NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #13 : ▼ [Fate] Firefly (Gilgamesh x Saber) - Part 2 **[Update 2/5/22]

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 65



    แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)

     









     อาเธอเรีย ได้ยินข้าหรือไม่ ”

     

    “ ลืมตาเถิดหนาเด็กน้อย ”

     

    เสียงนั้นช่างคุ้นเคยเหลือเกิน นั่นคือเสียงของเมอร์ลินงั้นหรือ…

     

              ความรู้สึกเจ็บที่เคยมีหายไปหมดสิ้น ราวกับว่าเธอนั้นได้สิ้นชีวิตไปแล้วจริงๆ เปลือกตาทั้งสองข้างหนักจนเปิดขึ้นได้ยากเย็นเหลือเกิน แสงสว่างที่แยงเข้ามาทำให้ต้องปรับสายตาอยู่หลายครั้ง ครั้นใบหน้าของคนที่ปรากฏขึ้นมาก็ทำให้เด็กสาวรู้สึกดีใจขึ้นมาได้

     

    “ เมอร์ลิน นั่นท่านหรือ ”

     

    “ อาเธอเรีย เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นความผิดของข้า ” เสียงทุ้มของเมอร์ลินในเวลานี้มันก้องกังวานราวกับแก้ว เด็กสาวไม่เข้าใจว่าเหตุใดน้ำเสียงนั้นจึงเศร้าสร้อยถึงเพียงนั้น ร่างกายที่ควรจะเห็นชัดเจนในเวลานี้กลับโปร่งแสงอย่างน่าประหลาด

     

    “ นับตั้งแต่อดีต ชะตากรรมของเจ้าพันผูกกับข้ามานานเหลือเกิน ”

     

    “ ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน ” อาเธอเรียไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า เธอเพิ่งโดนเพื่อนที่ไว้ใจสังหาร และบาดแผลดังกล่าวมันก็เจ็บเสียจนแทบขาดใจ เพียงแต่สิ่งที่กำลังเห็นตอนนี้คืออะไรกัน ราวกับกำลังฝันไปไม่มีผิด

     

    “ ตอนนี้ข้าไม่อาจไปออกจากที่ที่วิเวียนกักขังข้าเอาไว้ได้ ”

     

    วิเวียนอีกแล้ว… นั่นคือนามของแม่มดนางนั้นงั้นหรือ

     

    “ จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม… ”

     

              ภาพของเมอร์ลินค่อยๆ จางหายไป เด็กสาวเห็นเพียงร่างของตนที่ยืนอยู่บนพื้นที่กว้างสุดลูกหูลูกตา มันเป็นท้องฟ้าและผืนน้ำที่ไร้ขอบสิ้นสุด ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต ยิ่งขยับร่างกายเท่าใดก็ยิ่งมีเสียงสะท้อนกลับมาเท่านั้น

     

    “ ที่แห่งนั้นคือที่ที่ชะตาของเจ้าได้พันผูกเอาไว้ จะได้พบกับคนที่รักเจ้าจากใจจริงเสียทีนะ ”

     

    “ เดี๋ยวก่อนเมอร์ลิน ท่านอย่าเพิ่งไป ”

     

              ราวกับภาพนิมิตดังกล่าวปรากฏขึ้นมาในช่วงเวลาชั่วขณะเท่านั้น ความเจ็บปวดตีกลับเข้ามาสู่ร่างบอบบางนั้นอีกครั้งราวกับจะขาดใจ ไร้เสียงที่จะเปล่งออกไปอีกแล้ว พื้นที่กำลังนอนทอดกายมันเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง เหตุใดท้องฟ้าด้านบนจึงเป็นหมู่ดาวแทนที่จะเป็นทัศนียภาพของปราสาท

     

    หนาวราวกับจะฉีกผิวหนังให้ขาดเป็นชิ้นๆ… เธอยังหายใจอยู่อีกงั้นหรือ

     

              ร่างกายเปียกปอนไปด้วยโลหิต แม้จะมีลมหายใจแต่อีกไม่นานก็คงต้องตายอยู่ดี เสียงของความโกลาหลหายไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกของคนใกล้สิ้นชีพหรือไม่ บริเวณนี้มันจึงเงียบสงบนัก ดวงตาสีมรกตที่มัวหมองกำลังปิดลงอย่างเชื่องช้า ภาพสุดท้ายในสายตาคือร่างหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับแสงประกายสีเขียวสว่าง

     

    เขาเป็นใครกันนะ… เหตุใดจึงให้ความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้

     

    ….

