คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 7
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
ในอดีตแลนเซลอตก็เคยเป็นเพื่อนที่ดี เขาเคยให้ความช่วยเหลือทุกสิ่งที่จำเป็นแก่กษัตริย์แห่งบริทาเนีย จนกระทั่งความทะเยอทะยานเข้าครอบงำ หลังสถานการณ์วุ่นวายเมื่อครู่จบลง เด็กสาวพาตัวเองมานั่งอยู่ริมสระน้ำเดิมที่ตั้งอยู่หลังพระราชวัง ชายผมสีดำประกายม่วงคนนั้นยังไม่ละความพยายามในการเดินตามมา แต่คนตัวเล็กก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองใบหน้านั้นอีกครั้ง
ลูกประคบเล็กๆ อันหนึ่งถูกยื่นมาไว้ตรงหน้า
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อย
ความเจ็บจากแรงตบเมื่อครู่มันมากพอจะทำให้เกิดบาดแผลที่มุมปากได้ รสชาติขมปร่าของเหล็กในตอนนั้นเป็นสิ่งยืนยันได้ดี
แต่เธอก็ไม่ได้รับความหวังดีนั้นเข้ามาไว้ในมือแต่อย่างใด
ชั่วครู่นั้นเผลอขาดสติไปเสียได้… สูญเสียความเยือกเย็นไปมากตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
“
เจ้ายังรังเกียจข้าอยู่อีกหรือ ”
ท่าทีนิ่งเฉยทำให้คนตัวสูงย้ายมายืนตรงหน้าเด็กสาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยไวน์องุ่นอย่างน่าสงสาร
“
แต่ข้าไม่เคยทำร้ายเจ้าเลยนะ ”
พลันใบหน้าเล็กกลับค่อยๆ
เงยขึ้นมองให้เห็นรายละเอียดอันงดงาม ดวงตาสีมรกตแสดงความไหววูบเพียงชั่วขณะ
ไม่ใช่กับท่าน
แต่เป็นชายที่หน้าเหมือนท่านต่างหาก…
“ ขออภัยด้วย
ข้ากำลังพยายามไม่เกลียดท่านอยู่ ”
เพราะประโยคและสีหน้าที่พูดออกมาอย่างจริงจัง
ส่งให้คู่สนทนาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทแห่งนี้
ชายหนุ่มไม่เคยเห็นหญิงใดมีพฤติกรรมแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
“ เจ้านี่ตลกชะมัด …โดนหญิงสาวพวกนั้นรังแกบ่อยหรือ
”
สภาพผมสีทองที่ยุ่งเหยิง ใบหน้ามีรอยช้ำและกระโปรงที่เปรอะเปื้อน
ทุกสิ่งมันกำลังฟ้องออกมาเช่นนั้น หากแต่ชั่วขณะที่เขาไปถึง ณ
ห้องโถงนั้นกลับเห็นภาพเด็กคนนี้กำลังทำหน้าน่ากลัวใส่นางในเสียอย่างนั้น
เพราะกลัวว่านางจะเป็นอะไรไปเสียก่อน แต่เผลอลืมไปว่าเจ้าตัวเคยชนะการประลองที่มีแต่ชายฉกรรจ์มาแล้ว
อาเธอเรียพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
คงจะเป็นครั้งแรกที่โดนรังแก
แต่หญิงพวกนั้นคงไม่กล้าเข้ามาใกล้อีกแล้วเป็นแน่…
มือหนาของอีกฝ่ายวางลงบนกลุ่มผมของเธอก่อนจัดทรงให้อย่างแผ่วเบา
อาเธอเรียทำได้เพียงส่งสีหน้างุนงงระคนกับตกใจให้อย่างไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นัก
“
เมื่อไรที่เจ้าเดือดร้อนสามารถขอความช่วยเหลือจากข้าได้เสมอ ”
ชายหนุ่มระบายยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าคม
