คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 6
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
วันนี้กิลกาเมซหมกตัวอยู่ในห้องจัดเลี้ยงตั้งแต่เช้า รอบข้างเต็มไปด้วยขวดสุราวางเรียงราย ทั้งวางไว้เฉยๆ ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง และบางส่วนมีทาสนำมารินใส่ภาชนะเอาไว้ อาเธอเรียในฐานะองครักษ์จำเป็นต้องอยู่เคียงข้างเขาอย่างช่วยไม่ได้ เคยคิดว่าคงต้องทำใจให้ชินกับภาพร่ำสุราและมัวเมาในกามารมณ์ของชายผู้นี้ให้ได้ แต่น่าแปลกที่เขาแทบไม่แตะต้องของมึนเมาพวกนั้นเสียด้วยซ้ำ มือหนายกเพียงไวน์คุณภาพดีขึ้นมาจิบนานๆ ครั้ง ทั้งยังออกคำสั่งว่าอยากอยู่เงียบๆ ไม่ต้องการให้ใครรบกวน
เขากางกระดาษหน้าตาประหลาดตาไว้ตรงหน้า รายละเอียดที่สลักจากน้ำหมึกสีดำราวกับเป็นแผนที่ขนาดใหญ่ของเมืองนี้
ดวงตาสีโลหิตของกษัตริย์จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่
อาเธอเรียไม่รู้ว่าเขากำลังต้องการอะไร
แต่ตำแหน่งหนึ่งในภาพมันช่างทำให้รู้สึกขัดใจเหลือเกิน
กำลังนั่งทำงาน… แต่เอามาทำในห้องจัดเลี้ยงงั้นหรือ
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ…
“
เมืองนี้กำลังขาดแคลนน้ำใช่หรือไม่ ”
เด็กสาวเอ่ยสนทนาหลังทำได้เพียงแค่มองทุกอิริยาบถของชายหนุ่มมาแต่เมื่อครู่
“ เจ้ารู้ได้อย่างไร ”
คิ้วเรียวของชายหนุ่มยกขึ้นด้วยความแปลกใจ
ร่างเล็กขยับเก้าอี้ที่เคยนั่งห่างออกไปเข้ามาใกล้เขามากขึ้น
ก่อนปลายนิ้วเรียวจะชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งในแผนที่อย่างตั้งใจ
“ กำแพงนี้มันขวางทางน้ำ
วันก่อนที่ออกไปข้างนอกกับท่าน เป็นแม่น้ำสายนั้นใช่หรือไม่ ”
“
แต่หากจะทุบทิ้งเสียทีเดียวช่วงหน้าฝนก็อาจทำให้น้ำท่วมได้
ท่านอาจจะสร้างเป็นประตูเพื่อแก้ไขปัญหานั้น ”
ร่างเล็กชะงักเมื่อรู้สึกว่าตนเอ่ยสนทนายาวเกินไป ด้วยความเคยชิน
เธอมักจะแก้ปัญหาบ้านเมืองเช่นนี้บ่อยครั้งเมื่อสมัยยังปกครองอาณาจักร
ครั้นเมื่อหันไปด้านข้างจึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนขยับเก้าอี้มาใกล้ชายผู้นั้นใกล้กว่าที่คิด
ซ้ำร้ายฝ่ายนั้นยังกำลังเท้าค้างมองเธอพร้อมรอยยิ้มพอใจนักหนาด้วยอีก
“
เจ้ามีความรู้ด้านการบริหารบ้านเมืองจริงสินะ ”
เจ้าของใบหน้าหวานขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ให้กับคำพูดกึ่งชมกึ่งประหลาดใจเช่นนั้น
“
ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าข้าเป็นกษัตริย์มาก่อน ”
เขายังคงมองว่าเธอเป็นหญิงสติฟั่นเฟือนอยู่เหมือนเคยสินะ…
“
ทำไมเจ้าชอบทำหน้าบึ้งใส่ข้าทุกทีเลยนะ ”
อดไม่ได้ที่จะจิ้มนิ้วไปที่หัวคิ้วเล็กๆ นั่น
ส่งให้ใบหน้าหวานหยิกงอยิ่งกว่าเดิม
ช่วงเวลาเดียวกันร่างหนึ่งที่พรวดพราดเข้ามาในห้องก็เรียกความสนใจจากคนทั้งคู่ได้ไม่น้อย
เขาคือเอนคิดูที่กำลังทำท่าทางร้อนใจ
พลันกษัตริย์หนุ่มก็รีบคว้าม้วนกระดาษตรงหน้าลงไปซ่อนใต้พรมแทบจะทันที
“ แม่ทัพยาฟุมาน่ะ
สงสัยจะอยากชวนเจ้าไปร่ำสุราอีกแล้ว ”
ทันทีที่ได้ยินสหายร่างโปร่งกล่าวเช่นนั้น
กิลกาเมซก็พลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งเฉย
เขามองหน้าเอนคิดูราวกับรับรู้สัญญาณบางอย่างเพียงแค่สองคน
ครู่เดียวเอวบางของอาเธอเรียก็ถูกมือหนาคว้ามานั่งบนตักแทบจะทันที
กว่าจะได้ทันตั้งตัวแก้วไวน์ใบหนึ่งก็ถูกยัดใส่มือบอบบางนั่นเสียแล้ว
“ ท่านทำอะไรเนี่ย! ”
เครื่องดื่มสีแดงหม่นเกือบจะกระฉอกออกมา โชคยังดีที่เธอคว้ามันไว้ได้ทัน
ครั้นตั้งสติได้ก็รีบดันร่างที่ใหญ่กว่าให้ออกไป ทั้งร่างของเธอกำลังก่ายไปกับขาข้างหนึ่งของชายคนนี้
ฝ่ามือใหญ่กำลังลุ่มล่ามบริเวณแผ่นหลังที่แม้จะปกคลุมด้วยผ้าแพรอย่างดี
“ ชู่ว แป๊บเดียวน่ะ ”
เสียงทุ้มกล่าวปราม เสียงปลายเท้าหนักๆ
ของใครคนหนึ่งที่ใกล้เข้ามาทำให้เด็กสาวยอมสงบปากสงบคำอย่างว่าง่าย
ไม่นานนักร่างท้วมของชายผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวในห้อง เขาสวมชุดเนื้อผ้าราคาแพง
ตามร่างกายประดับด้วยกำไลและสร้อยคอประหลาดตาที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง
ใบหน้ามีอายุตกใจเล็กน้อยกับภาพตรงหน้าที่ได้พบเห็น
ก่อนโค้งตัวเคารพราวกับสิ่งดังกล่าวเป็นเรื่องปกตินัก
“ เจ้ามีธุระอะไร
ช่างขัดจังหวะคนกำลังมีความสุขกันเสียจริง ”
แขนแกร่งกระชับร่างในอ้อมกอดเข้ามาจนกายทั้งคู่แนบชิด
เมื่อเห็นสายตาพราวระยับของชายผู้นั้นจับจ้องมายังใบหน้างดงาม
ฝ่ามือใหญ่รวบเอาแก้วในมือเด็กสาวเข้ามาก่อนลิ้มรสเครื่องดื่มสีเดียวกันกับโลหิตพร้อมรอยยิ้มพอใจ
เจ้าของกายบอบบางถลึงตาใส่คนมือไวด้วยความหงุดหงิด
เธอได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากร่างที่กำลังสวมกอดตนอยู่
อาเธอเรียรู้ได้ในทันทีว่าคนตัวโตตั้งใจจะแกล้งเธอให้ตกใจ
“
ข้าเพียงจะเชิญชวนท่านไปดื่มสุราด้วยกันเท่านั้น ขออภัยที่ไม่ทราบว่าท่านกำลังมีธุระ
