Lyra's story เรื่องราวของผู้ตกเป็นเหยื่อของปีศาจบาโธรี่..
เป็นนิยายแนวสยองขวัญที่อิงจากเรื่องของเคาท์เตส อลิธซาเบต บาโธรี่ค่ะ ส่วนตัวเอกเป็นตัวละครออริจินัลของไรท์เอง
ผู้เข้าชมรวม
407
ผู้เข้าชมเดือนนี้
8
ผู้เข้าชมรวม
-แนะนำตัวละคร-
Lyra Moore – ไลร่า มัวร์
เด็กสาวเจ้าของผิวสีน้ำนมงดงามตัดกับเรือนผมตรงยาวสีน้ำตาลแดง เธอเก็บความรู้สึกภายใต้รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าเสมอ หากแต่นัยน์ตาสีมรกตสวยงามกลับหม่นหมอง มีเพียงไม่กี่คนที่ทำให้เธอยิ้มออกมาได้และลืมเรื่องหม่นหมองในใจ เกิดอยู่ในชนบทเล็กๆแห่งหนึ่งในฮังการี วันหนึ่งได้รับบัตรเชิญและถูกส่งตัวมาที่ปราสาทบาโธรี่ ภายหลังประสบชะตากรรมเดียวกับเด็กสาวคนอื่นๆที่ถูกส่งตัวมาพร้อมกัน
Vincent Thames – วินเซนต์ เทมส์
ขุนนางหนุ่มใจดี มีอุปนิสัยอ่อนโยนและยิ้มง่าย เจ้าของนัยน์ตาสีนิลลึกลับซึ่งแปลกไปจากชาวฮังการีคนอื่น มีบ้านเกิดอยู่ในชนบทเล็กๆแห่งเดียวกับไลร่า แต่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงกับครอบครัวเมื่ออายุไม่ถึงเดือน เมื่อโตขึ้นได้เข้ารับราชการในพระราชวัง แฝงตัวเข้ามาเป็นทหารยามเพื่อสืบเรื่องของข่าวลือที่เด็กสาวในชนบทเข้ามาทำงานในตระกูลบาโธรี่และไม่มีใครได้กลับออกมาอีก และมีหน้าที่นำข่าวต่างๆไปทูลต่อพระเจ้าแมสเทียสที่ 2 เพื่อให้ทรงพิจารณาคดี
-เรื่องย่อ-
เนื่องจากไลร่าสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่วัยเยาว์ ปัจจุบันจึงอาศัยอยู่กับน้าสาวและคุณย่าที่แก่ชรา ครอบครัวของเธออยู่ในฐานะปานกลาง แต่ทว่าเมื่อมีบัตรเชิญจากตระกูลบาโธรี่ถูกส่งมาที่หมู่บ้านที่เธออาศัยอยู่ ในบัตรเชิญนั้นมีเนื้อหาจารึกไว้เพื่อเชิญให้เด็กสาวของแต่ละครอบครัวในหมู่บ้านนั้นๆ เด็กสาวชาวบ้านธรรมดาๆอย่างเธอและเพื่อนๆก็ยากที่จะปฏิเสธ
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า.. เธอและเหล่าเด็กสาวทั้งหลายนั้น ที่กำลังจะก้าวสู่ประตูปราสาทนั้น..
กำลังจะพบกับหายนะ.. ที่เรียกว่า ‘ความตาย’
และหากแต่ชีวิตก่อนความตายจะมาเยือน ณ ปราสาทตระกูลบาโธรี่นั้น.. ไลร่าได้พบกับขุนนางเทมส์ หรือ ‘วินเซนต์ เทมส์’ เขาอายุมากกว่าเธอประมาณสองหรือสามปีเห็นจะได้ เทมส์เป็นขุนนางหนุ่มผู้ใจดีและอ่อนโยนกับเธอเสมอ เธอเริ่มที่จะสนิทสนมและคุ้นเคยกับเขาขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในปราสาท เขาเป็นคนสอนให้เธอรู้จัก ‘ความสุข’ ‘รอยยิ้มจากใจ’ ‘หัวเราะแบบไม่เสแสร้ง’ และ ‘ความรักครั้งแรก’
ทว่า... ท้ายที่สุดชะตากรรมของไลร่าก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเด็กสาวคนอื่นที่ถูกนำมาใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทบาโธรี่เลย..
เธอต้องลาจากโลกไปอย่างทรมาน ท่ามกลางเครื่องทรมาน เพชฌฆาต กลิ่นคาวเลือด และเสียงร่ำไห้เพื่อขอชีวิตของเด็กสาวผู้ประสบชะตากรรมเดียวกันดังระงมไปทั่วปราสาทบาโธรี่
นี่คือ.. ปฐมบทแห่งความตายและฉากสุดท้ายที่แสนเศร้า..
Thx.
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่....
ชื่อนี้น่ะ รู้จักดีใช่มั้ยล่ะ?
