NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #15 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 4

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 65



    แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)

     







     

           ปราสาทของกษัตริย์แห่งนครอุรุคมีพื้นที่กว้างขวางเกินกว่าจะจินตนาการ ทุกสิ่งปลูกสร้างล้วนถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างประณีตราวกับกำลังโอ้อวดความร่ำรวยของผู้ปกครอง ในเวลานี้สถานที่ดังกล่าวครึกครื้นไปด้วยข้าราชบริพารภายในวัง เสียงร้องแสดงความยินดีระงมไปกับเสียงเชียร์จนฟังไม่ได้ความดังขึ้นไม่มีพัก เมื่อวันเวลาที่พวกเขารอคอยของทุกปีได้เวียนมาถึง

     

             เบื้องหน้าคือลานประลองการต่อสู้อันกว้างขวางโอ่อ่า ขอบสนามรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูงและที่นั่งชมเป็นลำดับขั้นบันได มุมด้านหนึ่งที่เป็นทิศตะวันออกถูกตกแต่งอย่างฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น บัลลังก์สีทองตั้งตระหง่านสูงขึ้นไปกว่าสิ่งใดที่ก่อสร้างเอาไว้ และร่างของกษัตริย์หนุ่มที่ประทับอยู่บนนั้น ใบหน้าหล่อเหลาทอดมองบรรยากาศที่กำลังดำเนินต่อไปด้วยสีหน้ายากจะอ่านความรู้สึก รอบข้างคือสาวงามหลายนางกำลังคอยให้ความบันเทิง

     

             ชายหนุ่มหลายคนที่เข้าร่วมการประลองกำลังยืนกระจัดกระจายไปตามลานกว้าง อาวุธในคลังของกิลกาเมซมีมากมายให้เลือกสรร พวกเขาต่างหยิบจับมันขึ้นมาเพื่อมาฟาดฟันคู่ต่อสู้

     

             กฎของงานประลองครานี้ไม่ซับซ้อนนัก ทุกคนมีสิทธิ์ในการต่อสู้เท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งรอบสำหรับการประลอง เพียงแค่สู้ต่อไปจนกว่าผู้เข้าแข่งขันจะหมดไป ผู้ที่สามารถยืนหยัดอยู่เป็นคนสุดท้ายคือผู้ชนะ

     

    ข้อบังคับคือห้ามสังหารเด็ดขาด… เพื่อลดความเสียหายด้านกำลังทหารที่กษัตริย์อุรุคพึงมี

     

             การปรากฏตัวของร่างหนึ่งสร้างเสียงฮือฮาให้ทั้งลานประลอง ความสนใจของผู้คนทั้งหมดเพ่งไปยังร่างปราดเปรียวของคนผู้นั้นที่สวมชุดสีขาวสะอาดตั้งแต่หัวจรดเท้า อาจเพราะต้องการความคล่องตัว ปริมาณเกราะที่สวมใส่จึงมีจำนวนน้อยชิ้นนัก และเหตุนั้นจึงทำให้สามารถมองเห็นรูปร่างได้ชัดเจนว่าเป็นเพียงหญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่งเท่านั้น

     

    ตั้งแต่คำพูดท้าทายวันนั้นก็ผ่านมาร่วมอาทิตย์แล้วสินะ

     

             ในมือข้างหนึ่งถือดาบเล่มบางที่ไม่ได้มีความพิเศษใดๆ ผมสีทองที่เคยยาวปรกบ่ามัดเก็บเอาไว้เรียบร้อยด้านหลัง ทรงผมนี้ทำขึ้นทุกวันเมื่อครั้งยังอยู่ที่บริทาเนีย อาเธอเรียเองก็เคยมีช่วงเวลาที่ต้องประลองและผ่านสงครามมาก่อน เธอใช้ช่วงเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาทบทวนวิชาการต่อสู้ที่ตนเคยมี ร่างกายที่ยังไม่คุ้นชินกับการเคลื่อนไหวสามารถฟื้นฟูกลับมาได้เกือบเต็มประสิทธิภาพ ใบหน้างดงามนั้นไร้ซึ่งความกังวลใดราวกับเตรียมใจมาพร้อมแล้ว

