Lyra's story เรื่องราวของผู้ตกเป็นเหยื่อของปีศาจบาโธรี่.. - Lyra's story เรื่องราวของผู้ตกเป็นเหยื่อของปีศาจบาโธรี่.. นิยาย Lyra's story เรื่องราวของผู้ตกเป็นเหยื่อของปีศาจบาโธรี่.. : Dek-D.com - Writer

    Lyra's story เรื่องราวของผู้ตกเป็นเหยื่อของปีศาจบาโธรี่..

    โดย Kaze no ken

    เป็นนิยายแนวสยองขวัญที่อิงจากเรื่องของเคาท์เตส อลิธซาเบต บาโธรี่ค่ะ ส่วนตัวเอกเป็นตัวละครออริจินัลของไรท์เอง

    ผู้เข้าชมรวม

    407

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    8

    ผู้เข้าชมรวม


    407

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  19 ต.ค. 56 / 16:03 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    -แนะนำตัวละคร-

     

    Lyra Moore – ไลร่า มัวร์

    เด็กสาวเจ้าของผิวสีน้ำนมงดงามตัดกับเรือนผมตรงยาวสีน้ำตาลแดง เธอเก็บความรู้สึกภายใต้รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าเสมอ หากแต่นัยน์ตาสีมรกตสวยงามกลับหม่นหมอง มีเพียงไม่กี่คนที่ทำให้เธอยิ้มออกมาได้และลืมเรื่องหม่นหมองในใจ เกิดอยู่ในชนบทเล็กๆแห่งหนึ่งในฮังการี วันหนึ่งได้รับบัตรเชิญและถูกส่งตัวมาที่ปราสาทบาโธรี่ ภายหลังประสบชะตากรรมเดียวกับเด็กสาวคนอื่นๆที่ถูกส่งตัวมาพร้อมกัน

     

                Vincent Thames – วินเซนต์ เทมส์

    ขุนนางหนุ่มใจดี มีอุปนิสัยอ่อนโยนและยิ้มง่าย เจ้าของนัยน์ตาสีนิลลึกลับซึ่งแปลกไปจากชาวฮังการีคนอื่น มีบ้านเกิดอยู่ในชนบทเล็กๆแห่งเดียวกับไลร่า แต่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงกับครอบครัวเมื่ออายุไม่ถึงเดือน เมื่อโตขึ้นได้เข้ารับราชการในพระราชวัง แฝงตัวเข้ามาเป็นทหารยามเพื่อสืบเรื่องของข่าวลือที่เด็กสาวในชนบทเข้ามาทำงานในตระกูลบาโธรี่และไม่มีใครได้กลับออกมาอีก และมีหน้าที่นำข่าวต่างๆไปทูลต่อพระเจ้าแมสเทียสที่ 2 เพื่อให้ทรงพิจารณาคดี

     

     

     

    -เรื่องย่อ-

     

    เนื่องจากไลร่าสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่วัยเยาว์ ปัจจุบันจึงอาศัยอยู่กับน้าสาวและคุณย่าที่แก่ชรา ครอบครัวของเธออยู่ในฐานะปานกลาง แต่ทว่าเมื่อมีบัตรเชิญจากตระกูลบาโธรี่ถูกส่งมาที่หมู่บ้านที่เธออาศัยอยู่ ในบัตรเชิญนั้นมีเนื้อหาจารึกไว้เพื่อเชิญให้เด็กสาวของแต่ละครอบครัวในหมู่บ้านนั้นๆ เด็กสาวชาวบ้านธรรมดาๆอย่างเธอและเพื่อนๆก็ยากที่จะปฏิเสธ

    แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า.. เธอและเหล่าเด็กสาวทั้งหลายนั้น ที่กำลังจะก้าวสู่ประตูปราสาทนั้น..

    กำลังจะพบกับหายนะ.. ที่เรียกว่า ความตาย

     

    และหากแต่ชีวิตก่อนความตายจะมาเยือน ณ ปราสาทตระกูลบาโธรี่นั้น.. ไลร่าได้พบกับขุนนางเทมส์ หรือ วินเซนต์ เทมส์ เขาอายุมากกว่าเธอประมาณสองหรือสามปีเห็นจะได้ เทมส์เป็นขุนนางหนุ่มผู้ใจดีและอ่อนโยนกับเธอเสมอ เธอเริ่มที่จะสนิทสนมและคุ้นเคยกับเขาขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในปราสาท เขาเป็นคนสอนให้เธอรู้จัก ความสุข’ ‘รอยยิ้มจากใจ’ ‘หัวเราะแบบไม่เสแสร้งและ ความรักครั้งแรก

    ทว่า... ท้ายที่สุดชะตากรรมของไลร่าก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเด็กสาวคนอื่นที่ถูกนำมาใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทบาโธรี่เลย..

    เธอต้องลาจากโลกไปอย่างทรมาน ท่ามกลางเครื่องทรมาน เพชฌฆาต กลิ่นคาวเลือด และเสียงร่ำไห้เพื่อขอชีวิตของเด็กสาวผู้ประสบชะตากรรมเดียวกันดังระงมไปทั่วปราสาทบาโธรี่

     

    นี่คือ.. ปฐมบทแห่งความตายและฉากสุดท้ายที่แสนเศร้า..



     
    Thx.

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่....

       

      ชื่อนี้น่ะ รู้จักดีใช่มั้ยล่ะ?  