หญิงสาวที่ปรารถนาที่จะเป็นผู้มีความงามเลิศเป็นอมตะ และปรารถนาที่จะให้กายาของตนนั้นผุดผ่องเป็นยองใยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
และเพื่อจะเป็นเช่นนั้น.. ข้ารับใช้จึงต้องสังเวยเพื่อสนองตัณหาอันมากล้นของนาง
ด้วยการนำเลือดหญิงสาวบริสุทธิ์มากรีดใส่อ่าง แล้วให้นาง ‘อาบต่างน้ำ’
มีหญิงสาวกว่าหกร้อยศพต้องสังเวยชีวิตให้ เพื่อให้นางผุดผ่องงามงดอีกครั้ง
เพียงแต่หนึ่งในพวกเด็กสาวผู้โชคร้ายนั้น ยังมีนางหนึ่งหนีรอดและมีชีวิตอยู่ต่อมาได้
ต่อมาเรื่องนี้ถูกนำมาเขียนขึ้นเป็นนวนิยายน่าสะพรึงขวัญและอ้างอิงจากชีวิตของเด็กสาวผู้นั้นซึ่งเธอเป็นคนเขียนเอง
ชื่อฉากแรกของนวนิยายนั้นคือ...
‘ปฐมบทแห่งความตาย’
ตัวเอกของเรื่องที่เด็กสาวผู้นั้นแต่งคือ ‘ไลร่า มัวร์’ เด็กสาวจากชนบทที่ท้ายสุดต้องประสบชะตากรรมเดียวกับเด็กสาวคนอื่นๆ และ ‘วินเซนต์ เทมส์’ ขุนนางหนุ่มใจดี ที่แม้ฉากสุดท้ายจะต้องจบลงด้วยความเจ็บปวด
โดยเรื่องเริ่มที่เรื่องราวของปีศาจตัวร้ายในคราบมนุษย์ ‘เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่’
อลิซาเบธ เกิดในปราสาทเชิงเขาคาร์เทียนใกล้ๆ กับแคว้นทรานซิลวาเนีย ซึ่งเป็นของตระกูลบาโธรี่อันเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของฮังการีและสืบเชื้อสายมาจากตระกูลแฮบสเบิร์กอันเก่าแก่ของยุโรป ตระกูลบาโธรี่จึงเป็นตระกูลที่เก่าแก่ร่ำรวย มีอำนาจล้นหลาม เป็นที่น่ายำเกรงของประชาชนทั่วไป และปกครองแคว้นทรานซิลวาเนียมาหลายต่อหลายยุคสมัย
อลิซาเบธคิดว่าตนเป็นหญิงสาวผู้มั่งคั่งทั้งทรัพย์สินและอำนาจ แถมยังงดงามที่สุด เพราะแม้แต่จักรพรดิมาร์คชิเลียนก็เคยมาขอดูตัว แต่เปล่าเลย ในความเป็นจริงเธอออกจะขี้ริ้วขี้เหร่ ซ้ำยังมีอาการบกพร่องทางจิตอย่างรุนแรง
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะตระกูลเก่าแก่มักจะสมรสกันเองในหมู่ญาติเพื่อรักษาอำนาจและทรัพย์สมบัติไว้ ตระกูลบาโธรี่เองก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นผู้สืบเชื้อสายจากตระกูลนี้ก็จะมีอาการบกพร่องทางจิตแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะรักร่วมเพศ หรือว่าจะลัทธิบูชาปีศาจ
อลิซาเบธเองก็เช่นกัน ในวัยเด็กเธอมักที่จะใฝ่ต่ำ ออกไปเล่นกับพวกลูกทาสลูกไพร่ของชาวนาที่ติดที่ดิน ไม่สนใจการเรียน ซ้ำยังเล่นสัปดนเสียจนตั้งครรภเมื่ออายุได้สิบสามปี
‘อลิซาเบธท้องกับลูกไพร่ นำความเสื่อมเสียมาให้กับตระกูล ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อลบรอยด่างพร้อยนี่ออกไป’
ข่าวที่น่าอับอายนั่นเข้าหูมารดาของเธออย่างเร่งด่วน อลิซาเบธถถูกส่งตัวไปอยู่ในปราสาทแห่งหนึ่งของตระกูลบาโธรี่ ซึ่งที่นั่นห่างไดลผู้คน โดยมารดาของเธออ้างว่าลูกสาวป่วยหนัก ต้องการหาที่สงบเพื่อพักรักษาตัว และไม่มีผู้ใดรู้ว่าทารกที่จะเกิดมาจะประสบชะตากรรมเช่นไร
ตลอดเวลาที่อลิซาเบธอยู่ในปราสาทนั่น เธอมักจะมีอาการปวดหัวเรื้อรังตลอดมา จนวันหนึ่งสาวใช้ที่มาพยายาบาลเกิดโดนเธอกัดหัวไหล่เข้าจนเนื้อหลุด สาวใช้กรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บ แต่กลับกัน เมื่อได้ยินเสียงร้องนั่น อลิซาเบธกลับหายปวดหัวเป็นปลิดทิ้ง ต่อมาเธอจึงทรมานสาวใช้ด้วยวิธีต่างๆนานา เพื่อให้เสียงร้องเหล่านั้นเป็นยาระงับอาการของเธอเอง
ในปี 1575 เธอได้แต่งงานกับเคาท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ ลูกพี่ลูกน้องของเธอเอง
โดยสองสามีภรรยาคู่นี้ก็เป็นคู่วิกลจริตซาดิสม์พอกัน (ซึ่งไม่แปลกเลยว่าทำไมอยู่ด้วยกันได้) โดยฝ่ายสามีของอลิซาเบธมักจะทรมานเชลยศึกด้วยวิธีเหี้ยมโหดและมักจะเล่าให้เธอฟังเสมอๆ ส่วนอลิซาเบธเองก็ตื่นเต้นที่ได้ฟังและนำวิธีนั้นๆมาใช้ทรมานคนของตัวเองและคนของแม่สามีบ้าง
ส่วนจุดเริ่มต้นของการนำเด็กสาวมาสังเวยชีวิตนั้น คือในวันหนึ่งหลังจากที่เธอตื่นมาล้างหน้าล้างตาและแต่งองค์ทรงเครื่องนั้น เธอก็พบว่าความชราได้ย่างกรายเข้ามาหาเธอแล้ว
‘นั่นสิ อายุก็ปาเข้าไปตั้ง 45 แล้ว... เหอะ ข้าเกลียดความชราที่มาดึงเนื้อหนังอันเต่งตึงของข้าไปทีละส่วนๆนัก ยาคงความสาวที่พวกนังแม่หมอนั่นให้มาก็ไม่เห็นจะมีผลตรงไหน ข้าจะทำอย่างไรดีนะ...’
