คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 4
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
ปราสาทของกษัตริย์แห่งนครอุรุคมีพื้นที่กว้างขวางเกินกว่าจะจินตนาการ ทุกสิ่งปลูกสร้างล้วนถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างประณีตราวกับกำลังโอ้อวดความร่ำรวยของผู้ปกครอง ในเวลานี้สถานที่ดังกล่าวครึกครื้นไปด้วยข้าราชบริพารภายในวัง เสียงร้องแสดงความยินดีระงมไปกับเสียงเชียร์จนฟังไม่ได้ความดังขึ้นไม่มีพัก เมื่อวันเวลาที่พวกเขารอคอยของทุกปีได้เวียนมาถึง
เบื้องหน้าคือลานประลองการต่อสู้อันกว้างขวางโอ่อ่า
ขอบสนามรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูงและที่นั่งชมเป็นลำดับขั้นบันได
มุมด้านหนึ่งที่เป็นทิศตะวันออกถูกตกแต่งอย่างฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น
บัลลังก์สีทองตั้งตระหง่านสูงขึ้นไปกว่าสิ่งใดที่ก่อสร้างเอาไว้
และร่างของกษัตริย์หนุ่มที่ประทับอยู่บนนั้น
ใบหน้าหล่อเหลาทอดมองบรรยากาศที่กำลังดำเนินต่อไปด้วยสีหน้ายากจะอ่านความรู้สึก
รอบข้างคือสาวงามหลายนางกำลังคอยให้ความบันเทิง
ชายหนุ่มหลายคนที่เข้าร่วมการประลองกำลังยืนกระจัดกระจายไปตามลานกว้าง
อาวุธในคลังของกิลกาเมซมีมากมายให้เลือกสรร
พวกเขาต่างหยิบจับมันขึ้นมาเพื่อมาฟาดฟันคู่ต่อสู้
กฎของงานประลองครานี้ไม่ซับซ้อนนัก ทุกคนมีสิทธิ์ในการต่อสู้เท่าเทียมกัน
ไม่มีการแบ่งรอบสำหรับการประลอง เพียงแค่สู้ต่อไปจนกว่าผู้เข้าแข่งขันจะหมดไป
ผู้ที่สามารถยืนหยัดอยู่เป็นคนสุดท้ายคือผู้ชนะ
ข้อบังคับคือห้ามสังหารเด็ดขาด… เพื่อลดความเสียหายด้านกำลังทหารที่กษัตริย์อุรุคพึงมี
การปรากฏตัวของร่างหนึ่งสร้างเสียงฮือฮาให้ทั้งลานประลอง
ความสนใจของผู้คนทั้งหมดเพ่งไปยังร่างปราดเปรียวของคนผู้นั้นที่สวมชุดสีขาวสะอาดตั้งแต่หัวจรดเท้า
อาจเพราะต้องการความคล่องตัว ปริมาณเกราะที่สวมใส่จึงมีจำนวนน้อยชิ้นนัก
และเหตุนั้นจึงทำให้สามารถมองเห็นรูปร่างได้ชัดเจนว่าเป็นเพียงหญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่งเท่านั้น
ตั้งแต่คำพูดท้าทายวันนั้นก็ผ่านมาร่วมอาทิตย์แล้วสินะ…
ในมือข้างหนึ่งถือดาบเล่มบางที่ไม่ได้มีความพิเศษใดๆ
ผมสีทองที่เคยยาวปรกบ่ามัดเก็บเอาไว้เรียบร้อยด้านหลัง
ทรงผมนี้ทำขึ้นทุกวันเมื่อครั้งยังอยู่ที่บริทาเนีย
อาเธอเรียเองก็เคยมีช่วงเวลาที่ต้องประลองและผ่านสงครามมาก่อน
เธอใช้ช่วงเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาทบทวนวิชาการต่อสู้ที่ตนเคยมี
ร่างกายที่ยังไม่คุ้นชินกับการเคลื่อนไหวสามารถฟื้นฟูกลับมาได้เกือบเต็มประสิทธิภาพ
ใบหน้างดงามนั้นไร้ซึ่งความกังวลใดราวกับเตรียมใจมาพร้อมแล้ว
