NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #17 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 6

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 65



    แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)

     








     

                       วันนี้กิลกาเมซหมกตัวอยู่ในห้องจัดเลี้ยงตั้งแต่เช้า รอบข้างเต็มไปด้วยขวดสุราวางเรียงราย ทั้งวางไว้เฉยๆ ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง และบางส่วนมีทาสนำมารินใส่ภาชนะเอาไว้ อาเธอเรียในฐานะองครักษ์จำเป็นต้องอยู่เคียงข้างเขาอย่างช่วยไม่ได้ เคยคิดว่าคงต้องทำใจให้ชินกับภาพร่ำสุราและมัวเมาในกามารมณ์ของชายผู้นี้ให้ได้ แต่น่าแปลกที่เขาแทบไม่แตะต้องของมึนเมาพวกนั้นเสียด้วยซ้ำ มือหนายกเพียงไวน์คุณภาพดีขึ้นมาจิบนานๆ ครั้ง ทั้งยังออกคำสั่งว่าอยากอยู่เงียบๆ ไม่ต้องการให้ใครรบกวน

     

             เขากางกระดาษหน้าตาประหลาดตาไว้ตรงหน้า รายละเอียดที่สลักจากน้ำหมึกสีดำราวกับเป็นแผนที่ขนาดใหญ่ของเมืองนี้ ดวงตาสีโลหิตของกษัตริย์จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ อาเธอเรียไม่รู้ว่าเขากำลังต้องการอะไร แต่ตำแหน่งหนึ่งในภาพมันช่างทำให้รู้สึกขัดใจเหลือเกิน

     

    กำลังนั่งทำงาน… แต่เอามาทำในห้องจัดเลี้ยงงั้นหรือ

     

    ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

     

    “ เมืองนี้กำลังขาดแคลนน้ำใช่หรือไม่ ” เด็กสาวเอ่ยสนทนาหลังทำได้เพียงแค่มองทุกอิริยาบถของชายหนุ่มมาแต่เมื่อครู่

     

    “ เจ้ารู้ได้อย่างไร ”

     

             คิ้วเรียวของชายหนุ่มยกขึ้นด้วยความแปลกใจ ร่างเล็กขยับเก้าอี้ที่เคยนั่งห่างออกไปเข้ามาใกล้เขามากขึ้น ก่อนปลายนิ้วเรียวจะชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งในแผนที่อย่างตั้งใจ

     

    “ กำแพงนี้มันขวางทางน้ำ วันก่อนที่ออกไปข้างนอกกับท่าน เป็นแม่น้ำสายนั้นใช่หรือไม่ ”

     

    “ แต่หากจะทุบทิ้งเสียทีเดียวช่วงหน้าฝนก็อาจทำให้น้ำท่วมได้ ท่านอาจจะสร้างเป็นประตูเพื่อแก้ไขปัญหานั้น ”

     

             ร่างเล็กชะงักเมื่อรู้สึกว่าตนเอ่ยสนทนายาวเกินไป ด้วยความเคยชิน เธอมักจะแก้ปัญหาบ้านเมืองเช่นนี้บ่อยครั้งเมื่อสมัยยังปกครองอาณาจักร ครั้นเมื่อหันไปด้านข้างจึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนขยับเก้าอี้มาใกล้ชายผู้นั้นใกล้กว่าที่คิด ซ้ำร้ายฝ่ายนั้นยังกำลังเท้าค้างมองเธอพร้อมรอยยิ้มพอใจนักหนาด้วยอีก

     

    “ เจ้ามีความรู้ด้านการบริหารบ้านเมืองจริงสินะ ” เจ้าของใบหน้าหวานขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ให้กับคำพูดกึ่งชมกึ่งประหลาดใจเช่นนั้น

     

    “ ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าข้าเป็นกษัตริย์มาก่อน ”

     

    เขายังคงมองว่าเธอเป็นหญิงสติฟั่นเฟือนอยู่เหมือนเคยสินะ

     

