คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 2 **[Update 2/5/22]
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
“ อาเธอเรีย ได้ยินข้าหรือไม่ ”
“ ลืมตาเถิดหนาเด็กน้อย ”
เสียงนั้นช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
นั่นคือเสียงของเมอร์ลินงั้นหรือ…
ความรู้สึกเจ็บที่เคยมีหายไปหมดสิ้น
ราวกับว่าเธอนั้นได้สิ้นชีวิตไปแล้วจริงๆ
เปลือกตาทั้งสองข้างหนักจนเปิดขึ้นได้ยากเย็นเหลือเกิน แสงสว่างที่แยงเข้ามาทำให้ต้องปรับสายตาอยู่หลายครั้ง
ครั้นใบหน้าของคนที่ปรากฏขึ้นมาก็ทำให้เด็กสาวรู้สึกดีใจขึ้นมาได้
“ เมอร์ลิน นั่นท่านหรือ
”
“ อาเธอเรีย
เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นความผิดของข้า ” เสียงทุ้มของเมอร์ลินในเวลานี้มันก้องกังวานราวกับแก้ว
เด็กสาวไม่เข้าใจว่าเหตุใดน้ำเสียงนั้นจึงเศร้าสร้อยถึงเพียงนั้น
ร่างกายที่ควรจะเห็นชัดเจนในเวลานี้กลับโปร่งแสงอย่างน่าประหลาด
“ นับตั้งแต่อดีต
ชะตากรรมของเจ้าพันผูกกับข้ามานานเหลือเกิน ”
“
ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน ” อาเธอเรียไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า
เธอเพิ่งโดนเพื่อนที่ไว้ใจสังหาร และบาดแผลดังกล่าวมันก็เจ็บเสียจนแทบขาดใจ
เพียงแต่สิ่งที่กำลังเห็นตอนนี้คืออะไรกัน ราวกับกำลังฝันไปไม่มีผิด
“
ตอนนี้ข้าไม่อาจไปออกจากที่ที่วิเวียนกักขังข้าเอาไว้ได้ ”
วิเวียนอีกแล้ว…
นั่นคือนามของแม่มดนางนั้นงั้นหรือ
“
จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม… ”
ภาพของเมอร์ลินค่อยๆ จางหายไป
เด็กสาวเห็นเพียงร่างของตนที่ยืนอยู่บนพื้นที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
มันเป็นท้องฟ้าและผืนน้ำที่ไร้ขอบสิ้นสุด ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต
ยิ่งขยับร่างกายเท่าใดก็ยิ่งมีเสียงสะท้อนกลับมาเท่านั้น
“
ที่แห่งนั้นคือที่ที่ชะตาของเจ้าได้พันผูกเอาไว้
จะได้พบกับคนที่รักเจ้าจากใจจริงเสียทีนะ ”
“ เดี๋ยวก่อนเมอร์ลิน
ท่านอย่าเพิ่งไป ”
ราวกับภาพนิมิตดังกล่าวปรากฏขึ้นมาในช่วงเวลาชั่วขณะเท่านั้น
ความเจ็บปวดตีกลับเข้ามาสู่ร่างบอบบางนั้นอีกครั้งราวกับจะขาดใจ
ไร้เสียงที่จะเปล่งออกไปอีกแล้ว พื้นที่กำลังนอนทอดกายมันเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง
เหตุใดท้องฟ้าด้านบนจึงเป็นหมู่ดาวแทนที่จะเป็นทัศนียภาพของปราสาท
หนาวราวกับจะฉีกผิวหนังให้ขาดเป็นชิ้นๆ…
เธอยังหายใจอยู่อีกงั้นหรือ
ร่างกายเปียกปอนไปด้วยโลหิต แม้จะมีลมหายใจแต่อีกไม่นานก็คงต้องตายอยู่ดี
เสียงของความโกลาหลหายไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกของคนใกล้สิ้นชีพหรือไม่
บริเวณนี้มันจึงเงียบสงบนัก ดวงตาสีมรกตที่มัวหมองกำลังปิดลงอย่างเชื่องช้า ภาพสุดท้ายในสายตาคือร่างหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับแสงประกายสีเขียวสว่าง
เขาเป็นใครกันนะ…
เหตุใดจึงให้ความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้
….
