NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #18 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 7

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 65



    แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)

     








     

              ในอดีตแลนเซลอตก็เคยเป็นเพื่อนที่ดี เขาเคยให้ความช่วยเหลือทุกสิ่งที่จำเป็นแก่กษัตริย์แห่งบริทาเนีย จนกระทั่งความทะเยอทะยานเข้าครอบงำ หลังสถานการณ์วุ่นวายเมื่อครู่จบลง เด็กสาวพาตัวเองมานั่งอยู่ริมสระน้ำเดิมที่ตั้งอยู่หลังพระราชวัง ชายผมสีดำประกายม่วงคนนั้นยังไม่ละความพยายามในการเดินตามมา แต่คนตัวเล็กก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองใบหน้านั้นอีกครั้ง

     

             ลูกประคบเล็กๆ อันหนึ่งถูกยื่นมาไว้ตรงหน้า ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ความเจ็บจากแรงตบเมื่อครู่มันมากพอจะทำให้เกิดบาดแผลที่มุมปากได้ รสชาติขมปร่าของเหล็กในตอนนั้นเป็นสิ่งยืนยันได้ดี แต่เธอก็ไม่ได้รับความหวังดีนั้นเข้ามาไว้ในมือแต่อย่างใด

     

    ชั่วครู่นั้นเผลอขาดสติไปเสียได้… สูญเสียความเยือกเย็นไปมากตั้งแต่มาอยู่ที่นี่

     

    “ เจ้ายังรังเกียจข้าอยู่อีกหรือ ” ท่าทีนิ่งเฉยทำให้คนตัวสูงย้ายมายืนตรงหน้าเด็กสาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยไวน์องุ่นอย่างน่าสงสาร

     

    “ แต่ข้าไม่เคยทำร้ายเจ้าเลยนะ ”

     

    พลันใบหน้าเล็กกลับค่อยๆ เงยขึ้นมองให้เห็นรายละเอียดอันงดงาม ดวงตาสีมรกตแสดงความไหววูบเพียงชั่วขณะ

     

    ไม่ใช่กับท่าน แต่เป็นชายที่หน้าเหมือนท่านต่างหาก

     

    “ ขออภัยด้วย ข้ากำลังพยายามไม่เกลียดท่านอยู่ ”

     

             เพราะประโยคและสีหน้าที่พูดออกมาอย่างจริงจัง ส่งให้คู่สนทนาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทแห่งนี้ ชายหนุ่มไม่เคยเห็นหญิงใดมีพฤติกรรมแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน

     

    “ เจ้านี่ตลกชะมัด …โดนหญิงสาวพวกนั้นรังแกบ่อยหรือ ”

     

             สภาพผมสีทองที่ยุ่งเหยิง ใบหน้ามีรอยช้ำและกระโปรงที่เปรอะเปื้อน ทุกสิ่งมันกำลังฟ้องออกมาเช่นนั้น หากแต่ชั่วขณะที่เขาไปถึง ณ ห้องโถงนั้นกลับเห็นภาพเด็กคนนี้กำลังทำหน้าน่ากลัวใส่นางในเสียอย่างนั้น เพราะกลัวว่านางจะเป็นอะไรไปเสียก่อน แต่เผลอลืมไปว่าเจ้าตัวเคยชนะการประลองที่มีแต่ชายฉกรรจ์มาแล้ว อาเธอเรียพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

     

    คงจะเป็นครั้งแรกที่โดนรังแก แต่หญิงพวกนั้นคงไม่กล้าเข้ามาใกล้อีกแล้วเป็นแน่

     

             มือหนาของอีกฝ่ายวางลงบนกลุ่มผมของเธอก่อนจัดทรงให้อย่างแผ่วเบา อาเธอเรียทำได้เพียงส่งสีหน้างุนงงระคนกับตกใจให้อย่างไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นัก

     

    “ เมื่อไรที่เจ้าเดือดร้อนสามารถขอความช่วยเหลือจากข้าได้เสมอ ” ชายหนุ่มระบายยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าคม

     

    “ ข้าชื่อฮูวาวา เป็นหนึ่งในแม่ทัพของอุรุคน่ะ ”

     

    ฮูวาวา… ชื่อของเขาเป็นชื่อนี้สินะ

     