    “ ทำไมเจ้าชอบทำหน้าบึ้งใส่ข้าทุกทีเลยนะ ”

     

             อดไม่ได้ที่จะจิ้มนิ้วไปที่หัวคิ้วเล็กๆ นั่น ส่งให้ใบหน้าหวานหยิกงอยิ่งกว่าเดิม ช่วงเวลาเดียวกันร่างหนึ่งที่พรวดพราดเข้ามาในห้องก็เรียกความสนใจจากคนทั้งคู่ได้ไม่น้อย เขาคือเอนคิดูที่กำลังทำท่าทางร้อนใจ พลันกษัตริย์หนุ่มก็รีบคว้าม้วนกระดาษตรงหน้าลงไปซ่อนใต้พรมแทบจะทันที

     

    “ แม่ทัพยาฟุมาน่ะ สงสัยจะอยากชวนเจ้าไปร่ำสุราอีกแล้ว ”

     

             ทันทีที่ได้ยินสหายร่างโปร่งกล่าวเช่นนั้น กิลกาเมซก็พลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งเฉย เขามองหน้าเอนคิดูราวกับรับรู้สัญญาณบางอย่างเพียงแค่สองคน ครู่เดียวเอวบางของอาเธอเรียก็ถูกมือหนาคว้ามานั่งบนตักแทบจะทันที กว่าจะได้ทันตั้งตัวแก้วไวน์ใบหนึ่งก็ถูกยัดใส่มือบอบบางนั่นเสียแล้ว

     

    “ ท่านทำอะไรเนี่ย” เครื่องดื่มสีแดงหม่นเกือบจะกระฉอกออกมา โชคยังดีที่เธอคว้ามันไว้ได้ทัน ครั้นตั้งสติได้ก็รีบดันร่างที่ใหญ่กว่าให้ออกไป ทั้งร่างของเธอกำลังก่ายไปกับขาข้างหนึ่งของชายคนนี้ ฝ่ามือใหญ่กำลังลุ่มล่ามบริเวณแผ่นหลังที่แม้จะปกคลุมด้วยผ้าแพรอย่างดี

     

    “ ชู่ว แป๊บเดียวน่ะ ”

     

             เสียงทุ้มกล่าวปราม เสียงปลายเท้าหนักๆ ของใครคนหนึ่งที่ใกล้เข้ามาทำให้เด็กสาวยอมสงบปากสงบคำอย่างว่าง่าย ไม่นานนักร่างท้วมของชายผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวในห้อง เขาสวมชุดเนื้อผ้าราคาแพง ตามร่างกายประดับด้วยกำไลและสร้อยคอประหลาดตาที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ใบหน้ามีอายุตกใจเล็กน้อยกับภาพตรงหน้าที่ได้พบเห็น ก่อนโค้งตัวเคารพราวกับสิ่งดังกล่าวเป็นเรื่องปกตินัก

     

    “ เจ้ามีธุระอะไร ช่างขัดจังหวะคนกำลังมีความสุขกันเสียจริง ”

     

             แขนแกร่งกระชับร่างในอ้อมกอดเข้ามาจนกายทั้งคู่แนบชิด เมื่อเห็นสายตาพราวระยับของชายผู้นั้นจับจ้องมายังใบหน้างดงาม ฝ่ามือใหญ่รวบเอาแก้วในมือเด็กสาวเข้ามาก่อนลิ้มรสเครื่องดื่มสีเดียวกันกับโลหิตพร้อมรอยยิ้มพอใจ

     

             เจ้าของกายบอบบางถลึงตาใส่คนมือไวด้วยความหงุดหงิด เธอได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากร่างที่กำลังสวมกอดตนอยู่ อาเธอเรียรู้ได้ในทันทีว่าคนตัวโตตั้งใจจะแกล้งเธอให้ตกใจ

     