     

    “ พิจารณาดูอีกทีเถิด นางเป็นสตรีนะกิลกาเมซ ”       

     

             เป็นเสียงของสหายผมเขียวที่เอ่ยทักขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย ร่างโปร่งนั้นเดินไปเดินมาด้วยความกังวล เบื้องหน้าคือกษัตริย์กิลกาเมซที่ยังคงนั่งนิ่ง ใบหน้าไร้อารมณ์แบบนั้นของชายหนุ่ม แม้เป็นเอนคิดูก็ไม่สามารถอ่านความรู้สึกได้ เขารู้ดีว่าในพื้นที่นี้ไม่มีผู้ใดมองเห็นร่างตรงหน้านอกจากตนเอง และเจ้าตัวก็ยังตั้งใจทำหูทวนลม

     

    “ อย่าได้คิดเข้าไปช่วยนางเด็ดขาดล่ะเอนคิดู ” เสียงทุ้มออกคำสั่ง แม้ปากจะพูดแบบนั้นแต่กิลกาเมซกลับกำมือที่วางอยู่บนพนักวางแขนแน่น เอนคิดูรู้สึกไม่พอใจนัก ทั้งที่ตัวเองก็ว้าวุ่นใจถึงเพียงนั้นแล้วแท้ๆ

     

    “ ทั้งที่เจ้าก็เป็นห่วงนางมากขนาดนั้นน่ะหรือ ”

     

    ชายคนนี้มีอัตตาสูงเสียดฟ้า จะต้องรอให้มีการสูญเสียเกิดขึ้นก่อนจึงจะหลาบจำหรืออย่างไร

     

             ไม่เคยมีสตรีเหยียบย่างเข้ามาในลานประลองแห่งนี้มาก่อนเสียด้วยซ้ำ เมื่อไรก็ตามที่สถานการณ์เริ่มไม่ดีเด็กหนุ่มตัดสินใจว่าจะเข้าไปช่วยอาเธอเรียโดยไม่ฟังคำคัดค้านของราชาทิฐิสูงคนนี้อีกต่อไป เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็น่าจะรู้ว่าเด็กคนนั้นเสียเปรียบด้านปัจจัยกายภาพแทบจะทุกอย่าง

     

             ระฆังบานใหญ่แผดเสียงดังลั่นยามที่ไม้ได้สัมผัสลงไป สัญญาณแห่งการประลองเริ่มต้นขึ้น และไม่ได้ผิดไปจากที่คาดนัก คนตัวเล็กที่สุดตกเป็นเป้าหมายของนักรบคนอื่นที่ล้วนแล้วแต่เป็นชายฉกรรจ์โดยหมดสิ้น

     

             กายบอบบางทว่าปราดเปรียวเบี่ยงตัวหลบอาวุธที่หมายเข้ามาทำร้ายอย่างคล่องตัว ดาบเล็กที่เคยหยิบมากระเด็นหลุดจากมือยามที่ไม่อาจต้านทานอาวุธที่หนักกว่าได้ ดวงตาสีโลหิตของผู้มีตำแหน่งสูงสุดยังคงจ้องมองร่างนั้นอย่างไม่ละสายตา ปริมาณนักรบในสนามประลองทยอยลดลงทีละน้อย การปะทะระหว่างชายชาติทหารไม่ได้ให้ความสนใจแก่ราชาผู้มากด้วยเล่ห์คนนั้นเลยแม้แต่นิด

     

             อาเธอเรียยังคงหยัดยืนอยู่ในสนามแม้จำนวนคนจะเริ่มเหลือน้อย ร่างเล็กอาศัยประสบการณ์ที่เคยมี แม้ไม่ต้องมีพละกำลังมหาศาล เพียงขัดขาเบาๆ ร่างที่ใหญ่โตกว่าก็สะดุดลงไปล้มหมดท่าที่พื้น ปลายเท้าทั้งคู่ส่งร่างเข้าไปหยิบอาวุธที่วางนอนกับพื้นเข้ามาอยู่ในมือ ในอดีตมันเคยเป็นของนักรบที่หมดสภาพไปแล้ว หยิบฉวยศาสตราวุธใดมาก็สามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเชี่ยวชาญทุกชิ้นที่ได้สัมผัส