“ พิจารณาดูอีกทีเถิด
นางเป็นสตรีนะกิลกาเมซ ”
เป็นเสียงของสหายผมเขียวที่เอ่ยทักขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย
ร่างโปร่งนั้นเดินไปเดินมาด้วยความกังวล
เบื้องหน้าคือกษัตริย์กิลกาเมซที่ยังคงนั่งนิ่ง ใบหน้าไร้อารมณ์แบบนั้นของชายหนุ่ม
แม้เป็นเอนคิดูก็ไม่สามารถอ่านความรู้สึกได้
เขารู้ดีว่าในพื้นที่นี้ไม่มีผู้ใดมองเห็นร่างตรงหน้านอกจากตนเอง
และเจ้าตัวก็ยังตั้งใจทำหูทวนลม
“
อย่าได้คิดเข้าไปช่วยนางเด็ดขาดล่ะเอนคิดู ” เสียงทุ้มออกคำสั่ง
แม้ปากจะพูดแบบนั้นแต่กิลกาเมซกลับกำมือที่วางอยู่บนพนักวางแขนแน่น
เอนคิดูรู้สึกไม่พอใจนัก ทั้งที่ตัวเองก็ว้าวุ่นใจถึงเพียงนั้นแล้วแท้ๆ…
“
ทั้งที่เจ้าก็เป็นห่วงนางมากขนาดนั้นน่ะหรือ ”
ชายคนนี้มีอัตตาสูงเสียดฟ้า
จะต้องรอให้มีการสูญเสียเกิดขึ้นก่อนจึงจะหลาบจำหรืออย่างไร
ไม่เคยมีสตรีเหยียบย่างเข้ามาในลานประลองแห่งนี้มาก่อนเสียด้วยซ้ำ
เมื่อไรก็ตามที่สถานการณ์เริ่มไม่ดีเด็กหนุ่มตัดสินใจว่าจะเข้าไปช่วยอาเธอเรียโดยไม่ฟังคำคัดค้านของราชาทิฐิสูงคนนี้อีกต่อไป
เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็น่าจะรู้ว่าเด็กคนนั้นเสียเปรียบด้านปัจจัยกายภาพแทบจะทุกอย่าง
ระฆังบานใหญ่แผดเสียงดังลั่นยามที่ไม้ได้สัมผัสลงไป
สัญญาณแห่งการประลองเริ่มต้นขึ้น และไม่ได้ผิดไปจากที่คาดนัก
คนตัวเล็กที่สุดตกเป็นเป้าหมายของนักรบคนอื่นที่ล้วนแล้วแต่เป็นชายฉกรรจ์โดยหมดสิ้น
กายบอบบางทว่าปราดเปรียวเบี่ยงตัวหลบอาวุธที่หมายเข้ามาทำร้ายอย่างคล่องตัว
ดาบเล็กที่เคยหยิบมากระเด็นหลุดจากมือยามที่ไม่อาจต้านทานอาวุธที่หนักกว่าได้
ดวงตาสีโลหิตของผู้มีตำแหน่งสูงสุดยังคงจ้องมองร่างนั้นอย่างไม่ละสายตา
ปริมาณนักรบในสนามประลองทยอยลดลงทีละน้อย
การปะทะระหว่างชายชาติทหารไม่ได้ให้ความสนใจแก่ราชาผู้มากด้วยเล่ห์คนนั้นเลยแม้แต่นิด
อาเธอเรียยังคงหยัดยืนอยู่ในสนามแม้จำนวนคนจะเริ่มเหลือน้อย
ร่างเล็กอาศัยประสบการณ์ที่เคยมี แม้ไม่ต้องมีพละกำลังมหาศาล เพียงขัดขาเบาๆ
ร่างที่ใหญ่โตกว่าก็สะดุดลงไปล้มหมดท่าที่พื้น
ปลายเท้าทั้งคู่ส่งร่างเข้าไปหยิบอาวุธที่วางนอนกับพื้นเข้ามาอยู่ในมือ
ในอดีตมันเคยเป็นของนักรบที่หมดสภาพไปแล้ว
หยิบฉวยศาสตราวุธใดมาก็สามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเชี่ยวชาญทุกชิ้นที่ได้สัมผัส
เสียงฮือฮาดังระงมไปทั่วพื้นที่
ยามที่นักรบในลานประลองต่างก็เหลือเพียงสองคนที่ยืนประจันหน้ากันอยู่เท่านั้น
คนหนึ่งเป็นชายกำยำร่างใหญ่ผู้ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งนักแห่งนครอุรุค
ส่วนอีกคนเป็นเพียงเด็กสาวในชุดสีขาว
