คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 9
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
ตั้งแต่กริซเล่มนั้นสัมผัสเข้ากับร่างกายของอาเธอเรีย หญิงสาวก็ไม่อาจปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้อีกเลย แม้กิลกาเมซจะพยายามเรียกสักกี่ครั้ง ร่างนั้นกลับทำเพียงหลับไหลอย่างเงียบสงบราวกับได้จากไปแล้วดังคำสาปของอิชทาร์
“
จิตใจของนางไม่อยู่ที่นี่แล้วกิลกาเมซ ”
เอนคิดูมองใบหน้าสหายที่ในเวลานี้เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ต่อให้มีพลังแห่งเทพก็ไม่สามารถเรียกคนที่ห่วงหากลับมาได้
กษัตริย์หนุ่มทำได้เพียงพาร่างนั้นไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์
ความช่วยเหลือจากแม่เฒ่าผู้สามารถเชื่อมต่อกับเทพเจ้าได้เป็นความหวังสุดท้ายที่มีอยู่
หญิงชราเพ่งพิจารณาร่างของเด็กสาวตรงหน้า
กริซเล่มดังกล่าวจากเทพีแห่งสงครามมีผลทำให้วิญญาณของอาเธอเรียหลุดออกไป
ในเวลานี้เด็กสาวกำลังหลงทาง
ทำได้เพียงวนเวียนอยู่ในความทรงจำอันเจ็บปวดซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
บางครั้งนั่นอาจเป็นบทลงโทษที่ทำให้เทพเจ้าองค์นั้นไม่พอใจ
“
ไม่ใช่ว่าไม่มีหนทางเสียทีเดียว แต่หากท่านได้เข้าไปที่นั่นแล้ว
อาจไม่มีวันได้กลับออกมาอีกเลย ” เสียงของผู้มีอายุเอ่ยสนทนา
เธอเงยใบหน้าที่เคยก้มเคารพขึ้นมองหน้าคมคายของกิลกาเมซด้วยสายตาที่ไม่อาจอ่านความหมาย
“
ที่นั่นไม่ใช่ทั้งโลกหลังความตาย หรือโลกของเทพเจ้า
แต่นางกำลังหลงอยู่ในอีกมิติที่ไกลออกไป ”
เพราะหญิงคนนั้นมาจากช่วงเวลาที่แตกต่างกัน
ราวกับตัวตนดังกล่าวไม่ใช่มนุษย์ที่ถูกผูกติดอยู่กับโลกใดโลกหนึ่งอีกต่อไป
เพราะไม่ได้ถูกยอมรับจากโลกใด จึงจำต้องวนเวียนอยู่ในมิติที่เต็มไปด้วยความทรงจำเท่านั้น
หากแต่มิติดังกล่าวสามารถแทรกแซงได้หากผู้คนดังกล่าวมีชะตาข้องเกี่ยวกัน
หากสามารถเกลี้ยกล่อมดวงวิญญาณที่จมปลักอยู่กับอดีตของตนให้หลุดพ้นได้
บางครั้งนั่นอาจเป็นโอกาสพาคนผู้นั้นกลับมา
หากแต่ผู้ชี้นำได้เผลอหลงทางเพียงชั่วขณะ อาจเป็นผลทำให้ผู้แทรกแซงคนนั้นต้องวนเวียนอยู่ในมิติแห่งนั้นไปตลอดกาลเช่นกัน
“ ข้าจะไป ”
แม้จะได้ยินคำกล่าวเตือน แต่ดวงตาสีโลหิตยังคงความแน่วแน่ไว้ไม่เปลี่ยน
เขาทอดมองใบหน้างดงามที่หลับตาพริ้มราวกับคนเข้าสู่นิทราอันลุ่มลึก …เพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่เขาไม่อาจสูญเสียไปได้
“ กิลกาเมซ… ”
เอนคิดูเตือนสติสหายอีกครั้ง กิลกาเมซไม่เคยมอบความรักให้กับผู้ใดมาก่อน
เด็กหนุ่มสามารถรู้ได้ทันทีตั้งแต่พวกเขาทั้งคู่ได้พบหน้ากัน
มีโชคชะตาอันเหนียวแน่นที่พันผูกกันไว้
อานุภาพของมันรุนแรงจนทำให้กษัตริย์หนุ่มไม่อาจยอมรับการอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดกาล
พิธีการเชื่อมต่อสองดวงจิตถูกจัดขึ้นภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์
กายสูงโปร่งทิ้งตัวลงนอนกับตั่งที่นูนสูงขึ้นมาจากพื้น
ข้างกันมีร่างของอาเธอเรียไม่ห่างออกไป กำยานในกระถางธูปถูกจุดขึ้นสามสี่ก้าน
ราวกับต้องการให้กลิ่นหอมและควันเหล่านั้นเป็นสิ่งนำทางไปสู่ดวงจิตที่ถวิลหา
ความง่วงงันเข้าครอบงำเมื่อกลิ่นของเครื่องหอมดังกล่าวคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่
ดวงตาคู่คมกำลังปิดลงอย่างเชื่องช้า ข้อมือของเขาผูกเชือกเส้นเล็กๆ
เอาไว้เพื่อหวังให้เป็นสิ่งที่จะนำพาเจ้าตัวกลับมายังโลกแห่งนี้
‘เมื่อท่านได้พบกับนางแล้ว
จงช่วยเหลือนางให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวด’
‘และเมื่อถึงเวลานั้น
จงใช้เชือกเส้นนี้นำทางกลับมาสู่บาบิโลนเถิด’
ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของตน
ลานสายตาตรงหน้ามืดสนิทแม้ดวงตาจะกำลังเปิดกว้าง กษัตริย์หนุ่มก้าวเดินออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย
เขาไม่รู้ว่าเส้นทางด้านหน้าจะสิ้นสุดลงที่ใด หรือมีสิ่งใดกำลังรออยู่
พลันร่างของผู้คนก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนราง
ราวกับเหตุการณ์ที่เขากำลังพบเห็นกำเนิดจากเครื่องฉายภาพเมื่อผู้คนเหล่านั้นเป็นเพียงสสารที่ไม่อาจแตะต้องได้
เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดีเติบโตมาในครอบครัวของกษัตริย์
วัยเด็กของเธอถูกฝากฝังไว้กับชายผู้หนึ่งที่ชื่อเมอร์ลินจนเติบโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
บนใบหน้างดงามนั้นไม่เคยปรากฏรอยยิ้มอันสดใส
บัลลังก์ที่เธอไม่เคยต้องการถูกบังคับให้สืบทอดเพราะสายเลือดในกายที่มีอยู่
เหตุเพราะเป็นสตรีจึงจำต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ
ภายในเกราะเหล็กอันหนักอึ้ง
วิชาการต่อสู้และการบริหารบ้านเมืองถูกถ่ายทอดสู่เด็กหญิงคนนั้นที่เธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะปฏิเสธ
การอภิเษกสมรมเพื่อหลอกตาประชาชน เพื่อนสนิทที่แอบลอบเป็นชู้กับราชินีในนามจนเกิดความขัดแย้งกันเองในราชสำนัก
การปรากฏตัวของหญิงนางหนึ่งที่มีพลังเวทย์มากมาย
กลิ่นอายดังกล่าวคล้ายคลึงกับพลังชีวิตของอิชทาร์ยามเมื่อชายหนุ่มได้พบเห็น
หญิงผู้นั้นเป่าหูสหายของอาเธอเรียที่หน้าเหมือนกับแม่ทัพฮูวาวาให้มักใหญ่ใฝ่สูง
เขาทะเยอทะยานอยากได้บัลลังก์มาเป็นของตน จนกระทั่งวันหนึ่งการทรยศก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เขาส่งสาส์นให้อาเธอเรียราวกับซาบซึ้งในการยอมรับความรักของตนกับเกว็นนีเวียร์
แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นผู้สังหารนางด้วยมือตัวเองในคืนเดียวกัน
ภาพของชายเจ้าของเรือนผมสีดำประกายม่วงกำลังปลิดชีพอาเธอเรียฉายอยู่ในสายตา
กิลกาเมซรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างของเด็กสาวที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นปราสาท
เป็นสิ่งที่น่าฉงนใจเมื่อเขาสามารถแตะต้องกายบอบบางนั้นได้ราวกับเป็นดวงจิตที่แท้จริง
บางทีเธออาจจะกำลังวนเวียนอยู่ในความทรงจำเช่นนี้ซ้ำๆ
ถูกปลิดชีพซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
“ แลนเซลอต… ทำไมเจ้า ” เสียงหวานที่แหบพร่าเอ่ยเรียกแม่ทัพหนุ่มผู้นั้นทั้งน้ำตา
นี่คือเรื่องราวที่เด็กสาวผู้นี้แบกรับมาโดยตลอดงั้นหรือ…
“ อาเธอเรีย
ได้ยินข้าหรือไม่ ” เขาพยายามเรียกสติ
แต่ดวงตาสีมรกตในเวลานี้กลับหม่นหมองราวกับไม่ตอบรับต่อการสนทนาใดๆ
ต้องทำเช่นไรจึงจะพานางออกไปจากวัฏจักรสงสารนี้ได้… อาเธอเรียยังมีชีวิตอยู่เพราะการช่วยเหลือของเขา
แต่นางกลับไม่ตอบรับคำขอนั้น
“
ท่านผู้มีชะตาเกี่ยวพันกับอาเธอเรียเอ๋ย ”
พลันเสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาแทรกแซงความคิดนั้น ชายผมยาวในชุดคลุมสีขาว
ใบหน้าคมคายนั้นกิลกาเมซจำได้ว่าเคยพบเห็นเขาในความทรงจำของอาเธอเรีย
เขาคือชายที่เป็นดั่งครอบครัวของเธอและเลี้ยงดูเด็กสาวให้เติบโตขึ้นมาอย่างเด็ดเดี่ยว
หากแต่ชายผู้นี้กลับมีพลังชีวิตที่คุ้นเคยนัก… ราวกับว่าเคยอยู่ใกล้ชิดกันมาเป็นเวลานาน
“ นามของข้าคือเมอร์ลิน
ผู้ที่ส่งนางไปยังโลกของท่านคือข้าเอง ”
นามที่ชายหนุ่มเคยได้ยินชื่อมาหลายครั้ง
แท้จริงแล้วคือผู้มีพลังเวทย์สูงส่ง
หากแต่ในเวลานี้ร่างสูงโปร่งกลับปรากฏตัวได้เพียงภาพเลือนที่พร้อมจะจางหายไปได้ทุกเมื่อ
ราวกับการปรากฏตัวครั้งนี้ตั้งใจทำขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างเท่านั้น
“ อีกไม่กี่อึดใจเท่านั้น ในเวลานี้ข้าไม่มีกำลังพอจะช่วยเหลือนางได้
หากเป็นท่านต้องสามารถปลุกนางจากฝันร้ายได้แน่นอน ”
เขาฝากฝังคำพูดสุดท้ายไว้พร้อมรอยยิ้ม
ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะเลือนหายไปจากสายตา
กษัตริย์หนุ่มกระชับร่างในอ้อมกอดของตนให้แน่นขึ้น
ความอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านร่างกายทำให้กายที่บอบช้ำเริ่มมีการตอบสนอง
ดวงตาคู่สวยเลื่อนมาจับจ้องที่ใบหน้าคมคายนั้น
“ อาเธอเรีย
ตอบรับข้าเถิดหนา… ข้าอยู่ตรงนี้กับเจ้าแล้วนะ
” น้ำเสียงทุ้มในเวลานี้กลับอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็น
เด็กสาวรู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน
ความเจ็บปวดจากปลายดาบของแลนเซลอตยังคงฝังอยู่ในหัว เจ็บจนสายตาพร่าเลือนไปหมด
ถึงอย่างนั้นใบหน้าของคนตรงหน้ากลับคุ้นเคยเสียเหลือเกิน…
“ …ท่าน ”
“ กลับไปกับข้า
ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า ”
ความรู้สึกผูกพัน
ความรู้สึกราวกับไม่อยากให้ชายผู้นี้จากไปไหน…
“ อยู่กับข้าเถิดนะ
อย่าจากไปไหนอีกเลย ”
ยังมีคนที่อยากให้เธอมีชีวิตต่อไปอยู่ด้วยสินะ
…….