      หญิงสาวที่ปรารถนาที่จะเป็นผู้มีความงามเลิศเป็นอมตะ และปรารถนาที่จะให้กายาของตนนั้นผุดผ่องเป็นยองใยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

       

      และเพื่อจะเป็นเช่นนั้น.. ข้ารับใช้จึงต้องสังเวยเพื่อสนองตัณหาอันมากล้นของนาง

      ด้วยการนำเลือดหญิงสาวบริสุทธิ์มากรีดใส่อ่าง แล้วให้นาง อาบต่างน้ำ

       

      มีหญิงสาวกว่าหกร้อยศพต้องสังเวยชีวิตให้ เพื่อให้นางผุดผ่องงามงดอีกครั้ง

       

      เพียงแต่หนึ่งในพวกเด็กสาวผู้โชคร้ายนั้น ยังมีนางหนึ่งหนีรอดและมีชีวิตอยู่ต่อมาได้

      ต่อมาเรื่องนี้ถูกนำมาเขียนขึ้นเป็นนวนิยายน่าสะพรึงขวัญและอ้างอิงจากชีวิตของเด็กสาวผู้นั้นซึ่งเธอเป็นคนเขียนเอง

       

      ชื่อฉากแรกของนวนิยายนั้นคือ...

       

      ปฐมบทแห่งความตาย

       

      ตัวเอกของเรื่องที่เด็กสาวผู้นั้นแต่งคือ ไลร่า มัวร์เด็กสาวจากชนบทที่ท้ายสุดต้องประสบชะตากรรมเดียวกับเด็กสาวคนอื่นๆ และ วินเซนต์ เทมส์ขุนนางหนุ่มใจดี ที่แม้ฉากสุดท้ายจะต้องจบลงด้วยความเจ็บปวด

       

      โดยเรื่องเริ่มที่เรื่องราวของปีศาจตัวร้ายในคราบมนุษย์ เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่

       

      อลิซาเบธ เกิดในปราสาทเชิงเขาคาร์เทียนใกล้ๆ กับแคว้นทรานซิลวาเนีย ซึ่งเป็นของตระกูลบาโธรี่อันเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของฮังการีและสืบเชื้อสายมาจากตระกูลแฮบสเบิร์กอันเก่าแก่ของยุโรป ตระกูลบาโธรี่จึงเป็นตระกูลที่เก่าแก่ร่ำรวย มีอำนาจล้นหลาม เป็นที่น่ายำเกรงของประชาชนทั่วไป และปกครองแคว้นทรานซิลวาเนียมาหลายต่อหลายยุคสมัย

       

      อลิซาเบธคิดว่าตนเป็นหญิงสาวผู้มั่งคั่งทั้งทรัพย์สินและอำนาจ แถมยังงดงามที่สุด เพราะแม้แต่จักรพรดิมาร์คชิเลียนก็เคยมาขอดูตัว แต่เปล่าเลย ในความเป็นจริงเธอออกจะขี้ริ้วขี้เหร่ ซ้ำยังมีอาการบกพร่องทางจิตอย่างรุนแรง

       

      ที่เป็นเช่นนั้นเพราะตระกูลเก่าแก่มักจะสมรสกันเองในหมู่ญาติเพื่อรักษาอำนาจและทรัพย์สมบัติไว้ ตระกูลบาโธรี่เองก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นผู้สืบเชื้อสายจากตระกูลนี้ก็จะมีอาการบกพร่องทางจิตแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะรักร่วมเพศ หรือว่าจะลัทธิบูชาปีศาจ

       

      อลิซาเบธเองก็เช่นกัน ในวัยเด็กเธอมักที่จะใฝ่ต่ำ ออกไปเล่นกับพวกลูกทาสลูกไพร่ของชาวนาที่ติดที่ดิน ไม่สนใจการเรียน ซ้ำยังเล่นสัปดนเสียจนตั้งครรภเมื่ออายุได้สิบสามปี

       

      อลิซาเบธท้องกับลูกไพร่ นำความเสื่อมเสียมาให้กับตระกูล ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อลบรอยด่างพร้อยนี่ออกไป

       

      ข่าวที่น่าอับอายนั่นเข้าหูมารดาของเธออย่างเร่งด่วน อลิซาเบธถถูกส่งตัวไปอยู่ในปราสาทแห่งหนึ่งของตระกูลบาโธรี่ ซึ่งที่นั่นห่างไดลผู้คน โดยมารดาของเธออ้างว่าลูกสาวป่วยหนัก ต้องการหาที่สงบเพื่อพักรักษาตัว และไม่มีผู้ใดรู้ว่าทารกที่จะเกิดมาจะประสบชะตากรรมเช่นไร

       

      ตลอดเวลาที่อลิซาเบธอยู่ในปราสาทนั่น เธอมักจะมีอาการปวดหัวเรื้อรังตลอดมา จนวันหนึ่งสาวใช้ที่มาพยายาบาลเกิดโดนเธอกัดหัวไหล่เข้าจนเนื้อหลุด สาวใช้กรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บ แต่กลับกัน เมื่อได้ยินเสียงร้องนั่น อลิซาเบธกลับหายปวดหัวเป็นปลิดทิ้ง ต่อมาเธอจึงทรมานสาวใช้ด้วยวิธีต่างๆนานา เพื่อให้เสียงร้องเหล่านั้นเป็นยาระงับอาการของเธอเอง

       

      ในปี 1575 เธอได้แต่งงานกับเคาท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ ลูกพี่ลูกน้องของเธอเอง

