ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    14 วันฉันรักเธอ

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 เจ้าสาวร้างรัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 150
      1
      25 ก.ย. 55




    บทที่ 1 เจ้าสาวร้างรัก

     

                ดับลิน สาธารณรัฐไอร์แลนด์

                เมืองดับลินในช่วงนี้มีฝนตกปรอยๆ แทบจะทุกวัน ซึ่งอากาศชื้นๆ เย็นๆ แบบนี้ ทำให้คนส่วนหนึ่งขี้เกียจตื่นเช้า แต่คนที่รักการทำงานเป็นชีวิตจิตใจอย่าง ‘อังศุมาลินหรือ ซันนี่ หญิงสาววัยยี่สิบหกปีกลับกระปี้กระเปร่าสดใส ขัดกับบรรยากาศที่ชวนง่วงนอนนี้อย่างสิ้นเชิง

    อังศุมาลินจบการศึกษาระดับปริญญาตรี และโทมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในดับลิน ตอนนี้ก็กำลังทำงานในบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง หญิงสาวชอบทำงานที่ต้องพบปะผู้คนมากมาย เธอยิ้มเก่ง อัธยาศัยดีจึงเข้ากับผู้ร่วมงานในทุกระดับได้ไม่ยาก แม้ว่าจะเป็นชาวเอเชียเพียงคนเดียวที่ทำงานอยู่ในบริษัทนี้ก็ตาม

                ทว่าวันนี้ ที่หญิงสาวตื่นแต่เช้าด้วยอาการร่าเริงนั้น ไม่ใช่เพราะเธอจะไปทำงานที่ตัวเองรัก แต่เธอกำลังจะไปถ่ายภาพพรีเวดดิ้งที่สตูดิโอแห่งหนึ่ง เพื่อเตรียมไว้สำหรับงานแต่งงานระหว่างเธอกับ ‘สเตฟาน เบอร์ตันชายคนรักที่คบหาดูใจกันมาตั้งแต่ตอนที่มาศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี แล้วที่สำคัญทั้งคู่ก็กำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า

                ทุกวันนี้ชีวิตของอังศุมาลินจึงเหมือนแก้วน้ำที่ถูกเติมจนเต็ม หญิงสาวเช่าบ้านหลังเล็กๆ อยู่กับคนรัก มีงานและเจ้านายที่ดี ที่สำคัญเธอมีคนรักที่แสนจะเอาอกเอาใจสารพัดอย่างสเตฟาน ตอนนี้ถ้าใครมาถามว่า เธอฝันอยากจะได้อะไรอีก อังศุมาลินคงตอบได้ในทันทีว่า เธอพอใจและเป็นสุขแล้วกับทุกสิ่งที่มีและเป็นอยู่

                ใครหลายคนอาจจะอิจฉาในความโชคดีของเธอ แต่อังศุมาลินไม่เคยคิดแบบนั้น เธออาจดีใจที่ตัวเองมีความสุข แต่ก็เป็นเพียงสุขที่มีอยู่น้อยนิด เมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอต้องเผชิญมาตลอดตั้งแต่จำความได้ เพราะพ่อกับแม่ของอังศุมาลินตายจากไปตั้งแต่เธอยังแบเบาะ และต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า ทว่าหญิงสาวก็ยังโชคดีอยู่บ้าง ที่ได้ทุนเรียนฟรีจากทางรัฐบาลจนจบม.ปลาย

    ระหว่างนั้น อังศุมาลินก็ต้องทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่เด็กล้างจานในร้านอาหาร เด็กเสิร์ฟ ไปจนกระทั่งแม่ค้าที่ขายของตามตลาดนัดในวันหยุด อะไรที่เรียกว่าทำแล้วได้เงิน อังศุมาลินไม่เคยเกี่ยง เพราะเธอรู้ว่าตัวเองไม่สามารถพึ่งใครได้ แล้วผลจากความตั้งใจและมุ่งมั่นในการเรียน อังศุมาลินก็ได้ทุนเรียนต่อปริญญาตรีและโทที่ไอร์แลนด์ แต่เธอก็ได้เพียงแค่ค่าเทอมในระหว่างที่กำลังเรียนอยู่ แต่เมื่อจบก็ต้องหาเงินมาผ่อนทุนนั้น เพื่อเอาไว้ให้รุ่นต่อไปใช้ต่อ ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ หญิงสาวต้องหามาจ่ายเอง ซึ่งเธอก็ใช้วิธีเดิมเหมือนตอนที่อยู่เมืองไทยนั่นก็คือการทำงานไปด้วยในระหว่างเรียน