เธอครุ่นคิดต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ..
ในขณะเดียวกันสาวใช้ก็กำลังสางผมให้เธออยู่พอดี
‘นายหญิงก็น่ากลัว นายท่านก็น่ากลัว โอ้... ข้าจะโดนแบบคนอื่นๆตอนไหนกันนะ’
สาวใช้ผู้นั้นคิด แถมคิดไปก็กลัวไป ทำให้มือเกร็งและดึงผมของอลิซาเบธติดหวีมาด้วยเป็นกระจุกใหญ่
“ขะ..ขอโทษเจ้าค่ะนายหญิง!” นางขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่พลางตัวก็สั่นหงึกๆไปด้วยเพราหวาดกลัว
“เอ๊ะ นังนี่! ระวังๆไม่เป็นหรือยังไง แบบนี้ความงามของข้าก็ลดลงน่ะสิ” ว่าพลางบันดาลโทสะให้สาวใช้ผู้นั้นด้วยการคว้าเชิงเทียนใกล้มือมาทุบเด็กสาวอย่างไม่มียั้งมือ เลือดของผู้เคราะห์ร้ายสาดกระเซ็นโดนร่างของนาง แต่นางก็หาได้พอใจไม่ นางยังลงมือหวดแส้ใส่สาวใช้ผู้โชคร้าย เนื้อหนังของนางผู้นั้นกระเด็นกระดอนไปทั่ว นางหัวเราะอย่างพอใจและหยุดการกระทำลงหลังจากที่ทำการโบยอย่างหฤโหดไปแล้ว
“โอ้.. ช่างเป็นสีที่สยงามเหลือเกิน ฮิๆ ฮ่ะๆ”
“แต่ว่าแบบนี้มันเลอะเทอะ ไม่ดีเลยนะ”
“นี่! ใครอยู่ข้างนอกน่ะ เข้ามาซิ!!” นางร้องเรียกหานางต้นห้อง
“มาแล้วเจ้าค่ะนายหญิง.. อะ ว้าย!!! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเจ้าคะ” นางต้นห้องหน้าซีดเผือดพลางชี้สภาพศพจมกองเลือดแลดูน่าสยดสยองของสาวใช้ผู้นั้น
“โหวกเหวกน่ารำคาญ ไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าข้าซิ! เลอะเทอะไปหมดแล้ว ไป! ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเป็นรายต่อไป” อลิซาเบธตอบไปอย่างไม่สะทกสะท้านซ้ำยังออกปากขู่จนนางต้นห้องต้องรีบกุลีกุจอไปนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้เธอ
และเมื่อเลือดถูกเช็ดออกไป ความโหดเหี้ยมก็แปรเปลี่ยนเป็นความพิศวง เมื่ออลิซาเบธพบว่าภายใต้รอยเลือดนั่น ผิวของเธอกลับเต่งตึ่งอ่อนนุ่มราวกับสาวแรกรุ่นต่างจากผิวส่วนอื่นไม่มีผิด!
‘อา..ความอัจริยะได้บังเกิดขึ้นแล้ว...ยาอายุวัฒนะสูตรใหม่ของข้า... เลือดสดๆของหญิงพรหมจรรย์นี่เอง ที่จะบันดาลให้ข้ากลายเป็นสาวอมตะไปตลอดกาล’
และด้วยเหตุนี้เองโศกนาฏกรรมการฆ่าสังหารเด็กสาวกว่า 600 คนเพื่อประทังความงามของเคาท์เตสจึงได้เริ่มต้นขึ้น...
อีกด้านหนึ่ง ณ ชนบทที่ห่างไกลออกไป..