“ ข้าชื่อฮูวาวา เป็นหนึ่งในแม่ทัพของอุรุคน่ะ
”
ฮูวาวา… ชื่อของเขาเป็นชื่อนี้สินะ
“
หากวันใดเจ้าไม่มีเพื่อน ข้าจะเป็นเพื่อนคุยให้เจ้าเอง ”
แม่ทัพหนุ่มไม่อาจรับรู้ได้ว่าเด็กสาวมีความเป็นอยู่เช่นไร
เขารู้แค่ว่านางเป็นคนที่กษัตริย์กิลกาเมซพามาจากที่แห่งหนึ่ง
ภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์ส่วนตัว แต่กิลกาเมซที่เขารู้จักเป็นชายเจ้าเล่ห์และมักมากในกามยิ่งนัก
เขาไม่เคยมีความรักให้หญิงนางใด กับหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดา
ด้วยสีผมและตาที่ไม่เหมือนใคร ย่อมถูกใจชายคนนั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เขาเพียงกลัวว่าวันหนึ่งเด็กสาวจะหมดค่าในสายตาและถูกทิ้งขว้างเยี่ยงสิ่งของ
เธอดูไร้พิษภัยและไม่น่าจะตามทันความเจ้าเล่ห์ของกษัตริย์หนุ่มได้เลย
“
กษัตริย์กำลังจะมาหาเจ้าแล้วสินะ เขาดูเสน่หาเจ้าไม่น้อยทีเดียว ”
อาเธอเรียทอดมองคนผู้มีใบหน้าคุ้นเคยกำลังระบายยิ้มเศร้าพร้อมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
พอเห็นท่าทีไม่ได้ปฏิเสธของเธอ ชายคนนี้ก็พูดคุยด้วยมากมายราวกับอยากรู้จักเธอนักหนา
เสน่หาอันใดกันล่ะ… ชายผู้นั้นจงใจสร้างข่าวลือให้ตัวเองดูแย่เองทั้งนั้น
สิ่งที่เด็กสาวทำมีเพียงแค่ติดตามเขาไปในทุกๆ ที่ก็เท่านั้น
เพราะช่วงเวลานี้กิลกาเมซมักจะรับประทานอาหารเย็นร่วมกับเหล่าแม่ทัพที่เขาเกลียดชังหนักหนา
เพราะไม่ชอบบรรยากาศที่ปกคลุมด้วยความหวาดกลัวและประจบประแจงเหล่านั้น
อาเธอเรียจึงได้ปลีกตัวออกมาคนเดียว
อีกสักครู่เจ้าตัวก็จะมาตามเธอให้กลับไปอย่างที่ฮูวาวาว่าเช่นนั้นแหละ
“ ข้าคงต้องไปแล้ว
ไว้พรุ่งนี้มาเจอกันใหม่นะสาวน้อย ” หางตาเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งกำลังเดินมาแต่ไกล
ฮูวาวาจึงจำต้องบอกลาเด็กสาวแค่นั้น เพราะไม่อยากวุ่นวายกับกษัตริย์หนุ่ม
ร่างสูงจึงก้าวออกไปทั้งอย่างนั้น
แต่แล้วประโยคที่เสียงหวานเอ่ยสนทนาด้วยก็ทำให้เขายกยิ้มขึ้นมาได้
“ …อาเธอเรีย ข้าชื่ออาเธอเรีย
”
เขาไม่ใช่แลนเซลอต …เด็กสาวจะลองเปิดใจอีกสักครั้ง
ณ ที่แห่งนี้เธอไม่ได้ถือครองสิ่งใดให้อีกฝ่ายอยากมาแย่งชิงไปได้อีกแล้ว
ดวงตาคู่สวยเหลือบไปเห็นลูกประคบอันเดิมย้ายมาวางอยู่ข้างตัว
เธอหยิบมันขึ้นมามองราวกับกำลังใช้ความคิดบางอย่าง
แต่แล้วก็ต้องรีบซ่อนไว้ด้านหลังเมื่อเห็นกษัตริย์ผมทองเดินทำหน้าบึ้งตึงมาแต่ไกล
ไม่รู้ว่าเขาอารมณ์เสียอะไร
แต่ไม่อยากให้เห็นร่องรอยบาดแผลที่มุมปากที่เลยสักนิด
“
เขามาหาเจ้าอีกแล้วงั้นหรืออาเธอเรีย ” น้ำเสียงทุ้มดูไม่ค่อยพอใจนัก
ท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนตัวเล็กทำให้กิลกาเมซสงสัย แม่ทัพหนุ่มเพิ่งเดินออกไปไม่นาน