    “ หากวันใดเจ้าไม่มีเพื่อน ข้าจะเป็นเพื่อนคุยให้เจ้าเอง ”

     

             แม่ทัพหนุ่มไม่อาจรับรู้ได้ว่าเด็กสาวมีความเป็นอยู่เช่นไร เขารู้แค่ว่านางเป็นคนที่กษัตริย์กิลกาเมซพามาจากที่แห่งหนึ่ง ภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์ส่วนตัว แต่กิลกาเมซที่เขารู้จักเป็นชายเจ้าเล่ห์และมักมากในกามยิ่งนัก เขาไม่เคยมีความรักให้หญิงนางใด กับหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดา ด้วยสีผมและตาที่ไม่เหมือนใคร ย่อมถูกใจชายคนนั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย เขาเพียงกลัวว่าวันหนึ่งเด็กสาวจะหมดค่าในสายตาและถูกทิ้งขว้างเยี่ยงสิ่งของ

     

    เธอดูไร้พิษภัยและไม่น่าจะตามทันความเจ้าเล่ห์ของกษัตริย์หนุ่มได้เลย

     

    “ กษัตริย์กำลังจะมาหาเจ้าแล้วสินะ เขาดูเสน่หาเจ้าไม่น้อยทีเดียว ” อาเธอเรียทอดมองคนผู้มีใบหน้าคุ้นเคยกำลังระบายยิ้มเศร้าพร้อมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ พอเห็นท่าทีไม่ได้ปฏิเสธของเธอ ชายคนนี้ก็พูดคุยด้วยมากมายราวกับอยากรู้จักเธอนักหนา

     

             เสน่หาอันใดกันล่ะ… ชายผู้นั้นจงใจสร้างข่าวลือให้ตัวเองดูแย่เองทั้งนั้น สิ่งที่เด็กสาวทำมีเพียงแค่ติดตามเขาไปในทุกๆ ที่ก็เท่านั้น เพราะช่วงเวลานี้กิลกาเมซมักจะรับประทานอาหารเย็นร่วมกับเหล่าแม่ทัพที่เขาเกลียดชังหนักหนา เพราะไม่ชอบบรรยากาศที่ปกคลุมด้วยความหวาดกลัวและประจบประแจงเหล่านั้น อาเธอเรียจึงได้ปลีกตัวออกมาคนเดียว อีกสักครู่เจ้าตัวก็จะมาตามเธอให้กลับไปอย่างที่ฮูวาวาว่าเช่นนั้นแหละ

     

    “ ข้าคงต้องไปแล้ว ไว้พรุ่งนี้มาเจอกันใหม่นะสาวน้อย ” หางตาเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งกำลังเดินมาแต่ไกล ฮูวาวาจึงจำต้องบอกลาเด็กสาวแค่นั้น เพราะไม่อยากวุ่นวายกับกษัตริย์หนุ่ม ร่างสูงจึงก้าวออกไปทั้งอย่างนั้น แต่แล้วประโยคที่เสียงหวานเอ่ยสนทนาด้วยก็ทำให้เขายกยิ้มขึ้นมาได้

     

     …อาเธอเรีย ข้าชื่ออาเธอเรีย ”

     

    เขาไม่ใช่แลนเซลอต …เด็กสาวจะลองเปิดใจอีกสักครั้ง ณ ที่แห่งนี้เธอไม่ได้ถือครองสิ่งใดให้อีกฝ่ายอยากมาแย่งชิงไปได้อีกแล้ว

     

             ดวงตาคู่สวยเหลือบไปเห็นลูกประคบอันเดิมย้ายมาวางอยู่ข้างตัว เธอหยิบมันขึ้นมามองราวกับกำลังใช้ความคิดบางอย่าง แต่แล้วก็ต้องรีบซ่อนไว้ด้านหลังเมื่อเห็นกษัตริย์ผมทองเดินทำหน้าบึ้งตึงมาแต่ไกล

     

    ไม่รู้ว่าเขาอารมณ์เสียอะไร แต่ไม่อยากให้เห็นร่องรอยบาดแผลที่มุมปากที่เลยสักนิด

     

    “ เขามาหาเจ้าอีกแล้วงั้นหรืออาเธอเรีย ” น้ำเสียงทุ้มดูไม่ค่อยพอใจนัก ท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนตัวเล็กทำให้กิลกาเมซสงสัย แม่ทัพหนุ่มเพิ่งเดินออกไปไม่นาน ส่วนอาเธอเรียก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดคุยด้วย