….
..
ความอบอุ่นจากกายของใครคนหนึ่งทำให้แพขนตาหนาเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า
ใบหน้าของกษัตริย์หนุ่มคือสิ่งแรกที่ปรากฏเข้ามาในสายตา
น้ำตาที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาได้อย่างไรยังคงพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย
อาเธอเรียตื่นขึ้นมาในสถานที่ที่คุ้นเคย รอบข้างล้อมรอบไปด้วยเอนคิดูและแม่เฒ่าแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่มีสีหน้ายินดี
ในที่แห่งนี้กิลกาเมซก็ยังกอดร่างของเธอเอาไว้แน่นเหมือนกับในมิติแห่งความฝัน
แขนเล็กทั้งสองข้างโอบกอดของคนที่ตัวใหญ่กว่าเข้ามาหาตนให้แน่นขึ้น
ในเวลานี้เธอรู้ดีแล้วว่าไม่ต้องการสูญเสียชายผู้นี้ไปอย่างแน่นอน…
“
เป้าหมายของวิเวียนในคราวนี้คือท่าน” ดวงตาสีมรกตสบเข้ากับดวงตาสีชาดอย่างเนิ่นนาน
หากอาเธอเรียไม่รั้งอิชทาร์ไว้ในครานั้น
หญิงสาวคงไม่ตอบรับวิเวียนให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตน
และชายคนนี้คงไม่ต้องมาตกเป็นเป้าหมายของชะตากรรมอันโหดร้ายเช่นนี้
“ ข้าให้ท่านตายไม่ได้
มันจะต้องไม่จบเช่นเดิมอีก ”
“ เข้าใจแล้ว
ข้าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นหรอกนะ ”
นิ้วเรียวของชายหนุ่มซับน้ำตาที่กำลังอาบไปทั่วไปหน้างดงามอย่างแผ่วเบา
กิลกาเมซรู้ดีว่าอิชทาร์กำลังโกรธเคือง
นางคงไม่ยอมรามืออย่างง่ายดายไปเท่านี้ หากแต่ได้รู้ว่าอาเธอเรียยังมีชีวิตอยู่
นางจะต้องหาทางกำจัดอย่างไม่ผิดแน่แท้
เวลาได้ล่วงเลยไปร่วมสามวัน
ไร้วี่แววของแม่ทัพฮูวาวาหลังจากที่เขาหายไปพร้อมกับอิชทาร์
กษัตริย์หนุ่มแห่งอุรุคกำลังหาลือเรื่องความเป็นไปได้กับสหายและองครักษ์ของเขา
บรรยากาศภายในพระราชวังในเวลานี้กลับเงียบสงัดหลังเกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่หลังปราสาท
ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพคนใดต่างก็หวาดกลัวอำนาจของเทพที่กำลังขัดแย้งกันทั้งนั้น
“ ในอดีตของข้า แลนเซลอต …ข้าหมายถึงชายที่หน้าเหมือนฮูวาวา
จะหาแนวร่วมที่เห็นด้วยกับตนเพื่อกำจัดข้าในคราวเดียว ”
อาเธอเรียเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น คราวนี้เป้าหมายของเขาคือกิลกาเมซ