ส่วนอาเธอเรียก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดคุยด้วย
“
เขาทำเจ้าร้องไห้อีกแล้วหรือไม่ ”
ชายหนุ่มเปลี่ยนคำถาม แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงการส่ายหน้าเบาๆ
และคำพูด ‘เปล่า’ แต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา
ร่างสูงรู้สึกหงุดหงิด
อดไม่ได้ที่จะคว้าเข้าที่คางมนของคนตัวเล็กกว่าและฝืนให้เงยหน้ามอง
ฝ่ายนั้นทำทีท่าว่าจะขัดขืน แต่ก็ไม่อาจสู้แรงที่มากกว่าของเขาได้
ร่องรอยช้ำที่มุมปากทำให้ความรู้สึกโกรธตีขึ้นมาแทบจะทันที
ดวงตาคู่สวยรีบเบี่ยงหลบสายตาคู่คมที่จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนั้น
“ เจ้านั่น ”
เห็นคนตัวโตทำท่าจะพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไป
อาเธอเรียจึงรีบกอดเข้าที่แขนแกร่งอย่างไม่รอช้า
“ ไม่ใช่เขานะ! ”
เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว…
“ ผู้ใดเป็นคนทำ ”
เสียงทุ้มพูดขึ้นด้วยความเยือกเย็นกว่าทุกครา
ดวงตาสีชาดกำลังทอดมองไปตามเนื้อตัวที่เปียกปอนไปด้วยร่องรอยสีแดงหม่น
เด็กสาวรู้สึกได้ทันทีว่าเขากำลังโกรธ
ครั้นพอนึกถึงต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี่
คิ้วเรียวของคนตัวเล็กก็ขมวดเข้าหากันแน่น เธอปล่อยมือออกจากแขนนั้น
กลายเป็นคนที่หงุดหงิดแทน
ชายคนนี้โกรธอะไรของเขา… ฝ่ายที่ต้องโมโหมันทางนี้ต่างหาก
“
มันก็เพราะท่านไม่ใช่หรือไง—! ” ร่างบางสูดหายใจเข้าลึกๆ
แล้วพ่นมันออกมาอย่างจนปัญญา
ความริษยาของหญิงสาวในฮาเร็มของท่านนั่นแหละ… แต่เขาจะไปเข้าใจได้อย่างไรกัน
เธอเองก็ไม่ได้คิดจะไปเอาเรื่องเอาราวอะไรกับคนพวกนั้นอีกแล้วด้วย
“ ช่างเถอะ… ไม่มีใครทำทั้งนั้น ”
ตั้งแต่แรกพวกนางก็จ้องมองอาเธอเรียราวกับจะฆ่าให้ตายเสียตรงนั้น
ครั้นจะหาโอกาสโจมตีเมื่อไรก็ไม่นึกแปลกใจสักเท่าไร
มีแต่ต้องแก้ไขที่ตัวต้นเหตุเท่านั้น ดวงตาคู่สวยตวัดมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างเอาเรื่อง
เธอกล่าวตัดบทก่อนจะเดินออกไปด้วยติดหงุดหงิด
สถานการณ์บังคับให้ต้องไปชำระร่างกายอย่างช่วยไม่ได้
“
ถ้าครั้งต่อไปยังเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก อย่ามาหาว่าข้าใช้ความรุนแรงก็แล้วกัน ”
ทิ้งไว้เพียงกิลกาเมซที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ยืนอยู่คนเดียว
ยังไม่ทันถามให้ได้ความเด็กสาวก็เดินออกไปเสียแล้ว ซ้ำยังอารมณ์ไม่ดี
ราวกับว่าเขาโดนโกรธอย่างไรอย่างนั้น…
เพราะอาณาจักรบาบิโลนคงอยู่มาหลายชั่วอายุคน
พวกเขาเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้
จึงเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพเจ้ามากที่สุด แม้จะเป็นแค่ส่วนน้อย
