คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 5
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
ตั้งแต่ดึงตัวออกมาจากตรงนั้น อาเธอเรียก็ยังไม่หยุดร้องไห้ ยามเห็นไล่ลาดทั้งสองข้างกำลังสั่นระริกแล้วกิลกาเมซยิ่งรู้สึกราวกับกล้ามเนื้อใต้อกกำลังถูกบีบรัด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตนจึงรู้สึกเช่นนั้น
“ หมอนั่นทำอะไรเจ้า ”
ดันร่างที่เคยอยู่ในอ้อมแขนออกไป ฝ่ามือหนาสัมผัสลงบนไหล่บางทั้งสองข้างอย่างอ่อนโยน
เด็กสาวรีบยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ กลั้นก้อนสะอื้นลงไปในคอ
ก่อนส่ายศีรษะเบาๆ เป็นคำตอบ
ไม่ควรจะแสดงท่าทางอ่อนแอแบบนี้ต่อหน้าผู้ใดเลย… แต่ก่อนเธอเคยร้องไห้ง่ายเช่นนี้ไหมนะ
“ ข้าขออภัย
มันเป็นเรื่องราวในอดีตของข้า ”
“
ในฐานะองครักษ์ข้าไม่ควรแสดงความอ่อนแอเช่นนี้ ”
ดวงตากลมโตคู่สวยในเวลานี้กลับบวมเปล่ง
สีหน้าที่เคยสดใสขึ้นมาได้กลับไปเศร้าสร้อยอีกครา
แม้กิลกาเมซจะอยากซักถามว่าอดีตมีเรื่องราวเป็นอย่างไร แต่เขาก็ไม่เอ่ยปาก
เพียงวางฝ่ามือลงบนกลุ่มผมสีบลอนด์ของอีกฝ่าย ทั้งออกแรงขยี้เบาๆ
“
ไม่ว่าใครก็สามารถอ่อนแอได้ทั้งนั้นสาวน้อย เป็นสัจธรรมของโลกนี่นะ ”
ต่อให้แข็งแกร่งทัดเทียมฟ้าจนไม่อาจมีผู้ใดต่อกรได้
คนผู้นั้นก็ต้องถือครองความอ่อนแอไว้กับตนสักเรื่องอยู่ดี
อาเธอเรียไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองกษัตริย์แห่งอุรุค
ความอบอุ่นจากฝ่ามือทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น ร่างเล็กไม่ได้เอ่ยปากบ่นเรื่องเส้นผมที่เริ่มจะพันกันยุ่งเหยิง
คำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในความคิดราวกับประหลาดใจนัก
เหตุใดชายผู้นี้จึงอ่อนโยนกับเธอนัก
จนทำให้เผลอลืมภาพชายผู้มักมากในกามไปชั่วขณะ
“
เจ้ากับชายผู้นั้นมีชะตาผูกพันกัน แม้ข้าจะบอกไม่ได้ว่าในแง่ใด แต่มันพันกันยุ่งเหยิงไปหมดเลยทีเดียว
”
เป็นเสียงของเอนคิดูที่กล่าวขึ้นหลังปรากฏตัวขึ้นมาไม่นาน
ดวงตาสีเดียวกันกับผมมองคนที่เคยร้องไห้ด้วยสายตาที่ยากจะแปลความหมาย
แต่เดิมแล้วเทพมีความสามารถล่วงรู้ชะตากรรมของมนุษย์ได้
มากน้อยต่างกันตามพลังที่พวกเขาเหล่านั้นถือครอง แม้เอนคิดูจะไม่ได้มีพลังมากมายนักแต่ก็รับรู้ถึงสิ่งนั้นได้เช่นกัน
กิลกาเมซมองหน้าสหายก่อนชี้นิ้วสลับใบหน้าตนกับเด็กสาวตรงหน้า
ราวกับต้องการถามเจ้าของผมสีเขียวด้วยประโยค ‘ข้าล่ะๆ’ แต่ก็โดนคนตัวเล็กกว่าเมินไปเสียก่อน
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของอาเธอเรีย หากแต่เป็นรอยยิ้มที่เจือไปด้วยความเจ็บปวด