      โดยสองสามีภรรยาคู่นี้ก็เป็นคู่วิกลจริตซาดิสม์พอกัน (ซึ่งไม่แปลกเลยว่าทำไมอยู่ด้วยกันได้) โดยฝ่ายสามีของอลิซาเบธมักจะทรมานเชลยศึกด้วยวิธีเหี้ยมโหดและมักจะเล่าให้เธอฟังเสมอๆ ส่วนอลิซาเบธเองก็ตื่นเต้นที่ได้ฟังและนำวิธีนั้นๆมาใช้ทรมานคนของตัวเองและคนของแม่สามีบ้าง

       

      ส่วนจุดเริ่มต้นของการนำเด็กสาวมาสังเวยชีวิตนั้น คือในวันหนึ่งหลังจากที่เธอตื่นมาล้างหน้าล้างตาและแต่งองค์ทรงเครื่องนั้น เธอก็พบว่าความชราได้ย่างกรายเข้ามาหาเธอแล้ว

       

      นั่นสิ อายุก็ปาเข้าไปตั้ง 45 แล้ว... เหอะ ข้าเกลียดความชราที่มาดึงเนื้อหนังอันเต่งตึงของข้าไปทีละส่วนๆนัก ยาคงความสาวที่พวกนังแม่หมอนั่นให้มาก็ไม่เห็นจะมีผลตรงไหน ข้าจะทำอย่างไรดีนะ...’

      เธอครุ่นคิดต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ..

      ในขณะเดียวกันสาวใช้ก็กำลังสางผมให้เธออยู่พอดี

       

      นายหญิงก็น่ากลัว นายท่านก็น่ากลัว โอ้... ข้าจะโดนแบบคนอื่นๆตอนไหนกันนะ

      สาวใช้ผู้นั้นคิด แถมคิดไปก็กลัวไป ทำให้มือเกร็งและดึงผมของอลิซาเบธติดหวีมาด้วยเป็นกระจุกใหญ่

       

      “ขะ..ขอโทษเจ้าค่ะนายหญิง!” นางขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่พลางตัวก็สั่นหงึกๆไปด้วยเพราหวาดกลัว

       

      “เอ๊ะ นังนี่! ระวังๆไม่เป็นหรือยังไง แบบนี้ความงามของข้าก็ลดลงน่ะสิ” ว่าพลางบันดาลโทสะให้สาวใช้ผู้นั้นด้วยการคว้าเชิงเทียนใกล้มือมาทุบเด็กสาวอย่างไม่มียั้งมือ เลือดของผู้เคราะห์ร้ายสาดกระเซ็นโดนร่างของนาง แต่นางก็หาได้พอใจไม่ นางยังลงมือหวดแส้ใส่สาวใช้ผู้โชคร้าย เนื้อหนังของนางผู้นั้นกระเด็นกระดอนไปทั่ว นางหัวเราะอย่างพอใจและหยุดการกระทำลงหลังจากที่ทำการโบยอย่างหฤโหดไปแล้ว

       

      “โอ้.. ช่างเป็นสีที่สยงามเหลือเกิน ฮิๆ ฮ่ะๆ”

       

      “แต่ว่าแบบนี้มันเลอะเทอะ ไม่ดีเลยนะ”

       

      “นี่! ใครอยู่ข้างนอกน่ะ เข้ามาซิ!!” นางร้องเรียกหานางต้นห้อง

       

      “มาแล้วเจ้าค่ะนายหญิง.. อะ ว้าย!!! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเจ้าคะ” นางต้นห้องหน้าซีดเผือดพลางชี้สภาพศพจมกองเลือดแลดูน่าสยดสยองของสาวใช้ผู้นั้น

       

      “โหวกเหวกน่ารำคาญ ไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าข้าซิ! เลอะเทอะไปหมดแล้ว ไป! ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเป็นรายต่อไป” อลิซาเบธตอบไปอย่างไม่สะทกสะท้านซ้ำยังออกปากขู่จนนางต้นห้องต้องรีบกุลีกุจอไปนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้เธอ

       

      และเมื่อเลือดถูกเช็ดออกไป ความโหดเหี้ยมก็แปรเปลี่ยนเป็นความพิศวง เมื่ออลิซาเบธพบว่าภายใต้รอยเลือดนั่น ผิวของเธอกลับเต่งตึ่งอ่อนนุ่มราวกับสาวแรกรุ่นต่างจากผิวส่วนอื่นไม่มีผิด!

       

      อา..ความอัจริยะได้บังเกิดขึ้นแล้ว...ยาอายุวัฒนะสูตรใหม่ของข้า... เลือดสดๆของหญิงพรหมจรรย์นี่เอง ที่จะบันดาลให้ข้ากลายเป็นสาวอมตะไปตลอดกาล

       

      และด้วยเหตุนี้เองโศกนาฏกรรมการฆ่าสังหารเด็กสาวกว่า 600 คนเพื่อประทังความงามของเคาท์เตสจึงได้เริ่มต้นขึ้น...

       

       

       

       

      อีกด้านหนึ่ง ณ ชนบทที่ห่างไกลออกไป..