    “ ข้าเพียงจะเชิญชวนท่านไปดื่มสุราด้วยกันเท่านั้น ขออภัยที่ไม่ทราบว่าท่านกำลังมีธุระ ” เสียงนั้นสั่นยามได้สบสายตาเข้ากับอัญมณีสีแดงทั้งคู่ ราวกับมันต้องการบอกผู้มีอำนาจต่ำกว่าว่าไม่ควรล้ำเส้นไปมากกว่านี้

     

    “ ไม่ยักรู้ว่าเจ้านิยมร่ำสุราตั้งแต่หัววัน เวลานี้ข้าต้องการพักผ่อนอยู่กับผู้หญิงของข้าทั้งวันทั้งคืนเท่านั้น ”

     

             กษัตริย์หนุ่มตั้งใจย้ายมือข้างหนึ่งไปวางบนต้นขาของร่างเล็กอย่างจงใจ เขาไล้มือไปตามผ้าแพรสีขาวและรั้งมันขึ้นจนมองเห็นผิวขาวเนียนของอีกฝ่าย ส่งให้เจ้าของร่างรีบตะปบมือเข้ายั้งมือนั้นอย่างไม่เบานัก ใบหน้าสวยขมวดคิ้วยุ่ง พวงแก้มทั้งสองข้างเจือไปด้วยสีชมพูระเรื่อ

     

    ล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว!

     

    “ ข...ข้าขออภัยด้วยที่มารบกวน ”

     

             เพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น แม้เขาจะเบี่ยงหน้าหลบออกไปตามสัญชาตญาณ แต่ดวงตาสีมรกตมองเห็นสีหน้าไม่พอใจจากแม่ทัพคนนั้นอย่างชัดเจนก่อนที่เขาจะแยกตัวออกไป รอจนแน่ใจว่าชายผู้นั้นจะไม่ย้อนกลับมาอีก จึงตัดสินใจผลักร่างที่โอบกอดตนออกไป ย้ายร่างกลับไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิมอย่างไม่รอช้า

     

    “ ที่ท่านย้ำข้าตั้งแต่เช้าให้สวมกระโปรงนี่ เพื่อมายั่วโมโหชายคนนั้นงั้นหรือ ”

     

             เสียงหวานถามขึ้นทั้งใบหน้าบึ้งตึงที่ยังคงเจือไปด้วยสีชมพู ปกติแล้วกิลกาเมซจะไม่วุ่นวายกับการแต่งตัวของเธอ อาเธอเรียมักจะสวมเสื้อและกางเกงสีขาวดั่งเช่นวันประลองการต่อสู้ เพราะมันสะดวกต่อการเคลื่อนไหวมากกว่า แต่เมื่อเช้าตรู่มีคำสั่งพร้อมกระโปรงตัวหนึ่งที่มีผู้นำไปวางไว้ที่ห้องนอนราวกับวางแผนไว้แล้ว

     

             เขาตั้งใจสร้างภาพให้ตนดูมัวเมาทั้งสุราและกามารมณ์อยู่ตลอดเวลา และมันประสบผลสำเร็จเมื่อคนภายนอกต่างมองเข้ามาด้วยสายตาเช่นนั้น แม้แต่นิมิตที่เธอได้เห็นก็ยังแสดงออกมาเช่นเดียวกัน

     

    “ ฉลาดดีนี่ ข้าคงดีใจกว่านี้หากเจ้านั่งอยู่บนตัวข้าต่อไป ” ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มพอใจ เขากำลังหมุนแก้วที่มีเครื่องดื่มอยู่น้อยนิดอย่างเพลิดเพลิน ส่วนเจ้าของผมเขียวเพียงมองหน้าเด็กสาวแล้วยกมือสองข้างขึ้นในระดับไหล่ราวกับต้องการบอกว่า ก็เป็นแบบนี้มาตลอดนั่นแหละ

     

    เหตุใดจึงต้องยั่วโมโหให้คนอื่นรังเกียจตน ทั้งที่ตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่แบบนั้น

     