แนวร่วมจึงไม่พ้นไปจากเหล่าแม่ทัพและทหารของชายหนุ่มอย่างแน่แท้
“
เขาใช้อุบายว่าจะยุติสงคราม …แต่ในคืนเดียวกันกลับมีขุนนางมากมายเข้าร่วมสังหารข้า
”
หากไม่มีผู้อำนวยความสะดวก
คืนนั้นแลนเซลอตคงไม่สามารถทำลายกำลังทหารที่มีและเข้าถึงตัวกษัตริย์ได้อย่างง่ายดาย
เอนคิดูพยักหน้ารับความคิดเห็นเหล่านั้น
“
ยิ่งเจ้าที่แสดงแต่พฤติกรรมเลวทราม ท่าทางว่าฮูวาวาคงหาแนวร่วมได้มากเป็นแน่ ”
คำพูดของสหายส่งให้กิลกาเมซขมวดคิ้ว รู้สึกราวกับกำลังถูกคนผมเขียวหลอกด่า
เรื่องที่มีคนเกลียดชังเขาอีกมากมาย
ชายหนุ่มทราบความจริงดีอยู่แล้ว
“
ข้าสามารถหยุดฮูวาวาไม่ให้ทำร้ายท่านได้ ชายผู้นั้นไม่ได้มีฝีมือดาบเหนือไปกว่าข้า
”
“
หากแต่คนที่ต้องรับมือด้วยจริงๆ ไม่ใช่เขาเลย ”
การจะจบเรื่องราวทั้งหมดมีแต่ต้องกำจัดต้นตอแห่งความเกลียดชังอย่างอิชทาร์ที่ในเวลานี้หลอมรวมดวงจิตเข้ากับวิเวียนโดยสมบูรณ์แล้วเท่านั้น
อิชทาร์เป็นเทพีแห่งสงครามที่เป็นสายเลือดแห่งเทพเจ้าโดยแท้
หากวัดด้วยพละกำลัง
กิลกาเมซที่มีเสี้ยวของความเป็นมนุษย์ร่วมกับเอนคิดูที่ถูกลดทอนพลังเทพลงกึ่งหนึ่งหลังลงมาที่โลกมนุษย์ถือว่าด้อยกว่านางนัก
ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถต่อกรกับหญิงผู้นั้นได้หรือไม่ บวกกับพลังเวทย์มหาศาลของอีกหนึ่งดวงจิตที่มาจากต่างมิติเวลาก็ยิ่งทำให้นางแข็งแกร่งกว่าเดิม
กิลกาเมซรับรู้แล้วว่าเป้าหมายของฮูวาวาในครานี้คือความตายของเขา
หากแต่เป้าหมายของอิชทาร์ก็คือความตายของอาเธอเรียเช่นกัน… หนึ่งตัวแปรที่เพิ่มเข้ามาทำให้ชายหนุ่มไม่อาจนิ่งเฉยได้
ต่อให้เขาจะเสียเปรียบต่อเทพีแห่งสงครามนางนั้นก็ตาม
ผู้กำหนดว่าความตายควรมาถึงเมื่อใดต้องไม่ใช่คนทั้งคู่ที่กำลังมุ่งร้าย
“ สัญญากับข้าได้หรือไม่
ไม่ว่าอย่างไรอย่าสละชีวิตเพื่อปกป้องข้า ”
หากสิ่งที่แม่เฒ่าที่วิหารศักดิ์สิทธิ์กล่าวกำลังจะเกิดขึ้นจริง
อย่างน้อยผู้สละชีวิตคนนั้นไม่ควรเป็นเด็กสาวตรงหน้า
พวกเขาต่างไม่ละสายตาจากใบหน้าของกันและกันเป็นเวลาพักหนึ่ง
“ รับปากสิอาเธอเรีย ”
“
แล้วท่านสามารถรับปากข้าในคำขอเดียวกันได้หรือไม่ ”
ในเวลานี้คนทั้งคู่ต่างมองความคิดของอีกฝ่ายออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