” เสียงนั้นสั่นยามได้สบสายตาเข้ากับอัญมณีสีแดงทั้งคู่
ราวกับมันต้องการบอกผู้มีอำนาจต่ำกว่าว่าไม่ควรล้ำเส้นไปมากกว่านี้
“
ไม่ยักรู้ว่าเจ้านิยมร่ำสุราตั้งแต่หัววัน
เวลานี้ข้าต้องการพักผ่อนอยู่กับผู้หญิงของข้าทั้งวันทั้งคืนเท่านั้น ”
กษัตริย์หนุ่มตั้งใจย้ายมือข้างหนึ่งไปวางบนต้นขาของร่างเล็กอย่างจงใจ
เขาไล้มือไปตามผ้าแพรสีขาวและรั้งมันขึ้นจนมองเห็นผิวขาวเนียนของอีกฝ่าย
ส่งให้เจ้าของร่างรีบตะปบมือเข้ายั้งมือนั้นอย่างไม่เบานัก ใบหน้าสวยขมวดคิ้วยุ่ง
พวงแก้มทั้งสองข้างเจือไปด้วยสีชมพูระเรื่อ
ล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว!
“
ข...ข้าขออภัยด้วยที่มารบกวน ”
เพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น แม้เขาจะเบี่ยงหน้าหลบออกไปตามสัญชาตญาณ
แต่ดวงตาสีมรกตมองเห็นสีหน้าไม่พอใจจากแม่ทัพคนนั้นอย่างชัดเจนก่อนที่เขาจะแยกตัวออกไป
รอจนแน่ใจว่าชายผู้นั้นจะไม่ย้อนกลับมาอีก จึงตัดสินใจผลักร่างที่โอบกอดตนออกไป
ย้ายร่างกลับไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิมอย่างไม่รอช้า
“
ที่ท่านย้ำข้าตั้งแต่เช้าให้สวมกระโปรงนี่ เพื่อมายั่วโมโหชายคนนั้นงั้นหรือ ”
เสียงหวานถามขึ้นทั้งใบหน้าบึ้งตึงที่ยังคงเจือไปด้วยสีชมพู
ปกติแล้วกิลกาเมซจะไม่วุ่นวายกับการแต่งตัวของเธอ
อาเธอเรียมักจะสวมเสื้อและกางเกงสีขาวดั่งเช่นวันประลองการต่อสู้
เพราะมันสะดวกต่อการเคลื่อนไหวมากกว่า
แต่เมื่อเช้าตรู่มีคำสั่งพร้อมกระโปรงตัวหนึ่งที่มีผู้นำไปวางไว้ที่ห้องนอนราวกับวางแผนไว้แล้ว
เขาตั้งใจสร้างภาพให้ตนดูมัวเมาทั้งสุราและกามารมณ์อยู่ตลอดเวลา
และมันประสบผลสำเร็จเมื่อคนภายนอกต่างมองเข้ามาด้วยสายตาเช่นนั้น
แม้แต่นิมิตที่เธอได้เห็นก็ยังแสดงออกมาเช่นเดียวกัน
“ ฉลาดดีนี่
ข้าคงดีใจกว่านี้หากเจ้านั่งอยู่บนตัวข้าต่อไป ” ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มพอใจ
เขากำลังหมุนแก้วที่มีเครื่องดื่มอยู่น้อยนิดอย่างเพลิดเพลิน
ส่วนเจ้าของผมเขียวเพียงมองหน้าเด็กสาวแล้วยกมือสองข้างขึ้นในระดับไหล่ราวกับต้องการบอกว่า ‘ก็เป็นแบบนี้มาตลอดนั่นแหละ’
เหตุใดจึงต้องยั่วโมโหให้คนอื่นรังเกียจตน
ทั้งที่ตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่แบบนั้น
“ ท่านทำเช่นนั้นทำไม ”
แต่เดิมแล้วอาณาจักรอุรุคแห่งนี้ไม่เคยมีกษัตริย์ปกครองมาก่อน