..
“
ข้าบอกแล้วว่ามีคนอยู่ตรงนี้จริงๆ มานี่เร็วๆ สิ ”
เสียงนุ่มของใครคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางทะเลทรายอันมืดมิด
อากาศยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าหนาวเหน็บราวกับต้องการจะสดับทุกสิ่งให้หยุดนิ่ง
ปลายเท้าของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาตามเสียงเรียกนั้น
เบื้องหน้าคือร่างปริศนาในชุดเกราะรูปร่างประหลาดตา ซ้ำทั้งร่างนั้นยังอาบไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน
“
สภาพล่อแล่ขนาดนั้นเจ้ายังจะเรียกว่าคนได้อีก ไม่ใช่ว่าเขาตายไปแล้วหรือ ”
เสียงทุ้มกว่าของผู้มาใหม่เอ่ยสนทนา บางครั้งสหายของเขาก็ใจดีไม่ถูกเวล่ำเวลา
แม้ไม่รู้ว่าร่างที่นอนจมกองเลือดนี้มาจากที่ใด
สัญชาตญาณอย่างแรกที่ควรคำนึงถึงคืออาจจะเป็นทหารรับจ้างที่โดนตามล่ามาก็ได้มิใช่หรือ
“ นางยังหายใจอยู่นะ
หากช้ากว่านี้ได้ตายจริงๆ แน่ ”
“
หากเจ้าอยากช่วยขนาดนั้นก็ทำเองเสียสิ ” แม้ปากจะกล่าวเหมือนรำคาญ
แต่ดวงตาสีโกเมนทร์ก็ทอดมองร่างนั้นด้วยความสนใจ
ร่างที่สวมใส่เกราะเหล็กน้ำหนักมากมายถึงเพียงนี้ แต่มี ‘นาง’
อยู่ข้างในงั้นหรือ
“
เจ้าก็รู้ว่าข้าสัมผัสนางไม่ได้ ช่วยหน่อยเถอะน่ากิลกาเมซ ”
อาจเพราะทนการรบเร้าของสหายผมยาวคนนี้ไม่ได้
เจ้าของชื่อจึงได้แต่ยอมทำตามอย่างจนปัญญา
แขนแกร่งปลดเกราะที่ได้รับความเสียหายมาอย่างหนักหน่วงทีละชิ้น ภาพของร่างบอบบางที่นอนหายใจรวยรินอยู่ภายในยิ่งทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจ
สีผมเช่นนั้นไม่เคยพบเห็นมาก่อน
นางเป็นเทพธิดาหรืออย่างไรกัน…
เสียงก่นด่าของคนจำนวนมากมายดังขึ้นมาให้ห้วงความคิด
ระคนกับเสียงสวดภาวนาบางอย่างที่ดังระงมไปทั่วพื้นที่ ลานสายตาตรงหน้าของเธอที่เคยมืดมิดค่อยๆ
ปรากฏแสงสว่างที่ให้ความรู้สึกระคายตา สถานที่และการแต่งกายของผู้คนที่ไม่คุ้นเคย
ถึงอย่างนั้นเธอกลับฟังบทสนทนาต่างๆ ออกราวกับเป็นภาษาบ้านเกิดเมืองนอน
สถานที่แห่งนี้เป็นทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา
สิ่งปลูกสร้างล้วนแล้วแต่ออกแบบมาเป็นรูปทรงเรขาคณิต
ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไปกลายเป็นทางเดินกว้างเข้าไปสู่สถานที่ที่เหมือนกับปราสาท
ในห้องโถงที่ปูพื้นด้วยหินอ่อนวาววับ
มีบัลลังก์สีทองตั้งสูงตระหง่านดึงดูดทุกสายตาให้จับจ้อง
ร่างของชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์อันแสนล้ำค่านั้น