      มีหมู่บ้านเล็กๆอยู่แห่งหนึ่งที่อยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบ ปราศจากภัยอันตรายจากเมืองหลวง และภายในหมู่บ้านแห่งนั้นมีเด็กสาววัยยี่สิบปีนาม ไลร่า มัวร์เจ้าของผิวสีน้ำนมสวยตัดกับเรือนผมสีน้ำตาลอมแดงหน่อยๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั่นทำให้ชายหลายคนใจละลายได้ง่ายๆ เธออาศัยอยู่กับน้าสาวและคุณย่าของเธอเนื่องจากเธอสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เด็กๆ

       

      แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาหรือปมด้อยของเธอ เธอยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเรื่อยมากับน้าและคุณย่าของเธอเอง เธอคิดแต่เพียงว่าอยากจะหางานอะไรสักอย่างทำเพื่อหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายให้ครอบครัวและเพื่อทดแทนคุณของย่าและน้าสาวที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่ยังเล็ก

       

      แต่แล้ววันหนึ่งปณิธานที่เธอตั้งไว้ก็เป็นจริง เมื่อมีบัตรเชิญจากตระกูลบาโธรี่ถูกส่งเข้ามาที่หมู่บ้านของเธอ เนื้อหาของบัตรเชิญนั้นคือต้องการเด็กสาวไปทำงานให้ตระกูลบาโธรี่ ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ยินดีที่จะส่งตัวบุตรสาวไปทำงานเพียงแค่แลกกับเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด

       

      เหล่าเด็กสาวจึงได้ก้าวเข้ามาสู่รั้วปราสาท โดยไม่มีใครรู้ว่าตัวเองกำลังจะตกเป็นเหยื่อของปีศาจในคราบมนุษย์อย่างอลิซาเบธ

      แต่เนื่องจากอลิซาเบธเห็นว่าเด็กสาวชุดนี้มาจากชนบทที่ห่างไกล เนื้อหนังไม่ค่อยมีคงรีดเลือดได้ไม่มาก จึงต้องมีการเพิ่มเนื้อหนังเสียก่อน ภายในเวลาครึ่งเดือน... ถือว่ามากพอสำหรับเธอแล้ว..

       

      สำหรับครั้งแรกนั้นอลิซาเบธจัดงานเลี้ยงต้อนรับใหญ่โต บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสหรูหราของชนชั้นสูงที่เด็กสาวเหล่านั้นไม่เคยลิ้มรสและไม่เคยเห็น หรือถ้าเคย ก็แค่จากในหนังสือเท่านั้น พวกเธอไม่คาดคิดว่าจะได้มีโอกาสลิ้มลองของจริง จึงพากันรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยและพากันเต้นรำและเล่นเกมอย่างสนุกสนานในงานเลี้ยงต้อนรับนั่นเอง

      แต่เนื่องจากไลร่าเป็นคนชอบอยู่เงียบๆคนเดียว จึงหลบออกมาจากห้องที่จัดเลี้ยงและเลือกมานั่งอยู่ในสวนหย่อมข้างปราสาทแทน ในสวนนั้นเงียบงัน ดอกไม้นานาพันธุ์กับใบหญ้านั้นปลิวไสวไปตามสายลม มองแล้วช่างดูเพลิดเพลิน

       

      ~

       

      เสียงใครคนหนึ่งกำลังเป่าฟลุ้ตดังแว่วมา เป็นทำนองที่ไพเราะแปลกหู ไลร่าหันไปตามต้นเสียงและมองซ้ายขวาหาต้นเสียงจนเจอ

      ภาพตรงหน้าคือชายหนุ่มตัวสูงคนหนึ่ง แต่งตัวคล้ายทหารยามในปราสาท เขากำลังเป่าฟลุ้ตอยู่โดยที่ไม่สนใจรอบด้านจนกระทั่งเพลงที่เขากำลังบรรเลงนั้นจบลง

       

      แปะ แปะ

       

      ไลร่าปรบมือ ส่วนเขาก็เงยหน้าขึ้นและหันไปมองคนที่ปรบมือให้ตนเมื่อสักครู่

       

      “เพราะมากเลยค่ะ ข้าไม่เคยเห็นใครเป่าฟลุ้ตได้ดีแบบนี้มาก่อนเลย”

       

      “ฮะๆ งั้นเหรอ ข้าคงไม่ได้ไปรบกวนท่านหรอกนะสาวน้อย” เขายิ้มและหัวเราะเบาๆ

       

      “ไม่รบกวนหรอกค่ะ” ไลร่ายิ้มตอบ

       

      “อ้อ คุยกันเสียนาน ข้านี่เสียมารยาทจัง” เขาหัวเราะ ยิ้มจนตาหยีอีกครั้ง “ข้าวินเซนต์ เทมส์ เป็นทหารอยู่ในตระกูลนี้ล่ะนะ ท่านล่ะ? แล้วมาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ?”

       

      “ไลร่า.. ไลร่า มัวร์ค่ะ ข้าได้รับบัตรเชิญให้มาที่ปราสาทแห่งนี้เพื่อทำงานเป็นสาวใช้น่ะ”

       

      “อา.. งั้นเหรอ” ชั่วครู่หนึ่งเทมส์หุบยิ้มไปก่อนจะพึมพำอะไรสักอย่างกับตัวเอง ซึ่งจับใจความได้ว่า อีกแล้วเหรอ

       

      “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”

       

      “อ..อ้อ เปล่าหรอก ข้าว่าท่านกลับเข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวโดนนายหญิงดุเอานะ” เขาว่าพลางดันไหล่หญิงสาวให้กลับเข้าไปในตัวปราสาทก่อนจะทำหน้าครุ่นคิดเดินออกมาตามเดิม

       

      หญิงสาวกว่าสี่ร้อยคนที่เข้ามาทำงานกับตระกูลบาโธรี่ก่อนหน้านั้น...หายไปอย่างไร้ร่องรอยไม่ได้กลับออกมาอีกเลย ตอนนี้เพิ่มมาอีกสองร้อยกว่าๆ... คงต้องเริ่มสืบจริงๆจังๆได้เสียที...