     

             เสียงฮือฮาดังระงมไปทั่วพื้นที่ ยามที่นักรบในลานประลองต่างก็เหลือเพียงสองคนที่ยืนประจันหน้ากันอยู่เท่านั้น คนหนึ่งเป็นชายกำยำร่างใหญ่ผู้ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งนักแห่งนครอุรุค ส่วนอีกคนเป็นเพียงเด็กสาวในชุดสีขาว ที่ในเวลานี้มันเปรอะเปื้อนด้วยทั้งโคลนและหยาดโลหิต

     

    เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะสู้กับชายที่ตัวใหญ่กว่ามากๆ ได้อย่างไร

     

    เมื่อไรก็ตามที่กำลังยังไม่อาจต้านทานไหว พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าถือครองจะเป็นประโยชน์มากเชียวล่ะ

     

             เสียงนุ่มทุ้มของเมอร์ลินที่เคยเอ่ยสนทนากลับมาดังก้องในห้วงความคิดอีกครั้ง ดวงตาสีมรกตทอดมองภาพตรงหน้าอย่างพิจารณา ชายคนนั้นมีขนาดตัวที่ต่างกันเกินไป ด้วยมวลกล้ามเนื้อมากเช่นนั้นคงยากที่จะวัดด้วยกำลัง แต่ในเมื่อกฎไม่ได้ห้ามเอาไว้… ก็ขอใช้วิธีลัดที่ดูจะแกมโกงนี่สักหน่อย

     

    พลังศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย… จงต้องรับข้าผู้เป็นราชันย์แห่งอัศวิน

     

    ข้าขอแค่นิดเดียวเท่านั้น

     

             ราวกับมีสายลมปริศนาพัดเข้ามาท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ การเคลื่อนไหวของร่างเล็กเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ความเร็วในการจู่โจมมากขึ้นจนอีกฝ่ายยากจะตอบสนอง กายบอบบางเคลื่อนหลบก่อนที่การโจมตีจะมาถึงราวกับอ่านการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามออก

     

             นักรบทุกคนจะมีสิ่งที่เรียกว่าสมดุลของการต่อสู้ และเมื่อไรก็ตามที่สมดุลดังกล่าวถูกรบกวนให้เอนเอียงไปด้านข้าง แม้คู่ต่อสู้จะมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่ามาก เขาคนนั้นก็สามารถล้มลงที่พื้นได้อย่างหมดสภาพเช่นเดียวกัน ชายร่างกำยำเจ็บไปทั้งแผ่นหลังเมื่อทั้งร่างล้มลงสัมผัสพื้น ลมหายใจพาลสะดุดเฮือกเมื่อปลายดาบของเด็กสาวจ่ออยู่ที่คอหอย หากใช้แรงสักเล็กน้อยก็สามารถปลิดชีพเขาได้แล้ว

     

             ดวงตาคู่สวยทอดมองไปยังบัลลังก์ที่อยู่ไกลจนเกือบสุดสายตา ไหล่บอบบางหอบโยนเนื่องจากการประลองที่กินเวลานานสร้างภาระทางร่างกายให้ไม่น้อยเช่นกัน เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังขึ้นกึกก้องเมื่อผลการประลองได้สิ้นสุดลง เกิดความสงสัยไปทั่วพื้นที่ว่าหญิงสาวคนดังกล่าวคือผู้ใด เหตุใดความสามารถด้านการต่อสู้ของคนตัวเล็กแค่นั้นจึงเหนือกว่าทหารมากฝีมือของอาณาจักร

     

         ผู้ปกครองแห่งอุรุคที่มองดูเหตุการณ์ทุกอย่างมาตั้งแต่ต้นเหยียดยิ้ม ทั้งที่เผลอเป็นห่วงตั้งมากมาย แต่ความสามารถของเธอคนนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก

     

    “ ตั้งแต่วันนี้ไปนางคือองครักษ์ส่วนตัวของข้า ” เขาประกาศกร้าวไปทั่วลานประลอง เกิดความไหววูบในแววตาสีมรกตเล็กน้อย

     

