NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #16 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 5

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 65



    แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)

     







     

                 ตั้งแต่ดึงตัวออกมาจากตรงนั้น อาเธอเรียก็ยังไม่หยุดร้องไห้ ยามเห็นไล่ลาดทั้งสองข้างกำลังสั่นระริกแล้วกิลกาเมซยิ่งรู้สึกราวกับกล้ามเนื้อใต้อกกำลังถูกบีบรัด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตนจึงรู้สึกเช่นนั้น

     

    “ หมอนั่นทำอะไรเจ้า ” ดันร่างที่เคยอยู่ในอ้อมแขนออกไป ฝ่ามือหนาสัมผัสลงบนไหล่บางทั้งสองข้างอย่างอ่อนโยน เด็กสาวรีบยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ กลั้นก้อนสะอื้นลงไปในคอ ก่อนส่ายศีรษะเบาๆ เป็นคำตอบ

     

    ไม่ควรจะแสดงท่าทางอ่อนแอแบบนี้ต่อหน้าผู้ใดเลย… แต่ก่อนเธอเคยร้องไห้ง่ายเช่นนี้ไหมนะ

     

    “ ข้าขออภัย มันเป็นเรื่องราวในอดีตของข้า ”

     

    “ ในฐานะองครักษ์ข้าไม่ควรแสดงความอ่อนแอเช่นนี้ ”

     

             ดวงตากลมโตคู่สวยในเวลานี้กลับบวมเปล่ง สีหน้าที่เคยสดใสขึ้นมาได้กลับไปเศร้าสร้อยอีกครา แม้กิลกาเมซจะอยากซักถามว่าอดีตมีเรื่องราวเป็นอย่างไร แต่เขาก็ไม่เอ่ยปาก เพียงวางฝ่ามือลงบนกลุ่มผมสีบลอนด์ของอีกฝ่าย ทั้งออกแรงขยี้เบาๆ

     

    “ ไม่ว่าใครก็สามารถอ่อนแอได้ทั้งนั้นสาวน้อย เป็นสัจธรรมของโลกนี่นะ ”

     

             ต่อให้แข็งแกร่งทัดเทียมฟ้าจนไม่อาจมีผู้ใดต่อกรได้ คนผู้นั้นก็ต้องถือครองความอ่อนแอไว้กับตนสักเรื่องอยู่ดี

     

             อาเธอเรียไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองกษัตริย์แห่งอุรุค ความอบอุ่นจากฝ่ามือทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น ร่างเล็กไม่ได้เอ่ยปากบ่นเรื่องเส้นผมที่เริ่มจะพันกันยุ่งเหยิง คำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในความคิดราวกับประหลาดใจนัก

     

    เหตุใดชายผู้นี้จึงอ่อนโยนกับเธอนัก จนทำให้เผลอลืมภาพชายผู้มักมากในกามไปชั่วขณะ

     

    “ เจ้ากับชายผู้นั้นมีชะตาผูกพันกัน แม้ข้าจะบอกไม่ได้ว่าในแง่ใด แต่มันพันกันยุ่งเหยิงไปหมดเลยทีเดียว ”

     

             เป็นเสียงของเอนคิดูที่กล่าวขึ้นหลังปรากฏตัวขึ้นมาไม่นาน ดวงตาสีเดียวกันกับผมมองคนที่เคยร้องไห้ด้วยสายตาที่ยากจะแปลความหมาย แต่เดิมแล้วเทพมีความสามารถล่วงรู้ชะตากรรมของมนุษย์ได้ มากน้อยต่างกันตามพลังที่พวกเขาเหล่านั้นถือครอง แม้เอนคิดูจะไม่ได้มีพลังมากมายนักแต่ก็รับรู้ถึงสิ่งนั้นได้เช่นกัน

     

             กิลกาเมซมองหน้าสหายก่อนชี้นิ้วสลับใบหน้าตนกับเด็กสาวตรงหน้า ราวกับต้องการถามเจ้าของผมสีเขียวด้วยประโยค ‘ข้าล่ะๆ แต่ก็โดนคนตัวเล็กกว่าเมินไปเสียก่อน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของอาเธอเรีย หากแต่เป็นรอยยิ้มที่เจือไปด้วยความเจ็บปวด

     

    “ ชายผู้นั้นมีใบหน้าเหมือนกับคนที่สังหารข้าไม่มีผิด ”

     

