NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #20 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 9

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 65



    แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)

     








     

                 ตั้งแต่กริซเล่มนั้นสัมผัสเข้ากับร่างกายของอาเธอเรีย หญิงสาวก็ไม่อาจปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้อีกเลย แม้กิลกาเมซจะพยายามเรียกสักกี่ครั้ง ร่างนั้นกลับทำเพียงหลับไหลอย่างเงียบสงบราวกับได้จากไปแล้วดังคำสาปของอิชทาร์

     

    “ จิตใจของนางไม่อยู่ที่นี่แล้วกิลกาเมซ ”

     

             เอนคิดูมองใบหน้าสหายที่ในเวลานี้เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ต่อให้มีพลังแห่งเทพก็ไม่สามารถเรียกคนที่ห่วงหากลับมาได้ กษัตริย์หนุ่มทำได้เพียงพาร่างนั้นไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ ความช่วยเหลือจากแม่เฒ่าผู้สามารถเชื่อมต่อกับเทพเจ้าได้เป็นความหวังสุดท้ายที่มีอยู่

     

             หญิงชราเพ่งพิจารณาร่างของเด็กสาวตรงหน้า กริซเล่มดังกล่าวจากเทพีแห่งสงครามมีผลทำให้วิญญาณของอาเธอเรียหลุดออกไป ในเวลานี้เด็กสาวกำลังหลงทาง ทำได้เพียงวนเวียนอยู่ในความทรงจำอันเจ็บปวดซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด บางครั้งนั่นอาจเป็นบทลงโทษที่ทำให้เทพเจ้าองค์นั้นไม่พอใจ

     

    “ ไม่ใช่ว่าไม่มีหนทางเสียทีเดียว แต่หากท่านได้เข้าไปที่นั่นแล้ว อาจไม่มีวันได้กลับออกมาอีกเลย ” เสียงของผู้มีอายุเอ่ยสนทนา เธอเงยใบหน้าที่เคยก้มเคารพขึ้นมองหน้าคมคายของกิลกาเมซด้วยสายตาที่ไม่อาจอ่านความหมาย

     

    “ ที่นั่นไม่ใช่ทั้งโลกหลังความตาย หรือโลกของเทพเจ้า แต่นางกำลังหลงอยู่ในอีกมิติที่ไกลออกไป ”

     

             เพราะหญิงคนนั้นมาจากช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ราวกับตัวตนดังกล่าวไม่ใช่มนุษย์ที่ถูกผูกติดอยู่กับโลกใดโลกหนึ่งอีกต่อไป เพราะไม่ได้ถูกยอมรับจากโลกใด จึงจำต้องวนเวียนอยู่ในมิติที่เต็มไปด้วยความทรงจำเท่านั้น

     

             หากแต่มิติดังกล่าวสามารถแทรกแซงได้หากผู้คนดังกล่าวมีชะตาข้องเกี่ยวกัน หากสามารถเกลี้ยกล่อมดวงวิญญาณที่จมปลักอยู่กับอดีตของตนให้หลุดพ้นได้ บางครั้งนั่นอาจเป็นโอกาสพาคนผู้นั้นกลับมา หากแต่ผู้ชี้นำได้เผลอหลงทางเพียงชั่วขณะ อาจเป็นผลทำให้ผู้แทรกแซงคนนั้นต้องวนเวียนอยู่ในมิติแห่งนั้นไปตลอดกาลเช่นกัน

     

    “ ข้าจะไป ” แม้จะได้ยินคำกล่าวเตือน แต่ดวงตาสีโลหิตยังคงความแน่วแน่ไว้ไม่เปลี่ยน เขาทอดมองใบหน้างดงามที่หลับตาพริ้มราวกับคนเข้าสู่นิทราอันลุ่มลึก …เพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่เขาไม่อาจสูญเสียไปได้

     