        

      หลังจากวันนั้นเทมส์ก็เริ่มทำความคุ้นเคยกับไลร่าเพื่อสืบเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับการกระทำของอลิซาเบธต่อิเด็กสาวเหล่านั้น เขาได้ข้อมูลมาอีกอย่างว่าทุกค่ำคืนเธอจะได้ยินเสียงประหลาดคล้ายคนกรีดร้องดังมาแว่วๆจากห้องบางห้องในปราสาท พวกธิดาและชนชั้นสูงที่เป็นเพื่อนของอลิซาเบะเริ่มหายไปจากวันทีละคนๆ จนมีเสียงร่ำลือว่ามีผีดูดเลือดอาศัยอยู่แถวนี้

       

      ไม่นานมานี้เพื่อนๆที่เป็นเด็กสาวจากหมู่บ้านเดียวกันกับไลร่าก็เริ่มหายไปทีละคนๆ จนพวกที่เหลือรวมทั้งเธอด้วยก็เริ่มหวาดกลัว จนกระทั่งมีคนเลี้ยงสัตว์คนหนึ่งไปเห็นอลิซาเบธทำการทรมานเด็กสาวและฆ่าเพื่อรีดเลือดทุกหยาดหยดออกจากร่างกายของพวกเธอ  และคนที่ได้ฟังเรื่องนั้นเป็นคนแรกก็คือตัวไลร่าเอง

       

      “วินเซนต์ ข้ากลัว... วันใดจะถึงคราวของข้าก็ไม่รู้.. ข้ากลัวเหลือเกิน..” เธอพูดกับเทมส์ด้วยน้ำเสียงๆสั่นๆ ในตอนนี้เธอกับเขาเริ่มสนิทกันจนสามารถเรียกชื่อต้นกันได้อย่างไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว

       

      “ไม่ต้องกลัวน่า ขุนนางของพระเจ้าแมสเทียสที่สองไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายเจ้าแน่นอน” เทมส์ว่าพลางฉีกยิ้มกว้างเพื่อหวังให้ไลร่าสบายใจขึ้น แต่เปล่าเลย นั่นทำให้ไลร่าใจเสียหว่าเก่า

       

      “เลิกล้อเล่นเสียที ก็เห็นๆอยู่ว่าท่านเป็นทหารยามของตระกูลนี้แท้ๆ ไม่แน่บางทีคนที่สังหารข้าอาจจะต้องเป็นท่านก็ได้”

       

      “ไลร่า เจ้ายังคิดว่าข้าล้อเล่นอย่างนั้นหรือ ไม่นานเมื่อพระเจ้าแมสเทียสทราบความ พระองค์จะทรงพิจารณาคดีและปลดปล่อยพวกเจ้าทุกคน”

       

      “พอเถอะ... ข้าคงต้องยอมรับชะตากรรมแล้ว ขอบคุณท่านมากที่ทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้น” เธอว่าพลางยิ้มเศร้าๆให้กับเทมส์

       

      เขาถอนหายใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวร่างบางตรงหน้าเบาๆอย่างปลอบโยน ก่อนจะใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มนวลของหญิงสาวด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ และเขาต้องหาทางช่วยเธอให้ได้

       

      “อย่าร้องไห้.. ข้าไม่ยอมให้ใครทำอันตรายเจ้าได้แน่.. ข้าสัญญา”

       

      “ขอบคุณ..”

       

      “อืม.. หยุดร้องไห้เถอะนะ ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว หลับเถอะ..” เขาว่าพลางกดหัวร่างบางให้ลงมานอนตักตัวเองและลูบหัวเพื่อปลอบประโลมจนหญิงสาวหลับไป

       

      ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายกว่าๆแล้ว สายลมที่พัดมากำลังเย็นสบายทีเดียว เทมส์จ้องมองหญิงสาวที่หลับอยู่บนตักของเขาอยู่เนิ่นนาน มือหนาค่อยๆเอื้อมไปปัดปอยฝมที่ปรกหน้าหญิงสาวออกก่อนจะใช้หลังมือสัมผัสแก้มของเธอเบาๆแล้วคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย

      ก่อนจะจ้องมองใบหน้าหวานตอนหลับอยู่เช่นนั้นอย่างเนิ่นนานราวกับต้องมนต์สะกด

       

      'ถ้าหากเจ้ากับเพื่อนๆรอดไปได้... ถึงตอนนั้นข้าคงจะบอกว่าว่าข้ารักเจ้า และอยากใช้ชีวิตร่วมกันนะ.. ไลร่า..

       

      นั่นคือความปรารถนาเล็กๆในใจของเขา...

      .

      .

      .

      .

      .

      แต่นั่นคงเป็นแค่ความปรารถนาลมๆแล้งๆเท่านั้น...

      เพราะในกลางดึกสงัดคืนนั้นเอง เขาได้ยินเสียงประหลาดที่ปลุกให้เขาตื่นจากความฝันมาเผชิญกับความจริงอีกครั้ง เขารีบหยิบดาบคู่ใจของตนเองและตามต้นเสียงนั้นไปจนถึงหลังปราสาทแห่งหนึ่ง

       

      ภาพเบื้องหน้านั้นทำเขาแทบหยุดหายใจไปเลยทีเดียว!