“
ชายผู้นั้นมีใบหน้าเหมือนกับคนที่สังหารข้าไม่มีผิด ”
“เขาเป็นหนึ่งในอัศวินที่ข้าเคยไว้ใจมากที่สุด
เพียงแต่ในที่แห่งนี้เขาไม่ใช่คนๆ เดียวกัน ”
แม้ใบหน้าของชายคนนั้นจะเหมือนกับแลนเซลอตราวกับเป็นคนเดียวกัน
แต่สังหรณ์ใจบางอย่างบอกเธอว่าไม่ใช่ อาเธอเรียรู้จักชายที่เติบโตขึ้นมาด้วยกันดี
แลนเซลอตเป็นชายกล้าได้กล้าเสีย เขามุทะลุและต้องการเอาชนะทุกสิ่งอย่าง
ทั้งสถานที่แห่งนี้ที่เธอไม่รู้จัก และไม่มีผู้ใดรู้จักอาณาจักรบริทาเนีย
คงเป็นความเป็นไปได้ที่จะมีผู้คนที่หน้าตาคล้ายคลึงกัน
และเป็นความจริงว่าเธอยังไม่ตาย
หากไม่ได้กษัตริย์หนุ่มผู้นั้นช่วยเหลือไว้ก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้
“
ข้าไม่น่าปล่อยเจ้าคลาดสายตา ชั่วครู่เดียวก็ก่อเรื่องเสียแล้ว ” แรงผลักเบาๆ
จากฝ่ามือใหญ่ทำให้เด็กสาวขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงง เธอยกมือขึ้นมาจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของตนอย่างไม่เข้าใจนัก
“
จำที่ข้าเตือนไม่ได้หรือ หากเจ้าไปเจอเข้ากับแม่ทัพมักมากในกามจะทำเช่นไร ”
ใบหน้าของกิลกาเมซแสดงอารมณ์ราวกับรำคาญเธอนักหนา
ครั้นได้ยินเขาพูดประโยคนี้ทีไร
ราวกับมันย้อนกลับไปเข้าตัวชายหนุ่มทุกครั้งไป
“
ต่อไปนี้หน้าที่องครักษ์คือต้องคอยติดตามข้าอย่างใกล้ชิดเข้าใจไหมสาวน้อย ”
“ …ข้าเข้าใจแล้ว”
แม้การแสดงออกจะดูตรงกันข้าม
แต่อาเธอเรียสามารถเข้าใจความหวังดีที่แฝงไว้ในคำพูดเหล่านั้นได้ดี
เช้าวันใหม่ของอาเธอเรียถูกรบกวนด้วยเสียงเรียกจากทาสคนหนึ่งในวัง
มีคำสั่งสูงสุดจากกษัตริย์หนุ่มให้เข้าเฝ้าในท้องพระโรงตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังขึ้นมาไม่พ้นขอบฟ้า
ปลายเท้าทั้งคู่เดินตรงไปตามทางยาวของโถงกว้างได้พักหนึ่ง
ร่างโปร่งแสงของใครอีกคนก็เดินเข้ามาสมทบพร้อมรอยยิ้มสดใส
“
วันนี้เราจะทำเรื่องสนุกกันล่ะอาเธอเรีย ”
เธอไม่เข้าใจคำพูดนั้นของเอนคิดู
ใบหน้างดงามของเด็กหนุ่มเอาแต่ยกยิ้มและฮึมฮัมเพลงอยู่ในลำคอ
ครั้นเมื่อพาตัวเองมาหยุดยังท้องพระโรงอันกว้างขวาง
บนบัลลังก์สีทองอร่ามก็มีร่างของกษัตริย์หนุ่มนั่งอยู่แล้ว
ซ้ำยังรายล้อมไปด้วยหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น
มือหนาไล้ไปตามร่างอวบอิ่มของหญิงคนหนึ่งอย่างถือวิสาสะ
หญิงอีกคนก็โน้มตัวเข้ามาบดเบียดกายของเธอกับแขนแกร่งอย่างเย้ายวน
“
ถ้าเป็นเรื่องนี้ข้าขอปฏิเสธนะท่านเอนคิดู ” ภาพอุจาดตาอะไรกัน เด็กสาวทำได้เพียงเบนสายตาคู่สวยออกไปด้านข้างอย่างทำอะไรไม่ถูก
เรียกเสียงหัวเราะจากคู่สนทนาได้อย่างไม่เบานัก
“ ฮะฮะ ไม่ใช่ๆ