    “ กิลกาเมซ… ” เอนคิดูเตือนสติสหายอีกครั้ง กิลกาเมซไม่เคยมอบความรักให้กับผู้ใดมาก่อน เด็กหนุ่มสามารถรู้ได้ทันทีตั้งแต่พวกเขาทั้งคู่ได้พบหน้ากัน มีโชคชะตาอันเหนียวแน่นที่พันผูกกันไว้ อานุภาพของมันรุนแรงจนทำให้กษัตริย์หนุ่มไม่อาจยอมรับการอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดกาล

     

             พิธีการเชื่อมต่อสองดวงจิตถูกจัดขึ้นภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์ กายสูงโปร่งทิ้งตัวลงนอนกับตั่งที่นูนสูงขึ้นมาจากพื้น ข้างกันมีร่างของอาเธอเรียไม่ห่างออกไป กำยานในกระถางธูปถูกจุดขึ้นสามสี่ก้าน ราวกับต้องการให้กลิ่นหอมและควันเหล่านั้นเป็นสิ่งนำทางไปสู่ดวงจิตที่ถวิลหา ความง่วงงันเข้าครอบงำเมื่อกลิ่นของเครื่องหอมดังกล่าวคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่ ดวงตาคู่คมกำลังปิดลงอย่างเชื่องช้า ข้อมือของเขาผูกเชือกเส้นเล็กๆ เอาไว้เพื่อหวังให้เป็นสิ่งที่จะนำพาเจ้าตัวกลับมายังโลกแห่งนี้

     

    เมื่อท่านได้พบกับนางแล้ว จงช่วยเหลือนางให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวด

     

    และเมื่อถึงเวลานั้น จงใช้เชือกเส้นนี้นำทางกลับมาสู่บาบิโลนเถิด

     

             ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของตน ลานสายตาตรงหน้ามืดสนิทแม้ดวงตาจะกำลังเปิดกว้าง กษัตริย์หนุ่มก้าวเดินออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย เขาไม่รู้ว่าเส้นทางด้านหน้าจะสิ้นสุดลงที่ใด หรือมีสิ่งใดกำลังรออยู่ พลันร่างของผู้คนก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนราง ราวกับเหตุการณ์ที่เขากำลังพบเห็นกำเนิดจากเครื่องฉายภาพเมื่อผู้คนเหล่านั้นเป็นเพียงสสารที่ไม่อาจแตะต้องได้

     

             เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดีเติบโตมาในครอบครัวของกษัตริย์ วัยเด็กของเธอถูกฝากฝังไว้กับชายผู้หนึ่งที่ชื่อเมอร์ลินจนเติบโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น บนใบหน้างดงามนั้นไม่เคยปรากฏรอยยิ้มอันสดใส บัลลังก์ที่เธอไม่เคยต้องการถูกบังคับให้สืบทอดเพราะสายเลือดในกายที่มีอยู่

     

             เหตุเพราะเป็นสตรีจึงจำต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ภายในเกราะเหล็กอันหนักอึ้ง วิชาการต่อสู้และการบริหารบ้านเมืองถูกถ่ายทอดสู่เด็กหญิงคนนั้นที่เธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะปฏิเสธ การอภิเษกสมรมเพื่อหลอกตาประชาชน เพื่อนสนิทที่แอบลอบเป็นชู้กับราชินีในนามจนเกิดความขัดแย้งกันเองในราชสำนัก

     

             การปรากฏตัวของหญิงนางหนึ่งที่มีพลังเวทย์มากมาย กลิ่นอายดังกล่าวคล้ายคลึงกับพลังชีวิตของอิชทาร์ยามเมื่อชายหนุ่มได้พบเห็น หญิงผู้นั้นเป่าหูสหายของอาเธอเรียที่หน้าเหมือนกับแม่ทัพฮูวาวาให้มักใหญ่ใฝ่สูง เขาทะเยอทะยานอยากได้บัลลังก์มาเป็นของตน จนกระทั่งวันหนึ่งการทรยศก็ได้เริ่มต้นขึ้น

     