กายสูงโปร่งแต่มีกล้ามเนื้องดงามเช่นคนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ลำตัวที่ไม่สวมเสื้อท่อนบนมีลายสลักสีแดงปรากฏอยู่เต็มหน้าท้องและแผ่นอก
ทั้งเครื่องประดับและสีผมต่างก็เป็นสีทองสว่างราวกับต้องการอวดฐานะของผู้สวมใส่
คนผู้นั้นมักจะมีหญิงนุ่งน้อยห่มน้อยรอบกายอยู่เสมอ
ด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับเทพเจ้า ดึงดูดให้หญิงสาวมาหลงใหลได้ไม่ยากนัก
ภาพของเจ้าของดวงตาสีเดียวกับโลหิตจ้องมองไปยังกลุ่มคนในงานเลี้ยง
ก่อนจะยิ้มพอใจเมื่อตนได้หันปลายนิ้วไปยังหญิงงามนางหนึ่งที่ปรากฏตรงหน้า
ภายหลังจากชิงตัวหญิงนางนั้นออกมาได้
เหล่าคนที่เคยอยู่ในงานสังสรรค์ต่างก็ไม่พอใจ บ้างก็ส่งเสียงก่นด่าสาปแช่ง
หากแต่เกรงกลัวในอำนาจของเทพเจ้าที่ชายผู้นั้นถือครอง
จึงทำได้แค่ภาวนาในเบื้องหลังที่เขาไม่รับรู้แล้วเท่านั้น
วันหนึ่งเทพเจ้าได้ยินเสียงเว้าวอนจากโลกมนุษย์
ความเจ้าเล่ห์และมักมากในกามารมณ์ทำให้เทพเจ้าส่งร่างจำแลงของใครคนหนึ่งลงมาเพื่อจัดการกับราชาร้อยเล่ห์คนนั้น
ภาพที่เห็นเป็นเพียงแสงสีเขียวสว่างที่มีรูปร่างเหมือนกับคนเพียงลางๆ เท่านั้น
เขาเป็นใครกันนะ…
อาเธอเรียไม่เข้าใจว่าเหตุใดเธอจึงต้องมาเห็นเรื่องราวของชายคนดังกล่าวยืดยาวถึงเพียงนี้
เฮือก—!
ความรู้สึกขาดอากาศทำให้ทั้งร่างสะดุ้งขึ้นมาพร้อมดวงตาที่เบิกโพลง
กายบอบบางหอบหายใจแรงราวกับหิวโหยอากาศมากนักหนา ภาพตรงหน้าคือสถานที่ที่ไม่รู้จัก
แต่กลับคุ้นเคยว่าเคยเห็นในฝันก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นมา
แต่แล้วร่างของใครคนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นข้างๆ กันก็ทำให้ตกใจ
“ ตื่นแล้วงั้นหรือ ”
แม้เสียงจะฟังออกว่าเป็นเด็กหนุ่ม แต่ร่างนั้นกลับมีรูปร่างผอมบางนัก
กลุ่มผมที่ยาวสลวยลงไปถึงปลายเท้าระบายสีเขียวสดใส
ใบหน้าอ่อนเยาว์งดงามราวกับว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่มนุษย์
“ ท่านเป็นใครกัน ”
คนแปลกหน้าเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ทำตาโต ก่อนระบายยิ้มดีใจ
“
เจ้ามองเห็นข้าด้วยงั้นหรือ ”
อาเธอเรียสับสนนัก เมื่อพิจารณาดีๆ แล้ว
เด็กหนุ่มคนนี้มีร่างกายโปร่งแสงจนมองทะลุเห็นผนังด้านหลัง อีกทั้งปลายเท้าทั้งคู่ของเขาเองก็กำลังลอยอยู่เหนือพื้น
แม้เด็กสาวจะเคยได้ยินเรื่องราวของวิญญาณมาบ้าง
แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้พบเห็นด้วยตาของตัวเองจริงๆ
หรือว่าที่นี่จะเป็นโลกหลังความตายกันนะ…
“ ที่นี่คือที่ใดงั้นหรือ
” อาเธอเรียเอ่ยถาม สถานที่แห่งนี้แปลกใหม่สำหรับเธอ