    “ ท่านทำเช่นนั้นทำไม ”

     

             แต่เดิมแล้วอาณาจักรอุรุคแห่งนี้ไม่เคยมีกษัตริย์ปกครองมาก่อน เทพเจ้าที่ต้องการใกล้ชิดกับความเป็นมนุษย์มากขึ้นจึงให้กำเนิดกิลกาเมซผู้มีสายเลือดทั้งเทพและมนุษย์ปนอยู่ด้วยกันขึ้นมา ภายหลังเขาได้ครองราชย์และมีศักดิ์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน

     

             เพราะเกรงกลัวต่อสายเลือดเทพที่มีอยู่ในตัว ผู้คนจึงตีตัวออกห่างและรังเกียจผู้ที่มีพละกำลังเหนือกว่าตนนัก แต่มีมนุษย์อยู่ประเภทหนึ่งเช่นกันที่ต้องการประจบประแจงเพื่อหวังให้ตนได้รับพลังที่ทรงอำนาจเช่นนั้นบ้าง ด้วยสายตาของชายหนุ่ม เขามองมันออกโดยทะลุปรุโปร่ง

     

    “ ข้าก็แค่เบื่อพวกตลบตะแลงหาผลประโยชน์น่ะ ”

     

    “ ใจดีเกินไปก็มีแต่จะโดนหักหลังเมื่อไรก็ได้นี่ ” ชายหนุ่มกล่าวราวกับผ่านประสบการณ์ในชีวิตมามากมาย เขาไม่ได้ต้องการดูดีในสายตาผู้ใด และไม่เคยให้ความไว้วางใจกับใครมาก่อน อาเธอเรียทำได้เพียงฟังประโยคนั้นโดยไม่พูดอะไร เธอเม้มริมฝีปากบางเข้าหากันอย่างปฏิเสธไม่ได้

     

             เข้าใจความหมายของความใจดีเกินไปได้ดีเลยล่ะ… ในวินาทีสุดท้ายที่เธอเห็นแก่ความรักของสหายทั้งสอง ความใจดีนั้นก็ยังย้อนกลับมาทำร้ายเธอจนเจ็บเจียนตาย แต่คนตัวเล็กก็ยังไม่เข้าใจวิธีปกครองด้วยความเกรงกลัวและเกลียดชังของชายคนนี้อยู่ดี ไม่ว่าอะไรที่มันมากเกินไปก็ไม่ให้ผลดีทั้งนั้น

     

    “ แต่เจ้าก็เข้ากับชุดนั้นดีนะ ค่อยงดงามสมกับเป็นหญิงสาวเสียหน่อย ”

     

             มีแต่เธอคนนี้ที่กล้าแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อหน้ากษัตริย์หนุ่มอย่างไม่ปิดบัง น่าแปลกที่เขากลับชอบใบหน้าบูดบึ้งของเด็กสาวมากกว่าจะเกลียดชังเสียด้วยซ้ำ และยิ่งชอบมากขึ้นเมื่อทำให้เธอคนนั้นระบายสีชมพูระเรื่อที่พวงแก้มได้ กิลกาเมซเอาแต่คงรอยยิ้มไว้บนใบหน้าราวกับสนุกที่ได้ทำเรื่องราวในวันนี้นัก

     

    “ จุดประสงค์ที่ให้เจ้าใส่ชุดนั้นไม่ใช่เพียงเท่านั้นเสียหน่อย ” ดวงตาสีโกเมนทร์ทอดมองไปยังสหายผมยาว

     

    “ ซักพักแล้วนะที่ไม่ได้ไปที่นั่น ”

     

     

     

     

     

     