             เขาส่งสาส์นให้อาเธอเรียราวกับซาบซึ้งในการยอมรับความรักของตนกับเกว็นนีเวียร์ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นผู้สังหารนางด้วยมือตัวเองในคืนเดียวกัน ภาพของชายเจ้าของเรือนผมสีดำประกายม่วงกำลังปลิดชีพอาเธอเรียฉายอยู่ในสายตา กิลกาเมซรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างของเด็กสาวที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นปราสาท เป็นสิ่งที่น่าฉงนใจเมื่อเขาสามารถแตะต้องกายบอบบางนั้นได้ราวกับเป็นดวงจิตที่แท้จริง

     

    บางทีเธออาจจะกำลังวนเวียนอยู่ในความทรงจำเช่นนี้ซ้ำๆ ถูกปลิดชีพซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

     

    “ แลนเซลอต… ทำไมเจ้า ” เสียงหวานที่แหบพร่าเอ่ยเรียกแม่ทัพหนุ่มผู้นั้นทั้งน้ำตา

    นี่คือเรื่องราวที่เด็กสาวผู้นี้แบกรับมาโดยตลอดงั้นหรือ

     

    “ อาเธอเรีย ได้ยินข้าหรือไม่ ” เขาพยายามเรียกสติ แต่ดวงตาสีมรกตในเวลานี้กลับหม่นหมองราวกับไม่ตอบรับต่อการสนทนาใดๆ

     

    ต้องทำเช่นไรจึงจะพานางออกไปจากวัฏจักรสงสารนี้ได้… อาเธอเรียยังมีชีวิตอยู่เพราะการช่วยเหลือของเขา แต่นางกลับไม่ตอบรับคำขอนั้น

     

    “ ท่านผู้มีชะตาเกี่ยวพันกับอาเธอเรียเอ๋ย ”

     

             พลันเสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาแทรกแซงความคิดนั้น ชายผมยาวในชุดคลุมสีขาว ใบหน้าคมคายนั้นกิลกาเมซจำได้ว่าเคยพบเห็นเขาในความทรงจำของอาเธอเรีย เขาคือชายที่เป็นดั่งครอบครัวของเธอและเลี้ยงดูเด็กสาวให้เติบโตขึ้นมาอย่างเด็ดเดี่ยว

     

    หากแต่ชายผู้นี้กลับมีพลังชีวิตที่คุ้นเคยนัก… ราวกับว่าเคยอยู่ใกล้ชิดกันมาเป็นเวลานาน

     

    “ นามของข้าคือเมอร์ลิน ผู้ที่ส่งนางไปยังโลกของท่านคือข้าเอง ”

     

             นามที่ชายหนุ่มเคยได้ยินชื่อมาหลายครั้ง แท้จริงแล้วคือผู้มีพลังเวทย์สูงส่ง หากแต่ในเวลานี้ร่างสูงโปร่งกลับปรากฏตัวได้เพียงภาพเลือนที่พร้อมจะจางหายไปได้ทุกเมื่อ ราวกับการปรากฏตัวครั้งนี้ตั้งใจทำขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างเท่านั้น

     

    “ อีกไม่กี่อึดใจเท่านั้น ในเวลานี้ข้าไม่มีกำลังพอจะช่วยเหลือนางได้ หากเป็นท่านต้องสามารถปลุกนางจากฝันร้ายได้แน่นอน ”

     

             เขาฝากฝังคำพูดสุดท้ายไว้พร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะเลือนหายไปจากสายตา กษัตริย์หนุ่มกระชับร่างในอ้อมกอดของตนให้แน่นขึ้น ความอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านร่างกายทำให้กายที่บอบช้ำเริ่มมีการตอบสนอง ดวงตาคู่สวยเลื่อนมาจับจ้องที่ใบหน้าคมคายนั้น

     

