที่ไม่เคยต้องการ
เด็กสาวผู้งดงามคนนั้นควรจะได้มีชีวิตอย่างมีความสุขอย่างที่เธอต้องการมากกว่าด้วยซ้ำ
อาจเพราะโชคชะตาที่ซ้อนทับกันของเด็กสาวและราชาหนุ่มตรงหน้า
เป็นสิ่งที่อธิบายได้ดีถึงดวงไฟแห่งจิตวิญญาณที่ได้รับภารกิจชั่วชีวิตก่อนถูกแบ่งออกเป็นสอง
เมื่อชิ้นส่วนของดวงไฟทั้งคู่ได้วนกลับมาพบกันอีกครั้ง
พวกเขาจึงรักกันอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้
“ แล้วนางอยู่ที่ใด ”
ชายหนุ่มเริ่มรำคาญใจกับท่าทียึกยักของคนตรงหน้า
เมอร์ลินสามารถอ่านความคิดดังกล่าวได้ เขาวาดมือไปในอากาศเพียงไม่กี่ครั้ง
ภาพตรงหน้าที่เคยเป็นผืนน้ำอันเงียบสงบกลับเปลี่ยนเป็นทะเลลึกที่เชี่ยวกราก
ท้องสภาที่เคยสว่างสดใสเปลี่ยนเป็นยามราตรีอันมืดมิด
คลื่นลูกใหญ่กระทบฝั่งจนเกิดเป็นเสียงระเบิดของน้ำที่กระเซ็นโดนผิวหนัง
“ ใต้ทะเลลึก… นางไม่ยอมกลับไปยังที่ที่จากมา
แต่ก็ไม่ยอมกลับมายังโลกของเจ้าเช่นกัน ” พวกเขายืนอยู่ที่ปลายหน้าผาสูงชะลูด
สถานที่แห่งนี้คือช่องว่างระหว่างมิติเวลาทั้งสอง ไม่ใช่ทั้งบาบิโลนและบริทาเนีย
“
เพราะปฏิเสธโชคชะตาจึงทำได้เพียงหลับใหลอยู่แบบนั้น ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ ”
เพราะไม่ต้องการกลับไปยังที่ที่จากมา
และเฝ้าโทษว่าโชคชะตาที่เกิดขึ้นกับกิลกาเมซเป็นความผิดของตน
อาเธอเรียจึงไม่อาจกลับไปในทั้งสองมิติเวลาได้ แต่เดิมแล้วชีวิตของเธอต้องจบลงที่บริทาเนีย
จึงไม่มีตัวตนของกษัตริย์หญิงผู้นี้อยู่ในมิติแห่งนั้นอีกต่อไป
รวมถึงไม่เคยมีตัวตนของอาเธอเรียในอาณาจักรบาบิโลนตั้งแต่แรกเช่นกัน
ทางเลือกที่เหมาะสมจึงกลายเป็นช่องว่างระหว่างเวลาเพียงเท่านั้น
“
เจ้าจะลงไปช่วยเหลือนางหรือไม่ ” เมอร์ลินเอ่ยถามคนผมทองตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง
อีกฝ่ายก็ตอบกลับเขามาด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความลังเลเช่นกัน
“ ข้าจะทำ ต้องทำเช่นใด ”
เด็กสาวคนนั้นไม่ได้รู้ตัวเลยว่า
นั่นเป็นสิทธิพิเศษของเธอที่เลือกจะอยู่ ณ มิติใดก็ได้หากเธอปรารถนา…
เพียงเพราะอาเธอเรียเลือกกักขังตนเองในทะเลลึก
คงมีเพียงชายคนนี้ที่จะดึงเธอขึ้นมาอีกครั้งได้
“
ทะเลแห่งนี้คือมิติระหว่างทั้งสองช่วงเวลา …ตามหานางให้เจอ ณ จุดสิ้นสุดของโลก ”
เป็นอีกครั้งที่กิลกาเมซจะต้องออกตามหาเด็กสาวท่ามกลางพื้นที่อันมืดมิด
ดวงตาสีโลหิตทอดมองผืนน้ำสีครามตรงหน้าอย่างพิจารณา
ไม่อาจทราบได้เลยว่าก้นทะเลจะอยู่ลึกลงไปถึงเพียงใด
ทั้งอย่างนั้นเขากลับไม่ลังเลที่จะกระโดดลงไปเพื่อหวังได้พบกับคนที่ตนรักอีกสักครั้ง
ต่อให้ต้องถูกกักขังอยู่ในผืนน้ำแห่งนี้ไปชั่วนิรันดร์ก็ตาม
แม้ร่างกายจะสัมผัสได้ถึงผืนน้ำและแรงกดดันจากทะเล
แต่น่าแปลกที่เขาสามารลืมตาและหายใจในน้ำได้ ดวงตาสีชาดพยายามกวาดมองไปรอบตัว
แต่ก็พบเพียงความมืดมิด ใต้ผืนน้ำแห่งนี้มีเพียงความเงียบเหงาและหนาวเหน็บ