มีหมู่บ้านเล็กๆอยู่แห่งหนึ่งที่อยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบ ปราศจากภัยอันตรายจากเมืองหลวง และภายในหมู่บ้านแห่งนั้นมีเด็กสาววัยยี่สิบปีนาม ‘ไลร่า มัวร์’ เจ้าของผิวสีน้ำนมสวยตัดกับเรือนผมสีน้ำตาลอมแดงหน่อยๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั่นทำให้ชายหลายคนใจละลายได้ง่ายๆ เธออาศัยอยู่กับน้าสาวและคุณย่าของเธอเนื่องจากเธอสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เด็กๆ
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาหรือปมด้อยของเธอ เธอยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเรื่อยมากับน้าและคุณย่าของเธอเอง เธอคิดแต่เพียงว่าอยากจะหางานอะไรสักอย่างทำเพื่อหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายให้ครอบครัวและเพื่อทดแทนคุณของย่าและน้าสาวที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่ยังเล็ก
แต่แล้ววันหนึ่งปณิธานที่เธอตั้งไว้ก็เป็นจริง เมื่อมีบัตรเชิญจากตระกูลบาโธรี่ถูกส่งเข้ามาที่หมู่บ้านของเธอ เนื้อหาของบัตรเชิญนั้นคือต้องการเด็กสาวไปทำงานให้ตระกูลบาโธรี่ ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ยินดีที่จะส่งตัวบุตรสาวไปทำงานเพียงแค่แลกกับเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด
เหล่าเด็กสาวจึงได้ก้าวเข้ามาสู่รั้วปราสาท โดยไม่มีใครรู้ว่าตัวเองกำลังจะตกเป็นเหยื่อของปีศาจในคราบมนุษย์อย่างอลิซาเบธ
แต่เนื่องจากอลิซาเบธเห็นว่าเด็กสาวชุดนี้มาจากชนบทที่ห่างไกล เนื้อหนังไม่ค่อยมีคงรีดเลือดได้ไม่มาก จึงต้องมีการเพิ่มเนื้อหนังเสียก่อน ภายในเวลาครึ่งเดือน... ถือว่ามากพอสำหรับเธอแล้ว..
สำหรับครั้งแรกนั้นอลิซาเบธจัดงานเลี้ยงต้อนรับใหญ่โต บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสหรูหราของชนชั้นสูงที่เด็กสาวเหล่านั้นไม่เคยลิ้มรสและไม่เคยเห็น หรือถ้าเคย ก็แค่จากในหนังสือเท่านั้น พวกเธอไม่คาดคิดว่าจะได้มีโอกาสลิ้มลองของจริง จึงพากันรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยและพากันเต้นรำและเล่นเกมอย่างสนุกสนานในงานเลี้ยงต้อนรับนั่นเอง
แต่เนื่องจากไลร่าเป็นคนชอบอยู่เงียบๆคนเดียว จึงหลบออกมาจากห้องที่จัดเลี้ยงและเลือกมานั่งอยู่ในสวนหย่อมข้างปราสาทแทน ในสวนนั้นเงียบงัน ดอกไม้นานาพันธุ์กับใบหญ้านั้นปลิวไสวไปตามสายลม มองแล้วช่างดูเพลิดเพลิน
~♬
เสียงใครคนหนึ่งกำลังเป่าฟลุ้ตดังแว่วมา เป็นทำนองที่ไพเราะแปลกหู ไลร่าหันไปตามต้นเสียงและมองซ้ายขวาหาต้นเสียงจนเจอ
ภาพตรงหน้าคือชายหนุ่มตัวสูงคนหนึ่ง แต่งตัวคล้ายทหารยามในปราสาท เขากำลังเป่าฟลุ้ตอยู่โดยที่ไม่สนใจรอบด้านจนกระทั่งเพลงที่เขากำลังบรรเลงนั้นจบลง
แปะ แปะ
ไลร่าปรบมือ ส่วนเขาก็เงยหน้าขึ้นและหันไปมองคนที่ปรบมือให้ตนเมื่อสักครู่
“เพราะมากเลยค่ะ ข้าไม่เคยเห็นใครเป่าฟลุ้ตได้ดีแบบนี้มาก่อนเลย”
“ฮะๆ งั้นเหรอ ข้าคงไม่ได้ไปรบกวนท่านหรอกนะสาวน้อย” เขายิ้มและหัวเราะเบาๆ
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ” ไลร่ายิ้มตอบ
“อ้อ คุยกันเสียนาน ข้านี่เสียมารยาทจัง” เขาหัวเราะ ยิ้มจนตาหยีอีกครั้ง “ข้าวินเซนต์ เทมส์ เป็นทหารอยู่ในตระกูลนี้ล่ะนะ ท่านล่ะ? แล้วมาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ?”