แต่บางครั้งการภาวนาและให้การสักการะก็สามารถส่งไปถึงเทพเจ้าที่สูงส่งได้
เป็นกิจวัตรที่เทพแห่งเพศ สงคราม
และการเมืองจะปรากฏตัวที่วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งบาบิโลน
หน้าที่ของเธอคือการทำให้ความปรารถนาของมนุษย์ที่เหมาะสมได้เป็นจริง
ด้วยความงดงามของสายเลือดแห่งเทพเจ้า ไม่ว่าผู้ใดที่ได้พบเห็นต่างก็เสน่หาในตัวเธอ
และจัดเตรียมทุกสิ่งอย่างมาให้ทั้งนั้น จึงเป็นเหตุผลให้อิชทาร์กลายเป็นหญิงช่างเลือกและเอาแต่ใจยิ่งกว่าผู้ใด
ระยะหลังมานี้เธอมักจะได้ยินเสียงเรียกปริศนาอยู่ในหัว
ไม่ใช่ทั้งคำอ้อนวอนและคำสักการะจากมนุษย์
แต่เป็นเสียงของหญิงคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปราวกับอยู่คนละมิติเวลา
พลังมหาศาลบางอย่างกำลังไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของเธออย่างเป็นปริศนา
และวันนั้นเธอได้เห็นนิมิตของหญิงคนหนึ่งที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
หญิงที่แต่งกายประหลาดตาราวกับแม่มด และมีเรือนผมยาวสีขาวแผ่สยายลงไปถึงเอว
‘อิชทาร์… เจ้าได้ยินข้าหรือไม่’
‘จงตอบรับข้าเสีย
เพราะเจ้ากับข้าคือดวงจิตเดียวกัน’
ด้วยความสับสนหลังสดับฟังประโยคเหล่านั้น
อิชทาร์ตัดสินใจลงมายังวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อหาคำตอบดังกล่าว
หญิงผู้นั้นไม่เหมือนกับเทพเจ้าแต่ก็ไม่ใช่มนุษย์ นางเป็นสิ่งใดกันแน่… เหตุใดจึงต้องการการตอบรับจากเธอนัก
วันนั้นเธอสัมผัสได้ถึงเทพเจ้าตนอื่นที่มาเยือนยังวิหารแห่งนี้
การแต่งกายที่ประดับไปด้วยทองคำและเรือนผมสีทองเช่นนั้น
ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีว่าเขาคือ ‘กิลกาเมซ’ ผู้มีสถานะเป็นกษัตริย์แห่งอุรุค
เพียงแค่ดวงตาสีโลหิตของเธอได้ปะทะเข้ากับใบหน้าคมคายอย่างร้ายกาจนั้น
หญิงสาวก็เกิดความรู้สึกพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เธอเสน่หาและอยากได้ชายผู้นั้นมาเป็นของตน…
ไม่รู้ว่าเขารู้ตัวหรือไม่
แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่ได้มีท่าทีสนใจและหันไปสนทนากับแม่เฒ่าผู้ดูแลวิหาร
อิชทาร์จิ๊ปากอย่างขัดใจ อย่างไรเสียคงไม่ใช่จังหวะเวลาที่ดีสักเท่าไร
รออีกสักหน่อยจะเป็นอะไรไป
หากชายผู้นั้นได้เห็นเธอครั้งหนึ่งแล้วจะไม่มีวันหลุดออกจากบ่วงเสน่หานี้ได้แน่นอน…
“ ไม่เอาล่ะ… ข้าขอปฏิเสธ ”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น
ร่างสูงของชายผู้หล่อเหลาทิ้งกายอยู่บนบัลลังก์สูง
เขากำลังเท้าคางมองต่ำลงมาที่เธอด้วยสายตาไร้เยื่อใย
ทั้งที่ลงทุนแบกหน้ามาหาที่พระราชวังด้วยตัวเอง
ทั้งที่ไม่เคยปรากฏตัวว่าต้องการชายใดเช่นนี้มาก่อน แต่กษัตริย์หนุ่มผู้นั้นกลับกล้าปฏิเสธเธอแบบไม่ต้องคิดเสียด้วยซ้ำ