ที่ในเวลานี้มันเปรอะเปื้อนด้วยทั้งโคลนและหยาดโลหิต
‘เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะสู้กับชายที่ตัวใหญ่กว่ามากๆ
ได้อย่างไร’
‘เมื่อไรก็ตามที่กำลังยังไม่อาจต้านทานไหว
พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าถือครองจะเป็นประโยชน์มากเชียวล่ะ’
เสียงนุ่มทุ้มของเมอร์ลินที่เคยเอ่ยสนทนากลับมาดังก้องในห้วงความคิดอีกครั้ง
ดวงตาสีมรกตทอดมองภาพตรงหน้าอย่างพิจารณา ชายคนนั้นมีขนาดตัวที่ต่างกันเกินไป
ด้วยมวลกล้ามเนื้อมากเช่นนั้นคงยากที่จะวัดด้วยกำลัง แต่ในเมื่อกฎไม่ได้ห้ามเอาไว้… ก็ขอใช้วิธีลัดที่ดูจะแกมโกงนี่สักหน่อย
พลังศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย… จงต้องรับข้าผู้เป็นราชันย์แห่งอัศวิน
ข้าขอแค่นิดเดียวเท่านั้น…
ราวกับมีสายลมปริศนาพัดเข้ามาท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ
การเคลื่อนไหวของร่างเล็กเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
ความเร็วในการจู่โจมมากขึ้นจนอีกฝ่ายยากจะตอบสนอง
กายบอบบางเคลื่อนหลบก่อนที่การโจมตีจะมาถึงราวกับอ่านการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามออก
นักรบทุกคนจะมีสิ่งที่เรียกว่าสมดุลของการต่อสู้
และเมื่อไรก็ตามที่สมดุลดังกล่าวถูกรบกวนให้เอนเอียงไปด้านข้าง
แม้คู่ต่อสู้จะมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่ามาก
เขาคนนั้นก็สามารถล้มลงที่พื้นได้อย่างหมดสภาพเช่นเดียวกัน
ชายร่างกำยำเจ็บไปทั้งแผ่นหลังเมื่อทั้งร่างล้มลงสัมผัสพื้น
ลมหายใจพาลสะดุดเฮือกเมื่อปลายดาบของเด็กสาวจ่ออยู่ที่คอหอย
หากใช้แรงสักเล็กน้อยก็สามารถปลิดชีพเขาได้แล้ว
ดวงตาคู่สวยทอดมองไปยังบัลลังก์ที่อยู่ไกลจนเกือบสุดสายตา
ไหล่บอบบางหอบโยนเนื่องจากการประลองที่กินเวลานานสร้างภาระทางร่างกายให้ไม่น้อยเช่นกัน
เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังขึ้นกึกก้องเมื่อผลการประลองได้สิ้นสุดลง
เกิดความสงสัยไปทั่วพื้นที่ว่าหญิงสาวคนดังกล่าวคือผู้ใด
เหตุใดความสามารถด้านการต่อสู้ของคนตัวเล็กแค่นั้นจึงเหนือกว่าทหารมากฝีมือของอาณาจักร
ผู้ปกครองแห่งอุรุคที่มองดูเหตุการณ์ทุกอย่างมาตั้งแต่ต้นเหยียดยิ้ม
ทั้งที่เผลอเป็นห่วงตั้งมากมาย แต่ความสามารถของเธอคนนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก
“
ตั้งแต่วันนี้ไปนางคือองครักษ์ส่วนตัวของข้า ” เขาประกาศกร้าวไปทั่วลานประลอง
เกิดความไหววูบในแววตาสีมรกตเล็กน้อย
เพียงทีละนิดเท่านั้น… อาเธอเรียคิดว่าอย่างน้อยตัวเธอก็ถูกยอมรับในฐานะสตรีแล้ว
เพียงเท่านี้ก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะพึ่งพาชายผู้นั้นได้โดยไม่รู้สึกผิด