ความเย็นที่สัมผัสผิวกายราวกับกำลังกลืนกินพลังชีวิตให้ลดลงอย่างเชื่องช้า
เวลาผ่านไปนานเท่าใดเขาไม่อาจทราบได้
ร่างสูงโปร่งทำเพียงดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ
เพื่อหวังจะเจอสิ่งที่เรียกว่าจุดสิ้นสุดของโลก
เพราะมันมีเพียงความมืดที่อยู่เคียงข้างกัน
กิลกาเมซรู้สึกราวกับกำลังว่ายวนอยู่ที่เดิม ราวกับพื้นที่ระหว่างมิติแห่งนี้จะลึกลงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่เพราะถวิลหาเธอคนนั้นเหลือเกิน ร่างกายจึงไม่อาจหยุดเคลื่อนไหวลงตรงนี้ได้
เหตุใดเจ้าจึงผูกตัวเองไว้ในที่แห่งนี้ที่มีเพียงความมืดมิดกันเท่านั้นนะอาเธอเรีย…
ความอ่อนล้าเริ่มเข้าปกคลุมทั้งสรรพางค์กาย
หลายครั้งนึกอยากถอดใจและว่ายกลับไปยังที่ที่จากมา
ครั้นคิดว่าจะทิ้งให้เด็กสาวอยู่คนเดียวในที่แห่งนี้ก็ไม่อาจทำได้
พลันแสงสว่างหนึ่งกลับค่อยๆ ปรากฏเข้ามาในลานสายตา
ลึกลงไปไม่มากนักมีสิ่งปลูกสร้างขนาดเล็กคล้ายคลึงกับกรงนกวางอยู่กับผืนทราย
และเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่ที่ข้อเท้า
อาเธอเรีย
นั่นเจ้าใช่หรือไม่…
ในที่สุดกษัตริย์หนุ่มก็พาตนเองมาสู่ก้นทะเลได้
หลังเปิดประตูเหล็กสิ่งที่คล้ายกับกรงนกได้
เขาโผเข้าสวมกอดร่างตรงหน้าแบบไม่ต้องคิด
ร่างที่ถูกพันธนาการอยู่ที่ก้นทะเลลึกเป็นเพียงเด็กสาวที่เขาคุ้นเคย
ผมยาวสีทองพลิ้วไหวไปตามกระแสน้ำ ใบหน้างดงามทำเพียงหลับไหลอย่างนิ่งสงบเท่านั้น
“ …กิลกาเมซ ”
เพราะสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากกายของใครอีกคน
อัญมณีสีเขียวที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตาจึงเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า
อาเธอเรียไม่คิดว่าคนที่ปรากฏขึ้นในเวลานี้จะเป็นกษัตริย์หนุ่มที่ตนได้ช่วยเหลือเอาไว้
“ กลับไปกับข้าเถิดหนา ”
“ ข้าไม่อาจกลับไปได้
การมีอยู่ของข้าทำให้ท่านเสี่ยงอันตราย ”
เพราะคิดถึงเหลือเกินน้ำตามันจึงไหลออกมาอย่างไม่อาจกลั้น
เพราะเธอวิเวียนจึงปรากฏตัวขึ้นที่นครอุรุค หากเด็กสาวไม่ถูกส่งไป ณ
ที่แห่งนั้นตั้งแต่แรก โชคชะตาอันโหดร้ายคงไม่วนกลับมาเกิดอีกครั้ง การมีตัวตนของเธอจึงไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นที่แห่งใด
“
เจ้าเป็นผู้ช่วยข้าจากเหตุการณ์นั้น จำไม่ได้หรือ ”
ฝ่ามือใหญ่สัมผัสใบหน้าอ่อนเยาว์อย่างอ่อนโยน เขาระบายยิ้มเล็กน้อยให้คนตรงหน้า
เด็กสาวคนนี้จิตใจดีเกินกว่าจะถูกลงโทษให้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เรื่องราวที่ผ่านมามันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดอยู่แล้ว
ไม่ใช่ความผิดของผู้ใดทั้งสิ้น
จะว่ากันตามความจริง… คนที่ส่งเด็กคนนี้ไปยังบาบิโลนตามความต้องการของตนเองคือพ่อมดสีขาวผู้นั้นเสียด้วยซ้ำ
“