    พอย้อนไปคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต อังศุมาลินก็อดที่จะเศร้าไม่ได้ หากวันนี้พ่อกับแม่ของเธอมาเห็นว่า ลูกสาวของท่านเข้มแข็ง และสามารถยืนด้วยขาของตัวเองได้แบบนี้ พวกท่านคงจะวางใจและมีความสุขเหมือนอย่างเธอแน่ๆ จากการที่ต้องดิ้นรนมาตลอด ทำให้หญิงสาวรู้ว่าความอ่อนแอไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เวลาเจออุปสรรคอังศุมาลินจึงพยายามยิ้มให้กับมัน แล้วบอกตัวเองว่า ต้องเดินหน้าต่อไป

    ในระหว่างที่อังศุมาลินกำลังยืนมองสายฝนที่โปรยปรายลงมา ผ่านทางหน้าต่างกระจกตรงห้องรับแขก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หญิงสาวที่ถูกดึงออกจากห้วงคิดของตนเอง รีบเดินไปรับโทรศัพท์ทันที เพราะมั่นใจว่าคนโทรมาน่าจะเป็นคนที่เธอรอสายอยู่

    “สวัสดีจ้ะ ซันนี่ที่รัก เป็นไงบ้าง” คนปลายสายไม่ใช่คนที่เธอรอ แต่หญิงสาวก็ดีใจ เมื่อได้รู้ว่าคนที่โทรมาเป็นเพื่อนสนิทของเธอ

    “ไวน์...โทรมาแต่เช้าเลยนะ คิดถึงหรือไง” อังศุมาลินถามยิ้มๆ ขณะเดินนวยนาดมานั่งที่โซฟา

    “แหม...แม่คุณ ฉันก็โทรมาเวลานี้ประจำ เช้าอะไรกัน” ‘ปานชีวา หรือ ไวน์ เป็นเพื่อนของอังศุมาลินมาตั้งแต่สมัยประถม ทั้งสองเรียนโรงเรียนเดียวกัน ห้องเดียวกันตลอด ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเรียนคนละประเทศ เมื่อเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ทว่าความเป็นเพื่อนของสองสาวก็ดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะอยู่ห่างกันแค่ไหน ทั้งสองก็ยังยกหูหากันและไปมาหาสู่กันเสมอ

                “แล้วนี่ไม่ไปทำงานเหรอ จะเก้าโมงแล้วนะ” อังศุมาลินเหล่มองนาฬิกาบนผนังห้องรับแขก ขณะเอ่ยถามถึงความเป็นไปของเพื่อน

                “ทำดิ กำลังขับรถไปทำงานอยู่เนี่ย แต่เบื่อเลยโทรมาเมาธ์ก่อน”

                “เฮ้อ...เค้ารณรงค์ปาวๆ ว่า ขับห้ามโทร ไม่ใช่เหรอจ๊ะ คุณปานชีวาวาย เดี๋ยวก็โดนซิวหรอก”

                “เฮ้ย! แกนั่นมันคนตายแล้วมั้ง...ฉันชื่อปานชีวาเฉยๆ ย่ะ อีกอย่างนะฉันก็ใส่สมอลล์ทอล์กอยู่ ตำรวจไม่จับหรอกน่า” ปานชีวาเอ่ยมาตามสายเมื่อถูกอังศุมาลินแซว ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังบ้าง “แกตอนนี้นะ งานที่ออฟฟิศฉันวุ่นวายมาก ต้องตามสัมภาษณ์หนุ่มๆ เต็มเลยแก ฉันนะเห็นแล้วใจละลายเลยอ่ะ แต่ละคนมาดแมนแฮนด์ซั่มสุดๆ เห็นปุ๊บยกใจให้ปั๊บเลย”

                “ก็สอยมาซักคนสิ แกจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน แล้วมาคอยถามฉันว่า เมื่อไหร่คู่แท้ฉันจะมาเกิดซักที ไงล่ะ”

                “แหม...มันสอยกันง่ายๆ ที่ไหน ผู้ชายนะยะ ไม่ใช่มะม่วงอกร่อง เชอะ! คนที่สอยมาได้แล้วอย่างคุณนายซันนี่ก็พูดได้สิ แถมที่สอยมาได้ก็น่า...ฮิๆ”