             สถานที่แห่งนี้คือวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งบาบิโลน มันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยังไม่เคยมีนครอุรุคเสียด้วยซ้ำ ผู้คนต่างใช้ที่แห่งนี้เพื่อสักการะและเชื่อมต่อกับเทพเจ้า มันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ทำจากหินอ่อนแทบจะทั้งหมด เสาต้นใหญ่ที่ใช้หลายคนโอบวางเรียงห่างกันเป็นระยะ ราวกับว่าอาเธอเรียเคยเห็นภาพดังกล่าวมาจากหนังสือประวัติศาสตร์สักเล่มหนึ่ง ในอาณาจักรของเธอ สถานที่แบบนี้ยากจะมีให้เห็นนัก เหลือเพียงซากปรักหักพังที่มองไม่ออกว่าอดีตเคยมีความงดงามเพียงใด

     

             วันนั้นกิลกาเมซก็มาที่วิหารนี้เช่นกัน ตั้งแต่พบร่างของอาเธอเรียนอนหายใจรวยรินอยู่ไม่ไกลออกไป เขาก็พาเธอไปรักษาจนหาย เกิดเรื่องวุ่นวายหลายอย่างจนเวลาผ่านไปพักใหญ่จึงได้มีโอกาสกลับมาที่แห่งนี้อีกครั้ง โถงทางเดินยาวที่ประดับตกแต่งไปด้วยคบเพลิงตลอดทางทำให้เด็กสาวตื่นตาตื่นใจไม่น้อย เรื่องราวและประวัติศาสตร์ต่างๆ ถูกเล่าขานเป็นภาพวาดตามผนังวิหาร ลายเส้นที่สลักลงไปมีความตื้นลึกราวกับต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะในการรังสรรค์งานศิลป์เหล่านั้น

     

             ภาพของบุตรแห่งเทพเจ้าผู้ลงมาปกครองโลกมนุษย์ปรากฏตรงหน้า ทำให้หญิงสาวคุ้นเคยกับมันอย่างบอกไม่ถูก ภาพของชาวบ้านที่ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และได้รับการประทานพรเป็นอสูรตนหนึ่งลงมาเพื่อปราบบุตรแห่งเทพเจ้าองค์นั้น เหมือนกับเรื่องราวที่เคยฝันถึงไม่มีผิด พวกเขาสลักตำนานของกิลกาเมซและเอนคิดูไว้ในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ด้วย

     

    “ นั่นคือรูปปั้นของท่านหรือเอนคิดู ” ดวงตาคู่สวยทอดมองไปยังรูปเคารพที่ตั้งอยู่ไม่ห่างออกไป มันถูกสร้างขึ้นจากดินเหนียวและปั้นขึ้นรูปเป็นงานศิลปะ อสูรผู้มีพลังแห่งเทพเจ้ามีเขาแหลมคม ดวงตาทั้งสองข้างดุดันเช่นสัตว์ร้าย เขี้ยวและเล็บกางออกราวกับต้องการปลิดชีวิตผู้จ้องมอง ปกคลุมด้วยขนหนาทั่วทั้งร่างสูงใหญ่

     

    มองอย่างไรก็ไม่มีส่วนคล้ายคลึงกับเอนคิดูที่เธอเห็นในขณะนี้เลยแม้แต่นิด

     

    “ ใช่ ผู้คนจินตนาการภาพข้าเป็นอสูรกายเช่นนั้นแหละ ” เอนคิดูยิ้มขำ เพราะไม่มีใครเคยมองเห็นร่างที่แท้จริงของเขามาก่อนนี่นา

     

             ในระหว่างที่สหายและองครักษ์กำลังเปิดประเด็นสนทนา กษัตริย์หนุ่มก็อาศัยจังหวะนั้นแยกตัวออกมายังห้องโถงอีกฝั่ง ดวงตาคู่คมหรี่ลงอย่างพิจารณาเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองมาที่เขา ไม่ใช่ทั้งจากเอนคิดูหรืออาเธอเรียที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส แต่เป็นใครคนอื่นที่ไม่ได้ร่วมเดินทางมาด้วยกันตั้งแต่แรก ชายหนุ่มรู้สึกถึงพลังงานชีวิตของคนผู้นั้นได้ดี ในเมื่อไม่มีจิตสังหารใดๆ เขาจึงไม่จำเป็นต้องสนใจกับสายตาคู่นั้นอีกต่อไป