ทั้งที่เขาเห็นใบหน้าและเรือนร่างนี้แล้ว เหตุใดจึงไม่มีความเสน่หาเกิดขึ้นมาเลย
“ ป..เป็นไปไม่ได้! ท่านควรต้องเสน่หาต่อข้าสิกิลกาเมซ ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจนัก
ไม่เคยมีชายใดปฏิเสธความงดงามนี้ได้
“ กลับไปเสียเถอะ
ข้าไม่ได้ชอบหญิงเช่นเจ้า ”
“ เจ้าว่าอย่างไรนะ..! ”
ท่าทีของกษัตริย์หนุ่มเย็นชาเสียจนน่าโมโห
ดวงตาสีโกเมนทร์ของเขาทอดมองออกไปภายนอก ไม่เห็นเธออยู่สายตาเสียด้วยซ้ำ
เทพเจ้าหญิงรู้สึกเสียหน้าและอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากต้องเดินออกไปจากที่นี่มือเปล่า
เท่ากับว่าเรื่องราวของการโดนปฏิเสธจะต้องแพร่สะพัดออกไปด้วย
‘เช่นนั้นเจ้าก็ตอบรับข้าเสียสิอิชทาร์’
เสียงของหญิงผู้นั้นดังขึ้นในความคิดของเธออีกแล้ว
หญิงสาวขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความขัดใจ
‘หากเจ้าตอบรับข้า
ข้าจะช่วยให้ชายผู้นั้นถูกเอาคืนอย่างสาสม’
“ รอก่อนเถอะกิลกาเมซ
เจ้าได้เห็นดีกับข้าแน่ ”
เสียงในหัวของเธอก่อกวนมากเกินไป เทพีแห่งสงครามไม่อาจคงสติเอาไว้ได้
เธอตัดสินใจปลีกตัวออกมาจากท้องพระโรงหลังมาถึงเพียงไม่นานทั้งอย่างนั้น
ความแน่วแน่ที่ตั้งใจจะแก้แค้นต่อกษัตริย์แห่งอุรุคกลายเป็นการตอบรับอย่างไม่รู้ตัวต่อเสียงในหัวนั้น
อาจเพราะกงล้อแห่งโชคชะตาได้หมุนเวียนมายังช่วงเวลาที่เหมาะสม
ในระหว่างที่ร่างนั้นก้าวออกมาจากพระราชวังได้
พื้นที่โดยรอบเป็นเพียงโถงทางเดินยาวรอบปราสาทที่ปรากฏให้เห็นสวนและสระน้ำล้อมรอบ
ดวงตาสีชาดเหลือบไปเห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีลักษณะภายนอกที่แปลกตา
อิชทาร์ไม่เคยพบเห็นกับผู้คนที่มีรูปลักษณ์เช่นนั้นมาก่อน แต่เพราะความคิดที่ตีกันอยู่ในหัวจึงทำให้เธอไม่ได้สนใจหญิงคนนั้นเท่าไรนัก
หากแต่อาเธอเรียที่เห็นภาพนั้นทำได้เพียงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ชั่วขณะที่ร่างนั้นผ่านไป ราวกับมีภาพคุ้นตาของใครคนหนึ่งกำลังทาบทับอยู่
แม้หญิงคนนั้นจะมีดวงตาสีชาดและผมยาวสลวยสีดำสนิท
แต่พลังชีวิตที่กำลังกระจัดกระจายออกมารอบตัวเธอคนนั้นกลับชัดเจนราวกับมีของแข็งมาฟาดลงกลางศีรษะ
“ วิเวียน
ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ ”
แม้ลักษณะภายนอกจะแตกต่างกัน แต่ไม่ผิดแน่… หญิงคนนี้มีพลังชีวิตของวิเวียนไหลเวียนอยู่ในร่างเต็มไปหมด
แม่มดที่ทำให้เรื่องราวทุกอย่างกลับตาลปัตรมาจนถึงขณะนี้
แม่มดที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้น ณ กรุงบริทาเนีย
แม้จะไม่ใช่ชื่อที่แท้จริง แต่อิชทาร์กลับชะงักปลายเท้าและหันมามองคู่สนทนา
นามนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยราวกับเป็นนามของตน ยามที่ได้ยินการเอ่ยขาน
ราวกับโลหิตภายในกายกำลังร้อนรุ่ม