ข้าต้องการเจ้าอาเธอเรีย บาบิโลนคือที่ที่เจ้าสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องมีข้อจำกัดใด
”
เขาทราบเงื่อนไขในการเลือกอยู่
ณ ที่แห่งใดก็ได้จากเมอร์ลินแล้ว
และกิลกาเมซไม่มีทางยอมให้นางกลับไปในที่ที่ทำร้ายนางอย่างแน่นอน…
“ กลับไปกับข้าเถอะนะ
เพราะข้ารักเจ้าเหลือเกิน ”
เวลาได้ล่วงเลยไปเนิ่นนานนับตั้งแต่เขาได้ดำดิ่งไปสู่ใต้ทะเลลึก
อิชทาร์ที่สูญเสียพลังส่วนใหญ่ไปกลายเป็นเพียงเทพเจ้าแค่ในนามเท่านั้น
ส่วนแม่ทัพฮูวาวาหลังหลุดออกจากการควบคุมได้
ก็ขอปลดประจำการตนเองและออกเดินทางไปยังพื้นที่ห่างไกลอย่างไม่มีวันย้อนกลับ
บ้านเมืองกลับเข้าสู่ความปกติอีกครา
มหานครอุรุคยังคงเป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองและมีการปกครองที่ดี
แม้ภาพลักษณ์ผู้มักมากในกามและมัวเมาในสุราจะยังมิอาจสลัดไปได้จนหมดสิ้น
แต่ผู้คนต่างทราบกันดีว่ากษัตริย์กิลกาเมซกลายเป็นชายหนุ่มผู้ทรงอำนาจที่กลับมาอยู่ในทำนองครองธรรม
เขาเลิกให้ความสนใจในสตรีทุกนาง
ไม่ว่าหญิงคนนั้นจะงดงามเพียงใดก็ไม่อาจซื้อใจของเขาได้
ในเวลานี้กษัตริย์ผู้หล่อเหลาคนนั้นกำลังประคองร่างบอบบางของหญิงคนหนึ่งให้เดินไปข้างหน้าอย่างทะนุถนอม
เธอเป็นหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีทองที่ปล่อยยาวถึงกลางหลัง
ใบหน้าเล็กงดงามราวกับเทพธิดา
กระโปรงสีขาวสะอาดส่งให้ผิวเนียนละเอียดโดดเด่นราวกับไข่มุก
“
ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้ ” เจ้าของใบหน้าหวานขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
แขนแกร่งกำลังโอบรอบเอวบางราวกับกลัวเธอล้มพับไปเสียตอนนี้
หากแต่สุขภาพของเธอกำลังแข็งแรงดี ไม่ได้มีปัญหาตรงไหนเสียหน่อย
“ ไม่เอา
เจ้าต้องไปนั่งตรงนั้นก่อน ”
คนตัวสูงไม่ยอมปล่อยมือ
ซ้ำยังชี้นิ้วไปยังเก้าอี้ตรงหน้าที่ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้นานาพรรณ
กิลกาเมซเอ่ยให้ฟังว่าก่อนหน้านี้เขาตั้งใจสร้างมันขึ้นมาเพื่อเธอคนเดียวเท่านั้น
กลิ่นหอมละมุนของดอกไม้หลากสีสันให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างง่ายดาย
กว่าคนตัวใหญ่จะปล่อยเธอให้เป็นอิสระก็ตอนที่ทั้งร่างทิ้งตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้แล้ว
“
ข้าแค่ตั้งครรภ์ไม่ได้พิการเสียหน่อย ”
กษัตริย์หนุ่มหาได้ฟังคำพูดเหล่านั้นไม่
เขายกยิ้มพอใจขึ้นมาบนใบหน้าก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างภรรยาของตน
ไม่ทันได้ตั้งตัวก็วางศีรษะของตนลงบนตักนุ่มของอาเธอเรียจนเธอสะดุ้งขึ้นเบาๆ
เขาจุมพิตลงกับหน้าท้องที่นูนโตขึ้นมาของคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
“
ลูกของข้ากับเจ้าจะหน้าตาเป็นอย่างไรกันนะ หากเป็นหญิงคงงดงามเช่นเจ้า
หากเป็นชายคงคมคายร่ำลือไปหลากหลายอาณาจักรเช่นกัน”
“
แต่อย่างไรคงไม่งามไปกว่าข้าไปได้ ”
ใบหน้าที่พูดขึ้นอย่างจริงจังเรียกเสียงหัวเราะออกมาจากผู้ฟังเบาๆ