     

    ..

     

    “ ข้าบอกแล้วว่ามีคนอยู่ตรงนี้จริงๆ มานี่เร็วๆ สิ ”

     

              เสียงนุ่มของใครคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางทะเลทรายอันมืดมิด อากาศยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าหนาวเหน็บราวกับต้องการจะสดับทุกสิ่งให้หยุดนิ่ง ปลายเท้าของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาตามเสียงเรียกนั้น เบื้องหน้าคือร่างปริศนาในชุดเกราะรูปร่างประหลาดตา ซ้ำทั้งร่างนั้นยังอาบไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน

     

    “ สภาพล่อแล่ขนาดนั้นเจ้ายังจะเรียกว่าคนได้อีก ไม่ใช่ว่าเขาตายไปแล้วหรือ ” เสียงทุ้มกว่าของผู้มาใหม่เอ่ยสนทนา บางครั้งสหายของเขาก็ใจดีไม่ถูกเวล่ำเวลา แม้ไม่รู้ว่าร่างที่นอนจมกองเลือดนี้มาจากที่ใด สัญชาตญาณอย่างแรกที่ควรคำนึงถึงคืออาจจะเป็นทหารรับจ้างที่โดนตามล่ามาก็ได้มิใช่หรือ

     

    “ นางยังหายใจอยู่นะ หากช้ากว่านี้ได้ตายจริงๆ แน่ ”

     

    “ หากเจ้าอยากช่วยขนาดนั้นก็ทำเองเสียสิ ” แม้ปากจะกล่าวเหมือนรำคาญ แต่ดวงตาสีโกเมนทร์ก็ทอดมองร่างนั้นด้วยความสนใจ ร่างที่สวมใส่เกราะเหล็กน้ำหนักมากมายถึงเพียงนี้ แต่มี ‘นาง’ อยู่ข้างในงั้นหรือ

     

    “ เจ้าก็รู้ว่าข้าสัมผัสนางไม่ได้ ช่วยหน่อยเถอะน่ากิลกาเมซ 

     

              อาจเพราะทนการรบเร้าของสหายผมยาวคนนี้ไม่ได้ เจ้าของชื่อจึงได้แต่ยอมทำตามอย่างจนปัญญา แขนแกร่งปลดเกราะที่ได้รับความเสียหายมาอย่างหนักหน่วงทีละชิ้น ภาพของร่างบอบบางที่นอนหายใจรวยรินอยู่ภายในยิ่งทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจ

     

    สีผมเช่นนั้นไม่เคยพบเห็นมาก่อน นางเป็นเทพธิดาหรืออย่างไรกัน…

     

     

     

     

     

     

              เสียงก่นด่าของคนจำนวนมากมายดังขึ้นมาให้ห้วงความคิด ระคนกับเสียงสวดภาวนาบางอย่างที่ดังระงมไปทั่วพื้นที่ ลานสายตาตรงหน้าของเธอที่เคยมืดมิดค่อยๆ ปรากฏแสงสว่างที่ให้ความรู้สึกระคายตา สถานที่และการแต่งกายของผู้คนที่ไม่คุ้นเคย ถึงอย่างนั้นเธอกลับฟังบทสนทนาต่างๆ ออกราวกับเป็นภาษาบ้านเกิดเมืองนอน

     

              สถานที่แห่งนี้เป็นทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา สิ่งปลูกสร้างล้วนแล้วแต่ออกแบบมาเป็นรูปทรงเรขาคณิต ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไปกลายเป็นทางเดินกว้างเข้าไปสู่สถานที่ที่เหมือนกับปราสาท ในห้องโถงที่ปูพื้นด้วยหินอ่อนวาววับ มีบัลลังก์สีทองตั้งสูงตระหง่านดึงดูดทุกสายตาให้จับจ้อง