“ไลร่า.. ไลร่า มัวร์ค่ะ ข้าได้รับบัตรเชิญให้มาที่ปราสาทแห่งนี้เพื่อทำงานเป็นสาวใช้น่ะ”
“อา.. งั้นเหรอ” ชั่วครู่หนึ่งเทมส์หุบยิ้มไปก่อนจะพึมพำอะไรสักอย่างกับตัวเอง ซึ่งจับใจความได้ว่า ‘อีกแล้วเหรอ’
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
“อ..อ้อ เปล่าหรอก ข้าว่าท่านกลับเข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวโดนนายหญิงดุเอานะ” เขาว่าพลางดันไหล่หญิงสาวให้กลับเข้าไปในตัวปราสาทก่อนจะทำหน้าครุ่นคิดเดินออกมาตามเดิม
‘หญิงสาวกว่าสี่ร้อยคนที่เข้ามาทำงานกับตระกูลบาโธรี่ก่อนหน้านั้น...หายไปอย่างไร้ร่องรอยไม่ได้กลับออกมาอีกเลย ตอนนี้เพิ่มมาอีกสองร้อยกว่าๆ... คงต้องเริ่มสืบจริงๆจังๆได้เสียที... ’
หลังจากวันนั้นเทมส์ก็เริ่มทำความคุ้นเคยกับไลร่าเพื่อสืบเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับการกระทำของอลิซาเบธต่อิเด็กสาวเหล่านั้น เขาได้ข้อมูลมาอีกอย่างว่าทุกค่ำคืนเธอจะได้ยินเสียงประหลาดคล้ายคนกรีดร้องดังมาแว่วๆจากห้องบางห้องในปราสาท พวกธิดาและชนชั้นสูงที่เป็นเพื่อนของอลิซาเบะเริ่มหายไปจากวันทีละคนๆ จนมีเสียงร่ำลือว่ามีผีดูดเลือดอาศัยอยู่แถวนี้
ไม่นานมานี้เพื่อนๆที่เป็นเด็กสาวจากหมู่บ้านเดียวกันกับไลร่าก็เริ่มหายไปทีละคนๆ จนพวกที่เหลือรวมทั้งเธอด้วยก็เริ่มหวาดกลัว จนกระทั่งมีคนเลี้ยงสัตว์คนหนึ่งไปเห็นอลิซาเบธทำการทรมานเด็กสาวและฆ่าเพื่อรีดเลือดทุกหยาดหยดออกจากร่างกายของพวกเธอ และคนที่ได้ฟังเรื่องนั้นเป็นคนแรกก็คือตัวไลร่าเอง
“วินเซนต์ ข้ากลัว... วันใดจะถึงคราวของข้าก็ไม่รู้.. ข้ากลัวเหลือเกิน..” เธอพูดกับเทมส์ด้วยน้ำเสียงๆสั่นๆ ในตอนนี้เธอกับเขาเริ่มสนิทกันจนสามารถเรียกชื่อต้นกันได้อย่างไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว
“ไม่ต้องกลัวน่า ขุนนางของพระเจ้าแมสเทียสที่สองไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายเจ้าแน่นอน” เทมส์ว่าพลางฉีกยิ้มกว้างเพื่อหวังให้ไลร่าสบายใจขึ้น แต่เปล่าเลย นั่นทำให้ไลร่าใจเสียหว่าเก่า
“เลิกล้อเล่นเสียที ก็เห็นๆอยู่ว่าท่านเป็นทหารยามของตระกูลนี้แท้ๆ ไม่แน่บางทีคนที่สังหารข้าอาจจะต้องเป็นท่านก็ได้”
“ไลร่า เจ้ายังคิดว่าข้าล้อเล่นอย่างนั้นหรือ ไม่นานเมื่อพระเจ้าแมสเทียสทราบความ พระองค์จะทรงพิจารณาคดีและปลดปล่อยพวกเจ้าทุกคน”
“พอเถอะ... ข้าคงต้องยอมรับชะตากรรมแล้ว ขอบคุณท่านมากที่ทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้น” เธอว่าพลางยิ้มเศร้าๆให้กับเทมส์
เขาถอนหายใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวร่างบางตรงหน้าเบาๆอย่างปลอบโยน ก่อนจะใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มนวลของหญิงสาวด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ และเขาต้องหาทางช่วยเธอให้ได้
“อย่าร้องไห้.. ข้าไม่ยอมให้ใครทำอันตรายเจ้าได้แน่.. ข้าสัญญา”
“ขอบคุณ..”
“อืม.. หยุดร้องไห้เถอะนะ ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว หลับเถอะ..” เขาว่าพลางกดหัวร่างบางให้ลงมานอนตักตัวเองและลูบหัวเพื่อปลอบประโลมจนหญิงสาวหลับไป
ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายกว่าๆแล้ว สายลมที่พัดมากำลังเย็นสบายทีเดียว เทมส์จ้องมองหญิงสาวที่หลับอยู่บนตักของเขาอยู่เนิ่นนาน มือหนาค่อยๆเอื้อมไปปัดปอยฝมที่ปรกหน้าหญิงสาวออกก่อนจะใช้หลังมือสัมผัสแก้มของเธอเบาๆแล้วคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย
ก่อนจะจ้องมองใบหน้าหวานตอนหลับอยู่เช่นนั้นอย่างเนิ่นนานราวกับต้องมนต์สะกด
'ถ้าหากเจ้ากับเพื่อนๆรอดไปได้... ถึงตอนนั้นข้าคงจะบอกว่าว่าข้ารักเจ้า และอยากใช้ชีวิตร่วมกันนะ.. ไลร่า..’
นั่นคือความปรารถนาเล็กๆในใจของเขา...
.
.
.
.
.
แต่นั่นคงเป็นแค่ความปรารถนาลมๆแล้งๆเท่านั้น...
เพราะในกลางดึกสงัดคืนนั้นเอง เขาได้ยินเสียงประหลาดที่ปลุกให้เขาตื่นจากความฝันมาเผชิญกับความจริงอีกครั้ง เขารีบหยิบดาบคู่ใจของตนเองและตามต้นเสียงนั้นไปจนถึงหลังปราสาทแห่งหนึ่ง
ภาพเบื้องหน้านั้นทำเขาแทบหยุดหายใจไปเลยทีเดียว!