     

    “ เขาทำเจ้าร้องไห้อีกแล้วหรือไม่ ”

     

    ชายหนุ่มเปลี่ยนคำถาม แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงการส่ายหน้าเบาๆ และคำพูด ‘เปล่า แต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา

     

             ร่างสูงรู้สึกหงุดหงิด อดไม่ได้ที่จะคว้าเข้าที่คางมนของคนตัวเล็กกว่าและฝืนให้เงยหน้ามอง ฝ่ายนั้นทำทีท่าว่าจะขัดขืน แต่ก็ไม่อาจสู้แรงที่มากกว่าของเขาได้ ร่องรอยช้ำที่มุมปากทำให้ความรู้สึกโกรธตีขึ้นมาแทบจะทันที ดวงตาคู่สวยรีบเบี่ยงหลบสายตาคู่คมที่จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนั้น

     

    “ เจ้านั่น ” เห็นคนตัวโตทำท่าจะพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไป อาเธอเรียจึงรีบกอดเข้าที่แขนแกร่งอย่างไม่รอช้า

     

    “ ไม่ใช่เขานะ

     

    เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว

     

    “ ผู้ใดเป็นคนทำ ”

     

             เสียงทุ้มพูดขึ้นด้วยความเยือกเย็นกว่าทุกครา ดวงตาสีชาดกำลังทอดมองไปตามเนื้อตัวที่เปียกปอนไปด้วยร่องรอยสีแดงหม่น เด็กสาวรู้สึกได้ทันทีว่าเขากำลังโกรธ ครั้นพอนึกถึงต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี่ คิ้วเรียวของคนตัวเล็กก็ขมวดเข้าหากันแน่น เธอปล่อยมือออกจากแขนนั้น กลายเป็นคนที่หงุดหงิดแทน

     

    ชายคนนี้โกรธอะไรของเขา… ฝ่ายที่ต้องโมโหมันทางนี้ต่างหาก

     

    “ มันก็เพราะท่านไม่ใช่หรือไง—! ” ร่างบางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพ่นมันออกมาอย่างจนปัญญา

     

             ความริษยาของหญิงสาวในฮาเร็มของท่านนั่นแหละ… แต่เขาจะไปเข้าใจได้อย่างไรกัน เธอเองก็ไม่ได้คิดจะไปเอาเรื่องเอาราวอะไรกับคนพวกนั้นอีกแล้วด้วย

     

    “ ช่างเถอะ… ไม่มีใครทำทั้งนั้น ” ตั้งแต่แรกพวกนางก็จ้องมองอาเธอเรียราวกับจะฆ่าให้ตายเสียตรงนั้น ครั้นจะหาโอกาสโจมตีเมื่อไรก็ไม่นึกแปลกใจสักเท่าไร มีแต่ต้องแก้ไขที่ตัวต้นเหตุเท่านั้น ดวงตาคู่สวยตวัดมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างเอาเรื่อง เธอกล่าวตัดบทก่อนจะเดินออกไปด้วยติดหงุดหงิด สถานการณ์บังคับให้ต้องไปชำระร่างกายอย่างช่วยไม่ได้

     

    “ ถ้าครั้งต่อไปยังเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก อย่ามาหาว่าข้าใช้ความรุนแรงก็แล้วกัน ”

     

             ทิ้งไว้เพียงกิลกาเมซที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ยืนอยู่คนเดียว ยังไม่ทันถามให้ได้ความเด็กสาวก็เดินออกไปเสียแล้ว ซ้ำยังอารมณ์ไม่ดี ราวกับว่าเขาโดนโกรธอย่างไรอย่างนั้น

     

     

     

     

     

     

             เพราะอาณาจักรบาบิโลนคงอยู่มาหลายชั่วอายุคน พวกเขาเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ จึงเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพเจ้ามากที่สุด แม้จะเป็นแค่ส่วนน้อย แต่บางครั้งการภาวนาและให้การสักการะก็สามารถส่งไปถึงเทพเจ้าที่สูงส่งได้

     