     

             กายสูงโปร่งสัมผัสรูปเคารพของเทพเจ้าที่อยู่เบื้องหน้า มีเรื่องราวกล่าวขานว่าโลหิตที่ไหลเวียนในกายของเขา สองในสามส่วนเป็นองค์ประกอบของเทพเจ้าผู้อยู่ตรงหน้า และอีกหนึ่งส่วนเป็นโลหิตของมนุษย์ การใช้ฝ่ามือสัมผัสรูปเคารพคือหนทางเชื่อมต่อกับเทพเจ้า นั่นคือวิธีการสักการะรูปแบบหนึ่งของสถานที่แห่งนี้

     

    “ กษัตริย์กิลกาเมซเอ๋ย ในที่สุดท่านก็ได้พบกับนางแล้ว ”

     

             เสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะ ก่อนหญิงชราใส่ชุดยาวรุ่มร่ามจะปรากฏตัวข้างๆ กับราชาหนุ่ม เพราะรู้จักตัวตนนั้นดี กิลกาเมซจึงไม่ได้มีท่าทีตกใจ เขาผละฝ่ามือออกจากรูปเคารพอย่างเชื่องช้า ก่อนหันมามองคู่สนทนาที่ในเวลานี้กำลังจ้องมองไปยังหญิงสาวที่เขาพามาด้วย

     

             หญิงชราผู้นี้คือมนุษย์ที่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้ ตระกูลของเธอสืบเชื้อสายและอยู่เป็นผู้ดูแลวิหารศักดิ์สิทธิ์มาหลายชั่วอายุคน เป็นที่รู้กันดีว่าความสามารถในการสื่อสารเหล่านั้นพ่วงมาด้วยการรับรู้โชคชะตาของผู้คน เรื่องราวที่ผู้รับสารจากเทพเจ้ากล่าวถึงจึงสามารถเชื่อถือได้อย่างไม่ต้องสงสัย

     

    และ ‘นาง’ ที่หญิงชราผู้นี้กำลังกล่าวถึง คืออาเธอเรียเช่นนั้นหรือ

     

    “ หญิงสาวผู้นั้นถูกส่งมาที่นี่เพราะมีชะตาต้องกันกับท่าน ท่านตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกพบใช่หรือไม่ ” ประโยคนั้นทำให้ชายหนุ่มชะงัก

     

    ตั้งแต่แรกพบ เขาได้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นกับเธองั้นหรือ

     

             กิลกาเมซไม่ค่อยแน่ใจนัก เขาไม่เคยมอบความรู้สึกเช่นนั้นให้กับผู้ใดมาก่อน ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่สายตาของเขามักจะมีเธอคนนั้นอยู่ด้วยเสมอ ราวกับว่าหากขาดเธอไปแล้วจะทำให้เรื่องราวในแต่ละวันไม่อาจดำเนินต่อไปได้ …เขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้มันใช่ความรักหรือไม่

     

    “ ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายความรู้สึกที่ดำดิ่งลงไปเช่นนั้นได้ ”

     

    “ ชะตาที่ผูกกันอาจทำให้พวกท่านต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องคนอีกคน …แต่หญิงสาวผู้นั้นมาเพื่อช่วยเหลือท่านไม่ผิดแน่แท้ ”

     

             ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่เฒ่าผู้นี้จึงเปิดประเด็นด้วยเรื่องดังกล่าว เขาทอดมองใบหน้าหวานที่ประดับรอยยิ้มยามสนทนากับเอนคิดูด้วยความรู้สึกมากมายที่อยู่ในหัว หากสิ่งที่หญิงนางนี้กล่าวเป็นเรื่องจริง ในเมื่ออาเธอเรียถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือเขา หมายความว่าอย่างไรเธอก็มีชะตาที่ต้องสละชีวิตเพื่อเขาเช่นนั้นหรือ