เด็กสาวมากมายหลายร้อยคนยืนรวมกันอยู่ที่นั่น เบื้องหน้ามีเครื่องทรมาน และเพชฌฆาตหน้าตาน่ากลัวหลายคนยืนถืออาวุธแล้วจัดการตัดแขนตัดขาเด็กสาวเหล่านั้นก่อนจะค่อยๆรีดเลือดออกมาใส่อ่าง คนแล้วคนเล่า..หากเลือดใครไม่พอก็จะกรีดกลางตัว ควักเอาหัวใจมาคั้น ตัดหัวเพื่อเค้นเลือดในสมองและดวงตาออกมา ทำทุกอย่างเพื่อให้เลือดนั่นพอที่คนคนหนึ่งจะลงไปอาบ..
และคนคนนั้นคืออลิซาเบธนั่นเอง...
แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่เขาเห็นต่อมาก็คือไลร่า! ไลร่ายืนรวมอยู่กับเด็กสาวผู้นั้น กำลังลนลานเพื่อหาทางหลบหนี แต่ก็ไม่สามารถทำได้
ชั่วครู่หนึ่งเขาเห็นไลร่ามองมาเห็นเขาที่แอบดูอยู่ เธอยิ้มให้เขาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาแต่กลับแย้มยิ้มให้เขาราวกับบอกลา ก่อนจะโดนเหล็กร้อนเสียบทะลุคอไป เลือดของเธอสาดกระเซ็นไปทั่วก่อนที่ร่างบางจะล้มลงและหมดลมหายใจไป
แต่เพชฌฆาตใจบาปก็ไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันตัดแขน ตัดขา แล้วรีดเอาเลือดของเธอออกมา จากนั้นก็กรีดท้องของเธอแล้วคั้นเลือดจากหัวใจของเธอจนแลดูน่าสยดสยอง
เทมส์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากแอบดูและได้แต่กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล...
เขาไม่อาจจะทนดูอยู่ต่อไปได้ และก็ไม่สามารถรอที่จะรวบรวมหลักฐานเรื่องการฆาตรกรรมของอลิซาเบธได้อีกต่อไปแล้ว
เขาออกมาจากปราสาทและไปที่คอกม้าก่อนจะควบม้าออกไปทันที ไม่ว่าจะโดนพวกที่เฝ้าประตูอยู่ยิงธนูใส่หรืออย่างไรเขาก็ไม่สนใจและตอบโต้กลับไปก่อนจะควบม้าออกไปยังเมืองหลวงยังเป็นที่ประทับของพระเจ้าแมสเทียสที่ 2 ในทันที
โชคดีที่ในตอนนั้นพระเจ้าแมสเทียสที่ 2 ยังไม่ทรงบรรทม เขาจึงขอเข้าเฝ้าและทูลเรื่องทั้งหมดแก่พระเจ้าเป็นการส่วนตัว
“ข้าแต่พระองค์ที่เคารพ บัดนี้ข้าได้สาเหตุของการหายตัวไปของเด็กสาวทั้งหลายแล้ว”
“เป็นเช่นไร.. จงสาธยายมาเสีย..”
“เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่เป็นผู้กระทำ นางเป็นฆาตรกรที่ล่อลวงเด็กสาวไปฆ่าและนำเลือดของเด็กสาวนั้นมาชโลมกายเพื่อหวังให้ตนกลับเป็นสาวงามเปล่งปลั่ง การกระทำครั้งนี้มีผู้สังเวยชีวิตไปแล้วกว่าหกร้อยศพ ขอพระองค์ทรงพิจารณาและตัดสินคดีให้เร็วที่สุดด้วยเถิด”
พระเจ้าแมสเทียสที่สองพิจารณาเรื่องทั้งหมดประกอบกับที่ประชาชนก็เริ่มร้องเรียนเรื่องไปยังราชสำนักถึงเรื่องคนหาย และมีญาติของเด็กหลายรายยืนยันว่าเด็กสาวที่ตายกันเป็นกองๆใกล้ปราสาทของเอ ลิซาเบธ อยู่นั้นล้วนแล้วแต่ถูกล่อลวงให้มาที่ปราสาทเธอ ในวันรุ่งขึ้นคำพูดของเทมส์ก็ถูกตัดสินจากทางราชสำนักว่ามีน้ำหนักพอท่ะเชื่อถือ