“ ข้ามิได้ชื่อวิเวียน ”
แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น
แต่เสียงของหญิงสาวที่ดังก้องอยู่ในหัวก็กำลังหัวเราะด้วยความพอใจ
เจ้าของเรือนผมสีดำขมวดคิ้วแน่น
ราวกับมันกำลังต้องการให้เธอยอมรับกับนามนั้นนักหนา
“ ว่าแต่เจ้า… ไม่ใช่คนที่นี่มิใช่หรือ
ข้าไม่มีธุระอะไรด้วยหรอกนะ ”
ด้วยดวงตาแห่งเทพเจ้า แม้มองครั้งเดียวก็สามารถรับรู้ได้
ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ต่างสถานที่
หากแต่แตกต่างกระทั่งช่วงเวลาราวกับมาจากมิติที่ไม่รู้จัก
แม้จะแปลกใจแต่ก็ทำได้เพียงสาวเท้าต่อไปเพราะความว้าวุ่นใจที่ไม่อาจอธิบายได้
“ เมอร์ลิน… เจ้าเอาเมอร์ลินไปไว้ที่ใด! ” เจ้าของเรือนผมสีทองยังไม่ละความตั้งใจ
ใบหน้าอ่อนเยาว์แสดงความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบังแม้เพิ่งเคยพบกันครั้งแรก
อาเธอเรียมั่นใจว่าไม่ผิดตัวอย่างแน่แท้ แม้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เธอถือครองอยู่จะไม่ได้มีมากมาย
แต่มันกำลังชี้นำไปยังพลังเวทย์มากมายที่หญิงคนนั้นครอบครอง
เมอร์ลินกำลังถูกกักขังอยู่ ณ
ที่แห่งใดแห่งหนึ่งที่มีเพียงวิเวียนเท่านั้นที่รู้จัก
“
เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญกับข้านี่ ข้าไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ”
คุ้นเคยราวกับรู้จักเจ้าของนามนั้น… เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
อิชทาร์ยกมือขึ้นมาสัมผัสศีรษะที่ปวดราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
เสียงของหญิงคนนั้นกำลังดังก้องอยู่ในหัวบอกให้เธอกำจัดเด็กสาวน่ารำคาญคนนี้เสีย
นางกำลังตอกย้ำให้รีบตอบรับพลังมหาศาลที่พร้อมจะเชื่อมต่อกันเมื่อไรก็ได้หากเธอต้องการ
ช่างน่ารำคาญใจนัก…
“
เหตุใดเจ้าจึงอยากให้ข้าฝืนกฎธรรมชาตินัก! ” เทพีหญิงรู้สึกโมโห
ยิ่งมองใบหน้างดงามที่กำลังโกรธเคืองจนมีน้ำตายิ่งทำให้โลหิตในกายมันร้อนรุ่มมากกว่าเดิม
หญิงสาวสำแดงอำนาจของตนเพื่อดับความร้อนใจนั้น
ลำแสงสีทองตรงเข้าไปครอบงำทั้งร่างของอาเธอเรีย
มันกำลังโอบรัดลำคอระหงส์จนทำให้เจ้าตัวเกือบขาดอากาศหายใจ
“
เจ้าเป็นผู้บังคับให้ข้าทำเช่นนั้นเองนะ ”
หากนามวิเวียนนั่นคือชื่อของหญิงที่ก่อกวนอยู่ในความคิด… หมายความว่าอย่างไรก็ต้องเชื่อมต่อกับนางให้ได้
ความรู้สึกสับสนเหล่านี้จึงจะหายไปเช่นนั้นหรือ
ปลายเท้าทั้งสองข้างของผู้มาจากบริทาเนียลอยขึ้นเหนือพื้น
พันธนาการที่ลำคอทำให้เด็กสาวกอบโกยอากาศเข้าปอดได้อย่างยากลำบาก
ภาพของวิเวียนกำลังทับซ้อนกับร่างตรงหน้า
แม่มดเจ้าของเรือนผมสีขาวมุกที่มีใบหน้างดงามกำลังยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาอันน่าขันของเธอ
