NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #14 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 3

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 65



    แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)

     








     

             กงล้อแห่งโชคชะตาได้เริ่มหมุนไปทีละนิด ว่ากันว่าดวงไฟดวงหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นนั้นมีภารกิจที่ต้องทำตลอดช่วงชีวิต จักรวาลได้แบ่งดวงไฟออกเป็นสองส่วนเพื่อทำภารกิจในชาตินั้นให้เสร็จสิ้น และเมื่อไรก็ตามที่เสี้ยวทั้งสองได้มาพบกัน พวกเขาจะรับรู้ได้ทันทีเพียงแค่สบตา ความผูกพันนั้นมากล้นแม้จะเพิ่งเคยพบกันครั้งแรกก็ตาม

     

             เมื่อโชคชะตาของคนทั้งคู่ได้พันผูกเข้าหากัน เรื่องราวของปาฏิหาริย์ก็ถือกำเนิดขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว เพียงดวงตาสีแดงประกายและเขียวมรกตสบเข้าหากันชั่วครู่เดียว ความรักก็ได้ก่อกำเนิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล อานุภาพของพันธนาการดังกล่าวมากมายถึงขนาดทำให้พวกเขายอมสละชีวิตเพื่ออีกฝ่ายได้เช่นนั้น

     

             ราวกับช่วงเวลาถูกสดับไปชั่วขณะ ดวงตาสีชาดทอดมองหญิงสาวที่เคยหลับใหลมาเนิ่นนานอย่างพิจารณา กายบอบบางนั้นมีผิวขาวละเอียดราวกับไม่ใช่คนในระแวกนี้ ใบหน้าอ่อนเยาว์บ่งบอกว่าเจ้าตัวยังมีอายุไม่ถึงยี่สิบปีเสียด้วยซ้ำ แต่กลับงดงามราวกับเทพธิดา ยามที่ได้จ้องมองดวงตาสีมรกตราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน

     

    “ เจ้าเป็นคนของใครกันสาวน้อย ขอทราบชื่อเสียงเรียงนามได้หรือไม่ ” ใบหน้าคมคายของผู้ถามดูเรียบนิ่งยากจะเดาอารมณ์นัก ท่าทางมีอำนาจทำให้เด็กสาววางตัวไม่ค่อยถูก

     

    “ ข้าชื่ออาเธอเรีย …เพนดราก้อน ”

     

             เสียงหวานของสตรีแผ่วเบาลงในประโยคหลัง ท่าทางไม่ไว้ใจที่อีกฝ่ายแสดงทำให้อาเธอเรียเปลี่ยนความคิด ชายผู้นี้ดูไม่เหมือนกับที่เห็นในฝันเสียทีเดียว เขาดูไม่ได้สนใจในหญิงสาวขนาดนั้น ดวงตาคู่คมจ้องมองเธอราวกับเป็นคนน่าสงสัยนักหนา

     

    “ ใครเป็นคนส่งเจ้ามา คนในเมืองนี้ไม่มีใครมีผมกับตาสีเช่นนี้ ”

     

             กิลกาเมซยกแขนขึ้นมาวางในท่ากอดอก ด้วยสายเลือดมนุษย์แห่งบาบิโลน ผู้คนล้วนแล้วแต่มีเรือนผมและดวงตาสีดำ อย่างมากคงไม่พ้นไปกว่าสีน้ำตาลเท่านั้น จะมีก็เพียงเขาที่ผิดแผกไปจากคนเหล่านั้น เพราะชายหนุ่มมีสายเลือดแห่งเทพเจ้าอยู่ในตัว นั่นจึงบันดาลให้เจ้าตัวมีรูปงามเกินกว่าใครในโลกนี้

     

             สำหรับบ้านเกิดของเด็กสาว พันธุกรรมผมสีทองและดวงตาสีเขียวนับเป็นเรื่องที่ปกตินัก มองไปทางใดก็มีแต่ลักษณะเช่นนี้ทั้งนั้น และไม่ว่าเธอจะมองอย่างไร ชายตรงหน้าที่มีดวงตาสีแดง กับร่างโปร่งแสงที่มีผมสีเขียวสดใสตรงมุมนั้น สิ่งใดคือนิยามคำว่าปกติของชายคนนี้กันนะ