รอยยิ้มอันงดงามของเธอคนนั้นส่งให้กิลกาเมซมิอาจหุบยิ้มลงได้
เขาชอบรอยยิ้มนั้นยิ่งกว่าอัญมณีอันมีค่าใดๆ บนโลกนี้
ฝ่ามือบอบบางเลื่อนไปสัมผัสใบหน้าคมคายของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา ดวงตาสีมรกตทอดมองรายละเอียดตรงหน้าอย่างเชื่องช้า
ดวงตาสีโลหิตสอดประสานกันชั่วขณะหนึ่ง เขายังคงระบายยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่ชอบทำบ่อยๆ
ให้เห็นอยู่เสมอ
“
ท่านไม่เห็นจะรูปงามตรงไหนเลย ทำไมข้าจึงรักท่านนักนะ ”
“ เจ้านี่ใจร้ายชะมัด ”
รอยยิ้มนั่นหุบลงกลายเป็นการขมวดคิ้วงอนเช่นเด็กน้อยแทบจะทันที
“ แต่ข้าก็รักคนใจร้ายนะ
”
อาเธอเรียหัวเราะขำออกมาอีกครั้งกับคำพูดนั้น
เป็นเวลาสักพักแล้วที่คนทั้งคู่ตัดสินใจร่วมกันว่าจะไม่ปกปิดความรู้สึกที่มีต่อกันอีกต่อไป
แต่ครั้นจะให้พูดเรื่องแบบนี้ออกมาอยู่ตลอดมันก็ทำให้เธอรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อยเช่นกัน …เลี่ยนจะตายอยู่แล้ว
“ อยู่กับข้านะอาเธอเรีย
อย่าจากไปที่ใดอีกเลย ไม่เช่นนั้นข้าคงเหมือนคนตาย ”
กิลกาเมซประกบฝ่ามือของตนเข้ากับคนตรงหน้า
มือของเธอทั้งบอบบางและมีขนาดเล็กราวกับเด็ก
หากแต่มีฝีมืออันแกร่งกล้าผิดกับภายนอกที่เห็นนัก
แต่ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ยังให้ความรู้สึกว่าอยากปกป้อง
อยากทะนุถนอมเธอคนนี้ไว้ไม่ให้ลำบาก
สองหนแล้วที่เขาต้องไปตามเธอกลับมา… คราวหน้าชายหนุ่มจะไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นอีกอย่างเด็ดขาด
“
ข้าจะไม่หนีไปไหนอีกแล้ว สัญญาเลย ”
“ สัญญาแล้วนะ ”
เขาพลิกมือของเธอกลับมาให้นิ้วก้อยของคนทั้งคู่ได้เกี่ยวพันกัน รอยยิ้มน้อยๆ
ระบายบนริมฝีปากบางอย่างงดงาม
ทำไมชายผู้นี้จึงมีมุมแบบนี้กันนะ…
ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่เธอมีความสุขได้มากขนาดนี้… ทั้งที่เคยคิดว่าโอกาสดังกล่าวคงไม่มีวันเกิดขึ้นกับตน
อาเธอเรียกุมฝ่ามือที่ใหญ่กว่าตนไว้อย่างเนิ่นนานราวกับไม่ต้องการให้เขาหายไปไหน
หากเธอมีโอกาสดังกล่าวนี้แล้ว ก็จะรีบคว้ามันไว้อย่างไม่รีรอ
โชคชะตาอันโหดร้ายได้สิ้นสุดลงแล้ว
เรื่องราวที่จะดำเนินต่อไปมีเพียงเธอเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดมันเอง
เพราะอาเธอเรียรู้ตัวดี
ว่าเธอเองก็ขาดกิลกาเมซไปไม่ได้เช่นกัน…
หญิงสาวสมควรที่จะได้รับความรัก
และมอบความรักให้ผู้อื่นได้โดยไม่ต้องมีค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
บางครั้งนี่อาจเป็นตำนานที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยจารึกเอาไว้
หากแต่กษัตริย์กิลกาเมซก็ได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เขารักจนวันสุดท้ายของอายุขัย
เรื่องราวของกษัตริย์จากทั้งสองมิติเวลาจึงได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้...