    เพียงทีละนิดเท่านั้น… อาเธอเรียคิดว่าอย่างน้อยตัวเธอก็ถูกยอมรับในฐานะสตรีแล้ว

     

     

     

     

     

     

    เพียงเท่านี้ก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะพึ่งพาชายผู้นั้นได้โดยไม่รู้สึกผิด

     

             ยามที่อาเธอเรียได้สนทนากับราชาผู้นั้น ต่อให้ตอนนั้นเจ้าตัวจะสวมชุดประลองที่เปื้อนทั้งโคลนและโลหิต เหล่าหญิงสาวที่รายล้อมกายเขาต่างก็มองกลับมาด้วยสายตาเกลียดชัง ในสถานะที่เคยเป็นกษัตริย์เช่นเดียวกันเธอรู้เหตุผลของสตรีเหล่านั้นดี เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงต้องมาตกอยู่ในวงริษยาของคนเหล่านั้น

     

    อยู่กับคนมักมากในกามแล้วช่างลำบากเสียจริง

     

             กายบอบบางเดินเชื่องช้าไปตามโถงทางเดินในยามเย็นที่ไร้ภารกิจใดๆ ทอดสายตามองร่างของตัวเองในกระจก ภาพที่สะท้อนกลับมาเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กคนหนึ่ง กำลังสวมกระโปรงพริ้วไหวที่เพิ่งได้มาจากทาสในวัง

     

    แปลกตาชะมัด

     

             ในอดีตอาเธอเรียทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในชุดเกราะอันหนักอึ้ง ด้วยภาระที่แบกไว้บนบ่าทำให้เธอไม่อาจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าผู้ใด หากแต่ประชาชนและข้าราชบริพารได้รับรู้ จุดจบก็คงไม่พ้นไปจากสิ่งที่เธอเจอมาเท่าไรนัก และสหายที่ไว้ใจคนนั้นกลับเร่งเวลาแห่งความตายให้มาถึงเร็วกว่าที่คิด

     

             ทิ้งร่างลงนั่งกับริมสระน้ำบริเวณส่วนหลังของปราสาท แสงแดดยามอัสดงตกกระทบพื้นน้ำพราวระยับ ณ นครแห่งนี้เธอสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้โดยไม่มีผู้ใดคอยจับผิด นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้เห็นใบหน้าของตนสะท้อนกับผิวน้ำกลับมาแบบนี้

     

    ที่นี่ข้าสามารถเป็นสตรีได้แล้วใช่หรือไม่

     

    “ หญิงสาวคนนั้น… เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดห้วงความคิดเหล่านั้น ไหล่เล็กสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนหันซ้ายหันขวามองหาเสียงของใครคนหนึ่งที่ราวกับเคยได้ยินที่ใดมาก่อน

     

             พลันดวงตาดลมโตคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องราวกับถูกริบลมหายใจออกไปตีขึ้นมาอย่างกะทันหัน บาดแผลบริเวณหน้าท้องที่เคยมีรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ทั้งร่างกายมันสั่นระริกและแขนขาอ่อนแรงไปทั้งหมด

     

    ความกลัวกำลังเข้าเกาะกุมจิตใจแทบจะทันที

     

    “ ทำไมถึงได้… 

     

             กายสูงชะลูดและมีกล้ามเนื้อสมส่วนเช่นชายชาติทหาร เรือนผมสีดำหากแต่ประกายม่วงยามต้องแสงอาทิตย์ ผิวกายกร้านแดดออกไปทางสีแทนเล็กน้อย สิ่งที่ทำให้ลมหายใจขาดห้วงไปก่อนจะกลายเป็นเสียงหอบหายใจคือใบหน้าคมที่มีดวงตาสีเดียวกันกับเรือนผมนั้น

     

    ทำไมจึงเหมือนเขาคนนั้นทุกอย่างเช่นนี้

     

             ฝ่ามือใหญ่และแข็งแกร่งยื่นเข้ามาสัมผัสบ่าเล็กเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กสาวแปลกไป อาเธอเรียรีบชักมือของตนขึ้นมาปัดออกอย่างไม่เบานัก สร้างความตกใจให้แก่ผู้มาใหม่ไม่น้อย

     