             เป็นกิจวัตรที่เทพแห่งเพศ สงคราม และการเมืองจะปรากฏตัวที่วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งบาบิโลน หน้าที่ของเธอคือการทำให้ความปรารถนาของมนุษย์ที่เหมาะสมได้เป็นจริง ด้วยความงดงามของสายเลือดแห่งเทพเจ้า ไม่ว่าผู้ใดที่ได้พบเห็นต่างก็เสน่หาในตัวเธอ และจัดเตรียมทุกสิ่งอย่างมาให้ทั้งนั้น จึงเป็นเหตุผลให้อิชทาร์กลายเป็นหญิงช่างเลือกและเอาแต่ใจยิ่งกว่าผู้ใด

     

             ระยะหลังมานี้เธอมักจะได้ยินเสียงเรียกปริศนาอยู่ในหัว ไม่ใช่ทั้งคำอ้อนวอนและคำสักการะจากมนุษย์ แต่เป็นเสียงของหญิงคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปราวกับอยู่คนละมิติเวลา พลังมหาศาลบางอย่างกำลังไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของเธออย่างเป็นปริศนา และวันนั้นเธอได้เห็นนิมิตของหญิงคนหนึ่งที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด หญิงที่แต่งกายประหลาดตาราวกับแม่มด และมีเรือนผมยาวสีขาวแผ่สยายลงไปถึงเอว

     

    อิชทาร์… เจ้าได้ยินข้าหรือไม่

     

    จงตอบรับข้าเสีย เพราะเจ้ากับข้าคือดวงจิตเดียวกัน

     

             ด้วยความสับสนหลังสดับฟังประโยคเหล่านั้น อิชทาร์ตัดสินใจลงมายังวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อหาคำตอบดังกล่าว หญิงผู้นั้นไม่เหมือนกับเทพเจ้าแต่ก็ไม่ใช่มนุษย์ นางเป็นสิ่งใดกันแน่… เหตุใดจึงต้องการการตอบรับจากเธอนัก

     

             วันนั้นเธอสัมผัสได้ถึงเทพเจ้าตนอื่นที่มาเยือนยังวิหารแห่งนี้ การแต่งกายที่ประดับไปด้วยทองคำและเรือนผมสีทองเช่นนั้น ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีว่าเขาคือ ‘กิลกาเมซ’ ผู้มีสถานะเป็นกษัตริย์แห่งอุรุค เพียงแค่ดวงตาสีโลหิตของเธอได้ปะทะเข้ากับใบหน้าคมคายอย่างร้ายกาจนั้น หญิงสาวก็เกิดความรู้สึกพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

     

    เธอเสน่หาและอยากได้ชายผู้นั้นมาเป็นของตน

     

             ไม่รู้ว่าเขารู้ตัวหรือไม่ แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่ได้มีท่าทีสนใจและหันไปสนทนากับแม่เฒ่าผู้ดูแลวิหาร อิชทาร์จิ๊ปากอย่างขัดใจ อย่างไรเสียคงไม่ใช่จังหวะเวลาที่ดีสักเท่าไร

     

    รออีกสักหน่อยจะเป็นอะไรไป หากชายผู้นั้นได้เห็นเธอครั้งหนึ่งแล้วจะไม่มีวันหลุดออกจากบ่วงเสน่หานี้ได้แน่นอน

     

     ไม่เอาล่ะ… ข้าขอปฏิเสธ 

     

             เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น ร่างสูงของชายผู้หล่อเหลาทิ้งกายอยู่บนบัลลังก์สูง เขากำลังเท้าคางมองต่ำลงมาที่เธอด้วยสายตาไร้เยื่อใย

     

             ทั้งที่ลงทุนแบกหน้ามาหาที่พระราชวังด้วยตัวเอง ทั้งที่ไม่เคยปรากฏตัวว่าต้องการชายใดเช่นนี้มาก่อน แต่กษัตริย์หนุ่มผู้นั้นกลับกล้าปฏิเสธเธอแบบไม่ต้องคิดเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่เขาเห็นใบหน้าและเรือนร่างนี้แล้ว เหตุใดจึงไม่มีความเสน่หาเกิดขึ้นมาเลย

     

    “ ป..เป็นไปไม่ได้ท่านควรต้องเสน่หาต่อข้าสิกิลกาเมซ ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจนัก ไม่เคยมีชายใดปฏิเสธความงดงามนี้ได้

     

    “ กลับไปเสียเถอะ ข้าไม่ได้ชอบหญิงเช่นเจ้า ”

     

    “ เจ้าว่าอย่างไรนะ..! 