                “ก็น่าอะไร แกเนี่ยพูดจาไม่อายปากเลยนะ ลามก” อังศุมาลินดุอีกฝ่ายเพื่อกลบความเขิน ตอนนี้หญิงสาวทำตัวราวกับอาจารย์ที่กำลังดุนักศึกษาขาเมาธ์ ทั้งที่ความจริงกำลังกลั้นขำมากกว่า แต่ที่พยายามเก๊กเสียงดุไปก็แค่อยากแกล้งเท่านั้น

                “อายเอยอะไรเล่า โตๆ กันแล้ว ทำเป็นอินโนเซ้นต์ไปได้แกเนี่ย เดี๋ยวพอเข้าหอก็รู้เองแหละว่าน่า...อะไร”

                “บ้า!

                ปานชีวาชอบพูดเล่นแบบนี้เสมอ จนอังศุมาลินอ่อนใจ และอดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมจนป่านนี้เพื่อนรักของเธอยังครองตัวเป็นโสดได้ ทั้งที่เวลาพูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ปานชีวาจะทำเหมือนตัวเองเป็นกูรูเรื่องความรักขึ้นมาทันที จนบางครั้งดูเหมือนปานชีวาจะลืมไปเลยว่าตัวเองเป็น ผู้หญิง

    แต่พอนึกถึงอาชีพของเพื่อนขึ้นมา อังศุมาลินก็เริ่มถึงบางอ้อว่า ทำไมปานชีวาจึงมีนิสัยอย่างนี้ นั่นอาจเพราะเพื่อนของเธอเป็นคอลัมภ์นิสต์และนักวิจารณ์ ถึงได้กล้าพูดอะไรเซี้ยวๆ ออกมาได้แบบไม่เคอะเขิน ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนที่ทำงานด้านนี้ก็เป็นได้

    “เลิกแซวก็ได้ วันนี้แกต้องไปถ่ายพรีเวดดิ้งใช่มั้ย อย่าลืมบอกช่างแต่งหน้าทำผมนะว่า เอาให้เริดสุดๆ เลย” ปานชีวาหยุดพูดนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “เพราะถ้าสเตฟานสุดเลิฟของฉันมาเห็นหน้าแกตอนไม่แต่งหน้า อาจจะหมดอารมณ์ที่อยากจะกุ๊กกิ๊กกับแกไปเลยก็ได้ ฮิๆ”

    ปานชีวาพูดไปอย่างนั้นเอง ทั้งที่ความจริงอังศุมาลินเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง และต่อให้ไม่แต่งหน้า อังศุมาลินก็

    ยังดูดีไปหมดทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าเรียวสวยรูปไข่ ที่รับกับดวงตากลมโตสดใสราวกับลูกปัด ล้อมกรอบด้วยผมสีน้ำตาลอ่อน ที่ยามต้องแสงแดดจะกลายเป็นประกายสีทอง นี่ยังไม่รวมจมูกโด่งรั้นนิดๆ ที่เข้ากับริมฝีปากบางรูปกระจับที่เป็นสีชมพูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี สรุปแล้วคำจำกัดความของอังศุมาลินในสายตาของทุกคน จึงไม่ต่างกันนัก นั่นคือ...อังศุมาลินสวยเหมือนนางฟ้าในเทพนิยาย และเพราะอย่างนั้นปานชีวาจึงทั้งรักและห่วงเพื่อนคนนี้อย่างที่สุด

                หลังจากคุยกันต่ออีกครู่หนึ่งแล้ว ปานชีวาก็ขอวางสายไปก่อน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสียงกริ่งที่หน้าประตูบ้านดังขึ้นพอดี อังศุมาลินจึงวางโทรศัพท์ลงที่เดิม แล้วเดินตรงไปที่ประตูบ้าน พลางมองผ่านตาแมวออกไป เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็รีบเปิดต้อนรับ

    “กลับมาแล้วจ้ะ ที่รัก” สเตฟานเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม ขณะโน้มใบหน้าลงมาหอมแก้มคนรักเบาๆ
    “คุณเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ มานั่งพักก่อนนะคะ เดี๋ยวซันนี่ไปเอาน้ำมาให้” หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส

    ก่อนจะเดินลิ่วๆ ไปรินน้ำในเหยือกที่แช่ไว้ในตู้เย็นมาให้อีกฝ่ายดับกระหาย

    “ขอบคุณนะครับ ที่รัก” สเตฟานรับน้ำมาดื่ม พลางคว้าร่างคนรักมาอยู่ในอ้อมแขน แล้วรั้งเธอให้นั่งลงบนตักเขา