    “เขาเป็นหนึ่งในอัศวินที่ข้าเคยไว้ใจมากที่สุด เพียงแต่ในที่แห่งนี้เขาไม่ใช่คนๆ เดียวกัน ”

     

            แม้ใบหน้าของชายคนนั้นจะเหมือนกับแลนเซลอตราวกับเป็นคนเดียวกัน แต่สังหรณ์ใจบางอย่างบอกเธอว่าไม่ใช่ อาเธอเรียรู้จักชายที่เติบโตขึ้นมาด้วยกันดี แลนเซลอตเป็นชายกล้าได้กล้าเสีย เขามุทะลุและต้องการเอาชนะทุกสิ่งอย่าง ทั้งสถานที่แห่งนี้ที่เธอไม่รู้จัก และไม่มีผู้ใดรู้จักอาณาจักรบริทาเนีย คงเป็นความเป็นไปได้ที่จะมีผู้คนที่หน้าตาคล้ายคลึงกัน

     

    และเป็นความจริงว่าเธอยังไม่ตาย หากไม่ได้กษัตริย์หนุ่มผู้นั้นช่วยเหลือไว้ก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้

     

    “ ข้าไม่น่าปล่อยเจ้าคลาดสายตา ชั่วครู่เดียวก็ก่อเรื่องเสียแล้ว ” แรงผลักเบาๆ จากฝ่ามือใหญ่ทำให้เด็กสาวขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงง เธอยกมือขึ้นมาจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของตนอย่างไม่เข้าใจนัก

     

    “ จำที่ข้าเตือนไม่ได้หรือ หากเจ้าไปเจอเข้ากับแม่ทัพมักมากในกามจะทำเช่นไร ” ใบหน้าของกิลกาเมซแสดงอารมณ์ราวกับรำคาญเธอนักหนา

     

    ครั้นได้ยินเขาพูดประโยคนี้ทีไร ราวกับมันย้อนกลับไปเข้าตัวชายหนุ่มทุกครั้งไป

     

    “ ต่อไปนี้หน้าที่องครักษ์คือต้องคอยติดตามข้าอย่างใกล้ชิดเข้าใจไหมสาวน้อย ”

     

     …ข้าเข้าใจแล้ว”

     

    แม้การแสดงออกจะดูตรงกันข้าม แต่อาเธอเรียสามารถเข้าใจความหวังดีที่แฝงไว้ในคำพูดเหล่านั้นได้ดี

     

     

     

     

     

     

             เช้าวันใหม่ของอาเธอเรียถูกรบกวนด้วยเสียงเรียกจากทาสคนหนึ่งในวัง มีคำสั่งสูงสุดจากกษัตริย์หนุ่มให้เข้าเฝ้าในท้องพระโรงตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังขึ้นมาไม่พ้นขอบฟ้า ปลายเท้าทั้งคู่เดินตรงไปตามทางยาวของโถงกว้างได้พักหนึ่ง ร่างโปร่งแสงของใครอีกคนก็เดินเข้ามาสมทบพร้อมรอยยิ้มสดใส

     

    “ วันนี้เราจะทำเรื่องสนุกกันล่ะอาเธอเรีย ”

     

             เธอไม่เข้าใจคำพูดนั้นของเอนคิดู ใบหน้างดงามของเด็กหนุ่มเอาแต่ยกยิ้มและฮึมฮัมเพลงอยู่ในลำคอ ครั้นเมื่อพาตัวเองมาหยุดยังท้องพระโรงอันกว้างขวาง บนบัลลังก์สีทองอร่ามก็มีร่างของกษัตริย์หนุ่มนั่งอยู่แล้ว ซ้ำยังรายล้อมไปด้วยหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น มือหนาไล้ไปตามร่างอวบอิ่มของหญิงคนหนึ่งอย่างถือวิสาสะ หญิงอีกคนก็โน้มตัวเข้ามาบดเบียดกายของเธอกับแขนแกร่งอย่างเย้ายวน

     

    “ ถ้าเป็นเรื่องนี้ข้าขอปฏิเสธนะท่านเอนคิดู ” ภาพอุจาดตาอะไรกัน เด็กสาวทำได้เพียงเบนสายตาคู่สวยออกไปด้านข้างอย่างทำอะไรไม่ถูก เรียกเสียงหัวเราะจากคู่สนทนาได้อย่างไม่เบานัก

     

    “ ฮะฮะ ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่เรื่องนี้หรอกนะ ”