    “ อย่ามาแตะข้านะแลนเซลอต

     

             ชายคนนั้นชะงักไปเมื่อดวงตาคู่สวยคลอไปด้วยน้ำตา ก่อนมันจะไหลลงมาเป็นสายไม่หยุดหย่อน ใบหน้าสวยนั้นแสดงความหวาดกลัวราวกับเขาเป็นผู้มาเอาชีวิตทั้งที่เพิ่งเคยพบหน้ากันครั้งแรก

     

    “ ข้าไม่ใช่แลนเซลอตนะ… 

     

             ชื่อของใครคนหนึ่งที่ไม่คุ้นเคยโดนเอ่ยออกจากริมฝีปากสีระเรื่อของอีกฝ่าย ร่างเล็กกว่าทำเพียงหันหลังให้เขาราวกับไม่ต้องการพบเห็น ชายหนุ่มปล่อยให้บรรยากาศเงียบงันเช่นนั้นอยู่พักใหญ่ ไหล่บอบบางยังคงสั่นระริก เพียงชั่วขณะนั้นก็ราวกับหญิงสาวตรงหน้าจะค่อยๆ ได้สติกลับมา

     

    “ ขออภัยด้วย ท่านมีใบหน้าเหมือนชายที่ข้าเกลียดชังนัก ”

     

    ทั้งร่างกายและใบหน้าเหมือนราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน เหตุใดท่านจึงตามติดข้าไปทุกที่ไม่เว้นแม้แต่ในความฝัน

     

    คำถามเดิมๆ วนซ้ำในห้วงความคิด… เพียงเพราะเป็นสตรีก็มีความผิดแล้วงั้นหรือ

     

    “ ขออภัยที่ไร้เหตุผล แต่ตอนนี้ข้าคงทนเจอหน้าท่านไม่ได้ ” ยกหลังมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่ยังคงไหลออกมาเป็นสาย อาเธอเรียไม่แม้แต่จะหันมาสบตากับผู้มาใหม่ เธอหยัดกายยืนขึ้นเต็มความสูง เตรียมจะสาวเท้าเร็วๆ ออกไปให้พ้นจากตรงนี้

     

    ทำไมจึงรู้สึกเจ็บแผลที่หายไปแล้วได้มากถึงเพียงนี้

     

    “ เดี๋ยวก่อนแม่นาง ข้าเพียงอยากสนทนากับเจ้าเท่านั้น ”

     

             แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่เจ้าของเรือนผมประกายม่วงก็ทำได้เพียงรั้งอีกฝ่ายไว้ด้วยคำพูด ครั้นพยายามยื่นฝ่ามือจะไปคว้าแขนบอบบางนั้นไว้อีกครา ทั้งร่างของเด็กสาวก็เซถลาออกไปอีกทางเพราะแรงดึงจากใครอีกคน

     

             กายสูงโปร่งนั้นสวมใส่เพียงอาภรณ์ด้านล่าง ดวงตาคู่คมทอดมองมาที่เขาราวกับกำลังคาดโทษ เครื่องประดับสีทองทั่วตัวกำลังสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็น ก่อนแขนแกร่งจะโอบร่างของเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่ามาไว้ในอ้อมอกของตน

     

     

     เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาแตะต้องผู้หญิงของข้า 

     

     

     





              


    แลนเซลอตโผล่มาจากไหนอีกเนี่ย ทำไมตามมายันสมัยบาบิโลนอย่างนี้;-;
    ที่จริงฟิคเรื่องนี้เป็นดราม่าแฟนตาซีไม่ใช่แอคชั่นนะคะ แต่ไหงฉากแอคชั่นกินไปครึ่งตอนซะอย่างนั้น
    แถมเต่งเพลินมากอีกต่างหาก หรือมือเรามันจะมาทางนี้แทน555555

    ไม่ค่อยมีฉากสวีทของพระนางเราเลย
    ไรเตอร์อยากจะแก้ปมที่อาเธอเรียพกมาด้วยทีละนิด ที่จริงแล้วอดีตของเธอน่าสงสารมากนะคะ
    ป๋ากิลเขาออกตัวปกป้องตั้งขนาดนี้แล้ว ตอนต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ


    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×