    อังศุมาลินลูบใบหน้าคมสันเบาๆ แล้วจ้องมองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ดูสิ...ตอนนี้ใบหน้าเขาซูบเซียวลงตั้งเยอะ ท่าทางเจ้านายเขาคงใช้งานคนรักของเธอหนักเกินไปแล้ว นี่ถ้าทุกอย่างลงตัว เธอคงขอให้สเตฟานรับงานในที่ไกลๆ น้อยลง เพราะเธอชักสงสารเขาแล้ว ที่ต้องตะลอนๆ เดินทางไปทำงานไกลบ้าน จนไม่มีเวลาได้พักผ่อนแบบนี้

                “งานหนักเหรอคะ คุณดูไม่สดชื่นเลย”

                “เอ่อ...ก็นิดหน่อยจ้ะ ผมขอโทษนะที่ต้องไปทำงานที่ลิสเบิร์นตั้งหลายวัน ปล่อยให้คุณนอนเหงาคนเดียว”

                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ซันนี่รู้ว่าคุณกำลังทำงานเพื่อหาเงินสร้างครอบครัวของเรา” อังศุมาลินรับรู้มาแต่แรกแล้วว่า สเตฟานเป็นช่างภาพฝีมือดี เขาจึงมีงานค่อนข้างเยอะ อีกทั้งยังเดินทางไปทั่วไอร์แลนด์เพื่อถ่ายภาพ แต่ด้วยความเสมอต้นเสมอปลายของเขา ทำให้อังศุมาลินไว้ใจและไม่เคยก้าวก่ายเรื่องงาน เพราะเธอเชื่อว่า...ความรักจะมั่นคงยั่งยืนได้ ต้องมีความเชื่อใจเป็นพื้นฐาน

    ทว่าสเตฟานก็พยายามหาเวลาให้อังศุมาลินเสมอ ทั้งสองยังคงไปเดินห้าง ดูหนัง ดินเนอร์มื้อค่ำใต้แสงเทียนด้วยกันตามแต่ที่ฝ่ายชายจะมีเวลาว่าง แล้วที่สำคัญเขาไม่เคยล่วงเกินเธอเลย ซึ่งตรงจุดนี้เองที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่า ตัวเองช่างเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาเหลือเกิน ใครต่อใครคงอิจฉาเธอน่าดู ที่มีผู้ชายดีๆ อย่างสเตฟานมาอยู่เคียงข้าง และจากที่คบกันมาหลายปี เขาทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองกลายเป็นเจ้าหญิงน้อยๆ ที่จะมีเขาเป็นองครักษ์ และคอยปกป้องดูแลเธอจากทุกๆ อย่างที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต โดยหารู้ไม่ว่าความคิดเหล่านั้น ทำให้อังศุมาลินมองข้ามหลายสิ่งหลายอย่างไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

                “ผมดีใจจังที่คุณเข้าใจ เดี๋ยวผมขอไปอาบน้ำก่อนนะ เราจะได้ไปที่สตูฯ กันเลย” สเตฟานจูบลงที่ไหล่ของคนรักเบาๆ อย่างทะนุถนอมแล้วผละจากไป

    ทันทีที่พ้นจากสายตาของคนรัก สเตฟานก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกสุดๆ ในตอนนี้เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรดีแล้ว เขารักอังศุมาลินและต้องการแต่งงานกับเธอ แต่เขาจะอยู่ในสภาวะอย่างนี้ไปได้นานแค่ไหนกัน แต่ในเมื่อเขามาไกลขนาดนี้แล้ว มันก็คงยากที่จะถอยหลังเหมือนกัน แล้วในเมื่อเขาเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ เขาก็คงต้องทำในสิ่งที่อังศุมาลินเกลียดที่สุด

     

    ระหว่างนั้นอังศุมาลินใช้โอกาสที่คนรักไปอาบน้ำแต่งตัวเดินเข้าไปในครัว ลงมือทำแซนด์วิชทูน่าอย่างคล่องแคล่ว เพราะเดาได้ว่าคนรักของเธอคงยังไม่ได้ทานอะไรมา หลังจากวุ่นวายอยู่กับการชงชาและทำแซนด์วิชราวๆ ยี่สิบนาที อังศุมาลินก็เริ่มจัดเตรียมทุกอย่างลงกล่อง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกกอดจากทางด้านหลัง