     

    “ หมายความว่าอย่างไรที่ว่าต้องสละชีวิต ”

     

     

     

     

     

     

    อาเธอเรียไม่คิดว่าความริษยาของหญิงสาวมันจะรุนแรงถึงเพียงนี้

     

             หลังจากเรื่องราวที่แม่ทัพผู้นั้นเข้ามาหากษัตริย์แห่งอุรุคเมื่อตอนกลางวัน ก็เกิดข่าวลือแปลกๆ อย่าง กษัตริย์หนุ่มหลงองครักษ์หญิงผู้นั้นหัวปักหัวปำจนไม่เป็นอันการทำงาน บ้างก็ว่า กษัตริย์กิลกาเมซใช้เวลาทั้งวันอยู่ในห้องกับหญิงสาวผมทองโดยไม่กินข้าวกินน้ำ’ แพร่สะพัดไปทั่วทั้งวัง

     

             ในขณะที่กำลังถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด ทั้งร่างของเด็กสาวก็เปียกปอนไปด้วยของเหลวกลิ่นฉุนอย่างกะทันหัน กระโปรงผ้าแพรที่เคยเป็นสีขาวสะอาดเปรอะเปื้อนไปด้วยเครื่องดื่มที่มีสีราวกับโลหิต เธอเห็นกับตาว่าเมื่อครู่หญิงสาวในชุดน้อยชิ้นที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าตั้งใจสาดมันใส่ชุดนี้แบบไม่ต้องสงสัย

     

    “ แต่งกายอันใดของเจ้า คิดว่าได้ใส่ผ้าเนื้อดีเช่นนั้นแล้วจะอยู่เหนือทุกคนงั้นหรือ ”

     

    กลิ่นขององุ่นและแอลกอฮอล์ หญิงพวกนี้เอาไวน์ราคาสูงมาสาดเล่นกันเช่นนี้หรือ

     

             ใบหน้าหวานนิ่วเข้าหากันด้วยความเจ็บปวดเมื่ออยู่ๆ ผมที่เคยมัดไว้อย่างเป็นระเบียบก็ถูกมือของใครคนหนึ่งคว้าเข้าอย่างจังจนร่างเซถลาออกไปตาม ซ้ำยังมีอีกมือจงใจฟาดลงมาที่ใบหน้าของเธออย่างไม่เบานัก ความรู้สึกชาวาบเคลือบไปทั้งแก้มด้านขวา

     

    “ เจ้าเป็นแม่มดหรืออย่างไรถึงได้มีผมสีทองแบบนี้ ”

     

    “ ใบหน้านี้งั้นหรือที่ท่านกิลกาเมซพิศวาสนักหนา ”

     

    “ รูปร่างของเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้า ทำไมท่านจึงเสน่หาเจ้านัก ”

     

    หญิงสาวพวกนี้… เห็นว่ามีจำนวนมากกว่าเลยจะรังแกเธออย่างไรก็ได้สินะ

     

             อาเธอเรียรู้สึกโกรธมาก รสชาติเหล็กขมปร่าเคลือบอยู่ในปาก แม้ภายนอกเธอจะดูใจเย็นราวกับสายน้ำ แต่หญิงสาวไม่ได้เติบโตมาเพื่อยอมให้ผู้อื่นทำร้ายอย่างง่ายดาย

     

     ชุดนี้เขาเป็นคนให้ข้าเองกับมือ พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือ 

     

             น้ำเสียงที่ควรจะขวัญเสียกลับเปล่งออกมาอย่างเยือกเย็นจนผู้ฟังประหลาดใจ เด็กสาวเติบโตมากับการโดนฝึกฝนให้ต่อสู้เยี่ยงชายฉกรรจ์ แม้เมอร์ลินจะเคยสั่งสอนว่าไม่ควรเอาความสามารถที่มีไปรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่คราวนี้มันคือการป้องกันตัว

     