ไม่ใช่เรื่องนี้หรอกนะ ”
เพราะเสียงหัวเราะของเอนคิดูเรียกให้ดวงตาสีโกเมนทร์เลื่อนมาจับจ้องยังใบหน้าของผู้มาใหม่
“ มาพอดีเลย
วันนี้เจ้าจะต้องติดตามข้าไปในฐานะองครักษ์ ข้าอยากจะเข้าไปในเมืองเสียหน่อย ”
มือหนาตวัดไล่เพียงครั้งเดียว
เหล่าสตรีที่เคยยืนนัวเนียอยู่ก็ผละออกไปอย่างว่าง่าย
รอยยิ้มพอใจปรากฏบนใบหน้าคมคายยามได้ทอดมองใบหน้างดงามของเด็กสาวตรงหน้า
“ ไปทำลายงานแต่งอย่างไรล่ะ
”
ภาพเหล่านั้นยังฉายชัดในความทรงจำก่อนตื่นขึ้นมา
ชายคนนี้มักเรียกร้องสิทธิ์ในการร่วมเรือนหอคืนแรกกับหญิงสาวที่กำลังจะแต่งงาน
ราวกับนิมิตนั้นได้บอกเล่าเรื่องราวที่เธอกำลังจะได้พบเห็นเมื่อมาถึงอาณาจักรแห่งนี้
ในยุคที่ชายเห็นพรหมจรรย์ของหญิงสาวเป็นสิ่งมีค่า
เจ้าบ่าวคนใดจะยอมรับความจริงข้อนั้นได้กัน
อาเธอเรียไม่คิดว่าเหตุการณ์นั้นจะมาถึงเร็วกว่าที่คิด
“
หน้าบึ้งเชียวนะอาเธอเรีย มาเถอะ แล้วเจ้าจะได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจ ”
เป็นอีกครั้งที่เสียงของเอนคิดูเรียกเด็กสาวออกจากภวังค์
ร่างบางยังคงไม่ลงจากอาชาสีน้ำตาลที่ผู้ร่วมทางต่างก็ไม่สงสัยว่าเธอสามารถบังคับมันได้อย่างไร
ใบหน้าหวานมักจะแสดงสีหน้าบูดบึ้งต่อหน้ากิลกาเมซผู้เดียวเท่านั้น
เอนคิดูไม่แน่ใจว่านั่นเป็นความสามารถพิเศษของชายคนนั้นหรือเปล่า
ถึงได้ยั่วโมโหหญิงที่ดูจะใจเย็นเป็นน้ำเช่นนี้ได้ทุกครั้งไป
ราชาหนุ่มทิ้งอาชาสีดำไว้ด้านหลัง
ใบหน้าหล่อเหลากำลังยกยิ้มพอใจราวกับมีเรื่องสนุกรออยู่ข้างหน้า
เสียงฮึมฮัมในลำคอยิ่งทำให้อาเธอเรียรู้สึกไม่ชอบใจ
เธอไม่อาจทำความเข้าใจกับระบบความคิดของสองสหายคู่นี้ได้เลย
สองร่างนั้นกำลังตรงเข้าไปยังสิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนกับบ้านหลังใหญ่
ภายในตกแต่งด้วยดอกไม้ และผู้คนมากมายกำลังแต่งตัวด้วยชุดสวยงาม
ปลายเท้าทั้งคู่ตัดสินใจก้าวลงจากม้า ก่อนสับขาเร็วๆ ตามไปอย่างหมดทางเลือก
บรรยากาศของงานที่เคยครึกครื้นเงียบสงัดลงฉับพลันเมื่อปลายเท้าของใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาถึง
สายตาเกลียดชังจากหลากทิศทางกำลังทิ่มแทงมายังกษัตริย์หนุ่ม
ทั้งอย่างนั้นความเกรงกลัวต่ออำนาจอันยิ่งใหญ่ก็ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะปริปากสนทนาด้วย
พลันดวงตาสีเขียวมรกตขององครักษ์จำเป็นที่ตามเข้ามาก็ต้องเบิกกว้างขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก
เมื่อหญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นเจ้าสาวของงานในวันนี้กลับมีแววตาดีใจอย่างเห็นได้ชัด
“ ข้าให้เจ้าเลือกแม่นาง… ”