    “ทำอะไรเหรอจ๊ะ น่าทานจังเลย” สเตฟานพูดเสียงหวาน และพยายามซ่อนความกังวล ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังขับรถมา

    ไม่ถึงที่บ้านไว้ในใจ

    “แซนด์วิชกับชาค่ะ เผื่อว่าคุณจะหิว แล้วนี่ก่อนออกมาจากที่โน่น ทานอะไรมาหรือยังคะ”

    “ยังจ้ะ...ผมคิดถึงคุณเลยรีบเดินทางมาเลย เพราะกลัวว่าจะมีหนุ่มๆ แถวนี้จะมาขายขนมจีบคุณน่ะ” สเตฟาน

    แซวพลางเอื้อมมือไปหยิบแซนด์วิชมากิน

                “คนมีเจ้าของแล้ว ใครจะกล้าคะ”

                “ดีแล้ว อย่ามีเลย เพราะถ้ามีผมคงทำงานแบบไม่เป็นสุขแน่” ชายหนุ่มเดินอ้อมมาพิงเคาน์เตอร์ พลางบีบจมูกเล็กอย่างมันเขี้ยว

                “ค่า...สายแล้ว เราไปกันเลยดีกว่า ซันนี่ไม่อยากไปสาย” อังศุมาลินใช้นิ้วเคาะเบาๆ ลงบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือของตน พลางออกคำสั่งราวกับตัวเองเป็นเจ้านายของเขา “ช่วยยกของกินไปด้วยนะคะคุณผู้ชาย เดี๋ยวคุณผู้หญิงจะไปเอากระเป๋าก่อน”

                “เชิญคร้าบ คุณผู้หญิง” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มขี้เล่น ก่อนจะรีบทำตามคำสั่งของแฟนสาวทันที

               

     

                รถบีเอ็มดับเบิ้ลยูคันสวยเคลื่อนออกจากบ้านหลังน้อย มุ่งหน้าสู่ถนนสายหลักของดับลิน อันเป็นที่ตั้งของสตูดิโอชื่อดัง ซึ่งเพื่อนของสเตฟานทำงานอยู่ ระหว่างเดินทาง อังศุมาลินป้อนแซนด์วิชให้คนรัก พร้อมกับชวนคุยถึงเรื่องที่เขาไปทำงานที่ลิสเบิร์น แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะชายหนุ่มตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง บางทีก็เหม่อๆ ราวกับไม่ได้ฟังที่เธอพูดก็มี

    “งานที่ลิสเบิร์นไม่สนุกเหรอคะ ทำไมคุณดู...ไม่ค่อยอยากพูดถึงเลย” หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นมา โดยไม่รู้ว่าคำตอบมันไม่ใช่ไม่สนุก แต่สเตฟานไม่อยากจะเอ่ยถึงมันมากกว่า และเขาก็สำลักน้ำชาออกมาทีเดียว เมื่อหญิงสาวที่นั่งหน้าสวยอยู่ข้างๆ เอ่ยถึงใครบางคนขึ้นมา “เคธี่เองก็ลาพักร้อนไปเที่ยวลิสเบิร์นเหมือนกันนะคะ สงสัยจะไปกับแฟน เพราะเมื่อวานซันนี่เจอเคทที่แผนก หน้าบานเป็นกระด้งเลย”

    พอเห็นคนรักสำลัก อังศุมาลินก็รีบส่งทิชชู่ไปให้ และเข้าใจไปว่าท่าทางเขาจะหิวมาก จนเผลอดื่มชาเร็วๆ โดยๆ ไม่ทันระวัง

    “ค่อยๆ ดื่มสิคะ ไม่ต้องรีบ เอาแซนด์วิชอีกมั้ย”

    “เอ่อ...อิ่มแล้วจ้ะ” สเตฟานหันมายิ้มแหยๆ ให้ ชายหนุ่มวางกระติดทรงกระบอกลงข้างตัว พยายามจ้องมองถนนข้างหน้านิ่งๆ โดยไม่หันมาสบตาอีกฝ่าย ด้วยกลัวว่าคนรักจะเห็นความกังวลในแววตาของเขา พอปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพัก เขาก็เหล่ไปมองคนข้างๆ แวบหนึ่งด้วยความกังวล