      เด็กสาวมากมายหลายร้อยคนยืนรวมกันอยู่ที่นั่น เบื้องหน้ามีเครื่องทรมาน และเพชฌฆาตหน้าตาน่ากลัวหลายคนยืนถืออาวุธแล้วจัดการตัดแขนตัดขาเด็กสาวเหล่านั้นก่อนจะค่อยๆรีดเลือดออกมาใส่อ่าง คนแล้วคนเล่า..หากเลือดใครไม่พอก็จะกรีดกลางตัว ควักเอาหัวใจมาคั้น ตัดหัวเพื่อเค้นเลือดในสมองและดวงตาออกมา ทำทุกอย่างเพื่อให้เลือดนั่นพอที่คนคนหนึ่งจะลงไปอาบ..

      และคนคนนั้นคืออลิซาเบธนั่นเอง...

       

      แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่เขาเห็นต่อมาก็คือไลร่า! ไลร่ายืนรวมอยู่กับเด็กสาวผู้นั้น กำลังลนลานเพื่อหาทางหลบหนี แต่ก็ไม่สามารถทำได้

      ชั่วครู่หนึ่งเขาเห็นไลร่ามองมาเห็นเขาที่แอบดูอยู่ เธอยิ้มให้เขาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาแต่กลับแย้มยิ้มให้เขาราวกับบอกลา ก่อนจะโดนเหล็กร้อนเสียบทะลุคอไป เลือดของเธอสาดกระเซ็นไปทั่วก่อนที่ร่างบางจะล้มลงและหมดลมหายใจไป

       

      แต่เพชฌฆาตใจบาปก็ไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันตัดแขน ตัดขา แล้วรีดเอาเลือดของเธอออกมา จากนั้นก็กรีดท้องของเธอแล้วคั้นเลือดจากหัวใจของเธอจนแลดูน่าสยดสยอง

       

      เทมส์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากแอบดูและได้แต่กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล...

      เขาไม่อาจจะทนดูอยู่ต่อไปได้ และก็ไม่สามารถรอที่จะรวบรวมหลักฐานเรื่องการฆาตรกรรมของอลิซาเบธได้อีกต่อไปแล้ว

       

      เขาออกมาจากปราสาทและไปที่คอกม้าก่อนจะควบม้าออกไปทันที ไม่ว่าจะโดนพวกที่เฝ้าประตูอยู่ยิงธนูใส่หรืออย่างไรเขาก็ไม่สนใจและตอบโต้กลับไปก่อนจะควบม้าออกไปยังเมืองหลวงยังเป็นที่ประทับของพระเจ้าแมสเทียสที่ 2 ในทันที

       

      โชคดีที่ในตอนนั้นพระเจ้าแมสเทียสที่ 2 ยังไม่ทรงบรรทม เขาจึงขอเข้าเฝ้าและทูลเรื่องทั้งหมดแก่พระเจ้าเป็นการส่วนตัว

       

      “ข้าแต่พระองค์ที่เคารพ บัดนี้ข้าได้สาเหตุของการหายตัวไปของเด็กสาวทั้งหลายแล้ว”

       

      “เป็นเช่นไร.. จงสาธยายมาเสีย..”

       

      “เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่เป็นผู้กระทำ นางเป็นฆาตรกรที่ล่อลวงเด็กสาวไปฆ่าและนำเลือดของเด็กสาวนั้นมาชโลมกายเพื่อหวังให้ตนกลับเป็นสาวงามเปล่งปลั่ง การกระทำครั้งนี้มีผู้สังเวยชีวิตไปแล้วกว่าหกร้อยศพ ขอพระองค์ทรงพิจารณาและตัดสินคดีให้เร็วที่สุดด้วยเถิด”

       

      พระเจ้าแมสเทียสที่สองพิจารณาเรื่องทั้งหมดประกอบกับที่ประชาชนก็เริ่มร้องเรียนเรื่องไปยังราชสำนักถึงเรื่องคนหาย และมีญาติของเด็กหลายรายยืนยันว่าเด็กสาวที่ตายกันเป็นกองๆใกล้ปราสาทของเอ ลิซาเบธ อยู่นั้นล้วนแล้วแต่ถูกล่อลวงให้มาที่ปราสาทเธอ ในวันรุ่งขึ้นคำพูดของเทมส์ก็ถูกตัดสินจากทางราชสำนักว่ามีน้ำหนักพอท่ะเชื่อถือ

       

      ต่อมาพระเจ้าแมทเทียสที่ 2 ก็ทรงจัดการกับคดีนี้ด้วยพระองค์เอง เดือนธันวาคมปี 1610 เมื่อมาร์ควิสเธอร์โซซึ่งเป็นญาติของเอลิซาเบธ ไปยังห้องใต้ดินของปราสาทเซติช เขาก็ต้องผงะกับสิ่งที่ตัวเองพบ เครื่องทรมานจำนวนนับไม่ถ้วน รอยเลือดที่ชโลมอยู่แทบทุกที่และศพที่กองเป็นภูเขา บางศพถูกตัดทรวงอก บางศพถูกเฉือนเนื้อ บางศพก็ศีรษะถูกทุบจนแหลก และบางศพก็เต็มไปรู กลิ่นเลือดตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง มีเด็กสาวบางคนถูกช่วยออกมาได้ แต่ก็เกือบไม่รอดเหมือนกันเพราะพวกเขาพบเธอในขณะที่นอนหายใจรวยรินยังไม่เสียชีวิต เธอเล่าว่าเธอถูกจับมาพร้อมเพื่อนสาวอีกเป็นจำนวนมากโดยมีสาวใช้สองคนของเอลิซาเบธคือ นางดอลค์และนางรีโอน่า เป็นคนสังหารนำเลือดมาให้ผู้เป็นนายชโลมผิว เพราะเชื่อว่าเลือดคือยาอายุวัฒนะ แต่ก็ยากที่บอกว่าพวกเธอปลอดภัยดี เพราะหลายคนถูกบังคับให้กินเนื้อจากศพของเด็กสาวคนอื่น จนบางคนกลายเป็นคนวิกลจริตด้วยซ้ำ