ปลายนิ้วเรียวชี้ไปยังหญิงสาวผู้โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวในสถานที่แห่งนี้
ราวกับภาพที่เคยเห็นกำลังซ้อนทับกับความเป็นจริง
รอยยิ้มพึงใจยังคงอยู่บนริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มอยู่แบบนั้น
“ เจ้าจะเลือกร่วมหอคืนแรกกับข้าหรือเจ้าบ่าวคนนั้น ”
ประโยคที่น่ารังเกียจเอ่ยขึ้นมาจากผู้มีศักดิ์เป็นนายเหนือหัว
อาเธอเรียเผลอกำดาบข้างตัวของตนแน่น แต่ก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อหญิงคนดังกล่าวดูพอใจที่จะเอ่ยประโยคต่อมานัก
“ ข้าเลือกท่านเจ้าค่ะ
กษัตริย์กิลกาเมซ ”
ไม่มีความลังเลใดอยู่ในคำพูดนั้น
กิลกาเมซจึงถือวิสาสะกอดไหล่ของเจ้าสาวออกมาจากงานโดยไม่ขออนุญาตใคร
เขาส่งร่างบางขึ้นมาบนอาชาตัวเดียวกันกับตนก่อนบังคับพาหนะให้เคลื่อนที่ออกไป
ทั้งยังออกคำสั่งให้องครักษ์ตัวน้อยตามมาไม่ห่าง
ในเวลานี้จิตใจของหญิงสาวเริ่มมีความขุ่นหมองอยู่ภายใน
เธอควรจะเชื่อภาพในนิมิตนั้นให้มากกว่านี้
ก่อนจะเลือกพึ่งพาใครคนหนึ่งด้วยความภักดี
คล้ายคลึงกับเรื่องราวในอดีตไม่มีผิด… ต่อให้การแต่งงานของเธอและเกว็นนีเวียร์จะเป็นเพียงการจัดฉากขึ้นมาเพื่อตบตาประชาชน
อย่างไรก็ตามแลนเซลอตก็ไม่ควรเลือกสร้างบาปกรรมเช่นการลอบเป็นชู้กับหญิงสาวผู้มีสถานะเป็นราชินีอยู่ดี
ระยะทางที่วิ่งมาห่างออกจากสถานที่จัดงานแต่งงานจนลับสายตา
กิลกาเมซบังคับอาชาสีดำไปหยุดริมแม่น้ำที่ทอดยาวกลางทะเลทรายกว้าง
จัดแจงให้หญิงสาวที่เพิ่งไปชิงตัวออกมาลงมายืนที่พื้น
เธอคนนั้นรีบนั่งลงกับพื้นทรายและก้มตัวเคารพ
“ เอาล่ะแม่นาง
ข้าให้เจ้าเลือก เจ้าจะไปกับข้าหรือเลือกอิสระของตัวเอง ”
ประโยคที่กล่าวขึ้นทำให้อาเธอเรียรู้สึกแปลกใจ
ใบหน้าหล่อเหลาในยามนี้เปลี่ยนเป็นความจริงจังจนยากจะคาดเดาอารมณ์ตามได้
แปลก… ไม่ใช่ว่าเขาถือสิทธิ์ว่านางเป็นสนมไปแล้วหรือ
“ ข้า… ข้าขอกลับไปใช้ชีวิตกับพ่อของข้าได้หรือไม่เจ้าคะ
” น้ำเสียงของหญิงคนนั้นดูสั่นเครือต่างไปจากท่าทางในงานแต่งงาน
เอนคิดูยกยิ้มขำยามที่เห็นใบหน้าสับสนของอาเธอเรีย
“
ข้าไม่ได้ต้องการการแต่งงานนี้เจ้าค่ะ พ่อที่พิการของข้าต้องการคนดูแล ”
หญิงผู้นั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับกษัตริย์หนุ่มราวกับเกรงกลัวในอำนาจของเขานัก
สิ่งที่กิลกาเมซทำเพียงแค่ยืนมองร่างนั้นอย่างเงียบๆ
สีหน้าที่ยากจะคาดเดาทำให้ผู้มองเหตุการณ์ทุกอย่างรู้สึกหวั่นใจไม่น้อย
เขาจะโกรธหญิงคนนั้นและสั่งลงโทษนางหรือไม่
“ ก็แล้วแต่เจ้าสิ
ต่อให้เจ้าจะเลือกไปกับข้า ข้าคงต้องปฏิเสธอยู่ดี ”