    “ อาเธอเรีย ตอบรับข้าเถิดหนา… ข้าอยู่ตรงนี้กับเจ้าแล้วนะ ” น้ำเสียงทุ้มในเวลานี้กลับอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็น เด็กสาวรู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน ความเจ็บปวดจากปลายดาบของแลนเซลอตยังคงฝังอยู่ในหัว เจ็บจนสายตาพร่าเลือนไปหมด ถึงอย่างนั้นใบหน้าของคนตรงหน้ากลับคุ้นเคยเสียเหลือเกิน

     

     …ท่าน ”

     

    “ กลับไปกับข้า ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า ”

     

    ความรู้สึกผูกพัน ความรู้สึกราวกับไม่อยากให้ชายผู้นี้จากไปไหน

     

    “ อยู่กับข้าเถิดนะ อย่าจากไปไหนอีกเลย ”

     

    ยังมีคนที่อยากให้เธอมีชีวิตต่อไปอยู่ด้วยสินะ

     

    …….

     

    ….

     

    ..

     

             ความอบอุ่นจากกายของใครคนหนึ่งทำให้แพขนตาหนาเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของกษัตริย์หนุ่มคือสิ่งแรกที่ปรากฏเข้ามาในสายตา น้ำตาที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาได้อย่างไรยังคงพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย อาเธอเรียตื่นขึ้นมาในสถานที่ที่คุ้นเคย รอบข้างล้อมรอบไปด้วยเอนคิดูและแม่เฒ่าแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่มีสีหน้ายินดี

     

             ในที่แห่งนี้กิลกาเมซก็ยังกอดร่างของเธอเอาไว้แน่นเหมือนกับในมิติแห่งความฝัน แขนเล็กทั้งสองข้างโอบกอดของคนที่ตัวใหญ่กว่าเข้ามาหาตนให้แน่นขึ้น ในเวลานี้เธอรู้ดีแล้วว่าไม่ต้องการสูญเสียชายผู้นี้ไปอย่างแน่นอน

     

    “ เป้าหมายของวิเวียนในคราวนี้คือท่าน” ดวงตาสีมรกตสบเข้ากับดวงตาสีชาดอย่างเนิ่นนาน หากอาเธอเรียไม่รั้งอิชทาร์ไว้ในครานั้น หญิงสาวคงไม่ตอบรับวิเวียนให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตน และชายคนนี้คงไม่ต้องมาตกเป็นเป้าหมายของชะตากรรมอันโหดร้ายเช่นนี้

     

    “ ข้าให้ท่านตายไม่ได้ มันจะต้องไม่จบเช่นเดิมอีก ”

     

    “ เข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นหรอกนะ ” นิ้วเรียวของชายหนุ่มซับน้ำตาที่กำลังอาบไปทั่วไปหน้างดงามอย่างแผ่วเบา

     

             กิลกาเมซรู้ดีว่าอิชทาร์กำลังโกรธเคือง นางคงไม่ยอมรามืออย่างง่ายดายไปเท่านี้ หากแต่ได้รู้ว่าอาเธอเรียยังมีชีวิตอยู่ นางจะต้องหาทางกำจัดอย่างไม่ผิดแน่แท้

     

     

     

     

     

     

             เวลาได้ล่วงเลยไปร่วมสามวัน ไร้วี่แววของแม่ทัพฮูวาวาหลังจากที่เขาหายไปพร้อมกับอิชทาร์ กษัตริย์หนุ่มแห่งอุรุคกำลังหาลือเรื่องความเป็นไปได้กับสหายและองครักษ์ของเขา บรรยากาศภายในพระราชวังในเวลานี้กลับเงียบสงัดหลังเกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่หลังปราสาท ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพคนใดต่างก็หวาดกลัวอำนาจของเทพที่กำลังขัดแย้งกันทั้งนั้น

     

    “ ในอดีตของข้า แลนเซลอต …ข้าหมายถึงชายที่หน้าเหมือนฮูวาวา จะหาแนวร่วมที่เห็นด้วยกับตนเพื่อกำจัดข้าในคราวเดียว ” อาเธอเรียเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น คราวนี้เป้าหมายของเขาคือกิลกาเมซ แนวร่วมจึงไม่พ้นไปจากเหล่าแม่ทัพและทหารของชายหนุ่มอย่างแน่แท้