     

    และต่อให้เล่าเรื่องราวของเมอร์ลินที่เป็นพ่อมดไป อย่างไรเสียคนพวกนี้อาจจะไม่เชื่อก็เป็นได้

     

    “ ไม่มีใครส่งข้ามาทั้งนั้น ”

     

    “ ข้ามาจากอาณาจักรบริทาเนีย ท่านรู้จักที่แห่งนั้นหรือไม่ ”

     

             แม้กิลกาเมซจะยังคงขมวดคิ้วราวกับไม่เชื่อ แต่สหายผมเขียวของเขากลับส่ายศีรษะเบาๆ ราวกับต้องการปฏิเสธท่าทางเหล่านั้น

     

    “ นางไม่ได้โกหกหรอกนะ ” ใบหน้างดงามระบายยิ้มบางๆ เจ้าจะต้องตกใจแน่สหายเอ๋ย

     

    “ และนางยังมองเห็นข้าด้วยล่ะ ”

     

    “ จริงหรือไม่สาวน้อย ”

     

             ปฏิกิริยาเป็นไปดังที่คาด ราชาหนุ่มเปลี่ยนความสงสัยเป็นความสนใจแทบจะทันที ท่าทางเม้มปากเข้าหากันและเบี่ยงสายตาหนีของเด็กสาวยิ่งทำให้ร่างสูงแววตาวาวโรจน์ แต่เดิมแล้วเอนคิดูเป็นร่างจำแลงของเทพที่ถูกสร้างขึ้นจากคำภาวนาของชาวเมือง นอกจากผู้มีสายเลือดเทพในกายก็แทบจะไม่มีผู้ใดจะมองเห็นร่างที่แท้จริงของเขาเลยแม้แต่น้อย

     

    แต่เด็กสาวผู้นี้เป็นใครกัน

     

    “ ข้าชื่อกิลกาเมซ เป็นกษัตริย์แห่งนครอุรุคที่เจ้าควรจะเคารพ ”

     

    กษัตริย์งั้นหรือ

     

             ท่าทางของชายผู้นั้นเปลี่ยนไป เขากำลังวางท่ายิ่งใหญ่ราวกับเป็นผู้วิเศษ อาเธอเรียพ่นลมหายใจออกอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่ใช่บริทาเนียแต่เป็นอุรุคที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เธอกำลังสนทนากับผู้เป็นใหญ่ในอาณาจักรแห่งนี้ หญิงสาวไม่รู้ว่ามันไกลจากบ้านเกิดเธอมากเท่าใด แต่เหนื่อยเหลือเกินที่ต้องตั้งรับหลายๆ เรื่องพร้อมกันในเวลาเดียวเช่นนี้

     

    “ ข้าเองก็เป็นกษัตริย์แห่งบริทาเนีย ” แม้จะยังยืนด้วยตนเองไม่ได้ หญิงสาวก็โค้งตัวลงแสดงความเคารพตามมารยาท ท่าทางนอบน้อมและประโยคนั้นทำเอาก้อนหัวเราะหลุดออกมาจากราชาแห่งอุรุคเป็นครั้งแรก

     

    “ เหอะ สตรีเช่นเจ้าน่ะหรือ ”

     

             สตรีใดกันที่จะเป็นกษัตริย์ได้ ยิ่งเห็นหญิงสาวท่าทางบอบบางราวกับเผลอจับแรงนิดหน่อยก็บุบสลายได้ตรงหน้าแล้วยิ่งทำให้ขำขันนัก จริงอยู่ว่าคราแรกที่เธอปรากฏตัวทั้งร่างจะอยู่ในเกราะเหล็กราวกับบุรุษ แต่กิลกาเมซก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราวดังกล่าวมาก่อน

     