ไม่ทันได้มีผู้ใดต่อบทสนทนา ลำแสงสีม่วงก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่
นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าถึงเวลาต้องปกป้องคนที่ตนรักแล้ว แม้การมาดังกล่าวจะกะทันหัน
แต่ทั้งกิลกาเมซและอาเธอเรียต่างเตรียมใจที่จะรับมือกับมันได้ดี
พวกเขาไม่มีท่าทีตกใจ เจ้าของดวงตาคู่สวยเป็นฝ่ายเริ่มสนทนาใหม่อีกครั้ง
“
เช่นนั้นข้าจะเปลี่ยนคำถามกับท่าน… สัญญาว่าจะกลับมาหาข้าได้หรือไม่ ”
ขอเพียงแค่อีกฝ่ายให้คำมั่นสัญญา
ขอแค่ได้พบหน้ากันอีกสักครั้งก็เพียงพอ
“ ข้าสัญญา ”
รอยยิ้มและการขานรับจากกษัตริย์หนุ่มทำให้ผู้ตั้งคำถามยกยิ้มตอบ
เธอพาร่างเล็กวิ่งออกไปจากห้องจัดเลี้ยงทั้งแบบนั้น
โดยที่กิลกาเมซไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าคำสัญญาดังกล่าวจะผูกมัดตัวเขาไว้เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น…
ความวุ่นวายประเดประดังเข้ามาในระยะเวลาอันสั้น
ด้วยพลังแห่งดาบศักดิ์สิทธิ์ทำให้อาเธอเรียสามารถต้านชายที่มีจิตใจมุ่งร้ายต่อกิลกาเมซไว้ได้
อิชทาร์ปรากฏตัวขึ้นหลังฮูวาวามาถึงได้พักหนึ่ง
และราชาหนุ่มผู้นั้นยังพอมีกำลังทหารฝ่ายตนเองหลงเหลืออยู่บ้าง แม้อาเธอเรียจะพยายามเตือนสติแม่ทัพตรงหน้าอย่างไร
เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะตอบรับ
ราวกับระบบความคิดที่มีได้ถูกแม่มดนางนั้นครอบงำไว้โดยสมบูรณ์แล้ว
เทพีแห่งสงครามส่งพลังเวทย์จำนวนมหาศาลลงสู่ลานกว้างโดยไร้การบอกกล่าวล่วงหน้า
มันก่อเกิดเป็นรูปร่างของสัตว์ใหญ่ที่มีพละกำลังมหาศาลเช่นกระทิง
เพียงแค่ลำแสงบางอย่างเปล่งออกจากปาก
กำลังทหารที่เคยมีของกิลกาเมซก็หายไปเกินกว่าครึ่ง
เหลือเพียงความเสียหายเป็นเพลิงร้อนระอุลุกไหม้ทั่วทั้งพื้นที่
เอนคิดูรับรู้ได้ในทันทีว่านั่นเป็นพลังเวทย์จากแม่มดหญิงนามวิเวียน
มิใช่พลังของเทพเจ้าจากอิชทาร์
เจ้าของผมยาวสีเขียวสว่างรีบร่ายเวทย์เพื่อป้องกันมิให้มีการสูญเสียกำลังทหารไปมากกว่าเดิม
เกิดเป็นม่านเกราะสีเขียวปกป้องทหารเหล่านั้นเอาไว้
ดาบเล่มใหญ่ในมืออาเธอเรียที่มีต้นกำเนิดจากพลังของเมอร์ลินยังตอบสนองต่อการใช้งานของเธอได้ดี
นั่นหมายความว่าเมอร์ลินยังมีชีวิตอยู่ในที่ใดสักแห่ง