    อังศุมาลินเอนหลังพิงกับเบาะอย่างเงียบๆ แล้วทอดสายตาออกไปด้านนอกรถ เพราะโดยปกติแล้ว เธอจะไม่ค่อยชวนสเตฟานคุยในขณะขับรถ เนื่องจากอยากให้เขามีสมาธิในการขับรถมากกว่า ซึ่งมันก็ดีต่อตัวของคนขับมากๆ เนื่องจากตอนนี้เขายังไม่พร้อมที่จะคุย หรือสบตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก และความเชื่อใจของอังศุมาลิน

    “ที่รัก คุณโกรธผมเหรอ” ชายหนุ่มถามอย่างร้อนตัว ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่ชอบบรรยากาศเงียบๆ แบบนี้เลย ทั้งที่อังศุมาลินก็มักจะเงียบๆ แบบนี้ทุกครั้ง เมื่อนั่งอยู่ในรถ
    “ไม่นี่คะ ซันนี่จะโกรธคุณทำไม ซันนี่เองต่างหากที่ไปถามอะไรก็ไม่รู้ ท่าทางงานของคุณคงหนักมากนะคะ

    เพราะปกติคุณไม่เคยทำหน้าเครียดๆ แบบนี้เลย เดี๋ยวเราฟังเพลงกันดีกว่าค่ะ คุณจะได้หายเครียด” อังศุมาลินเอื้อมมือไปเปิดเครื่องเสียงภายในรถ เพลงสากลคลอมาเบาๆ ทำให้หญิงสาวนั่งฟังไปเรื่อยๆ แต่พอดีเจเปิดเพลงของดาราชื่อดังคนหนึ่งขึ้นมา หญิงสาวก็ร้องตามไปด้วยอย่างมีความสุข พลางนึกไปถึงใบหน้าของดาราขวัญใจคนแคนนาดาอย่าง ‘ธีโอ วัลคอตต์ดารานายแบบหนุ่มที่เธอชอบ และติดตามผลงานเขามาหลายปีแล้ว   

    ทว่านอกจากการเป็นดารานายแบบแล้ว ‘ธีโอยังเป็นนักร้องด้วย เมื่อก่อนหญิงสาวรู้สึกว่าเขาโด่งดังมากๆ จนถึงตอนนี้เธอก็ยังชอบเขาอยู่ เพียงแต่ดาราหนุ่มเริ่มรับงานน้อยลง เธอจึงไม่ค่อยได้เห็นเขาผ่านสื่อเท่าไหร่ ซึ่งอังศุมาลินคิดว่ามันอาจจะเป็นเหตุผลของพวกซุปตาร์ ประเภทดังแล้วหยิ่ง ไม่ก็เป็นพวกชอบเลือกงาน จึงมีงานออกมาสู่สายตาของคนดูน้อยกว่าที่ควรจะเป็น จากนั้นกระแสของดาราคนนี้ก็ค่อยๆ เงียบไป แล้วอังศุมาลินก็งานยุ่งเกินกว่าจะมาตามสนใจแบบสมัยก่อน

     

     

    หลังจากวันที่ไปถ่ายภาพที่สตูดิโอ อังศุมาลินก็วุ่นวายอยู่กับการติดต่อเลือกของชำร่วย รวมถึงเรื่องแก้ชุดแต่งงาน หญิงสาวจึงแทบไม่มีเวลาทำอะไรมากนัก เพราะตอนเช้าก็ต้องไปทำงานที่บริษัทโฆษณา หลังเลิกงานก็ต้องไปจัดการรายละเอียดเรื่องงานแต่ง ซึ่งเป็นงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยไม่น้อยสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

    ถึงแม้สเตฟานจะบอกให้เธอใช้บริการเวดดิ้งเพลนเนอร์ ทว่าหญิงสาวอ้างว่าเธออยากจะทำด้วยตัวเอง เพราะมันภูมิใจและประหยัดกว่า ว่าที่เจ้าบ่าวที่วันๆ เอาแต่วุ่นวายอยู่กับงาน จึงยอมตามใจว่าที่เจ้าสาวแสนสวย โดยวันนี้อังศุมาลินได้ชวนเคธี่เพื่อนสนิทที่ทำงานมาเลือกของชำร่วยเป็นเพื่อน

    “ขอบใจมากนะเคทที่มาเป็นเพื่อน”
    “ไม่เป็นไร” เคธี่ตอบขณะก้าวขึ้นรถของอังศุมาลิน ซึ่งสเตฟานเป็นคนยกรถของเขาให้เธอใช้ เนื่องจากเขาไป

    ทำงานที่ต่างเมืองบ่อย และมักจะเดินทางไปพร้อมกับรถที่บริษัทจึงไม่จำเป็นต้องใช้รถของตัวเอง