     

              ร่างของชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์อันแสนล้ำค่านั้น กายสูงโปร่งแต่มีกล้ามเนื้องดงามเช่นคนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลำตัวที่ไม่สวมเสื้อท่อนบนมีลายสลักสีแดงปรากฏอยู่เต็มหน้าท้องและแผ่นอก ทั้งเครื่องประดับและสีผมต่างก็เป็นสีทองสว่างราวกับต้องการอวดฐานะของผู้สวมใส่

     

              คนผู้นั้นมักจะมีหญิงนุ่งน้อยห่มน้อยรอบกายอยู่เสมอ ด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับเทพเจ้า ดึงดูดให้หญิงสาวมาหลงใหลได้ไม่ยากนัก ภาพของเจ้าของดวงตาสีเดียวกับโลหิตจ้องมองไปยังกลุ่มคนในงานเลี้ยง ก่อนจะยิ้มพอใจเมื่อตนได้หันปลายนิ้วไปยังหญิงงามนางหนึ่งที่ปรากฏตรงหน้า

     

              ภายหลังจากชิงตัวหญิงนางนั้นออกมาได้ เหล่าคนที่เคยอยู่ในงานสังสรรค์ต่างก็ไม่พอใจ บ้างก็ส่งเสียงก่นด่าสาปแช่ง หากแต่เกรงกลัวในอำนาจของเทพเจ้าที่ชายผู้นั้นถือครอง จึงทำได้แค่ภาวนาในเบื้องหลังที่เขาไม่รับรู้แล้วเท่านั้น

     

              วันหนึ่งเทพเจ้าได้ยินเสียงเว้าวอนจากโลกมนุษย์ ความเจ้าเล่ห์และมักมากในกามารมณ์ทำให้เทพเจ้าส่งร่างจำแลงของใครคนหนึ่งลงมาเพื่อจัดการกับราชาร้อยเล่ห์คนนั้น ภาพที่เห็นเป็นเพียงแสงสีเขียวสว่างที่มีรูปร่างเหมือนกับคนเพียงลางๆ เท่านั้น

     

    เขาเป็นใครกันนะ…

     

    อาเธอเรียไม่เข้าใจว่าเหตุใดเธอจึงต้องมาเห็นเรื่องราวของชายคนดังกล่าวยืดยาวถึงเพียงนี้

     

    เฮือก—!

     

              ความรู้สึกขาดอากาศทำให้ทั้งร่างสะดุ้งขึ้นมาพร้อมดวงตาที่เบิกโพลง กายบอบบางหอบหายใจแรงราวกับหิวโหยอากาศมากนักหนา ภาพตรงหน้าคือสถานที่ที่ไม่รู้จัก แต่กลับคุ้นเคยว่าเคยเห็นในฝันก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นมา แต่แล้วร่างของใครคนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นข้างๆ กันก็ทำให้ตกใจ

     

    “ ตื่นแล้วงั้นหรือ ” แม้เสียงจะฟังออกว่าเป็นเด็กหนุ่ม แต่ร่างนั้นกลับมีรูปร่างผอมบางนัก กลุ่มผมที่ยาวสลวยลงไปถึงปลายเท้าระบายสีเขียวสดใส ใบหน้าอ่อนเยาว์งดงามราวกับว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่มนุษย์

     

    “ ท่านเป็นใครกัน ” คนแปลกหน้าเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ทำตาโต ก่อนระบายยิ้มดีใจ

     

    “ เจ้ามองเห็นข้าด้วยงั้นหรือ ”

     

              อาเธอเรียสับสนนัก เมื่อพิจารณาดีๆ แล้ว เด็กหนุ่มคนนี้มีร่างกายโปร่งแสงจนมองทะลุเห็นผนังด้านหลัง อีกทั้งปลายเท้าทั้งคู่ของเขาเองก็กำลังลอยอยู่เหนือพื้น แม้เด็กสาวจะเคยได้ยินเรื่องราวของวิญญาณมาบ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้พบเห็นด้วยตาของตัวเองจริงๆ

     