     

    เพราะเสียงหัวเราะของเอนคิดูเรียกให้ดวงตาสีโกเมนทร์เลื่อนมาจับจ้องยังใบหน้าของผู้มาใหม่

     

    “ มาพอดีเลย วันนี้เจ้าจะต้องติดตามข้าไปในฐานะองครักษ์ ข้าอยากจะเข้าไปในเมืองเสียหน่อย ” มือหนาตวัดไล่เพียงครั้งเดียว เหล่าสตรีที่เคยยืนนัวเนียอยู่ก็ผละออกไปอย่างว่าง่าย รอยยิ้มพอใจปรากฏบนใบหน้าคมคายยามได้ทอดมองใบหน้างดงามของเด็กสาวตรงหน้า

     

    “ ไปทำลายงานแต่งอย่างไรล่ะ ”

     

     

     

     

     

     

             ภาพเหล่านั้นยังฉายชัดในความทรงจำก่อนตื่นขึ้นมา ชายคนนี้มักเรียกร้องสิทธิ์ในการร่วมเรือนหอคืนแรกกับหญิงสาวที่กำลังจะแต่งงาน ราวกับนิมิตนั้นได้บอกเล่าเรื่องราวที่เธอกำลังจะได้พบเห็นเมื่อมาถึงอาณาจักรแห่งนี้ ในยุคที่ชายเห็นพรหมจรรย์ของหญิงสาวเป็นสิ่งมีค่า เจ้าบ่าวคนใดจะยอมรับความจริงข้อนั้นได้กัน อาเธอเรียไม่คิดว่าเหตุการณ์นั้นจะมาถึงเร็วกว่าที่คิด

     

    “ หน้าบึ้งเชียวนะอาเธอเรีย มาเถอะ แล้วเจ้าจะได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจ ”

     

             เป็นอีกครั้งที่เสียงของเอนคิดูเรียกเด็กสาวออกจากภวังค์ ร่างบางยังคงไม่ลงจากอาชาสีน้ำตาลที่ผู้ร่วมทางต่างก็ไม่สงสัยว่าเธอสามารถบังคับมันได้อย่างไร ใบหน้าหวานมักจะแสดงสีหน้าบูดบึ้งต่อหน้ากิลกาเมซผู้เดียวเท่านั้น เอนคิดูไม่แน่ใจว่านั่นเป็นความสามารถพิเศษของชายคนนั้นหรือเปล่า ถึงได้ยั่วโมโหหญิงที่ดูจะใจเย็นเป็นน้ำเช่นนี้ได้ทุกครั้งไป

     

             ราชาหนุ่มทิ้งอาชาสีดำไว้ด้านหลัง ใบหน้าหล่อเหลากำลังยกยิ้มพอใจราวกับมีเรื่องสนุกรออยู่ข้างหน้า เสียงฮึมฮัมในลำคอยิ่งทำให้อาเธอเรียรู้สึกไม่ชอบใจ เธอไม่อาจทำความเข้าใจกับระบบความคิดของสองสหายคู่นี้ได้เลย สองร่างนั้นกำลังตรงเข้าไปยังสิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนกับบ้านหลังใหญ่ ภายในตกแต่งด้วยดอกไม้ และผู้คนมากมายกำลังแต่งตัวด้วยชุดสวยงาม ปลายเท้าทั้งคู่ตัดสินใจก้าวลงจากม้า ก่อนสับขาเร็วๆ ตามไปอย่างหมดทางเลือก

     

             บรรยากาศของงานที่เคยครึกครื้นเงียบสงัดลงฉับพลันเมื่อปลายเท้าของใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาถึง สายตาเกลียดชังจากหลากทิศทางกำลังทิ่มแทงมายังกษัตริย์หนุ่ม ทั้งอย่างนั้นความเกรงกลัวต่ออำนาจอันยิ่งใหญ่ก็ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะปริปากสนทนาด้วย พลันดวงตาสีเขียวมรกตขององครักษ์จำเป็นที่ตามเข้ามาก็ต้องเบิกกว้างขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก เมื่อหญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นเจ้าสาวของงานในวันนี้กลับมีแววตาดีใจอย่างเห็นได้ชัด

     

    “ ข้าให้เจ้าเลือกแม่นาง… ” ปลายนิ้วเรียวชี้ไปยังหญิงสาวผู้โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวในสถานที่แห่งนี้ ราวกับภาพที่เคยเห็นกำลังซ้อนทับกับความเป็นจริง รอยยิ้มพึงใจยังคงอยู่บนริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มอยู่แบบนั้น