ต่อมาพระเจ้าแมทเทียสที่ 2 ก็ทรงจัดการกับคดีนี้ด้วยพระองค์เอง เดือนธันวาคมปี 1610 เมื่อมาร์ควิสเธอร์โซซึ่งเป็นญาติของเอลิซาเบธ ไปยังห้องใต้ดินของปราสาทเซติช เขาก็ต้องผงะกับสิ่งที่ตัวเองพบ เครื่องทรมานจำนวนนับไม่ถ้วน รอยเลือดที่ชโลมอยู่แทบทุกที่และศพที่กองเป็นภูเขา บางศพถูกตัดทรวงอก บางศพถูกเฉือนเนื้อ บางศพก็ศีรษะถูกทุบจนแหลก และบางศพก็เต็มไปรู กลิ่นเลือดตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง มีเด็กสาวบางคนถูกช่วยออกมาได้ แต่ก็เกือบไม่รอดเหมือนกันเพราะพวกเขาพบเธอในขณะที่นอนหายใจรวยรินยังไม่เสียชีวิต เธอเล่าว่าเธอถูกจับมาพร้อมเพื่อนสาวอีกเป็นจำนวนมากโดยมีสาวใช้สองคนของเอลิซาเบธคือ นางดอลค์และนางรีโอน่า เป็นคนสังหารนำเลือดมาให้ผู้เป็นนายชโลมผิว เพราะเชื่อว่าเลือดคือยาอายุวัฒนะ แต่ก็ยากที่บอกว่าพวกเธอปลอดภัยดี เพราะหลายคนถูกบังคับให้กินเนื้อจากศพของเด็กสาวคนอื่น จนบางคนกลายเป็นคนวิกลจริตด้วยซ้ำ
เอลิซาเบธ บาโธรี่ ถูกสอบสวนในปี ค.ศ. 1610 อย่าว่าแต่พวกชาวไร่ชาวนาเลย บรรดาผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายต่างอาฆาตแค้น และญาติสนิทของเธอเองก็โกรธเคืองอย่างหนักว่าเธอซาดิสต์ขนาดนี้ วงส์ตระกลูบาโธรี่เสื่อมเสียกันหมด ไม่มีอำนาจใดๆที่จะช่วยให้นางฟ้าหรือผีห่าซาตานตนนี้พ้นผิดไปได้แล้ว ลูกมือของเคาน์เตสเปิดปากสารภาพเล่าวิธีการ และบอกถึงรายนามเหยื่อเท่าที่พวกเขาจำได้เฉพาะที่จำได้ก็ปาเข้าไปตั้ง 160 ศพ เดือนมกราคมปี 1611 การตัดสินคดีของเอลิซาเบธถูกจัดขึ้นที่พิซเซ่ เอลิซาเบธได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องมาขึ้นศาลด้วยตัวเอง และเนื่องจากฎีกาของตระกูลบาโธรี่ เธอก็รอดพ้นจากโทษประหารในขณะที่ผู้มีส่วนร่วมในการสังหารทุกคนต่างก็ถูกตัดสินโทษเผาทั้งเป็น โดยผู้มีส่วนร่วมเป็นสาวใช้สองคนที่ทำหน้าที่ค้นหาและจับผู้หญิงสาวเคราะห์ร้ายมาสังเวยแก่เธอถึง 605 คน
หลังการไต่สวนสมุนเอกของเคาน์เตสถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็นในที่สาธารณะเธอ ถูกลากกลับไปที่ปราสาทเซติซ ของเธอเอง ที่นั้นเธอถูกรุนเข้าไปอยู่ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองก็ก่ออิฐปิดหน้าต่างและประตูทั้งหมด เหลือไว้เพียงชองเล็กนิดเดียวที่พอจะสอดอาหารและน้ำส่งให้เธอได้ ลองโดนขังไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันขนาดนี้ เป็นคนอื่นล่ะตายไปนานแล้วแต่บาปหนาของเธอทำให้เธอยังมีชีวิตอยู่รู้รสความทรมานที่แสนสาหัสนานถึง 4 ปี
การตัดสินโทษของเอลิซาเบธ ถูกโอนให้เป็นอำนาจของตระกูลบาโธรี่ และโดยผลการประชุมของตระกูล เอลิซาเบธ ก็ถูกตัดสินให้ถูกจองจำอยู่ในปราสาทเซติชไปจนตลอดชีวิตในห้องขังอันมืดมิด ซึ่งประตูถูกโบกปูนปิดตายตลอดชิวิต ไม่ให้หลุดมาทำอันตรายใครได้อีก
21 สิงหาคม 1614 ก็เป็นวันที่ปราศจากสัญญาณชีวิตจาก เอลิซาเบธ บาโธรี่ ช่องเล็กๆ เพียงช่องเดียวก็ได้ถูกอิฐก่อปิดสนิทลง...
ตำนานปีศาจที่ใช้เลือดเด็กสาวเพื่อความอมตะได้ปิดฉากลง..
เหลือทิ้งไว้แต่ความทรงจำอันแสนเศร้าของเทมส์และเรื่องที่ยังติดค้างคาใจเขาอยู่..
คิดดังนั้นแล้วเขาจึงกลับไปที่ปราสาทบาโธรี่ที่เคยได้พบกับไลร่า คนเลี้ยงสัตว์คนเดิมได้เข้ามาพบเขาพร้อมกับกล่องไม้เก่าๆใบหนึ่ง
“โอ้ ขุนนางเทมส์ เชิญๆ ลมอะไรหอบท่านมาถึงนี่”
“ก็เปล่า.. ข้าเพียงแค่คิดถึงเรื่องราวบางอย่าง..”
“เรื่องอะไรหรือท่าน?”
“ข้าสงสัย.. ทำไมก่อนตายไลร่าถึงได้ยิ้ม ทั้งๆที่มันทรมานออกอย่างนั้น”
“โอ้.. นั่นเป็นเรื่องที่ข้ากำลังจะบอกท่าน่อไปพอดี ขุนนางเทมส์”
“อะไรหรือ?”