เทพเจ้าที่ต้องการใกล้ชิดกับความเป็นมนุษย์มากขึ้นจึงให้กำเนิดกิลกาเมซผู้มีสายเลือดทั้งเทพและมนุษย์ปนอยู่ด้วยกันขึ้นมา
ภายหลังเขาได้ครองราชย์และมีศักดิ์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน
เพราะเกรงกลัวต่อสายเลือดเทพที่มีอยู่ในตัว
ผู้คนจึงตีตัวออกห่างและรังเกียจผู้ที่มีพละกำลังเหนือกว่าตนนัก
แต่มีมนุษย์อยู่ประเภทหนึ่งเช่นกันที่ต้องการประจบประแจงเพื่อหวังให้ตนได้รับพลังที่ทรงอำนาจเช่นนั้นบ้าง
ด้วยสายตาของชายหนุ่ม เขามองมันออกโดยทะลุปรุโปร่ง
“
ข้าก็แค่เบื่อพวกตลบตะแลงหาผลประโยชน์น่ะ ”
“
ใจดีเกินไปก็มีแต่จะโดนหักหลังเมื่อไรก็ได้นี่ ”
ชายหนุ่มกล่าวราวกับผ่านประสบการณ์ในชีวิตมามากมาย
เขาไม่ได้ต้องการดูดีในสายตาผู้ใด และไม่เคยให้ความไว้วางใจกับใครมาก่อน
อาเธอเรียทำได้เพียงฟังประโยคนั้นโดยไม่พูดอะไร
เธอเม้มริมฝีปากบางเข้าหากันอย่างปฏิเสธไม่ได้
เข้าใจความหมายของความใจดีเกินไปได้ดีเลยล่ะ… ในวินาทีสุดท้ายที่เธอเห็นแก่ความรักของสหายทั้งสอง
ความใจดีนั้นก็ยังย้อนกลับมาทำร้ายเธอจนเจ็บเจียนตาย
แต่คนตัวเล็กก็ยังไม่เข้าใจวิธีปกครองด้วยความเกรงกลัวและเกลียดชังของชายคนนี้อยู่ดี
ไม่ว่าอะไรที่มันมากเกินไปก็ไม่ให้ผลดีทั้งนั้น
“
แต่เจ้าก็เข้ากับชุดนั้นดีนะ ค่อยงดงามสมกับเป็นหญิงสาวเสียหน่อย ”
มีแต่เธอคนนี้ที่กล้าแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อหน้ากษัตริย์หนุ่มอย่างไม่ปิดบัง
น่าแปลกที่เขากลับชอบใบหน้าบูดบึ้งของเด็กสาวมากกว่าจะเกลียดชังเสียด้วยซ้ำ
และยิ่งชอบมากขึ้นเมื่อทำให้เธอคนนั้นระบายสีชมพูระเรื่อที่พวงแก้มได้
กิลกาเมซเอาแต่คงรอยยิ้มไว้บนใบหน้าราวกับสนุกที่ได้ทำเรื่องราวในวันนี้นัก
“
จุดประสงค์ที่ให้เจ้าใส่ชุดนั้นไม่ใช่เพียงเท่านั้นเสียหน่อย ”
ดวงตาสีโกเมนทร์ทอดมองไปยังสหายผมยาว
“
ซักพักแล้วนะที่ไม่ได้ไปที่นั่น ”
สถานที่แห่งนี้คือวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งบาบิโลน
มันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยังไม่เคยมีนครอุรุคเสียด้วยซ้ำ
ผู้คนต่างใช้ที่แห่งนี้เพื่อสักการะและเชื่อมต่อกับเทพเจ้า
มันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ทำจากหินอ่อนแทบจะทั้งหมด
เสาต้นใหญ่ที่ใช้หลายคนโอบวางเรียงห่างกันเป็นระยะ ราวกับว่าอาเธอเรียเคยเห็นภาพดังกล่าวมาจากหนังสือประวัติศาสตร์สักเล่มหนึ่ง
ในอาณาจักรของเธอ สถานที่แบบนี้ยากจะมีให้เห็นนัก