หากแต่กิลกาเมซที่มีพลังด้อยกว่าอิชทาร์ในเวลานี้กำลังเสียเปรียบ
แม้เขาจะรู้สึกโกรธเคืองกับนายทหารที่ต้องสูญเสียไปอย่างไร้ค่า
แต่ตนเองก็ยังได้รับผลกระทบจากพลังแห่งเทพเจ้าที่โจมตีมาโดยหวังให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้สถานเดียว
“
เพียงแค่ข้าไม่รับรักเจ้า จำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยงั้นหรือ ”
แขนแกร่งใช้หอกเล่มหนึ่งปัดป้องก้อนพลังที่มุ่งเข้ามาโจมตีที่กลางลำตัวของเขาได้ทันเวลา
แต่พลังที่มหาศาลก็ส่งให้ศาสตราวุธดังกล่าวแตกออกเป็นสอง
ร่างกายสมส่วนเซถลาออกไปด้านข้างตามแรงปะทะ
“
ท่านทำให้ข้าเสียหน้ากิลกาเมซ ”
“ ข้ามิอาจรักเจ้าได้
และไม่มีวันรัก ” แม้จะยากต่อการประมือนัก
แต่ท่าทีของกษัตริย์แห่งอุรุคกลับกำลังท้าทายหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีดำตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
“
พิจารณาสิ่งที่เจ้าทำกับเมอร์ลินก่อนจะมาร้องขอความรักจากข้าดูเถิด ”
“
นังนั่นมันบอกท่านงั้นหรือ ข้าชิงชังนางยิ่งนัก ”
ในเวลานี้ผู้ที่ถูกกระตุ้นให้โมโหกลับเป็นนักเวทย์หญิงที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
เหตุผลเดียวที่ชายตรงหน้าจะรู้จักนามของพ่อมดที่อยู่ในอีกมิติเวลาได้
มีแต่ต้องได้ยินจากคนที่มาจากสถานที่แห่งเดียวกันเท่านั้น
“ ทั้งที่กำจัดไปแล้ว
เหตุใดจึงต้องขวางทางข้าในทุกช่วงเวลา ”
ดวงตาคู่สวยแปรเปลี่ยนเป็นสีอเมทิสต์ มันกำลังลุกวาวอย่างโกรธเคือง
มือเรียวร่ายเวทย์ด้วยพลังที่มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
คราวนี้เป้าหมายของการทำลายล้างคือเด็กสาวเจ้าของผมสีทองที่เธอเคยกำจัดไปแล้วครั้งหนึ่ง
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่กษัตริย์แห่งอุรุครวบรวมอาวุธจำนวนมากจากม่านพลังเข้ามาที่จุดเดียว
ปลายแหลมคมจำนวนมากมายพุ่งตรงเข้าไปต้านพลังเวทย์เหล่านั้นได้อย่างพอดีจังหวะจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วพื้นที่
ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มระบายยิ้มเยาะ
หากคิดจะทำร้ายหญิงผู้นั้น… มีแต่ต้องฆ่าเขาให้ตายก่อนเท่านั้น
……..
….
...