       

      เอลิซาเบธ บาโธรี่ ถูกสอบสวนในปี ค.ศ. 1610 อย่าว่าแต่พวกชาวไร่ชาวนาเลย บรรดาผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายต่างอาฆาตแค้น และญาติสนิทของเธอเองก็โกรธเคืองอย่างหนักว่าเธอซาดิสต์ขนาดนี้ วงส์ตระกลูบาโธรี่เสื่อมเสียกันหมด ไม่มีอำนาจใดๆที่จะช่วยให้นางฟ้าหรือผีห่าซาตานตนนี้พ้นผิดไปได้แล้ว ลูกมือของเคาน์เตสเปิดปากสารภาพเล่าวิธีการ และบอกถึงรายนามเหยื่อเท่าที่พวกเขาจำได้เฉพาะที่จำได้ก็ปาเข้าไปตั้ง 160 ศพ เดือนมกราคมปี 1611 การตัดสินคดีของเอลิซาเบธถูกจัดขึ้นที่พิซเซ่ เอลิซาเบธได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องมาขึ้นศาลด้วยตัวเอง และเนื่องจากฎีกาของตระกูลบาโธรี่ เธอก็รอดพ้นจากโทษประหารในขณะที่ผู้มีส่วนร่วมในการสังหารทุกคนต่างก็ถูกตัดสินโทษเผาทั้งเป็น โดยผู้มีส่วนร่วมเป็นสาวใช้สองคนที่ทำหน้าที่ค้นหาและจับผู้หญิงสาวเคราะห์ร้ายมาสังเวยแก่เธอถึง 605 คน

       

      หลังการไต่สวนสมุนเอกของเคาน์เตสถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็นในที่สาธารณะเธอ ถูกลากกลับไปที่ปราสาทเซติซ ของเธอเอง ที่นั้นเธอถูกรุนเข้าไปอยู่ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองก็ก่ออิฐปิดหน้าต่างและประตูทั้งหมด เหลือไว้เพียงชองเล็กนิดเดียวที่พอจะสอดอาหารและน้ำส่งให้เธอได้ ลองโดนขังไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันขนาดนี้ เป็นคนอื่นล่ะตายไปนานแล้วแต่บาปหนาของเธอทำให้เธอยังมีชีวิตอยู่รู้รสความทรมานที่แสนสาหัสนานถึง 4 ปี

       

      การตัดสินโทษของเอลิซาเบธ ถูกโอนให้เป็นอำนาจของตระกูลบาโธรี่ และโดยผลการประชุมของตระกูล เอลิซาเบธ ก็ถูกตัดสินให้ถูกจองจำอยู่ในปราสาทเซติชไปจนตลอดชีวิตในห้องขังอันมืดมิด ซึ่งประตูถูกโบกปูนปิดตายตลอดชิวิต ไม่ให้หลุดมาทำอันตรายใครได้อีก

       

      21 สิงหาคม 1614 ก็เป็นวันที่ปราศจากสัญญาณชีวิตจาก เอลิซาเบธ บาโธรี่ ช่องเล็กๆ เพียงช่องเดียวก็ได้ถูกอิฐก่อปิดสนิทลง...

       

      ตำนานปีศาจที่ใช้เลือดเด็กสาวเพื่อความอมตะได้ปิดฉากลง..

       

      เหลือทิ้งไว้แต่ความทรงจำอันแสนเศร้าของเทมส์และเรื่องที่ยังติดค้างคาใจเขาอยู่..

      คิดดังนั้นแล้วเขาจึงกลับไปที่ปราสาทบาโธรี่ที่เคยได้พบกับไลร่า คนเลี้ยงสัตว์คนเดิมได้เข้ามาพบเขาพร้อมกับกล่องไม้เก่าๆใบหนึ่ง

       

      “โอ้ ขุนนางเทมส์ เชิญๆ ลมอะไรหอบท่านมาถึงนี่”

       

      “ก็เปล่า.. ข้าเพียงแค่คิดถึงเรื่องราวบางอย่าง..”

       

      “เรื่องอะไรหรือท่าน?”

       

      “ข้าสงสัย.. ทำไมก่อนตายไลร่าถึงได้ยิ้ม ทั้งๆที่มันทรมานออกอย่างนั้น”

       

      “โอ้.. นั่นเป็นเรื่องที่ข้ากำลังจะบอกท่าน่อไปพอดี ขุนนางเทมส์”

       

      “อะไรหรือ?”