เหลือเพียงซากปรักหักพังที่มองไม่ออกว่าอดีตเคยมีความงดงามเพียงใด
วันนั้นกิลกาเมซก็มาที่วิหารนี้เช่นกัน ตั้งแต่พบร่างของอาเธอเรียนอนหายใจรวยรินอยู่ไม่ไกลออกไป
เขาก็พาเธอไปรักษาจนหาย
เกิดเรื่องวุ่นวายหลายอย่างจนเวลาผ่านไปพักใหญ่จึงได้มีโอกาสกลับมาที่แห่งนี้อีกครั้ง
โถงทางเดินยาวที่ประดับตกแต่งไปด้วยคบเพลิงตลอดทางทำให้เด็กสาวตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
เรื่องราวและประวัติศาสตร์ต่างๆ ถูกเล่าขานเป็นภาพวาดตามผนังวิหาร
ลายเส้นที่สลักลงไปมีความตื้นลึกราวกับต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะในการรังสรรค์งานศิลป์เหล่านั้น
ภาพของบุตรแห่งเทพเจ้าผู้ลงมาปกครองโลกมนุษย์ปรากฏตรงหน้า
ทำให้หญิงสาวคุ้นเคยกับมันอย่างบอกไม่ถูก ภาพของชาวบ้านที่ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และได้รับการประทานพรเป็นอสูรตนหนึ่งลงมาเพื่อปราบบุตรแห่งเทพเจ้าองค์นั้น
เหมือนกับเรื่องราวที่เคยฝันถึงไม่มีผิด
พวกเขาสลักตำนานของกิลกาเมซและเอนคิดูไว้ในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ด้วย
“
นั่นคือรูปปั้นของท่านหรือเอนคิดู ” ดวงตาคู่สวยทอดมองไปยังรูปเคารพที่ตั้งอยู่ไม่ห่างออกไป
มันถูกสร้างขึ้นจากดินเหนียวและปั้นขึ้นรูปเป็นงานศิลปะ
อสูรผู้มีพลังแห่งเทพเจ้ามีเขาแหลมคม ดวงตาทั้งสองข้างดุดันเช่นสัตว์ร้าย
เขี้ยวและเล็บกางออกราวกับต้องการปลิดชีวิตผู้จ้องมอง
ปกคลุมด้วยขนหนาทั่วทั้งร่างสูงใหญ่
มองอย่างไรก็ไม่มีส่วนคล้ายคลึงกับเอนคิดูที่เธอเห็นในขณะนี้เลยแม้แต่นิด
“ ใช่
ผู้คนจินตนาการภาพข้าเป็นอสูรกายเช่นนั้นแหละ ” เอนคิดูยิ้มขำ
เพราะไม่มีใครเคยมองเห็นร่างที่แท้จริงของเขามาก่อนนี่นา
ในระหว่างที่สหายและองครักษ์กำลังเปิดประเด็นสนทนา กษัตริย์หนุ่มก็อาศัยจังหวะนั้นแยกตัวออกมายังห้องโถงอีกฝั่ง
ดวงตาคู่คมหรี่ลงอย่างพิจารณาเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองมาที่เขา
ไม่ใช่ทั้งจากเอนคิดูหรืออาเธอเรียที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส
แต่เป็นใครคนอื่นที่ไม่ได้ร่วมเดินทางมาด้วยกันตั้งแต่แรก ชายหนุ่มรู้สึกถึงพลังงานชีวิตของคนผู้นั้นได้ดี
ในเมื่อไม่มีจิตสังหารใดๆ เขาจึงไม่จำเป็นต้องสนใจกับสายตาคู่นั้นอีกต่อไป
กายสูงโปร่งสัมผัสรูปเคารพของเทพเจ้าที่อยู่เบื้องหน้า
มีเรื่องราวกล่าวขานว่าโลหิตที่ไหลเวียนในกายของเขา