“ อาเธอเรีย …ได้ยินข้าหรือไม่ ”
ในช่วงจังหวะแห่งความชุลมุน
เสียงเรียกหนึ่งกลับดังขึ้นมาในโสตประสาทของอาเธอเรีย
มันเป็นเสียงของคนที่เธอคุ้นเคยดี
เด็กสาวรีบตวัดมองข้างตัวแต่ก็พบกับความว่างเปล่า
เบื้องหน้าคือฮูวาวาที่ยังคงต่อต้านอย่างไร้ประโยชน์
ราชาหนุ่มผู้นั้นกำลังบาดเจ็บสะสมจากการโจมตี เด็กสาวสามารถมองออกได้ในทันทีว่าเขาคงต้านเอาไว้ได้อีกไม่นานนัก
ความรู้สึกกลัวเข้ามาเกาะกุมจิตใจ
เธอยังไม่แม้แต่จะสลัดแม่ทัพที่มีใบหน้าเหมือนกับแลนเซลอตออกไปได้เลยด้วยซ้ำ
แต่กิลกาเมซกลับมีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้เสียแล้ว
และในเวลานี้กำลังต่อสู้สำคัญอย่างเอนคิดูกลับหายไปอย่างเป็นปริศนา
“ ข้าได้ยินเสียงของท่านแล้วเมอร์ลิน! ”
เสียงหวานรีบตะโกนตอบรับเจ้าของเสียงเรียกนั้น
แม้ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยสายตา แต่สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของพ่อมดผู้นั้นได้
ราวกับว่าเขาอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด
“ ได้โปรดบอกข้า
ต้องทำเช่นไรข้าจึงจะช่วยเขาได้! ”
กิลกาเมซในเวลานี้กำลังไม่ปลอดภัย แม้อิชทาร์จะมีความเสน่หาต่อเขาไม่น้อย
แต่ตัวตนของวิเวียนที่ปะปนอยู่ในนั้นไม่อาจไว้ใจได้
นางอาจจะบ้าคลั่งถึงขั้นสังหารกษัตริย์หนุ่มผู้นั้นได้เช่นกัน
“
มีวิธีเดียวที่จะทำเช่นนั้นได้ และนั่นคือเหตุผลที่ข้าส่งเจ้ามาที่นี่ ” เสียงทุ้มของเมอร์ลินต่อบทสนทนา หลังถูกกักขังมาเนิ่นนาน
เวลานี้คงเหมาะสมแล้วที่เขาจะปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อทำให้เรื่องราวทุกอย่างเข้าที่เข้าทางอย่างที่ควรจะเป็นเสียที
“
ปิดมิติที่เชื่อมระหว่างบริทาเนียและบาบิโลนเสีย
เมื่อทำเช่นนั้นวิเวียนจะสูญเสียพลังที่เรียนรู้จากข้าไป
และกลายเป็นแค่เทพที่ไม่มีพลังเวทย์อีกต่อไป ”
“ เพียงแต่ข้อแลกเปลี่ยนของมัน
เจ้าเองก็รู้ดีใช่หรือไม่เด็กน้อย ”
หนักหน่วงมาก อุดมด้วยดราม่าและฉากต่อสู้จนงงว่านี่มันฟิคอะไรกันแน่;-;
เหมือนจะจบแต่ก็ยังไม่จบค่ะทุกคน ทั้งที่ตอนหน้าก็ตอนสุดท้ายแล้ว
อาเธอเรียเพิ่งฟื้นจากการหลงมิติ ไรเตอร์ก็ลากน้องมาสู้ต่ออีก
เนื้อเรื่องยังไม่ลดความเข้มข้นลง จะจบอย่างสวยงามหรือตับพัง(?)ต้องติดตามกันต่อนะคะ
* เกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์เล็กน้อย (สามารถข้ามได้นะคะ แปะมาเพื่อทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้น)
▼ หลังจากกิลกาเมซปฏิเสธความรักของอิชทาร์ นางก็โกรธมากจึงไปฟ้องพ่อตัวเองที่เป็นเทพค่ะ พ่อของนางเลยส่งกระทิงยักษ์ที่ลงมาเหยียบโลกครั้งแรก ทหารของกิลกาเมซก็ตายไป 500 นาย ลมหายใจของมันทำให้เกิดไฟไหม้ด้วยค่ะ การต่อสู้เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายวัน แต่ภายหลังกิลกาเมซกับเอนคิดูก็รวมพลังปราบกระทิงตัวนั้นได้สำเร็จอยู่ดี
▼ เทพเจ้าก็เลยโมโหในความโอหังเกินไปของสองสหายนี้มาก สุดท้ายเอนคิดูก็โดนลงโทษให้เสียชีวิตเลยค่ะ ป๋ากิลเราก็เศร้ามาก เป็นจังหวะที่เขาคิดได้ว่าชีวิตนี้มันไม่แน่นอนจริงๆค่ะ;-;
แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ
ความคิดเห็น