    “ ใช่… สตรีเช่นข้านี่แหละ ” ท่าทางที่ตอบรับกลับมาของคนตัวเล็กทำให้ราชาผู้นั้นชะงักไป ใบหน้าสวยเจือไปด้วยความเจ็บปวด ดวงตาคู่สวยที่กำลังหมองลงจ้องมองฝ่ามือทั้งสองข้างที่ยกขึ้นมาในระดับสายตาของตน

     

    “ สุดท้ายพวกเขาก็ไม่เคยยอมรับและวางแผนกำจัดข้า ”

     

    “ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมาอยู่ที่นี่ ”

     

             เหตุใดจึงดูเจ็บปวดราวกับคนจะตายได้ถึงเพียงนั้น… กิลกาเมซมองออกว่าเธอไม่ได้ปั้นแต่งเรื่องขึ้นมา ยิ่งท่าทางยืนยันจากเอนคิดูว่าเป็นเรื่องจริงทำให้ยิ่งมั่นใจ

     

    “ แม่หญิงนางนี้สติฟั่นเฟือนงั้นหรือ ” แต่ปากมันก็พูดออกไปแบบนั้น จะให้เขาเชื่อว่าหญิงสาวตัวแค่นี้เป็นกษัตริย์มันก็ยากเกินไปอยู่ดี คิ้วเรียวของเด็กตรงหน้าขมวดเข้าหากันราวกับขัดใจนัก เป็นปฏิกิริยาแปลกๆ ที่ชายหนุ่มเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก หลังจากที่เธอคงสีหน้าเศร้าสร้อยมาเนิ่นนาน

     

    “ ข้าไม่ได้—! ”

     

    “ เช่นนั้นเจ้ายังจะอยากกลับไปในที่แห่งนั้นอีกงั้นหรือ ”

     

             ประโยคที่ชายหนุ่มพูดขัดขึ้นมาทำให้อาเธอเรียชะงัก จริงอย่างที่เขาพูด ไม่มีเหตุผลใดที่ทำให้เธอต้องกลับไปยังที่ที่จากมา หรือต่อให้กลับไปได้ สิ่งที่คนเหล่านั้นต้องการก็คงไม่พ้นความตายของเธออยู่ดี ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่เป็นที่ต้อนรับ

     

     …ไม่มีที่ใดสำหรับข้าอีกแล้ว ” มิตรภาพที่เคยมีทั้งชีวิตกลับจบสิ้นลงเพียงเพราะความโลภในอำนาจและเสน่หา เพราะบัลลังก์แห่งบริทาเนียมันร้อนรุ่มนัก ผู้คนต่างก็แสวงหาอำนาจสูงสุดของตำแหน่งกษัตริย์ที่เป็นอภิสิทธิ์ชนต่อทุกสิ่ง

     

    ทั้งที่มันไม่เคยเป็นความต้องการของเธอเลยสักนิด

     

             นิ้วเรียวของฝ่ายตรงข้ามสัมผัสเข้ากับปลายคางของเด็กสาว เขายกใบหน้างดงามที่เคยก้มต่ำขึ้นเพื่อพินิจรายละเอียดให้ชัดเจน อาเธอเรียรู้สึกหวั่นใจยามที่เจ้าของใบหน้าคมคายกำลังเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เหมือนกับในนิมิตนั่น

     

    “ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็อยู่กับข้า เป็นภรรยาของข้าสิ  ”

     

    “ ข้าขอปฏิเสธ ” เธอตอบกลับไปแบบไม่ต้องคิด ราวกับถูกตั้งโปรแกรมอัตโนมัติเอาไว้

     

             กิลกาเมซประหลาดใจมาก เขาหัวเราะในลำคออย่างหน้าเสีย ไม่เคยมีหญิงสาวใดในปฐพีที่กล้าปฏิเสธเขามาก่อน ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับเทพเจ้า ไม่เคยมีผู้ใดต้านทานต่อเสน่หานี้ได้ แต่ไม่ใช่กับเด็กสาวคนนี้งั้นหรือ

     