สองในสามส่วนเป็นองค์ประกอบของเทพเจ้าผู้อยู่ตรงหน้า
และอีกหนึ่งส่วนเป็นโลหิตของมนุษย์
การใช้ฝ่ามือสัมผัสรูปเคารพคือหนทางเชื่อมต่อกับเทพเจ้า
นั่นคือวิธีการสักการะรูปแบบหนึ่งของสถานที่แห่งนี้
“ กษัตริย์กิลกาเมซเอ๋ย
ในที่สุดท่านก็ได้พบกับนางแล้ว ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะ ก่อนหญิงชราใส่ชุดยาวรุ่มร่ามจะปรากฏตัวข้างๆ
กับราชาหนุ่ม เพราะรู้จักตัวตนนั้นดี กิลกาเมซจึงไม่ได้มีท่าทีตกใจ
เขาผละฝ่ามือออกจากรูปเคารพอย่างเชื่องช้า
ก่อนหันมามองคู่สนทนาที่ในเวลานี้กำลังจ้องมองไปยังหญิงสาวที่เขาพามาด้วย
หญิงชราผู้นี้คือมนุษย์ที่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้
ตระกูลของเธอสืบเชื้อสายและอยู่เป็นผู้ดูแลวิหารศักดิ์สิทธิ์มาหลายชั่วอายุคน
เป็นที่รู้กันดีว่าความสามารถในการสื่อสารเหล่านั้นพ่วงมาด้วยการรับรู้โชคชะตาของผู้คน
เรื่องราวที่ผู้รับสารจากเทพเจ้ากล่าวถึงจึงสามารถเชื่อถือได้อย่างไม่ต้องสงสัย
และ ‘นาง’ ที่หญิงชราผู้นี้กำลังกล่าวถึง คืออาเธอเรียเช่นนั้นหรือ
“
หญิงสาวผู้นั้นถูกส่งมาที่นี่เพราะมีชะตาต้องกันกับท่าน ท่านตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกพบใช่หรือไม่
” ประโยคนั้นทำให้ชายหนุ่มชะงัก
ตั้งแต่แรกพบ
เขาได้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นกับเธองั้นหรือ…
กิลกาเมซไม่ค่อยแน่ใจนัก เขาไม่เคยมอบความรู้สึกเช่นนั้นให้กับผู้ใดมาก่อน
ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่สายตาของเขามักจะมีเธอคนนั้นอยู่ด้วยเสมอ
ราวกับว่าหากขาดเธอไปแล้วจะทำให้เรื่องราวในแต่ละวันไม่อาจดำเนินต่อไปได้ …เขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้มันใช่ความรักหรือไม่
“
ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายความรู้สึกที่ดำดิ่งลงไปเช่นนั้นได้ ”
“
ชะตาที่ผูกกันอาจทำให้พวกท่านต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องคนอีกคน …แต่หญิงสาวผู้นั้นมาเพื่อช่วยเหลือท่านไม่ผิดแน่แท้
”
ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่เฒ่าผู้นี้จึงเปิดประเด็นด้วยเรื่องดังกล่าว
เขาทอดมองใบหน้าหวานที่ประดับรอยยิ้มยามสนทนากับเอนคิดูด้วยความรู้สึกมากมายที่อยู่ในหัว
หากสิ่งที่หญิงนางนี้กล่าวเป็นเรื่องจริง ในเมื่ออาเธอเรียถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือเขา
หมายความว่าอย่างไรเธอก็มีชะตาที่ต้องสละชีวิตเพื่อเขาเช่นนั้นหรือ…
“
หมายความว่าอย่างไรที่ว่าต้องสละชีวิต ”
อาเธอเรียไม่คิดว่าความริษยาของหญิงสาวมันจะรุนแรงถึงเพียงนี้…
หลังจากเรื่องราวที่แม่ทัพผู้นั้นเข้ามาหากษัตริย์แห่งอุรุคเมื่อตอนกลางวัน
ก็เกิดข่าวลือแปลกๆ อย่าง ‘กษัตริย์หนุ่มหลงองครักษ์หญิงผู้นั้นหัวปักหัวปำจนไม่เป็นอันการทำงาน’ บ้างก็ว่า ‘กษัตริย์กิลกาเมซใช้เวลาทั้งวันอยู่ในห้องกับหญิงสาวผมทองโดยไม่กินข้าวกินน้ำ’ แพร่สะพัดไปทั่วทั้งวัง
ในขณะที่กำลังถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด
ทั้งร่างของเด็กสาวก็เปียกปอนไปด้วยของเหลวกลิ่นฉุนอย่างกะทันหัน
กระโปรงผ้าแพรที่เคยเป็นสีขาวสะอาดเปรอะเปื้อนไปด้วยเครื่องดื่มที่มีสีราวกับโลหิต
เธอเห็นกับตาว่าเมื่อครู่หญิงสาวในชุดน้อยชิ้นที่อยู่ๆ
ก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าตั้งใจสาดมันใส่ชุดนี้แบบไม่ต้องสงสัย
“ แต่งกายอันใดของเจ้า
คิดว่าได้ใส่ผ้าเนื้อดีเช่นนั้นแล้วจะอยู่เหนือทุกคนงั้นหรือ ”
กลิ่นขององุ่นและแอลกอฮอล์
หญิงพวกนี้เอาไวน์ราคาสูงมาสาดเล่นกันเช่นนี้หรือ
ใบหน้าหวานนิ่วเข้าหากันด้วยความเจ็บปวดเมื่ออยู่ๆ
ผมที่เคยมัดไว้อย่างเป็นระเบียบก็ถูกมือของใครคนหนึ่งคว้าเข้าอย่างจังจนร่างเซถลาออกไปตาม
ซ้ำยังมีอีกมือจงใจฟาดลงมาที่ใบหน้าของเธออย่างไม่เบานัก
ความรู้สึกชาวาบเคลือบไปทั้งแก้มด้านขวา
“
เจ้าเป็นแม่มดหรืออย่างไรถึงได้มีผมสีทองแบบนี้ ”
“
ใบหน้านี้งั้นหรือที่ท่านกิลกาเมซพิศวาสนักหนา ”
“
รูปร่างของเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้า ทำไมท่านจึงเสน่หาเจ้านัก ”
หญิงสาวพวกนี้… เห็นว่ามีจำนวนมากกว่าเลยจะรังแกเธออย่างไรก็ได้สินะ
อาเธอเรียรู้สึกโกรธมาก รสชาติเหล็กขมปร่าเคลือบอยู่ในปาก
แม้ภายนอกเธอจะดูใจเย็นราวกับสายน้ำ
แต่หญิงสาวไม่ได้เติบโตมาเพื่อยอมให้ผู้อื่นทำร้ายอย่างง่ายดาย
“ ชุดนี้เขาเป็นคนให้ข้าเองกับมือ
พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือ ”
น้ำเสียงที่ควรจะขวัญเสียกลับเปล่งออกมาอย่างเยือกเย็นจนผู้ฟังประหลาดใจ
เด็กสาวเติบโตมากับการโดนฝึกฝนให้ต่อสู้เยี่ยงชายฉกรรจ์
แม้เมอร์ลินจะเคยสั่งสอนว่าไม่ควรเอาความสามารถที่มีไปรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า
แต่คราวนี้มันคือการป้องกันตัว
ออกแรงสะบัดตัวเพียงเล็กน้อย