    หรือว่าที่นี่จะเป็นโลกหลังความตายกันนะ…

     

    “ ที่นี่คือที่ใดงั้นหรือ ” อาเธอเรียเอ่ยถาม สถานที่แห่งนี้แปลกใหม่สำหรับเธอ ไม่เหมือนกับอาณาจักรบริทาเนียที่เติบโตมา สิ่งปลูกสร้างทรงเรขาคณิตที่พบเห็นในนิมิตก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ข้าวของเครื่องใช้ที่ล้วนแล้วแต่ทำจากทองคำวางประดับอยู่ตามมุมต่างๆ ของห้อง

     

    “ ข้าชื่อเอนคิดู ส่วนที่นี่คือนครอุรุค ”

     

    “ เจ้าเกือบตายไปแล้ว แต่สหายของข้าช่วยเอาไว้น่ะ เจ้าหลับไปเป็นแรมเดือนเลยเชียวนะ ” เด็กคนนี้ดูดีใจที่เธอมองเห็นเขาจนเผลอคุยจ้อออกมาไม่หยุด ถึงอย่างนั้นความสับสนของคนฟังก็ยังไม่ได้หายไป ปลายนิ้วเรียวสัมผัสบาดแผลที่เคยมีบริเวณกลางลำตัว ความเจ็บปวดที่เคยมีเริ่มหายไปแล้ว บาดแผลสมานเข้าหากันเกือบจะหายดี

     

    ยังไม่ตายจริงๆ ด้วยสิ… แต่ไม่เข้าใจเลย

     

    “ เพราะข้าไม่ใช่มนุษย์จึงรับรู้ได้ ใครบางคนส่งเจ้ามาที่นี่ด้วยพลังมหาศาลน่ะ ” เอนคิดูระบายยิ้มน้อยๆ ราวกับมีสายลมบางๆ กำลังพัดผ่านใบหน้ายามได้ยินประโยคนั้น ความรู้สึกเศร้าสร้อยเข้าเกาะกุมจิตใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน

     

    หรือว่าจะเป็นเมอร์ลิน ทำไมท่านจึงมอบโอกาสให้ข้าได้มีชีวิตต่อในที่แห่งนี้กันนะ

     

    ตอนนี้ท่านอยู่ที่ใดกันแน่…

     

    “ ข้าไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณคราวนี้อย่างไร แต่ข้าไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ” เมื่อคิดได้ดังนั้น อาเธอเรียจึงรีบหยัดกายขึ้นยืนหวังจะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ อาจเพราะร่างกายขาดการเคลื่อนไหวมาเป็นเวลานานขณะนอนพักฟื้น ร่างบอบบางนั้นยืนได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องเซถลาล้มลงไปบนเตียงนอนอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่เบานัก

     

    “ อย่าเพิ่งลุกขึ้นยืนสิ เจ้ายังไม่แข็งแรงเลยนะ ”

     

    “ แต่ข้าต้องตามหาเขา อย่างน้อยต้องตามหาเมอร์ลินให้เจอ ”

     

              ใบหน้าหวานนั้นแสดงความเจ็บปวดเล็กน้อย เจ็บกายไม่เท่าไรแต่เจ็บใจนักที่เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ดั่งใจ ท่าทางกำมือแน่นและดวงตาคู่สวยที่เริ่มจะคลอไปด้วยน้ำตาทำเอาเอนคิดูเริ่มทำตัวไม่ถูก เขาเองก็ไม่เคยมีสหายเป็นหญิงสาวมาก่อนด้วยสิ

     

              บทสนทนาและสถานการณ์ที่วุ่นวายนั้นส่งเสียงดังพอจะเรียกความสนใจจากใครคนหนึ่งได้ ร่างสูงของชายอีกคนสาวเท้าเข้ามาในห้องอย่างเร่งรีบ ก่อนเสียงทุ้มน่าฟังจะเอ่ยสนทนาด้วย

     

    “ เอะอะอะไรกันหรือพวกเจ้า ”

     