             เอนคิดูแอบหัวเราะขบขันเบาๆ นั่นทำให้กษัตริย์แห่งอุรุครู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ยากจะปฏิเสธว่าร่างเล็กตรงหน้าทำให้เขาถูกใจในรูปลักษณ์อย่างไม่เคยเป็นกับผู้ใดมาก่อน แต่ท่าทางหัวรั้นทั้งที่ใบหน้ายังนิ่งเฉยทำให้เขาอยากจะเอาชนะนัก

     

    “ เช่นนั้นเจ้าก็ทำงานเป็นทาสในวังไปก็แล้วกัน ” ใครๆ ก็ดูออกว่ากษัตริย์กิลกาเมซกำลังงงอนเป็นเด็กน้อย

     

    “ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าใบหน้านั้นของเจ้าจะไปต้องตาเจ้าพวกแม่ทัพมักมากในกามเมื่อใด ”

     

    ชายผู้มักมากในกามนั่นมันท่านมิใช่หรือไง

     

             แม้จะอยากพูดตอบกลับไปเช่นนั้นแต่ก็ทำได้เพียงกลืนคำพูดลงไปในคอ ไม่ว่าจะเป็นที่แห่งใด บุรุษมักเห็นสตรีเป็นเพียงแค่วัตถุทางเพศเท่านั้น เขากล่าวราวกับว่าจะไม่ให้ความช่วยเหลือหากไปต้องตาแม่ทัพเหล่านั้นเข้า ทั้งอย่างนั้นภาพของเหตุการณ์ที่พบเห็นก่อนลืมตาตื่น ชายคนนี้มีหญิงสาวแต่งตัววับๆ แวมๆ ล้อมรอบไม่ขาดสายก็ทำให้เธอรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้เช่นกัน กับชายเจ้าเล่ห์เช่นนี้อาเธอเรียเห็นสมควรว่าไม่ควรไว้วางใจอย่างยิ่ง

     

             เพราะตอนนี้ร่างกายยังไม่ค่อยแข็งแรงดีเท่าไรนัก จนกว่าจะถึงตอนนั้นเธอจะควานหาข่าวสารของเมอร์ลินต่อไป และเมื่อทุกอย่างพร้อมจึงค่อยออกเดินทางไปหาเขา ระหว่างนั้นคงต้องพึ่งพาชายคนนี้ที่มีสถานะเป็นกษัตริย์ของเมืองนี้ไปเสียก่อน

     

    แต่หนทางที่จะพึ่งพาเขาได้ ขอแค่เพียงไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าภรรยาหรืออะไรทำนองนั้น

     

    “ ถ้าเช่นนั้นทหาร ท่านให้ข้าเป็นหนึ่งในกำลังทหารได้หรือไม่ ”

     

    อย่างน้อยนั่นยังเป็นเพียงความสามารถเดียวที่เธอจะสร้างประโยชน์ให้แก่ชายผู้นี้ได้

     

     

     

     

     

     

             ให้ที่พำนัก ยกห้องนอนที่ไม่เคยมีผู้ใดอยู่อาศัยให้ก็แล้ว ทั้งอาหารและสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีให้หมด แต่หญิงสาวกลับปฏิเสธว่าทุกอย่างมันมากเกินไปสำหรับเธอ กิลกาเมซไม่อาจทราบได้เช่นกันว่าเหตุใดตนจึงให้ความช่วยเหลือใครคนหนึ่งได้มากถึงเพียงนี้

     

             อาเธอเรียยืนกรานว่าจะขอเป็นทหารให้ได้ เธอมักจะหาโอกาสที่เขาอยู่คนเดียวเข้ามารบเร้าในสิ่งที่ต้องการ อย่างเช่นในเวลานี้ที่เขาเพิ่งเสร็จกิจจากธุระภายนอกปราสาท เจ้าตัวก็ทำสีหน้าปั้นปึ่งอยู่ตรงหน้าราวกับรู้ว่าเขาจะปฏิเสธเช่นทุกครา

     