ยามที่อาเธอเรียได้สนทนากับราชาผู้นั้น
ต่อให้ตอนนั้นเจ้าตัวจะสวมชุดประลองที่เปื้อนทั้งโคลนและโลหิต
เหล่าหญิงสาวที่รายล้อมกายเขาต่างก็มองกลับมาด้วยสายตาเกลียดชัง
ในสถานะที่เคยเป็นกษัตริย์เช่นเดียวกันเธอรู้เหตุผลของสตรีเหล่านั้นดี
เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงต้องมาตกอยู่ในวงริษยาของคนเหล่านั้น
อยู่กับคนมักมากในกามแล้วช่างลำบากเสียจริง…
กายบอบบางเดินเชื่องช้าไปตามโถงทางเดินในยามเย็นที่ไร้ภารกิจใดๆ
ทอดสายตามองร่างของตัวเองในกระจก
ภาพที่สะท้อนกลับมาเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กคนหนึ่ง
กำลังสวมกระโปรงพริ้วไหวที่เพิ่งได้มาจากทาสในวัง
แปลกตาชะมัด…
ในอดีตอาเธอเรียทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในชุดเกราะอันหนักอึ้ง
ด้วยภาระที่แบกไว้บนบ่าทำให้เธอไม่อาจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าผู้ใด
หากแต่ประชาชนและข้าราชบริพารได้รับรู้
จุดจบก็คงไม่พ้นไปจากสิ่งที่เธอเจอมาเท่าไรนัก
และสหายที่ไว้ใจคนนั้นกลับเร่งเวลาแห่งความตายให้มาถึงเร็วกว่าที่คิด
ทิ้งร่างลงนั่งกับริมสระน้ำบริเวณส่วนหลังของปราสาท
แสงแดดยามอัสดงตกกระทบพื้นน้ำพราวระยับ ณ
นครแห่งนี้เธอสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้โดยไม่มีผู้ใดคอยจับผิด
นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้เห็นใบหน้าของตนสะท้อนกับผิวน้ำกลับมาแบบนี้
ที่นี่ข้าสามารถเป็นสตรีได้แล้วใช่หรือไม่…
“ หญิงสาวคนนั้น… เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดห้วงความคิดเหล่านั้น ไหล่เล็กสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย
ก่อนหันซ้ายหันขวามองหาเสียงของใครคนหนึ่งที่ราวกับเคยได้ยินที่ใดมาก่อน
พลันดวงตาดลมโตคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ
ความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องราวกับถูกริบลมหายใจออกไปตีขึ้นมาอย่างกะทันหัน
บาดแผลบริเวณหน้าท้องที่เคยมีรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ทั้งร่างกายมันสั่นระริกและแขนขาอ่อนแรงไปทั้งหมด
ความกลัวกำลังเข้าเกาะกุมจิตใจแทบจะทันที
“ ทำไมถึงได้… ”
กายสูงชะลูดและมีกล้ามเนื้อสมส่วนเช่นชายชาติทหาร
เรือนผมสีดำหากแต่ประกายม่วงยามต้องแสงอาทิตย์
ผิวกายกร้านแดดออกไปทางสีแทนเล็กน้อย
สิ่งที่ทำให้ลมหายใจขาดห้วงไปก่อนจะกลายเป็นเสียงหอบหายใจคือใบหน้าคมที่มีดวงตาสีเดียวกันกับเรือนผมนั้น
ทำไมจึงเหมือนเขาคนนั้นทุกอย่างเช่นนี้…
ฝ่ามือใหญ่และแข็งแกร่งยื่นเข้ามาสัมผัสบ่าเล็กเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กสาวแปลกไป