ไม่เหมือนกับอาณาจักรบริทาเนียที่เติบโตมา
สิ่งปลูกสร้างทรงเรขาคณิตที่พบเห็นในนิมิตก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นมาปรากฏอยู่ตรงหน้า
ข้าวของเครื่องใช้ที่ล้วนแล้วแต่ทำจากทองคำวางประดับอยู่ตามมุมต่างๆ ของห้อง
“ ข้าชื่อเอนคิดู ส่วนที่นี่คือนครอุรุค ”
“ เจ้าเกือบตายไปแล้ว
แต่สหายของข้าช่วยเอาไว้น่ะ เจ้าหลับไปเป็นแรมเดือนเลยเชียวนะ ”
เด็กคนนี้ดูดีใจที่เธอมองเห็นเขาจนเผลอคุยจ้อออกมาไม่หยุด
ถึงอย่างนั้นความสับสนของคนฟังก็ยังไม่ได้หายไป
ปลายนิ้วเรียวสัมผัสบาดแผลที่เคยมีบริเวณกลางลำตัว ความเจ็บปวดที่เคยมีเริ่มหายไปแล้ว
บาดแผลสมานเข้าหากันเกือบจะหายดี
ยังไม่ตายจริงๆ ด้วยสิ…
แต่ไม่เข้าใจเลย
“ เพราะข้าไม่ใช่มนุษย์จึงรับรู้ได้
ใครบางคนส่งเจ้ามาที่นี่ด้วยพลังมหาศาลน่ะ ” เอนคิดูระบายยิ้มน้อยๆ
ราวกับมีสายลมบางๆ กำลังพัดผ่านใบหน้ายามได้ยินประโยคนั้น ความรู้สึกเศร้าสร้อยเข้าเกาะกุมจิตใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หรือว่าจะเป็นเมอร์ลิน
ทำไมท่านจึงมอบโอกาสให้ข้าได้มีชีวิตต่อในที่แห่งนี้กันนะ
ตอนนี้ท่านอยู่ที่ใดกันแน่…
“
ข้าไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณคราวนี้อย่างไร แต่ข้าไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ”
เมื่อคิดได้ดังนั้น อาเธอเรียจึงรีบหยัดกายขึ้นยืนหวังจะออกไปจากสถานที่แห่งนี้
อาจเพราะร่างกายขาดการเคลื่อนไหวมาเป็นเวลานานขณะนอนพักฟื้น
ร่างบอบบางนั้นยืนได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องเซถลาล้มลงไปบนเตียงนอนอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่เบานัก
“ อย่าเพิ่งลุกขึ้นยืนสิ
เจ้ายังไม่แข็งแรงเลยนะ ”
“ แต่ข้าต้องตามหาเขา
อย่างน้อยต้องตามหาเมอร์ลินให้เจอ ”
ใบหน้าหวานนั้นแสดงความเจ็บปวดเล็กน้อย
เจ็บกายไม่เท่าไรแต่เจ็บใจนักที่เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ดั่งใจ
ท่าทางกำมือแน่นและดวงตาคู่สวยที่เริ่มจะคลอไปด้วยน้ำตาทำเอาเอนคิดูเริ่มทำตัวไม่ถูก
เขาเองก็ไม่เคยมีสหายเป็นหญิงสาวมาก่อนด้วยสิ
บทสนทนาและสถานการณ์ที่วุ่นวายนั้นส่งเสียงดังพอจะเรียกความสนใจจากใครคนหนึ่งได้
ร่างสูงของชายอีกคนสาวเท้าเข้ามาในห้องอย่างเร่งรีบ
ก่อนเสียงทุ้มน่าฟังจะเอ่ยสนทนาด้วย
“
เอะอะอะไรกันหรือพวกเจ้า ”
เขาเป็นชายผู้มีใบหน้าคมคายราวกับไม่ใช่มนุษย์
ดวงตาสีแดงคู่คมทอประกายตัดกับสีผมทองสว่างที่ถูกตัดสั้นระต้นคอ
ผิวกายที่มีสีไข่ไก่ประดับไปด้วยรอยสลักสีแดงตามกล้ามเนื้อหน้าท้องและแผ่นอกสมส่วน