     

             ท่าทีของกษัตริย์หนุ่มเย็นชาเสียจนน่าโมโห ดวงตาสีโกเมนทร์ของเขาทอดมองออกไปภายนอก ไม่เห็นเธออยู่สายตาเสียด้วยซ้ำ เทพเจ้าหญิงรู้สึกเสียหน้าและอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากต้องเดินออกไปจากที่นี่มือเปล่า เท่ากับว่าเรื่องราวของการโดนปฏิเสธจะต้องแพร่สะพัดออกไปด้วย

     

    เช่นนั้นเจ้าก็ตอบรับข้าเสียสิอิชทาร์

     

    เสียงของหญิงผู้นั้นดังขึ้นในความคิดของเธออีกแล้ว หญิงสาวขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความขัดใจ

     

    หากเจ้าตอบรับข้า ข้าจะช่วยให้ชายผู้นั้นถูกเอาคืนอย่างสาสม

     

    “ รอก่อนเถอะกิลกาเมซ เจ้าได้เห็นดีกับข้าแน่ ”

     

             เสียงในหัวของเธอก่อกวนมากเกินไป เทพีแห่งสงครามไม่อาจคงสติเอาไว้ได้ เธอตัดสินใจปลีกตัวออกมาจากท้องพระโรงหลังมาถึงเพียงไม่นานทั้งอย่างนั้น ความแน่วแน่ที่ตั้งใจจะแก้แค้นต่อกษัตริย์แห่งอุรุคกลายเป็นการตอบรับอย่างไม่รู้ตัวต่อเสียงในหัวนั้น

     

             อาจเพราะกงล้อแห่งโชคชะตาได้หมุนเวียนมายังช่วงเวลาที่เหมาะสม ในระหว่างที่ร่างนั้นก้าวออกมาจากพระราชวังได้ พื้นที่โดยรอบเป็นเพียงโถงทางเดินยาวรอบปราสาทที่ปรากฏให้เห็นสวนและสระน้ำล้อมรอบ ดวงตาสีชาดเหลือบไปเห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีลักษณะภายนอกที่แปลกตา อิชทาร์ไม่เคยพบเห็นกับผู้คนที่มีรูปลักษณ์เช่นนั้นมาก่อน แต่เพราะความคิดที่ตีกันอยู่ในหัวจึงทำให้เธอไม่ได้สนใจหญิงคนนั้นเท่าไรนัก

     

             หากแต่อาเธอเรียที่เห็นภาพนั้นทำได้เพียงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ชั่วขณะที่ร่างนั้นผ่านไป ราวกับมีภาพคุ้นตาของใครคนหนึ่งกำลังทาบทับอยู่ แม้หญิงคนนั้นจะมีดวงตาสีชาดและผมยาวสลวยสีดำสนิท แต่พลังชีวิตที่กำลังกระจัดกระจายออกมารอบตัวเธอคนนั้นกลับชัดเจนราวกับมีของแข็งมาฟาดลงกลางศีรษะ

     

     วิเวียน ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ 

     

             แม้ลักษณะภายนอกจะแตกต่างกัน แต่ไม่ผิดแน่… หญิงคนนี้มีพลังชีวิตของวิเวียนไหลเวียนอยู่ในร่างเต็มไปหมด แม่มดที่ทำให้เรื่องราวทุกอย่างกลับตาลปัตรมาจนถึงขณะนี้ แม่มดที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้น ณ กรุงบริทาเนีย

     

             แม้จะไม่ใช่ชื่อที่แท้จริง แต่อิชทาร์กลับชะงักปลายเท้าและหันมามองคู่สนทนา นามนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยราวกับเป็นนามของตน ยามที่ได้ยินการเอ่ยขาน ราวกับโลหิตภายในกายกำลังร้อนรุ่ม

     

    “ ข้ามิได้ชื่อวิเวียน ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เสียงของหญิงสาวที่ดังก้องอยู่ในหัวก็กำลังหัวเราะด้วยความพอใจ เจ้าของเรือนผมสีดำขมวดคิ้วแน่น ราวกับมันกำลังต้องการให้เธอยอมรับกับนามนั้นนักหนา