อาเธอเรียรีบชักมือของตนขึ้นมาปัดออกอย่างไม่เบานัก
สร้างความตกใจให้แก่ผู้มาใหม่ไม่น้อย
“ อย่ามาแตะข้านะแลนเซลอต! ”
ชายคนนั้นชะงักไปเมื่อดวงตาคู่สวยคลอไปด้วยน้ำตา
ก่อนมันจะไหลลงมาเป็นสายไม่หยุดหย่อน
ใบหน้าสวยนั้นแสดงความหวาดกลัวราวกับเขาเป็นผู้มาเอาชีวิตทั้งที่เพิ่งเคยพบหน้ากันครั้งแรก
“ ข้าไม่ใช่แลนเซลอตนะ… ”
ชื่อของใครคนหนึ่งที่ไม่คุ้นเคยโดนเอ่ยออกจากริมฝีปากสีระเรื่อของอีกฝ่าย
ร่างเล็กกว่าทำเพียงหันหลังให้เขาราวกับไม่ต้องการพบเห็น
ชายหนุ่มปล่อยให้บรรยากาศเงียบงันเช่นนั้นอยู่พักใหญ่ ไหล่บอบบางยังคงสั่นระริก
เพียงชั่วขณะนั้นก็ราวกับหญิงสาวตรงหน้าจะค่อยๆ ได้สติกลับมา
“ ขออภัยด้วย
ท่านมีใบหน้าเหมือนชายที่ข้าเกลียดชังนัก ”
ทั้งร่างกายและใบหน้าเหมือนราวกับเป็นคนๆ
เดียวกัน เหตุใดท่านจึงตามติดข้าไปทุกที่ไม่เว้นแม้แต่ในความฝัน
คำถามเดิมๆ
วนซ้ำในห้วงความคิด… เพียงเพราะเป็นสตรีก็มีความผิดแล้วงั้นหรือ
“ ขออภัยที่ไร้เหตุผล
แต่ตอนนี้ข้าคงทนเจอหน้าท่านไม่ได้ ”
ยกหลังมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่ยังคงไหลออกมาเป็นสาย
อาเธอเรียไม่แม้แต่จะหันมาสบตากับผู้มาใหม่ เธอหยัดกายยืนขึ้นเต็มความสูง
เตรียมจะสาวเท้าเร็วๆ ออกไปให้พ้นจากตรงนี้
ทำไมจึงรู้สึกเจ็บแผลที่หายไปแล้วได้มากถึงเพียงนี้…
“ เดี๋ยวก่อนแม่นาง
ข้าเพียงอยากสนทนากับเจ้าเท่านั้น ”
แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์
แต่เจ้าของเรือนผมประกายม่วงก็ทำได้เพียงรั้งอีกฝ่ายไว้ด้วยคำพูด
ครั้นพยายามยื่นฝ่ามือจะไปคว้าแขนบอบบางนั้นไว้อีกครา
ทั้งร่างของเด็กสาวก็เซถลาออกไปอีกทางเพราะแรงดึงจากใครอีกคน
กายสูงโปร่งนั้นสวมใส่เพียงอาภรณ์ด้านล่าง
ดวงตาคู่คมทอดมองมาที่เขาราวกับกำลังคาดโทษ
เครื่องประดับสีทองทั่วตัวกำลังสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็น
ก่อนแขนแกร่งจะโอบร่างของเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่ามาไว้ในอ้อมอกของตน
“ เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาแตะต้องผู้หญิงของข้า ”
แลนเซลอตโผล่มาจากไหนอีกเนี่ย ทำไมตามมายันสมัยบาบิโลนอย่างนี้;-;
ที่จริงฟิคเรื่องนี้เป็นดราม่าแฟนตาซีไม่ใช่แอคชั่นนะคะ แต่ไหงฉากแอคชั่นกินไปครึ่งตอนซะอย่างนั้น
แถมเต่งเพลินมากอีกต่างหาก หรือมือเรามันจะมาทางนี้แทน555555
ไม่ค่อยมีฉากสวีทของพระนางเราเลย
ไรเตอร์อยากจะแก้ปมที่อาเธอเรียพกมาด้วยทีละนิด ที่จริงแล้วอดีตของเธอน่าสงสารมากนะคะ
ป๋ากิลเขาออกตัวปกป้องตั้งขนาดนี้แล้ว ตอนต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ
ความคิดเห็น