เครื่องแต่งกายที่แม้จะสวมใส่แค่อาภรณ์ด้านล่าง แต่ก็เป็นเนื้อผ้าชั้นดีที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีตสำหรับคนชั้นสูงเท่านั้น
หญิงสาวเจ้าของดวงตาสีมรกตทำได้เพียงเบิกตากว้างด้วยความตกใจยามที่สายตาปะทะเข้ากับผู้มาใหม่
มีแต่เรื่องราวที่ไม่เข้าใจประเดประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อนเสียที
เหตุใดชายผู้นี้จึงได้เหมือนกับชายในนิมิตนั้นราวกับเป็นคนๆ
เดียวกันได้ถึงเพียงนี้
รีไรท์ตอนที่ 2 เสร็จซักทีค่ะ เย้
มาอีกแล้วกับพลอตเรื่องที่คุ้นเคย แง อยากให้ลองอ่านกันดูซักพัก
แล้วจะพบว่าฟิคเรื่องนี้มีอะไรมากกว่าการข้ามมิติแน่นอนค่ะ
** เกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์เล็กน้อย (สามารถข้ามได้นะคะ แปะมาเพื่อทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้น)
▼ ที่จริงแล้วประวัติของกิลกาเมซจะคล้ายคลึงกับที่อาเธอเรียฝันถึงเลยค่ะ มักมากในกามขนาดไปขอสิทธิ์ในการร่วมหอคืนแรกกับผู้หญิงที่กำลังเข้าสู่พิธีแต่งงานบ่อยๆ จนชาวบ้านโกรธแค้นและภาวนาต่อเทพเจ้า เทพเจ้าก็เลยส่งเอนคิดูมาปราบนั่นเองค่ะ
▼ส่วนประวัติของกษัตริย์อาเธอร์ ตามตำนานแล้วเขาเป็นผู้ชายค่ะ พ่อของเขาฝากฝังให้เมอร์ลินที่เป็นพ่อมดเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก หลังจากนั้นเขาก็แต่งงานกับเกว็นนีเวียร์และมีอัศวินโต๊ะกลมเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารบ้านเมืองค่ะ
และหนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมก็คือแลนเซลอต เป็นอัศวินที่คิงอาเธอร์ไว้ใจที่สุดขนาดให้เป็นองครักษ์ของเกว็นนีเวียร์ และภายหลังทั้งคู่ก็ลอบเป็นชู้กันจริงๆค่ะ ตามตำนานกษัตริย์อาเธอร์สั่งประหารราชินีจริง บางตำนานก็ว่าแลนเซลอตมาช่วยไว้ทัน บางตำนานก็ว่าภายหลังแลนเซลอตก็เป็นผู้สังหารคิงอาเธอร์ด้วยตัวเองค่ะ ไรเตอร์ก็เลยเอามายำกันหมดเลยทีเดียว;-;
▼ส่วนประวัติของเมอร์ลิน แม้เขาจะเป็นผู้ดูแลคิงอาเธอร์มาตั้งแต่เด็ก แต่เจ้าตัวก็มีความรักนะคะ เมอร์ลินหลงรักหญิงสาวคนหนึ่งที่ชื่อวิเวียนมากๆ ถึงขนาดสอนวิชาต่างๆให้หมดไส้หมดพุง แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าวิเวียนดันเก่งกว่าเมอร์ลินและทรยศเขาค่ะ สุดท้ายเมอร์ลินก็โดนวิเวียนร่ายคำสาปขังไว้ในหอคอยที่ห่างไกลไว้ตลอดกาลนั่นเองค่ะ น่าสงสารมาก;-;
เนื้อหาตอนหน้าจะเป็นอย่างไร ฝากติดตามกันหน่อยนะคะ
จะอัพต่อเนื่องจนกว่าจะจบเรื่องเลยค่ะ^^
แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ
ความคิดเห็น