     

    “ เขาใช้อุบายว่าจะยุติสงคราม …แต่ในคืนเดียวกันกลับมีขุนนางมากมายเข้าร่วมสังหารข้า ”

     

             หากไม่มีผู้อำนวยความสะดวก คืนนั้นแลนเซลอตคงไม่สามารถทำลายกำลังทหารที่มีและเข้าถึงตัวกษัตริย์ได้อย่างง่ายดาย เอนคิดูพยักหน้ารับความคิดเห็นเหล่านั้น

     

    “ ยิ่งเจ้าที่แสดงแต่พฤติกรรมเลวทราม ท่าทางว่าฮูวาวาคงหาแนวร่วมได้มากเป็นแน่ ” คำพูดของสหายส่งให้กิลกาเมซขมวดคิ้ว รู้สึกราวกับกำลังถูกคนผมเขียวหลอกด่า

     

    เรื่องที่มีคนเกลียดชังเขาอีกมากมาย ชายหนุ่มทราบความจริงดีอยู่แล้ว

     

    “ ข้าสามารถหยุดฮูวาวาไม่ให้ทำร้ายท่านได้ ชายผู้นั้นไม่ได้มีฝีมือดาบเหนือไปกว่าข้า ”

     

    “ หากแต่คนที่ต้องรับมือด้วยจริงๆ ไม่ใช่เขาเลย ”

     

    การจะจบเรื่องราวทั้งหมดมีแต่ต้องกำจัดต้นตอแห่งความเกลียดชังอย่างอิชทาร์ที่ในเวลานี้หลอมรวมดวงจิตเข้ากับวิเวียนโดยสมบูรณ์แล้วเท่านั้น

     

             อิชทาร์เป็นเทพีแห่งสงครามที่เป็นสายเลือดแห่งเทพเจ้าโดยแท้ หากวัดด้วยพละกำลัง กิลกาเมซที่มีเสี้ยวของความเป็นมนุษย์ร่วมกับเอนคิดูที่ถูกลดทอนพลังเทพลงกึ่งหนึ่งหลังลงมาที่โลกมนุษย์ถือว่าด้อยกว่านางนัก ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถต่อกรกับหญิงผู้นั้นได้หรือไม่ บวกกับพลังเวทย์มหาศาลของอีกหนึ่งดวงจิตที่มาจากต่างมิติเวลาก็ยิ่งทำให้นางแข็งแกร่งกว่าเดิม

     

    กิลกาเมซรับรู้แล้วว่าเป้าหมายของฮูวาวาในครานี้คือความตายของเขา

     

             หากแต่เป้าหมายของอิชทาร์ก็คือความตายของอาเธอเรียเช่นกัน… หนึ่งตัวแปรที่เพิ่มเข้ามาทำให้ชายหนุ่มไม่อาจนิ่งเฉยได้ ต่อให้เขาจะเสียเปรียบต่อเทพีแห่งสงครามนางนั้นก็ตาม ผู้กำหนดว่าความตายควรมาถึงเมื่อใดต้องไม่ใช่คนทั้งคู่ที่กำลังมุ่งร้าย

     

    “ สัญญากับข้าได้หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรอย่าสละชีวิตเพื่อปกป้องข้า ” หากสิ่งที่แม่เฒ่าที่วิหารศักดิ์สิทธิ์กล่าวกำลังจะเกิดขึ้นจริง อย่างน้อยผู้สละชีวิตคนนั้นไม่ควรเป็นเด็กสาวตรงหน้า พวกเขาต่างไม่ละสายตาจากใบหน้าของกันและกันเป็นเวลาพักหนึ่ง

     

    “ รับปากสิอาเธอเรีย ”

     

    “ แล้วท่านสามารถรับปากข้าในคำขอเดียวกันได้หรือไม่ ”

     