      “ก่อนตายนางฝากนี่ให้ข้า เพื่อนำไปให้ท่าน นางย้ำหนักหนาว่าท่านต้องเปิดดูเฉพาะเวลาอยู่คนเดียวเท่านั้น” คนเลี้ยงสัตว์ว่าพลางยื่นกล่องไม้เก่าๆให้กับเทมส์ก่อนจะกลับไปทำงานของตนต่อ

       

      เขารับไว้และนำกลับไป

      ในห้องนอนสี่เหลี่ยมที่ประดับประดาด้วยสไตล์ยุโรปหรูหราของเทมส์ เขาเลื่อนกล่องไม้เปิดและพบว่าภายในนั้นเป็นแหวนเงินเก่าๆวงหนึ่งกับจดหมายอยู่สองฉบับ ฉบับแรกจ่าหน้าถึงน้าสาวและคุณย่าของไลร่า และฉบับที่สองจ่าหน้าถึงตัวเขาเอง

       

      เขาคลี่กระดาษอ่านเนื้อหาภายในนั้น...

       

      วินเซนต์

      เมื่อท่านได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ข้าอาจกลับไปที่หมู่บ้านของข้าเพราะได้รับการปลดปล่อย หรืออาจจะตายในคืนนั้นแล้วก็ได้ หากข้าได้เจอท่านอีกสักครั้งข้าคงดีใจเหลือเกิน ตลอดเวลาที่ข้าใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทนั้น ข้าขอขอบคุณท่านจริงๆที่สอนอะไรหลายๆอย่างให้ข้า ทำให้ข้าหัวเราะและไม่อ้างว้างจนเกินไป ท่านพูดเสมอว่าอยากเห็นข้ายิ้มออกมาจากใจจริงและหัวเราะอย่างไม่เสแสร้ง หากเป็นไปได้ถ้าข้ายังอยู่ รอยยิ้มนั้นจะมีเพื่อท่านคนเดียว แหวนเงินนั่นเป็นตัวแทนของข้า หากข้าไม่อยู่แล้ว ขอให้ท่านเก็บมันไว้ แหวนเงินนั่นเป็นของพ่อข้าที่แทนความรักให้กับแม่ เพราะฉะนั้นข้าจึงขอมอบให้กับท่าน เพื่อแทนความรักที่ข้ามีบ้าง

      ข้าคงต้องจบจดหมายฉบับนี้ไว้เพียงเท่านี้ ลาก่อน

      รัก

      ไลร่า

       

      แปะ..

       

      หยาดน้ำสีใสค่อยๆไหลออกมาจากนัยน์ตาสีนิลและอาบใบหน้าหล่อเหลานั่นช้าๆ เทมส์กอดจดหมายฉบับนั้นไว้แนบอกก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเงียบๆภายในห้องสีขาวที่เงียบสงัด

       

      “ข้าจะมีความสุขได้ยังไงกันไลร่า... ข้าขอโทษ.. ข้าขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ ขอโทษ..”

       

      เขาพร่ำบอกต่อหญิงสาวที่ลาโลกไปแล้วซ้ำๆอยู่อย่างนั้น ก่อนจะยกแหวนเงินขึ้นมาจูบและสวมมันไว้ที่นิ้ว

      เจ้าจะอยู่กับข้าตลอดไป.. ไลร่า..

      .
      .
      .
      .
      .
      .
      .
      .

      .
      .
      .
      .

       

       

      และนั่นคือฉากจบของนิยายเรื่องนี้.......

      ปฐมบทแห่งความตายที่ถูกก่อโดยปีศาจในคราบมนุษย์อย่างอลิซาเบธ กลับปิดฉากลงด้วยความรักที่ซึ่งท้ายสุดแล้วมันเป็น ฉากสุดท้ายที่แสนเศร้าของเด็กสาวผู้เป็นเหยื่อกับขุนนางหนุ่ม

       

      ในตอนท้ายเด็กสาวผู้เขียนได้จบด้วยประโยคหนึ่งซึ่งเป็นความเห็นต่อเหตุการณ์ครั้งนั้น...

       

      ท่ามกลางความเศร้าสลดนั้น... ใครจะรู้เล่าว่าอาจจะมัผู้ประสบชะตากรรมเดียวกันกับเทมส์และไลร่าก็ได้ หากเป็นจริงมันคงเศร้าน่าดู พวกคุณเองก็คงไม่อยากให้เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับชีวิตของคุณหรอก จริงไหม?

       

      -END-

       

       

       

       

       

       

      [Talk with writer]

       

      เรื่องนี้เกิดจากการคุยกันของไรเตอร์และหลานสาวค่ะ

      ที่จริงเรื่องนี้สารภาพว่าไม่ใช่แนวถนัดของไรเตอร์เลยสักนิดค่ะ! ปกตินั้นไรเตอร์เป็นสายดราม่า non-stop! ในขณะที่หลานสาวนั้นเป็นสายนิยายสืบสวน สยองขวัญ โรแมนติก และแฟนตาซีค่ะ (หลานแต่งได้หลายแนวสุดๆจนอยากจะคารวะเลยทีเดียว)

      ก็ยากพอสมควรในการแต่งเพราะว่าไหนจะต้องค้นข้อมูล ไหนจะต้องเค้นการบรรยายให้ออกแนวโรคจิตตลอดเวย์ด้วย เรื่องนี้วินอยู่เรื่องเดียวคือเสร็จก่อนหลานค่ะ (ฮา) อีกไม่นานหลานสาวก็คงเอาลงเว็บเช่นกัน ยังไงก็ฝากติดตามและให้กำลังใจกันด้วยนะคะ XDD

       

      จบจริงๆแล้วค่ะ บ๊ายบายย~

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×