             ออกแรงสะบัดตัวเพียงเล็กน้อย มือของหญิงคนหนึ่งที่เคยคว้ากลุ่มผมของเธอเอาไว้ได้ก็เหลือเพียงริบบิ้นสีดำเส้นหนึ่งเท่านั้น ผมสีทองของอาเธอเรียสยายไปตามไหล่ลาด ร่างเล็กถูกฝึกฝนให้ต่อสู้กับชายที่มีขนาดตัวและพละกำลังเหนือกว่ามาทั้งชีวิต จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพ่ายแพ้ให้กับเรี่ยวแรงของสตรีที่ไม่เคยได้จับอาวุธเลยเช่นนี้

     

    “ พวกเจ้าลืมไปหรือเปล่าว่าข้าเป็นองครักษ์ ”

     

             จังหวะเพียงชั่วครู่เดียว เด็กสาวก็คว้าข้อมือของร่างตรงหน้าก่อนพลิกทั้งแขนให้ไปอยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดที่ร้าวขึ้นไปถึงไหล่ทำให้หญิงผู้นั้นกรีดร้องออกมาทั้งน้ำตา ทั้งที่เป็นสตรีเหมือนกันแต่เธอไม่อาจสู้แรงของเด็กผมทองที่บีบข้อมือไว้แน่นราวกับเป็นคีมเหล็กได้เลยแม้แต่นิด

     

    อาเธอเรียไม่ได้ต้องการมาตบตีไร้สาระแบบนี้เลยสักนิด… เหตุใดหญิงเหล่านี้ต้องลากเธอเข้ามาในวงริษยาอยู่เสมอ

     

    “ ถ้าพวกเจ้าไม่อยากมีแขนไว้ประดับข้างตัวอีกก็เข้ามาหาข้าได้เลย ”

     

             เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น ยิ่งเห็นดวงตาสีมรกตคู่สวยกำลังแสดงว่าโมโหอย่างถึงที่สุด ยิ่งทำให้ผู้ถูกมองรู้สึกราวกับโดนเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า มันดูมีอำนาจมากกว่าที่เด็กสาวคนหนึ่งจะพึงมีเสียด้วยซ้ำ กลุ่มหญิงสาวที่เคยยืนล้อมเธอร่วมสี่ห้าคนตีวงออกห่างไปเองด้วยความหวาดกลัว

     

    “ พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน

     

             แต่แล้วเสียงทุ้มหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะพร้อมกับร่างสูงที่รีบก้าวเข้ามาเพื่อหยุดยั้งสถานการณ์ เหล่าหญิงที่สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นรีบวิ่งกระจัดกระจายกันออกไปคนละทาง และอาเธอเรียที่คลายพันธนาการจากหญิงคนหนึ่งออกอย่างกะทันหัน

     

     

    ชายผู้นั้น… คนที่มีใบหน้าเหมือนกับแลนเซลอต

     

     

     


     





              


    ไรเตอร์โยนปมอันเบ้อเร่อมาไว้ในตอนนี้เลย แถมเนื้อหาตอนนี้ยาวกว่าปกติมาก 
    เนื่องจากกำลังพยายามลดจำนวนพาร์ทอยู่ค่ะ (อาจจะยัดให้จบได้ใน 10-11 พาร์ทได้ //ลดได้แค่นี้จริงๆ;-;)
    ทั้งบรรยากาศเรื่องและภาษาที่เป็นแนวพีเรียดกินพลังงานในการแต่งมาก
    แต่มาแต่งสนุกมือตรงฉากสุดท้ายที่ตบตีกันเฉยเลยค่ะ55555 

    ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ
    พอถึงช่วงกลางๆเรื่องเริ่มแอบท้อแท้บ้างเพราะเนื้อเรื่องมันเริ่มเนือยค่ะ;-;
    แต่ท่องไว้ เดินทางมาถึงครึ่งเรื่องแล้ววว

    แล้วพบกันพาร์ทหน้านะคะ

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×