    “เดี๋ยวฉันไปส่งนะเคท”
    “อย่าเลย...เดี๋ยวฉันกลับเอง”

    “ไม่ได้ๆ เดี๋ยวไปส่ง เธออุตส่าห์มาเป็นเพื่อนฉันแล้ว ฉันก็ต้องไปส่งสิ” อังศุมาลินบอกด้วยรอยยิ้มนิดๆ พอเจอลูก

    ตื้อหนักๆ เข้า เคธี่ก็จำต้องยอมให้เพื่อนไปส่ง ระหว่างทางทั้งสองได้มีโอกาสได้คุยกันถึงแฟนหนุ่มของเคธี่ที่ไม่ยอมมาเปิดตัวกับเพื่อนๆ ที่บริษัทสักที แล้วคำตอบที่อังศุมาลินได้รับจากเคธี่ที่ก็ยังเหมือนเดิมคือ...

    “แฟนฉันงานยุ่งน่ะ อีกอย่างเขาก็ขี้อายด้วย เอาไว้ฉันแน่ใจว่า ‘คนนี้ใช่เลยเมื่อไหร่จะพามาแนะนำนะ”

    “อืมม์ แต่ยังไงงานแต่งฉัน เธอก็ต้องพาเขามาเปิดตัวให้ได้นะ อย่าลืมล่ะ” อังศุมาลินบอกยิ้มๆ โดยไม่หันมามอง

    หน้าคนข้างๆ เพราะเธอยังคงจดจ่ออยู่กับการขับรถ โดยหารู้ไม่ว่าคำพูดนั้น ทำให้เคธี่ขนลุกซู่ไปทั้วร่าง เธอทั้งสั่นและกังวลไปหมด แต่สุดท้ายก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยหนักแน่นนักว่า

    “ดะ...ได้สิ”

    “เป็นอะไรน่ะเคท ไม่สบายหรือจ๊ะ เสียงสั่นเชียว” อังศุมาลินหันมาถามด้วยความเป็นห่วง แต่ในใจก็อดรู้สึก

    แปลกๆ พิกล เพราะรู้สึกว่าระยะหลังมานี้ ทุกครั้งที่เธอมองหน้าเคธี่ เคธี่ก็มักจะหลบสายตาเธอเสมอ แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดที่เกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะทุกครั้งที่รู้สึกแบบนั้นขึ้นมา อังศุมาลินก็มักจะบอกตัวเองว่า เธอคงคิดมากไปเอง

    “อืมม์ เหมือนจะเป็นไข้น่ะ ขอนอนพักหน่อยนะ”
    “เอาสิ นอนไปเถอะ เดี๋ยวถ้าถึงจะปลุกนะ” สารถีสาวบอกเพื่อนอย่างมีน้ำใจ และไม่เซ้าซี้ชวนคุยอะไรอีก เพราะ

    อยากให้อีกฝ่ายได้พักผ่อน ซึ่งนั่นก็ทำให้เคธี่โล่งใจมากที่ต้องตอบคำถามอังศุมาลินอีก แม้จะรู้ว่าความลับไม่มีในโลก ทว่าเธอก็ยังไม่พร้อมที่จะให้อังศุมาลินรู้

     

    เมื่ออังศุมาลินก็ไปส่งเคธี่ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที ซึ่งคนแรกที่เธอนึกถึงและโทรไปหาก็คือ...สเตฟาน

    “มิสคอลตั้งสิบกว่าสายแล้ว ทำไมไม่โทรกลับนะ” อังศุมาลินเดินวนไปวนมาหลายรอบ เมื่อโทรไปหาคนรักสิบกว่ารอบแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าชายคนรักจะรับ เธอจึงตัดสินใจไปอาบน้ำ แล้วโทรไปหาเขาอีกครั้ง แล้วคราวนี้สเตฟานก็ยอมรับโทรศัพท์

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ ที่รัก”

    “ไม่มีหรอกค่ะ ซันนี่แค่โทรหาเฉยๆ แล้วนี่ทำอะไรอยู่คะ ทำไมไม่รับโทรศัพท์” แม้จะบอกว่าไม่ระแวง แต่ลางสังหรณ์บางอย่างก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกๆ กับน้ำเสียงของคนรัก ทำไมเขาต้องพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ ขนาดนั้นด้วยนะ ทำเหมือนกลัวว่าใครจะมาได้ยินอย่างนั้นแหละ แต่เขาจะกลัวทำไมกันล่ะ