             ในเวลานี้คนทั้งคู่ต่างมองความคิดของอีกฝ่ายออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่ทันได้มีผู้ใดต่อบทสนทนา ลำแสงสีม่วงก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าถึงเวลาต้องปกป้องคนที่ตนรักแล้ว แม้การมาดังกล่าวจะกะทันหัน แต่ทั้งกิลกาเมซและอาเธอเรียต่างเตรียมใจที่จะรับมือกับมันได้ดี พวกเขาไม่มีท่าทีตกใจ เจ้าของดวงตาคู่สวยเป็นฝ่ายเริ่มสนทนาใหม่อีกครั้ง

     

    “ เช่นนั้นข้าจะเปลี่ยนคำถามกับท่าน… สัญญาว่าจะกลับมาหาข้าได้หรือไม่ ”

     

    ขอเพียงแค่อีกฝ่ายให้คำมั่นสัญญา ขอแค่ได้พบหน้ากันอีกสักครั้งก็เพียงพอ

     

    “ ข้าสัญญา ” รอยยิ้มและการขานรับจากกษัตริย์หนุ่มทำให้ผู้ตั้งคำถามยกยิ้มตอบ เธอพาร่างเล็กวิ่งออกไปจากห้องจัดเลี้ยงทั้งแบบนั้น

     

    โดยที่กิลกาเมซไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าคำสัญญาดังกล่าวจะผูกมัดตัวเขาไว้เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น

     

     

     

     

     

     

             ความวุ่นวายประเดประดังเข้ามาในระยะเวลาอันสั้น ด้วยพลังแห่งดาบศักดิ์สิทธิ์ทำให้อาเธอเรียสามารถต้านชายที่มีจิตใจมุ่งร้ายต่อกิลกาเมซไว้ได้ อิชทาร์ปรากฏตัวขึ้นหลังฮูวาวามาถึงได้พักหนึ่ง และราชาหนุ่มผู้นั้นยังพอมีกำลังทหารฝ่ายตนเองหลงเหลืออยู่บ้าง แม้อาเธอเรียจะพยายามเตือนสติแม่ทัพตรงหน้าอย่างไร เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะตอบรับ ราวกับระบบความคิดที่มีได้ถูกแม่มดนางนั้นครอบงำไว้โดยสมบูรณ์แล้ว

     

             เทพีแห่งสงครามส่งพลังเวทย์จำนวนมหาศาลลงสู่ลานกว้างโดยไร้การบอกกล่าวล่วงหน้า มันก่อเกิดเป็นรูปร่างของสัตว์ใหญ่ที่มีพละกำลังมหาศาลเช่นกระทิง เพียงแค่ลำแสงบางอย่างเปล่งออกจากปาก กำลังทหารที่เคยมีของกิลกาเมซก็หายไปเกินกว่าครึ่ง เหลือเพียงความเสียหายเป็นเพลิงร้อนระอุลุกไหม้ทั่วทั้งพื้นที่ เอนคิดูรับรู้ได้ในทันทีว่านั่นเป็นพลังเวทย์จากแม่มดหญิงนามวิเวียน มิใช่พลังของเทพเจ้าจากอิชทาร์

     

             เจ้าของผมยาวสีเขียวสว่างรีบร่ายเวทย์เพื่อป้องกันมิให้มีการสูญเสียกำลังทหารไปมากกว่าเดิม เกิดเป็นม่านเกราะสีเขียวปกป้องทหารเหล่านั้นเอาไว้ ดาบเล่มใหญ่ในมืออาเธอเรียที่มีต้นกำเนิดจากพลังของเมอร์ลินยังตอบสนองต่อการใช้งานของเธอได้ดี นั่นหมายความว่าเมอร์ลินยังมีชีวิตอยู่ในที่ใดสักแห่ง หากแต่กิลกาเมซที่มีพลังด้อยกว่าอิชทาร์ในเวลานี้กำลังเสียเปรียบ แม้เขาจะรู้สึกโกรธเคืองกับนายทหารที่ต้องสูญเสียไปอย่างไร้ค่า แต่ตนเองก็ยังได้รับผลกระทบจากพลังแห่งเทพเจ้าที่โจมตีมาโดยหวังให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้สถานเดียว