     

    “ ว่าแต่เจ้า… ไม่ใช่คนที่นี่มิใช่หรือ ข้าไม่มีธุระอะไรด้วยหรอกนะ ”

     

             ด้วยดวงตาแห่งเทพเจ้า แม้มองครั้งเดียวก็สามารถรับรู้ได้ ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ต่างสถานที่ หากแต่แตกต่างกระทั่งช่วงเวลาราวกับมาจากมิติที่ไม่รู้จัก แม้จะแปลกใจแต่ก็ทำได้เพียงสาวเท้าต่อไปเพราะความว้าวุ่นใจที่ไม่อาจอธิบายได้

     

    “ เมอร์ลิน… เจ้าเอาเมอร์ลินไปไว้ที่ใด” เจ้าของเรือนผมสีทองยังไม่ละความตั้งใจ ใบหน้าอ่อนเยาว์แสดงความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบังแม้เพิ่งเคยพบกันครั้งแรก อาเธอเรียมั่นใจว่าไม่ผิดตัวอย่างแน่แท้  แม้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เธอถือครองอยู่จะไม่ได้มีมากมาย แต่มันกำลังชี้นำไปยังพลังเวทย์มากมายที่หญิงคนนั้นครอบครอง เมอร์ลินกำลังถูกกักขังอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งที่มีเพียงวิเวียนเท่านั้นที่รู้จัก

     

    “ เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญกับข้านี่ ข้าไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น 

     

    คุ้นเคยราวกับรู้จักเจ้าของนามนั้น… เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

     

             อิชทาร์ยกมือขึ้นมาสัมผัสศีรษะที่ปวดราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เสียงของหญิงคนนั้นกำลังดังก้องอยู่ในหัวบอกให้เธอกำจัดเด็กสาวน่ารำคาญคนนี้เสีย นางกำลังตอกย้ำให้รีบตอบรับพลังมหาศาลที่พร้อมจะเชื่อมต่อกันเมื่อไรก็ได้หากเธอต้องการ

     

    ช่างน่ารำคาญใจนัก

     

    “ เหตุใดเจ้าจึงอยากให้ข้าฝืนกฎธรรมชาตินัก” เทพีหญิงรู้สึกโมโห ยิ่งมองใบหน้างดงามที่กำลังโกรธเคืองจนมีน้ำตายิ่งทำให้โลหิตในกายมันร้อนรุ่มมากกว่าเดิม หญิงสาวสำแดงอำนาจของตนเพื่อดับความร้อนใจนั้น ลำแสงสีทองตรงเข้าไปครอบงำทั้งร่างของอาเธอเรีย มันกำลังโอบรัดลำคอระหงส์จนทำให้เจ้าตัวเกือบขาดอากาศหายใจ

     

    “ เจ้าเป็นผู้บังคับให้ข้าทำเช่นนั้นเองนะ ”

     

             หากนามวิเวียนนั่นคือชื่อของหญิงที่ก่อกวนอยู่ในความคิด… หมายความว่าอย่างไรก็ต้องเชื่อมต่อกับนางให้ได้ ความรู้สึกสับสนเหล่านี้จึงจะหายไปเช่นนั้นหรือ

     

             ปลายเท้าทั้งสองข้างของผู้มาจากบริทาเนียลอยขึ้นเหนือพื้น พันธนาการที่ลำคอทำให้เด็กสาวกอบโกยอากาศเข้าปอดได้อย่างยากลำบาก ภาพของวิเวียนกำลังทับซ้อนกับร่างตรงหน้า แม่มดเจ้าของเรือนผมสีขาวมุกที่มีใบหน้างดงามกำลังยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาอันน่าขันของเธอ

     

    พูดออกมาได้อย่างไรว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ… ทั้งที่ผู้ถ่ายทอดเวทมนตร์ทั้งหมดให้แก่นางคือเมอร์ลิน

     

             ชายผู้เป็นดั่งครอบครัวของอาเธอเรีย ในเวลานี้ที่เธออยากพบเขาที่สุด แต่กลับทำไม่ได้เพราะวิเวียนทรยศความไว้ใจนั้นจนแหลกเหลว และหากไม่ใช่เพราะหญิงคนนี้ แลนเซลอตเองก็คงไม่ต้องถูกเป่าหูให้กลายเป็นชายที่โอหังและทะเยอทะยานได้ถึงเพียงนั้น