     

     เจ้าจะเลือกร่วมหอคืนแรกกับข้าหรือเจ้าบ่าวคนนั้น 

     

             ประโยคที่น่ารังเกียจเอ่ยขึ้นมาจากผู้มีศักดิ์เป็นนายเหนือหัว อาเธอเรียเผลอกำดาบข้างตัวของตนแน่น แต่ก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อหญิงคนดังกล่าวดูพอใจที่จะเอ่ยประโยคต่อมานัก

     

    “ ข้าเลือกท่านเจ้าค่ะ กษัตริย์กิลกาเมซ ”

     

             ไม่มีความลังเลใดอยู่ในคำพูดนั้น กิลกาเมซจึงถือวิสาสะกอดไหล่ของเจ้าสาวออกมาจากงานโดยไม่ขออนุญาตใคร เขาส่งร่างบางขึ้นมาบนอาชาตัวเดียวกันกับตนก่อนบังคับพาหนะให้เคลื่อนที่ออกไป ทั้งยังออกคำสั่งให้องครักษ์ตัวน้อยตามมาไม่ห่าง ในเวลานี้จิตใจของหญิงสาวเริ่มมีความขุ่นหมองอยู่ภายใน เธอควรจะเชื่อภาพในนิมิตนั้นให้มากกว่านี้ ก่อนจะเลือกพึ่งพาใครคนหนึ่งด้วยความภักดี

     

             คล้ายคลึงกับเรื่องราวในอดีตไม่มีผิด… ต่อให้การแต่งงานของเธอและเกว็นนีเวียร์จะเป็นเพียงการจัดฉากขึ้นมาเพื่อตบตาประชาชน อย่างไรก็ตามแลนเซลอตก็ไม่ควรเลือกสร้างบาปกรรมเช่นการลอบเป็นชู้กับหญิงสาวผู้มีสถานะเป็นราชินีอยู่ดี

     

             ระยะทางที่วิ่งมาห่างออกจากสถานที่จัดงานแต่งงานจนลับสายตา กิลกาเมซบังคับอาชาสีดำไปหยุดริมแม่น้ำที่ทอดยาวกลางทะเลทรายกว้าง จัดแจงให้หญิงสาวที่เพิ่งไปชิงตัวออกมาลงมายืนที่พื้น เธอคนนั้นรีบนั่งลงกับพื้นทรายและก้มตัวเคารพ

     

    “ เอาล่ะแม่นาง ข้าให้เจ้าเลือก เจ้าจะไปกับข้าหรือเลือกอิสระของตัวเอง ” ประโยคที่กล่าวขึ้นทำให้อาเธอเรียรู้สึกแปลกใจ ใบหน้าหล่อเหลาในยามนี้เปลี่ยนเป็นความจริงจังจนยากจะคาดเดาอารมณ์ตามได้

     

    แปลก… ไม่ใช่ว่าเขาถือสิทธิ์ว่านางเป็นสนมไปแล้วหรือ

     

    “ ข้า… ข้าขอกลับไปใช้ชีวิตกับพ่อของข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ” น้ำเสียงของหญิงคนนั้นดูสั่นเครือต่างไปจากท่าทางในงานแต่งงาน เอนคิดูยกยิ้มขำยามที่เห็นใบหน้าสับสนของอาเธอเรีย

     

    “ ข้าไม่ได้ต้องการการแต่งงานนี้เจ้าค่ะ พ่อที่พิการของข้าต้องการคนดูแล ”

     

             หญิงผู้นั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับกษัตริย์หนุ่มราวกับเกรงกลัวในอำนาจของเขานัก สิ่งที่กิลกาเมซทำเพียงแค่ยืนมองร่างนั้นอย่างเงียบๆ สีหน้าที่ยากจะคาดเดาทำให้ผู้มองเหตุการณ์ทุกอย่างรู้สึกหวั่นใจไม่น้อย เขาจะโกรธหญิงคนนั้นและสั่งลงโทษนางหรือไม่

     

    “ ก็แล้วแต่เจ้าสิ ต่อให้เจ้าจะเลือกไปกับข้า ข้าคงต้องปฏิเสธอยู่ดี ”

     

    ชั่วครู่เดียวทั้งร่างของอาเธอเรียก็ถูกคว้าไปอยู่ในอ้อมแขนของคนตัวสูงกว่าอย่างไม่ทันตั้งตัว