     

    “ เพียงแค่ข้าไม่รับรักเจ้า จำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยงั้นหรือ ” แขนแกร่งใช้หอกเล่มหนึ่งปัดป้องก้อนพลังที่มุ่งเข้ามาโจมตีที่กลางลำตัวของเขาได้ทันเวลา แต่พลังที่มหาศาลก็ส่งให้ศาสตราวุธดังกล่าวแตกออกเป็นสอง ร่างกายสมส่วนเซถลาออกไปด้านข้างตามแรงปะทะ

     

    “ ท่านทำให้ข้าเสียหน้ากิลกาเมซ ”

     

    “ ข้ามิอาจรักเจ้าได้ และไม่มีวันรัก ” แม้จะยากต่อการประมือนัก แต่ท่าทีของกษัตริย์แห่งอุรุคกลับกำลังท้าทายหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีดำตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

     

    “ พิจารณาสิ่งที่เจ้าทำกับเมอร์ลินก่อนจะมาร้องขอความรักจากข้าดูเถิด ”

     

    “ นังนั่นมันบอกท่านงั้นหรือ ข้าชิงชังนางยิ่งนัก ” ในเวลานี้ผู้ที่ถูกกระตุ้นให้โมโหกลับเป็นนักเวทย์หญิงที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน เหตุผลเดียวที่ชายตรงหน้าจะรู้จักนามของพ่อมดที่อยู่ในอีกมิติเวลาได้ มีแต่ต้องได้ยินจากคนที่มาจากสถานที่แห่งเดียวกันเท่านั้น

     

    “ ทั้งที่กำจัดไปแล้ว เหตุใดจึงต้องขวางทางข้าในทุกช่วงเวลา ”

     

             ดวงตาคู่สวยแปรเปลี่ยนเป็นสีอเมทิสต์ มันกำลังลุกวาวอย่างโกรธเคือง มือเรียวร่ายเวทย์ด้วยพลังที่มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว คราวนี้เป้าหมายของการทำลายล้างคือเด็กสาวเจ้าของผมสีทองที่เธอเคยกำจัดไปแล้วครั้งหนึ่ง

     

             เป็นจังหวะเดียวกันกับที่กษัตริย์แห่งอุรุครวบรวมอาวุธจำนวนมากจากม่านพลังเข้ามาที่จุดเดียว ปลายแหลมคมจำนวนมากมายพุ่งตรงเข้าไปต้านพลังเวทย์เหล่านั้นได้อย่างพอดีจังหวะจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วพื้นที่ ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มระบายยิ้มเยาะ

     

    หากคิดจะทำร้ายหญิงผู้นั้น… มีแต่ต้องฆ่าเขาให้ตายก่อนเท่านั้น

     

    ……..

     

    ….

     

    ...

     

    “ อาเธอเรีย …ได้ยินข้าหรือไม่ 

     

    ในช่วงจังหวะแห่งความชุลมุน เสียงเรียกหนึ่งกลับดังขึ้นมาในโสตประสาทของอาเธอเรีย มันเป็นเสียงของคนที่เธอคุ้นเคยดี เด็กสาวรีบตวัดมองข้างตัวแต่ก็พบกับความว่างเปล่า เบื้องหน้าคือฮูวาวาที่ยังคงต่อต้านอย่างไร้ประโยชน์ ราชาหนุ่มผู้นั้นกำลังบาดเจ็บสะสมจากการโจมตี เด็กสาวสามารถมองออกได้ในทันทีว่าเขาคงต้านเอาไว้ได้อีกไม่นานนัก ความรู้สึกกลัวเข้ามาเกาะกุมจิตใจ เธอยังไม่แม้แต่จะสลัดแม่ทัพที่มีใบหน้าเหมือนกับแลนเซลอตออกไปได้เลยด้วยซ้ำ แต่กิลกาเมซกลับมีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้เสียแล้ว และในเวลานี้กำลังต่อสู้สำคัญอย่างเอนคิดูกลับหายไปอย่างเป็นปริศนา

     

     ข้าได้ยินเสียงของท่านแล้วเมอร์ลิน! 