     

    “ ทั้งที่เมอร์ลินรักเจ้ามาก ทำไมจึงทำกับเขาเช่นนั้น ” ลำพังแค่ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เด็กสาวถือครองไม่อาจต้านทานอำนาจของเทพที่หญิงผู้นี้มีได้ ร่างเล็กไม่อาจขยับกายได้ตามใจต้องการ แต่ก็ไม่อยากให้เรื่องราวจบอย่างง่ายดายแบบนี้เช่นกัน จุดประสงค์ที่เมอร์ลินส่งเธอมาที่นี่ต้องมีเหตุผลใดมากกว่านี้

     

     เจ้ากำลังทำอะไรกับคนของข้า 

     

             เสียงทุ้มที่ดูมีอำนาจพูดขึ้นอย่างเรียบนิ่ง การปรากฏตัวของร่างที่คุ้นเคยทำให้อาเธอเรียรู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ ร่างสูงโปร่งของกษัตริย์แห่งอุรุคก้าวมาหยุดด้านหลังของเธอ ราวกับมีม่านพลังบางอย่างกางอยู่รอบตัวของเขา ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังใบหน้างดงามของเทพีแห่งสงครามอย่างเยือกเย็น ส่งให้รอยยิ้มอย่างผู้ชนะปรากฏขึ้นมาตอบสนอง

     

    น่ากลัวเสียจริงนะกิลกาเมซ

     

    “ คนของท่านงั้นหรือ เช่นนั้นข้าควรฆ่านางเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยดีไหมนะ ” สิ่งที่พันธนาการอยู่รอบคอรัดแน่นขึ้น เด็กสาวผู้โชคร้ายทำได้แค่พยายามต่อต้านอย่างไร้ประโยชน์เท่านั้น

     

    “ ปล่อยนางเดี๋ยวนี้ ”

     

             อาวุธแหลมคมที่ปรากฏออกมาจากม่านพลังอย่างกะทันหันทำให้ทั้งอาเธอเรียและอิชทาร์ประหลาดใจ มันมีจำนวนมากมายราวกับห่าฝนที่พร้อมมุ่งร้ายไปยังร่างของศัตรู

     

    “ พลังนี้สินะที่บ่งบอกว่ามีโลหิตของเทพเจ้าไหลเวียนอยู่ในกายท่าน ” ดวงตาคู่สวยของเทพีแห่งสงครามลุกวาวด้วยความสนใจ นอกจากรูปร่างหน้าตาที่ถูกใจ เขาคนนี้ยังถือครองพลังแห่งเทพที่แข็งแกร่งอีกด้วย

     

    “ ข้าบอกให้เจ้าปล่อยนาง ”

     

             แต่กิลกาเมซหาได้สนใจท่าทางเหล่านั้นไม่ กริซอันแหลมคมเล่มหนึ่งพุ่งตรงไปยังลำคอของอิชทาร์อย่างไม่ปรานี มันจ่ออยู่ที่หลอดลมราวกับรอผู้เป็นนายออกคำสั่งปลิดชีวิต ส่งให้หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ดวงตาสีโลหิตตวัดมองใบหน้าหวานของอาเธอเรียด้วยความโกรธเคือง

     

    “ เพราะเจ้าสินะ

     

    ตั้งแต่เมื่อครู่ที่กษัตริย์หนุ่มออกตัวปกป้องหญิงนางนี้อย่างออกนอกหน้า เพียงเพราะเขามีความรู้สึกบางอย่างต่อเธอเช่นนั้นสินะ

     

    และเพราะความรู้สึกนั้น มันมากมายขนาดปฏิเสธความเสน่หาต่อเทพีผู้สูงส่งได้เลยหรือไร

     

    “ โทษฐานที่ท่านกล้าปฏิเสธข้า รอรับบทเรียนที่สาสมได้เลยกิลกาเมซ!