“ก่อนตายนางฝากนี่ให้ข้า เพื่อนำไปให้ท่าน นางย้ำหนักหนาว่าท่านต้องเปิดดูเฉพาะเวลาอยู่คนเดียวเท่านั้น” คนเลี้ยงสัตว์ว่าพลางยื่นกล่องไม้เก่าๆให้กับเทมส์ก่อนจะกลับไปทำงานของตนต่อ
เขารับไว้และนำกลับไป
ในห้องนอนสี่เหลี่ยมที่ประดับประดาด้วยสไตล์ยุโรปหรูหราของเทมส์ เขาเลื่อนกล่องไม้เปิดและพบว่าภายในนั้นเป็นแหวนเงินเก่าๆวงหนึ่งกับจดหมายอยู่สองฉบับ ฉบับแรกจ่าหน้าถึงน้าสาวและคุณย่าของไลร่า และฉบับที่สองจ่าหน้าถึงตัวเขาเอง
เขาคลี่กระดาษอ่านเนื้อหาภายในนั้น...
‘วินเซนต์
เมื่อท่านได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ข้าอาจกลับไปที่หมู่บ้านของข้าเพราะได้รับการปลดปล่อย หรืออาจจะตายในคืนนั้นแล้วก็ได้ หากข้าได้เจอท่านอีกสักครั้งข้าคงดีใจเหลือเกิน ตลอดเวลาที่ข้าใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทนั้น ข้าขอขอบคุณท่านจริงๆที่สอนอะไรหลายๆอย่างให้ข้า ทำให้ข้าหัวเราะและไม่อ้างว้างจนเกินไป ท่านพูดเสมอว่าอยากเห็นข้ายิ้มออกมาจากใจจริงและหัวเราะอย่างไม่เสแสร้ง หากเป็นไปได้ถ้าข้ายังอยู่ รอยยิ้มนั้นจะมีเพื่อท่านคนเดียว แหวนเงินนั่นเป็นตัวแทนของข้า หากข้าไม่อยู่แล้ว ขอให้ท่านเก็บมันไว้ แหวนเงินนั่นเป็นของพ่อข้าที่แทนความรักให้กับแม่ เพราะฉะนั้นข้าจึงขอมอบให้กับท่าน เพื่อแทนความรักที่ข้ามีบ้าง
ข้าคงต้องจบจดหมายฉบับนี้ไว้เพียงเท่านี้ ลาก่อน
รัก
ไลร่า’
แปะ..
หยาดน้ำสีใสค่อยๆไหลออกมาจากนัยน์ตาสีนิลและอาบใบหน้าหล่อเหลานั่นช้าๆ เทมส์กอดจดหมายฉบับนั้นไว้แนบอกก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเงียบๆภายในห้องสีขาวที่เงียบสงัด
“ข้าจะมีความสุขได้ยังไงกันไลร่า... ข้าขอโทษ.. ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ขอโทษ..”
เขาพร่ำบอกต่อหญิงสาวที่ลาโลกไปแล้วซ้ำๆอยู่อย่างนั้น ก่อนจะยกแหวนเงินขึ้นมาจูบและสวมมันไว้ที่นิ้ว
เจ้าจะอยู่กับข้าตลอดไป.. ไลร่า..
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
และนั่นคือฉากจบของนิยายเรื่องนี้.......
‘ปฐมบทแห่งความตาย’ ที่ถูกก่อโดยปีศาจในคราบมนุษย์อย่างอลิซาเบธ กลับปิดฉากลงด้วยความรักที่ซึ่งท้ายสุดแล้วมันเป็น ‘ฉากสุดท้ายที่แสนเศร้า’ ของเด็กสาวผู้เป็นเหยื่อกับขุนนางหนุ่ม
ในตอนท้ายเด็กสาวผู้เขียนได้จบด้วยประโยคหนึ่งซึ่งเป็นความเห็นต่อเหตุการณ์ครั้งนั้น...
‘ท่ามกลางความเศร้าสลดนั้น... ใครจะรู้เล่าว่าอาจจะมัผู้ประสบชะตากรรมเดียวกันกับเทมส์และไลร่าก็ได้ หากเป็นจริงมันคงเศร้าน่าดู พวกคุณเองก็คงไม่อยากให้เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับชีวิตของคุณหรอก จริงไหม?’
-END-
[Talk with writer]
เรื่องนี้เกิดจากการคุยกันของไรเตอร์และหลานสาวค่ะ
ที่จริงเรื่องนี้สารภาพว่าไม่ใช่แนวถนัดของไรเตอร์เลยสักนิดค่ะ! ปกตินั้นไรเตอร์เป็นสายดราม่า non-stop! ในขณะที่หลานสาวนั้นเป็นสายนิยายสืบสวน สยองขวัญ โรแมนติก และแฟนตาซีค่ะ (หลานแต่งได้หลายแนวสุดๆจนอยากจะคารวะเลยทีเดียว)
ก็ยากพอสมควรในการแต่งเพราะว่าไหนจะต้องค้นข้อมูล ไหนจะต้องเค้นการบรรยายให้ออกแนวโรคจิตตลอดเวย์ด้วย เรื่องนี้วินอยู่เรื่องเดียวคือเสร็จก่อนหลานค่ะ (ฮา) อีกไม่นานหลานสาวก็คงเอาลงเว็บเช่นกัน ยังไงก็ฝากติดตามและให้กำลังใจกันด้วยนะคะ XDD
จบจริงๆแล้วค่ะ บ๊ายบายย~
ผลงานอื่นๆ ของ Kaze no ken ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Kaze no ken
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น