พูดออกมาได้อย่างไรว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ… ทั้งที่ผู้ถ่ายทอดเวทมนตร์ทั้งหมดให้แก่นางคือเมอร์ลิน
ชายผู้เป็นดั่งครอบครัวของอาเธอเรีย ในเวลานี้ที่เธออยากพบเขาที่สุด
แต่กลับทำไม่ได้เพราะวิเวียนทรยศความไว้ใจนั้นจนแหลกเหลว
และหากไม่ใช่เพราะหญิงคนนี้ แลนเซลอตเองก็คงไม่ต้องถูกเป่าหูให้กลายเป็นชายที่โอหังและทะเยอทะยานได้ถึงเพียงนั้น
“
ทั้งที่เมอร์ลินรักเจ้ามาก ทำไมจึงทำกับเขาเช่นนั้น ”
ลำพังแค่ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เด็กสาวถือครองไม่อาจต้านทานอำนาจของเทพที่หญิงผู้นี้มีได้
ร่างเล็กไม่อาจขยับกายได้ตามใจต้องการ
แต่ก็ไม่อยากให้เรื่องราวจบอย่างง่ายดายแบบนี้เช่นกัน
จุดประสงค์ที่เมอร์ลินส่งเธอมาที่นี่ต้องมีเหตุผลใดมากกว่านี้
“ เจ้ากำลังทำอะไรกับคนของข้า ”
เสียงทุ้มที่ดูมีอำนาจพูดขึ้นอย่างเรียบนิ่ง
การปรากฏตัวของร่างที่คุ้นเคยทำให้อาเธอเรียรู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
ร่างสูงโปร่งของกษัตริย์แห่งอุรุคก้าวมาหยุดด้านหลังของเธอ ราวกับมีม่านพลังบางอย่างกางอยู่รอบตัวของเขา
ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังใบหน้างดงามของเทพีแห่งสงครามอย่างเยือกเย็น
ส่งให้รอยยิ้มอย่างผู้ชนะปรากฏขึ้นมาตอบสนอง
น่ากลัวเสียจริงนะกิลกาเมซ…
“ คนของท่านงั้นหรือ
เช่นนั้นข้าควรฆ่านางเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยดีไหมนะ ” สิ่งที่พันธนาการอยู่รอบคอรัดแน่นขึ้น
เด็กสาวผู้โชคร้ายทำได้แค่พยายามต่อต้านอย่างไร้ประโยชน์เท่านั้น
“ ปล่อยนางเดี๋ยวนี้ ”
อาวุธแหลมคมที่ปรากฏออกมาจากม่านพลังอย่างกะทันหันทำให้ทั้งอาเธอเรียและอิชทาร์ประหลาดใจ
มันมีจำนวนมากมายราวกับห่าฝนที่พร้อมมุ่งร้ายไปยังร่างของศัตรู
“
พลังนี้สินะที่บ่งบอกว่ามีโลหิตของเทพเจ้าไหลเวียนอยู่ในกายท่าน ”
ดวงตาคู่สวยของเทพีแห่งสงครามลุกวาวด้วยความสนใจ นอกจากรูปร่างหน้าตาที่ถูกใจ
เขาคนนี้ยังถือครองพลังแห่งเทพที่แข็งแกร่งอีกด้วย
“ ข้าบอกให้เจ้าปล่อยนาง
”
แต่กิลกาเมซหาได้สนใจท่าทางเหล่านั้นไม่
กริซอันแหลมคมเล่มหนึ่งพุ่งตรงไปยังลำคอของอิชทาร์อย่างไม่ปรานี
มันจ่ออยู่ที่หลอดลมราวกับรอผู้เป็นนายออกคำสั่งปลิดชีวิต
ส่งให้หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
ดวงตาสีโลหิตตวัดมองใบหน้าหวานของอาเธอเรียด้วยความโกรธเคือง
“ เพราะเจ้าสินะ! ”
ตั้งแต่เมื่อครู่ที่กษัตริย์หนุ่มออกตัวปกป้องหญิงนางนี้อย่างออกนอกหน้า
เพียงเพราะเขามีความรู้สึกบางอย่างต่อเธอเช่นนั้นสินะ
และเพราะความรู้สึกนั้น
มันมากมายขนาดปฏิเสธความเสน่หาต่อเทพีผู้สูงส่งได้เลยหรือไร
“
โทษฐานที่ท่านกล้าปฏิเสธข้า รอรับบทเรียนที่สาสมได้เลยกิลกาเมซ!”