              เขาเป็นชายผู้มีใบหน้าคมคายราวกับไม่ใช่มนุษย์ ดวงตาสีแดงคู่คมทอประกายตัดกับสีผมทองสว่างที่ถูกตัดสั้นระต้นคอ ผิวกายที่มีสีไข่ไก่ประดับไปด้วยรอยสลักสีแดงตามกล้ามเนื้อหน้าท้องและแผ่นอกสมส่วน เครื่องแต่งกายที่แม้จะสวมใส่แค่อาภรณ์ด้านล่าง แต่ก็เป็นเนื้อผ้าชั้นดีที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีตสำหรับคนชั้นสูงเท่านั้น หญิงสาวเจ้าของดวงตาสีมรกตทำได้เพียงเบิกตากว้างด้วยความตกใจยามที่สายตาปะทะเข้ากับผู้มาใหม่ มีแต่เรื่องราวที่ไม่เข้าใจประเดประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อนเสียที

     

     

    เหตุใดชายผู้นี้จึงได้เหมือนกับชายในนิมิตนั้นราวกับเป็นคนๆ เดียวกันได้ถึงเพียงนี้

     

     






              

    รีไรท์ตอนที่ 2 เสร็จซักทีค่ะ เย้

    มาอีกแล้วกับพลอตเรื่องที่คุ้นเคย แง อยากให้ลองอ่านกันดูซักพัก
    แล้วจะพบว่าฟิคเรื่องนี้มีอะไรมากกว่าการข้ามมิติแน่นอนค่ะ


    ** เกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์เล็กน้อย (สามารถข้ามได้นะคะ แปะมาเพื่อทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้น)

    ▼ ที่จริงแล้วประวัติของกิลกาเมซจะคล้ายคลึงกับที่อาเธอเรียฝันถึงเลยค่ะ มักมากในกามขนาดไปขอสิทธิ์ในการร่วมหอคืนแรกกับผู้หญิงที่กำลังเข้าสู่พิธีแต่งงานบ่อยๆ จนชาวบ้านโกรธแค้นและภาวนาต่อเทพเจ้า เทพเจ้าก็เลยส่งเอนคิดูมาปราบนั่นเองค่ะ

     ▼ส่วนประวัติของกษัตริย์อาเธอร์ ตามตำนานแล้วเขาเป็นผู้ชายค่ะ พ่อของเขาฝากฝังให้เมอร์ลินที่เป็นพ่อมดเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก หลังจากนั้นเขาก็แต่งงานกับเกว็นนีเวียร์และมีอัศวินโต๊ะกลมเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารบ้านเมืองค่ะ 

    และหนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมก็คือแลนเซลอต เป็นอัศวินที่คิงอาเธอร์ไว้ใจที่สุดขนาดให้เป็นองครักษ์ของเกว็นนีเวียร์ และภายหลังทั้งคู่ก็ลอบเป็นชู้กันจริงๆค่ะ ตามตำนานกษัตริย์อาเธอร์สั่งประหารราชินีจริง บางตำนานก็ว่าแลนเซลอตมาช่วยไว้ทัน บางตำนานก็ว่าภายหลังแลนเซลอตก็เป็นผู้สังหารคิงอาเธอร์ด้วยตัวเองค่ะ ไรเตอร์ก็เลยเอามายำกันหมดเลยทีเดียว;-;

    ส่วนประวัติของเมอร์ลิน แม้เขาจะเป็นผู้ดูแลคิงอาเธอร์มาตั้งแต่เด็ก แต่เจ้าตัวก็มีความรักนะคะ เมอร์ลินหลงรักหญิงสาวคนหนึ่งที่ชื่อวิเวียนมากๆ ถึงขนาดสอนวิชาต่างๆให้หมดไส้หมดพุง แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าวิเวียนดันเก่งกว่าเมอร์ลินและทรยศเขาค่ะ สุดท้ายเมอร์ลินก็โดนวิเวียนร่ายคำสาปขังไว้ในหอคอยที่ห่างไกลไว้ตลอดกาลนั่นเองค่ะ น่าสงสารมาก;-;


    เนื้อหาตอนหน้าจะเป็นอย่างไร ฝากติดตามกันหน่อยนะคะ
    จะอัพต่อเนื่องจนกว่าจะจบเรื่องเลยค่ะ^^


    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×