     

             เพราะรู้สึกเสียหน้าเกินกว่าจะรับไหว อิชทาร์จึงทำได้เพียงจากไปทั้งอย่างนั้น ร่างบางที่เคยถูกพันธนาการถูกปล่อยให้เป็นอิสระ หญิงสาวสำลักอากาศจนใบหน้าแดงกล่ำ ร่างสูงที่เห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปช่วยพยุงร่างบอบบางให้ทรงตัวขึ้นมาอีกครั้ง

     

    “ ข้าไม่เป็นอะไร ”

     

             เป็นอีกครั้งที่ชื่อ เมอร์ลิน หลุดออกมาจากปากของเด็กคนนี้ กิลกาเมซอยากรู้เหลือเกินกว่าเจ้าของนามนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องราวทั้งหมด ใบหน้างดงามของอาเธอเรียหม่นหมองลงอีกครา เกิดความเงียบเข้ามาครอบงำอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเด็กสาวขอปลีกตัวออกไปใช้ความคิดเพียงคนเดียวเงียบๆ

     

             เรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้มันแปลกเกินกว่าอาเธอเรียจะทำความเข้าใจได้ ทำไมที่นี่จึงมีทั้งคนที่หน้าเหมือนกับแลนเซลอตและหญิงที่มีพลังชีวิตเดียวกันกับวิเวียนปรากฏตัวขึ้นมา โชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรอยู่ เรื่องราวจะกลับไปลงเอยเหมือนกับเหตุการณ์ที่บริทาเนียอีกหรือไม่

     

     

    ถ้าเช่นนั้นแล้ว เป้าหมายในคราวนี้ของวิเวียนคือสิ่งใดกัน

     

     

     

     



     


              


    แวะมาอัพตอนเช้าอีกแล้ว ยิ่งแต่งยิ่งยาวแฮะ;-;
    เนื้อเรื่องชักจะซับซ้อนแล้วค่ะ ตัวละครปรากฏขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ ใครงงตรงไหนถามได้นะคะ

    ความจริงแล้ว *ฮูวาวา* เป็นชื่อของอสูรตนแรกที่กิลกาเมซล้มได้ด้วยตัวเองก่อนเจอกับเอนคิดูค่ะ
    ไหนๆ ก็มีคนหน้าเหมือนแลนเซลอตแล้ว ไรเตอร์ขอยืมชื่อมาใส่เลยแล้วกันค่ะ;-;

    และเนื่องจากไรเตอร์ดูซีรี่ย์ Fate แค่ Stay night และ Zero
    ทำให้พลาดรายละเอียดไปว่าตัวละคร *อิชทาร์* ปรากฏตัวในภาค Type moon และ Grand order ด้วยค่ะ
    และตัวละครนี้ก็น่ารักมากด้วยTT ขออภัยไว้ก่อนเลยถ้าฟิคเรื่องนี้จะทำน้องหลุดคาแรคเตอร์นะคะ


    * เกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์เล็กน้อย (สามารถข้ามได้นะคะ แปะมาเพื่อทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้น)

    ▼ ช่วงก่อนเจอกับเอนคิดู กิลกาเมซลำพองในอำนาจของตัวเองมาก เลยไปท้าสู้กับอสูรที่ชื่อว่าฮูวาวา แล้วปรากฏว่าเขาก็ชนะอสูรตนนั้นอย่างขาดรอยจริงๆ ค่ะ ทำให้ชื่อเสียงของกิลกาเมซดังไกลไปถึงดินแดนเทพ

     ▼อิชทาร์ เป็นเทพีแห่งเพศ สงคราม และอำนาจด้านบ้านเมือง เธองดงามมากจนไม่ว่าใครก็ต้องหลงรักค่ะ เทพีหญิงคนนี้เองก็ได้ยินเรื่องราวของกิลกาเมซเหมือนกัน เธอก็เลยลงไปที่โลกมนุษย์เพื่อไปพบกับกิลกาเมซ และปรากฏว่าเธอก็ชอบกิลกาเมซจริงๆค่ะ แต่ฝ่ายชายปฏิเสธเธออย่างไรเยื่อใย (ก็คนมันหล่อเลือกได้) สุดท้ายอิชทาร์ก็เสียหน้าและโกรธมาก เธอเลยประกาศจะเอาคืนกิลกาเมซค่ะ


    เอาประวัติศาสตร์มาเล่าเท่านี้ก่อน ไว้เดี๋ยวมาต่อตอนที่เนื้อเรื่องดำเนินต่อไปแล้วนะคะ^^
    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×