เพราะรู้สึกเสียหน้าเกินกว่าจะรับไหว
อิชทาร์จึงทำได้เพียงจากไปทั้งอย่างนั้น
ร่างบางที่เคยถูกพันธนาการถูกปล่อยให้เป็นอิสระ หญิงสาวสำลักอากาศจนใบหน้าแดงกล่ำ
ร่างสูงที่เห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปช่วยพยุงร่างบอบบางให้ทรงตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“ ข้าไม่เป็นอะไร ”
เป็นอีกครั้งที่ชื่อ ‘เมอร์ลิน’ หลุดออกมาจากปากของเด็กคนนี้
กิลกาเมซอยากรู้เหลือเกินกว่าเจ้าของนามนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องราวทั้งหมด
ใบหน้างดงามของอาเธอเรียหม่นหมองลงอีกครา เกิดความเงียบเข้ามาครอบงำอยู่พักใหญ่
จนกระทั่งเด็กสาวขอปลีกตัวออกไปใช้ความคิดเพียงคนเดียวเงียบๆ
เรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ
ที่แห่งนี้มันแปลกเกินกว่าอาเธอเรียจะทำความเข้าใจได้
ทำไมที่นี่จึงมีทั้งคนที่หน้าเหมือนกับแลนเซลอตและหญิงที่มีพลังชีวิตเดียวกันกับวิเวียนปรากฏตัวขึ้นมา
โชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรอยู่ เรื่องราวจะกลับไปลงเอยเหมือนกับเหตุการณ์ที่บริทาเนียอีกหรือไม่
ถ้าเช่นนั้นแล้ว
เป้าหมายในคราวนี้ของวิเวียนคือสิ่งใดกัน…
แวะมาอัพตอนเช้าอีกแล้ว ยิ่งแต่งยิ่งยาวแฮะ;-;
เนื้อเรื่องชักจะซับซ้อนแล้วค่ะ ตัวละครปรากฏขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ ใครงงตรงไหนถามได้นะคะ
ความจริงแล้ว *ฮูวาวา* เป็นชื่อของอสูรตนแรกที่กิลกาเมซล้มได้ด้วยตัวเองก่อนเจอกับเอนคิดูค่ะ
ไหนๆ ก็มีคนหน้าเหมือนแลนเซลอตแล้ว ไรเตอร์ขอยืมชื่อมาใส่เลยแล้วกันค่ะ;-;
และเนื่องจากไรเตอร์ดูซีรี่ย์ Fate แค่ Stay night และ Zero
ทำให้พลาดรายละเอียดไปว่าตัวละคร *อิชทาร์* ปรากฏตัวในภาค Type moon และ Grand order ด้วยค่ะ
และตัวละครนี้ก็น่ารักมากด้วยTT ขออภัยไว้ก่อนเลยถ้าฟิคเรื่องนี้จะทำน้องหลุดคาแรคเตอร์นะคะ
* เกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์เล็กน้อย (สามารถข้ามได้นะคะ แปะมาเพื่อทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้น)
▼ ช่วงก่อนเจอกับเอนคิดู กิลกาเมซลำพองในอำนาจของตัวเองมาก เลยไปท้าสู้กับอสูรที่ชื่อว่าฮูวาวา แล้วปรากฏว่าเขาก็ชนะอสูรตนนั้นอย่างขาดรอยจริงๆ ค่ะ ทำให้ชื่อเสียงของกิลกาเมซดังไกลไปถึงดินแดนเทพ
▼อิชทาร์ เป็นเทพีแห่งเพศ สงคราม และอำนาจด้านบ้านเมือง เธองดงามมากจนไม่ว่าใครก็ต้องหลงรักค่ะ เทพีหญิงคนนี้เองก็ได้ยินเรื่องราวของกิลกาเมซเหมือนกัน เธอก็เลยลงไปที่โลกมนุษย์เพื่อไปพบกับกิลกาเมซ และปรากฏว่าเธอก็ชอบกิลกาเมซจริงๆค่ะ แต่ฝ่ายชายปฏิเสธเธออย่างไรเยื่อใย (ก็คนมันหล่อเลือกได้) สุดท้ายอิชทาร์ก็เสียหน้าและโกรธมาก เธอเลยประกาศจะเอาคืนกิลกาเมซค่ะ
เอาประวัติศาสตร์มาเล่าเท่านี้ก่อน ไว้เดี๋ยวมาต่อตอนที่เนื้อเรื่องดำเนินต่อไปแล้วนะคะ^^
แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ
ความคิดเห็น