     

             เสียงหวานรีบตะโกนตอบรับเจ้าของเสียงเรียกนั้น แม้ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยสายตา แต่สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของพ่อมดผู้นั้นได้ ราวกับว่าเขาอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

     

    “ ได้โปรดบอกข้า ต้องทำเช่นไรข้าจึงจะช่วยเขาได้

     

             กิลกาเมซในเวลานี้กำลังไม่ปลอดภัย แม้อิชทาร์จะมีความเสน่หาต่อเขาไม่น้อย แต่ตัวตนของวิเวียนที่ปะปนอยู่ในนั้นไม่อาจไว้ใจได้ นางอาจจะบ้าคลั่งถึงขั้นสังหารกษัตริย์หนุ่มผู้นั้นได้เช่นกัน

     

    “ มีวิธีเดียวที่จะทำเช่นนั้นได้ และนั่นคือเหตุผลที่ข้าส่งเจ้ามาที่นี่ ” เสียงทุ้มของเมอร์ลินต่อบทสนทนา หลังถูกกักขังมาเนิ่นนาน เวลานี้คงเหมาะสมแล้วที่เขาจะปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อทำให้เรื่องราวทุกอย่างเข้าที่เข้าทางอย่างที่ควรจะเป็นเสียที

     

    “ ปิดมิติที่เชื่อมระหว่างบริทาเนียและบาบิโลนเสีย เมื่อทำเช่นนั้นวิเวียนจะสูญเสียพลังที่เรียนรู้จากข้าไป และกลายเป็นแค่เทพที่ไม่มีพลังเวทย์อีกต่อไป ”

     

     

    “ เพียงแต่ข้อแลกเปลี่ยนของมัน เจ้าเองก็รู้ดีใช่หรือไม่เด็กน้อย ” 

     

     

     

     



     



              


    หนักหน่วงมาก อุดมด้วยดราม่าและฉากต่อสู้จนงงว่านี่มันฟิคอะไรกันแน่;-;

    เหมือนจะจบแต่ก็ยังไม่จบค่ะทุกคน ทั้งที่ตอนหน้าก็ตอนสุดท้ายแล้ว 
    อาเธอเรียเพิ่งฟื้นจากการหลงมิติ ไรเตอร์ก็ลากน้องมาสู้ต่ออีก
    เนื้อเรื่องยังไม่ลดความเข้มข้นลง จะจบอย่างสวยงามหรือตับพัง(?)ต้องติดตามกันต่อนะคะ

    * เกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์เล็กน้อย (สามารถข้ามได้นะคะ แปะมาเพื่อทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้น)

    ▼ หลังจากกิลกาเมซปฏิเสธความรักของอิชทาร์ นางก็โกรธมากจึงไปฟ้องพ่อตัวเองที่เป็นเทพค่ะ พ่อของนางเลยส่งกระทิงยักษ์ที่ลงมาเหยียบโลกครั้งแรก ทหารของกิลกาเมซก็ตายไป 500 นาย ลมหายใจของมันทำให้เกิดไฟไหม้ด้วยค่ะ การต่อสู้เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายวัน แต่ภายหลังกิลกาเมซกับเอนคิดูก็รวมพลังปราบกระทิงตัวนั้นได้สำเร็จอยู่ดี

    ▼ เทพเจ้าก็เลยโมโหในความโอหังเกินไปของสองสหายนี้มาก สุดท้ายเอนคิดูก็โดนลงโทษให้เสียชีวิตเลยค่ะ ป๋ากิลเราก็เศร้ามาก เป็นจังหวะที่เขาคิดได้ว่าชีวิตนี้มันไม่แน่นอนจริงๆค่ะ;-;


    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×