THE END…
ขอโทษที่มาอัพช้านะคะ พอดีไรเตอร์ต้องจัดการกับเรื่องเอกสารส่วนตัวอยู่พักใหญ่เลยค่ะ;-;
ในที่สุดเรื่องราวก็จบลงแล้ว จบแบบอ้างอิงประวัติศาสตร์นิดหน่อยด้วย
ทีแรกไม่คิดว่าจะยาวเลยค่ะ แต่ไปแต่มาดัน 4500 กว่าคำซะอย่างนั้น
หลังจากนี้จะไปอัพฟิคเรื่องอื่นต่อแล้วนะคะ ซึ่งก็คือฟิคดีเกรย์แมนนั่นเอง
ขอเวลาไรเตอร์ไปแก้ไขพลอตซักหน่อย แล้วจะกลับมาเขียนต่ออย่างแน่นอนค่ะ
* เกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์เล็กน้อย (สามารถข้ามได้นะคะ แปะมาเพื่อทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้น)
▼ บางตำนานของคิงอาเธอร์ก็กล่าวว่าดาบเอ็กคลาลิเบอร์สร้างขึ้นจากพลังของเมอร์ลินค่ะ เพื่อเป็นอุบายให้อาเธอร์สามารถดึงมันออกจากหินได้ และกลายเป็นคำบอกเล่าไปว่าเขานั้นเหมาะสมที่จะได้เป็นกษัตริย์แล้วค่ะ
▼ ภายหลังจากเอนคิดูเสียชีวิตไป กิลกาเมซก็เข้าใจสัจธรรมของชีวิตค่ะ เขาพยายามหาหนทางให้ตัวเองมีชีวิตอมตะ จึงออกเดินทางเพื่อตามหาความอมตะนั้น ซึ่งก็คือต้นไม้ที่จะให้ความอ่อนเยาว์นั่นเองค่ะ และต้นไม้ดังกล่าวก็อยู่ในใต้ทะเลลึก ซึ่งป๋ากิลแกก็ลงทุนดำไปใต้ทะเลเพื่อตามหา 'จุดสิ้นสุดของโลก' ที่ต้นไม้นี้เติบโตอยู่ (สมัยก่อนเชื่อว่าโลกแบนนั่นเอง)
▼ ปรากฏว่าเขาก็ได้ต้นไม้นั้นมานะคะ แต่มีงูสองตัวชิงต้นไม้นั้นไประหว่างทาง กิลกาเมซเลยกลับขึ้นไปบนพื้นดินแบบตัวเปล่า แล้วก็ปลงได้ว่าคนเราก็ต้องตายอยู่ดี เลยเลือกจะใช้ชีวิตต่อไปจนสิ้นอายุขัย แล้วเลือกให้คนสลักเรื่องราวของเขาไว้บนแผ่นจารึกแทนค่ะ จึงเกิดเป็นตำนานมหากาพย์กิลกาเมซขึ้นมานั่นเองค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงตอนสุดท้ายนะคะ :)
เป็นอย่างไรกันบ้างมาติชมและพูดคุยกันได้ค่ะ
ความคิดเห็น