     

    “ ข้ามีผู้หญิงคนนี้อยู่แล้วนี่นะ ”

     

    “ ท่าน” กิลกาเมซยกยิ้มขำยามเห็นเจ้าของใบหน้างดงามมีท่าทีสับสน ทั้งมือเล็กยังพยายามดันร่างของเขาให้ห่างออกไปเป็นการประท้วง

     

    “ แต่วางใจเถอะ เจ้าจะได้รับการคุ้มครองจากข้าในฐานะสนม ชายผู้นั้นจะไม่มีวันมายุ่มย่ามกับเจ้าได้อีก ”

     

             เขาไม่ได้คลายอ้อมกอดนั้นลง แรงของเด็กสาวไม่อาจสู้คนที่ตัวใหญ่กว่าได้ อาเธอเรียลดการต่อต้านลงเมื่อเห็นว่าคู่สนทนาของกิลกาเมซมีท่าทีเปลี่ยนไป เธอเอาแต่ก้มหัวเคารพผู้ชายผมทองคนนี้ซ้ำๆ ก่อนขออนุญาตปลีกตัวออกไป

     

    “ ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้จะขอบคุณท่านอย่างไรดี ”

     

    แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่คนตัวเล็กจะอนุญาตให้ชายมือไวคนนี้โอบกอดเธอต่อไปได้อยู่ดี

     

    “ ท่าน ปล่อยข้าก่อน ” ใช้แรงที่มีผลักร่างที่ใหญ่กว่าออกไปอีกครั้ง แม้ใบหน้าหล่อเหลานั้นจะกำลังระบายยิ้มพอใจแต่ก็ยอมปล่อยมือออกจากไหล่บอบบางของเธอแต่โดยดี

     

    “ ท่านช่วยหญิงสาวจากงานแต่งงานเช่นนี้บ่อยงั้นหรือ ” เสียงหวานเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าขณะจัดอานม้าให้เข้าที่ เตรียมตัวจะออกเดินทางเพื่อกลับสู่พระราชวังอีกครั้ง

     

    “ ก็นะ ข้าไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่ ”

     

    “ หญิงสาวส่วนใหญ่ก็ถูกใจข้าและตามกลับไปด้วยทั้งนั้น ” และเพราะประโยคที่สามารถเรียกสีหน้าเหม็นเบื่อได้จากอาเธอเรีย เอนคิดูก็ยังอดขำยามที่คนทั้งคู่ได้สนทนากันทุกเมื่อไม่ได้อยู่ดี

     

    “ ฝ่ายเจ้าบ่าวโกรธแค้นเขามาก จึงได้ขอพรเทพเจ้าให้ข้าลงมาปราบเขาอย่างไรล่ะ แต่จะให้ข้าทำเช่นนั้นได้อย่างไรกันล่ะ ”

     

             สุดท้ายแล้วนิมิตนั้นก็ไม่ได้แสดงความจริงทั้งหมด ในเรื่องราวที่เด็กสาวเคยฝันถึงเกี่ยวกับกษัตริย์หนุ่มผู้นี้มีเบื้องหลังที่ยังไม่รู้อีกตั้งมากมาย

     

     

    เขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเช่นนั้นสินะ

     

     


     





              


    ตามมหากาพย์กิลกาเมซแล้ว ประวัติเรื่องไปขอเจ้าสาวคนอื่นร่วมหอคืนแรกโด่งดังมากทีเดียวค่ะ
    มาคิดๆดู ฟิคเรื่องนี้แทบจะไม่ได้อิงเนื้อเรื่องใดๆ ในซีรี่ย์ Fate เลย
    ถ้ายังไงไรเตอร์จะค่อนข้างอิงไปทางประวัติศาสตร์มากกว่านะคะ
    ทำเหมือนว่าพวกเขาทั้งคู่ยังไม่เคยพบเจอกันมาก่อนเลยค่ะ

    ทีแรกพิจารณาอยู่ว่าจะเพิ่มความยาวของเนื้อหาแต่ละตอนดีไหมนะ
    แต่ถ้าเพิ่ม ไรเตอร์ก็จะแต่งช้าลง และอาจจะเข้ามาอัพทุกวันไม่ได้
    เพราะงั้นก็เลยจะแต่งด้วยความยาวประมาณนี้ต่อไปนะคะ;-;

    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×