ชั่วครู่เดียวทั้งร่างของอาเธอเรียก็ถูกคว้าไปอยู่ในอ้อมแขนของคนตัวสูงกว่าอย่างไม่ทันตั้งตัว
“
ข้ามีผู้หญิงคนนี้อยู่แล้วนี่นะ ”
“ ท่าน! ”
กิลกาเมซยกยิ้มขำยามเห็นเจ้าของใบหน้างดงามมีท่าทีสับสน
ทั้งมือเล็กยังพยายามดันร่างของเขาให้ห่างออกไปเป็นการประท้วง
“ แต่วางใจเถอะ
เจ้าจะได้รับการคุ้มครองจากข้าในฐานะสนม
ชายผู้นั้นจะไม่มีวันมายุ่มย่ามกับเจ้าได้อีก ”
เขาไม่ได้คลายอ้อมกอดนั้นลง แรงของเด็กสาวไม่อาจสู้คนที่ตัวใหญ่กว่าได้
อาเธอเรียลดการต่อต้านลงเมื่อเห็นว่าคู่สนทนาของกิลกาเมซมีท่าทีเปลี่ยนไป
เธอเอาแต่ก้มหัวเคารพผู้ชายผมทองคนนี้ซ้ำๆ ก่อนขออนุญาตปลีกตัวออกไป
“ ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ
ข้าไม่รู้จะขอบคุณท่านอย่างไรดี ”
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่คนตัวเล็กจะอนุญาตให้ชายมือไวคนนี้โอบกอดเธอต่อไปได้อยู่ดี
“ ท่าน ปล่อยข้าก่อน ”
ใช้แรงที่มีผลักร่างที่ใหญ่กว่าออกไปอีกครั้ง
แม้ใบหน้าหล่อเหลานั้นจะกำลังระบายยิ้มพอใจแต่ก็ยอมปล่อยมือออกจากไหล่บอบบางของเธอแต่โดยดี
“
ท่านช่วยหญิงสาวจากงานแต่งงานเช่นนี้บ่อยงั้นหรือ ”
เสียงหวานเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าขณะจัดอานม้าให้เข้าที่
เตรียมตัวจะออกเดินทางเพื่อกลับสู่พระราชวังอีกครั้ง
“ ก็นะ
ข้าไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่ ”
“
หญิงสาวส่วนใหญ่ก็ถูกใจข้าและตามกลับไปด้วยทั้งนั้น ”
และเพราะประโยคที่สามารถเรียกสีหน้าเหม็นเบื่อได้จากอาเธอเรีย
เอนคิดูก็ยังอดขำยามที่คนทั้งคู่ได้สนทนากันทุกเมื่อไม่ได้อยู่ดี
“
ฝ่ายเจ้าบ่าวโกรธแค้นเขามาก จึงได้ขอพรเทพเจ้าให้ข้าลงมาปราบเขาอย่างไรล่ะ
แต่จะให้ข้าทำเช่นนั้นได้อย่างไรกันล่ะ ”
สุดท้ายแล้วนิมิตนั้นก็ไม่ได้แสดงความจริงทั้งหมด
ในเรื่องราวที่เด็กสาวเคยฝันถึงเกี่ยวกับกษัตริย์หนุ่มผู้นี้มีเบื้องหลังที่ยังไม่รู้อีกตั้งมากมาย
เขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเช่นนั้นสินะ…
ตามมหากาพย์กิลกาเมซแล้ว ประวัติเรื่องไปขอเจ้าสาวคนอื่นร่วมหอคืนแรกโด่งดังมากทีเดียวค่ะ
มาคิดๆดู ฟิคเรื่องนี้แทบจะไม่ได้อิงเนื้อเรื่องใดๆ ในซีรี่ย์ Fate เลย
ถ้ายังไงไรเตอร์จะค่อนข้างอิงไปทางประวัติศาสตร์มากกว่านะคะ
ทำเหมือนว่าพวกเขาทั้งคู่ยังไม่เคยพบเจอกันมาก่อนเลยค่ะ
ทีแรกพิจารณาอยู่ว่าจะเพิ่มความยาวของเนื้อหาแต่ละตอนดีไหมนะ
แต่ถ้าเพิ่ม ไรเตอร์ก็จะแต่งช้าลง และอาจจะเข้ามาอัพทุกวันไม่ได้
เพราะงั้นก็เลยจะแต่งด้วยความยาวประมาณนี้ต่อไปนะคะ;-;
แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ
ความคิดเห็น