มือของหญิงคนหนึ่งที่เคยคว้ากลุ่มผมของเธอเอาไว้ได้ก็เหลือเพียงริบบิ้นสีดำเส้นหนึ่งเท่านั้น
ผมสีทองของอาเธอเรียสยายไปตามไหล่ลาด
ร่างเล็กถูกฝึกฝนให้ต่อสู้กับชายที่มีขนาดตัวและพละกำลังเหนือกว่ามาทั้งชีวิต
จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพ่ายแพ้ให้กับเรี่ยวแรงของสตรีที่ไม่เคยได้จับอาวุธเลยเช่นนี้
“
พวกเจ้าลืมไปหรือเปล่าว่าข้าเป็นองครักษ์ ”
จังหวะเพียงชั่วครู่เดียว
เด็กสาวก็คว้าข้อมือของร่างตรงหน้าก่อนพลิกทั้งแขนให้ไปอยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ความเจ็บปวดที่ร้าวขึ้นไปถึงไหล่ทำให้หญิงผู้นั้นกรีดร้องออกมาทั้งน้ำตา
ทั้งที่เป็นสตรีเหมือนกันแต่เธอไม่อาจสู้แรงของเด็กผมทองที่บีบข้อมือไว้แน่นราวกับเป็นคีมเหล็กได้เลยแม้แต่นิด
อาเธอเรียไม่ได้ต้องการมาตบตีไร้สาระแบบนี้เลยสักนิด… เหตุใดหญิงเหล่านี้ต้องลากเธอเข้ามาในวงริษยาอยู่เสมอ
“
ถ้าพวกเจ้าไม่อยากมีแขนไว้ประดับข้างตัวอีกก็เข้ามาหาข้าได้เลย ”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น
ยิ่งเห็นดวงตาสีมรกตคู่สวยกำลังแสดงว่าโมโหอย่างถึงที่สุด
ยิ่งทำให้ผู้ถูกมองรู้สึกราวกับโดนเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า
มันดูมีอำนาจมากกว่าที่เด็กสาวคนหนึ่งจะพึงมีเสียด้วยซ้ำ กลุ่มหญิงสาวที่เคยยืนล้อมเธอร่วมสี่ห้าคนตีวงออกห่างไปเองด้วยความหวาดกลัว
“ พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน! ”
แต่แล้วเสียงทุ้มหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะพร้อมกับร่างสูงที่รีบก้าวเข้ามาเพื่อหยุดยั้งสถานการณ์
เหล่าหญิงที่สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นรีบวิ่งกระจัดกระจายกันออกไปคนละทาง
และอาเธอเรียที่คลายพันธนาการจากหญิงคนหนึ่งออกอย่างกะทันหัน
ชายผู้นั้น… คนที่มีใบหน้าเหมือนกับแลนเซลอต
ไรเตอร์โยนปมอันเบ้อเร่อมาไว้ในตอนนี้เลย แถมเนื้อหาตอนนี้ยาวกว่าปกติมาก
เนื่องจากกำลังพยายามลดจำนวนพาร์ทอยู่ค่ะ (อาจจะยัดให้จบได้ใน 10-11 พาร์ทได้ //ลดได้แค่นี้จริงๆ;-;)
ทั้งบรรยากาศเรื่องและภาษาที่เป็นแนวพีเรียดกินพลังงานในการแต่งมาก
แต่มาแต่งสนุกมือตรงฉากสุดท้ายที่ตบตีกันเฉยเลยค่ะ55555
ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ
พอถึงช่วงกลางๆเรื่องเริ่มแอบท้อแท้บ้างเพราะเนื้อเรื่องมันเริ่มเนือยค่ะ;-;
แต่ท่องไว้ เดินทางมาถึงครึ่งเรื่องแล้ววว
แล้วพบกันพาร์ทหน้านะคะ
ความคิดเห็น