            ‘ เจ้าคงสติฟั่นเฟือนไปแล้วจริงๆ ’ เพราะประโยคนั้นจึงได้เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดของเด็กสาวที่เคยเอาแต่ทำหน้าเศร้าสร้อย เขาคิดว่ามันตลกดี แต่ในเวลานี้กิลกาเมซทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ เขาก้มลงมองคนตัวเล็กกว่าอย่างจนปัญญา

     

    “ ข้าให้เจ้าอยู่อย่างสุขสบาย เหตุใดเจ้าจึงไม่ชอบมันกันนะ ”

     

    “ ข้าบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่าข้าเป็นกษัตริย์ ได้รับการฝึกฝนทั้งการต่อสู้และการปกครองบ้านเมืองมาแล้วทั้งนั้น ”

     

    เด็กหัวดื้อ

     

             ไม่คิดว่าหญิงที่ดูสงบเสงี่ยมในวันนั้นจะเป็นคนหัวแข็งได้ถึงเพียงนี้ แม้ปากจะกล่าวไปเมื่อคราวนั้นว่าจะส่งอาเธอเรียไปเป็นทาส แต่กษัตริย์หนุ่มก็ไม่ได้อยากให้เธอกลายเป็นแบบนั้นจริงๆ เสียหน่อย ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะเลือกทางออกที่แปลกประหลาดได้ถึงเพียงนี้

     

    “ เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าตัวเองจะเป็นทหารได้ ” ร่างกายก็ผอมบาง แขนเล็กอย่างกับกิ่งไม้ แค่หายใจแรงๆ ก็ปลิวได้แล้ว

     

    “ เช่นนั้นท่านให้เกียรติประลองดาบกับข้าได้หรือไม่ กษัตริย์กิลกาเมซ ”

     

             อาเธอเรียไม่ชอบที่ใครต่อใครมักดูแคลนว่าสตรีนั้นอ่อนแอ เพราะเป็นสตรีจึงต้องฝึกฝนมากกว่าบุรุษเป็นเท่าตัว ความยากลำบากกว่าจะเป็นอัศวินและขึ้นครองราชย์ในฐานะกษัตริย์ หากไม่ลงมาสัมผัสด้วยตัวเองก็ไม่ควรตัดสินกันเพียงแค่ภายนอก

     

             เห็นสายตาจริงจังของอีกฝ่าย กระตุ้นให้คนตัวสูงระบายยิ้มพอใจ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะโดนผู้หญิงตัวเล็กๆ แค่นี้ท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว

     

     

    “ เช่นนั้นก็ดี… ข้าให้สิทธิ์เจ้าเข้าร่วมงานประลองด้วยก็แล้วกัน ”

     

     

     






              


    ทุกคนเคยได้ยินเรื่องของทวินเฟลมกันไหมคะ
    พอดีไรเตอร์เป็นสายดูดวงเลยได้ยินมาค่อนข้างบ่อยค่ะ555555

    สำหรับอายุของตัวละครในเรื่องนี้จะไม่ตรงกับในอนิเมะนะคะ
    ไรเตอร์กะจะเซ็ตให้อาเธอเรีย ~18 ปี เอนคิดู 16-17 ปี และกิลกาเมซ 24-25 ปีค่ะ
    อยากให้พระเอกของเราดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาซักหน่อย;-;

    ส่วนสาเหตุที่เปลี่ยนการเล่าเรื่อง จากตอนแรกจะเขียนว่าคนทั้งสองอยู่ในยุคเดียวกัน
    พอไปอ่านประวัติศาสตร์แล้วพบว่าเรื่องของป๋ากิลเกิดเมื่อประมาณ 4000 ปีก่อนแล้วค่ะ
    ส่วนคิงอาเธอร์อยู่ที่ประมาณ 200 ปีก่อนค่ะ ห่างกันเป็นโยชน์เลยทีเดียว;-;

    เปิดมาไม่กี่ตอนน้องก็ไปท้าตีกับป๋าซะแล้วค่ะ55555
    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรอย่าลืมติดตามกันต่อนะคะ

    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×