    “เอ่อ...คือผมกำลังยุ่งน่ะ แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมโทรกลับ”

    “เดี๋ยวสิคะฟาน...สเตฟาน”

    สเตฟานตัดสายทิ้งไปแล้ว แต่ก่อนจะวางสายอังศุมาลินคล้ายได้ยินเสียงผู้หญิงดังแว่วเข้ามาในโทรศัพท์ เสียงผู้หญิงในห้องพักของสเตฟานอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไรกัน ไหนเขาบอกว่าไปคนเดียวไง แล้วเสียงที่เธอได้ยินล่ะ หวังว่าเขาคงไม่ได้ซุกผู้หญิงอีกคนไว้หรอกนะ

    ไม่หรอก...ไม่มีทาง ความคิดอีกด้านขัดขึ้นทันควัน เขาอาจจะอยู่ในระหว่างเดินทางและยังไม่ถึงที่ห้องพัก หรือไม่ก็คงกำลังทำงานติดพัน และยังไม่ได้กลับบ้าน บางทีผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะเป็นนางแบบที่ไปทำงานกับสเตฟานก็ได้ อังศุมาลินพยายามหาข้ออ้างให้กับเสียงผู้หญิงที่เธอได้ยินสารพัด สุดท้ายก็ตัดสินใจเข้านอน พร้อมกับบอกตัวเองว่า เธอคงจะบ้าบอไปเอง

     

    หนึ่งอาทิตย์ต่อมา...

    “เคทอึดอัดจะแย่แล้วนะคะฟาน ทำไมเราต้องมาหลบๆ ซ่อนอย่างนี้ด้วย” เคธี่บ่นอุบ ทั้งที่เธอกับสเตฟานเพิ่งจะ

    ผ่านคืนรักอันเร่าร้อนมาหมาดๆ เพราะตั้งแต่อังศุมาลินมาส่งเธอที่บ้าน เมื่ออาทิตย์ก่อน หญิงสาวก็หัวใจแทบวาย เพราะกลัวว่าเพื่อนจะมาเห็นสเตฟานที่ตอนนี้มาอยู่ที่บ้านเธอ โดยอ้างกับว่าที่เจ้าสาวของตัวเองว่าไปทำงานต่างเมือง

    ดีที่ว่าอังศุมาลินรีบกลับ เธอจึงไม่ต้องหาทางหนีทีไล่ให้ชายหนุ่มหลบว่าที่เจ้าสาวของเขา แล้วนี่เขายังพาเธอมาที่บ้านของเขากับอังศุมาลินอีก โดยอ้างว่าต้องการใช้เวลาร่วมกับเธอ เพราะถ้าเขาแต่งงานไป ทั้งสองก็คงจะไม่ได้มีคืนวันอันเร่าร้อนอย่างนี้ได้บ่อยๆ

    “คุณก็รู้นี่ว่าผมไม่ชอบให้คุณพูดถึงคนอื่นเวลาเราร่วมรักกัน อีกอย่างซันนี่ก็ไปดูงานที่เมืองอื่น อีกนานกว่าจะกลับ เราต้องใช้เวลาที่เหลือให้สนุกสิครับที่รัก”

    “แต่ว่า...” เคธี่พยายามเถียง อยากบอกเหลือเกินว่า เธอมาก่อนอังศุมาลินเสียอีก แต่ทำไมเธอต้องเป็นฝ่ายเสียสละด้วย มันไม่คุ้มกันเลย แม้ว่าอังศุมาลินจะเป็นเพื่อนของเธอ แต่เคธี่ก็รักตัวเองมากกว่า เธอจึงไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ได้ตลอดไป

    “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิเคท คุณเป็นคนบอกผมเองไม่ใช่เหรอ ว่าคุณพอใจแค่นี้” สเตฟานไล้แก้มนุ่มเนียนด้วยริมฝีปากร้อนชื้น หวังจะใช้สัมผัสของเขาลบล้างความน้อยใจในหัวใจของเคธี่

    แม้เคธี่กับสเตฟานจะเคยมีความสัมพันธ์กัน ตั้งแต่ที่เขายังไม่เจออังศุมาลิน จนกระทั่งคบหากับอังศุมาลินแล้ว เขาก็ยังคบกับเคธี่ต่อไปอย่างลับๆ เพราะเคธี่ตอบสนองเขาได้ เมื่อเขาเกิดความใคร่ ผิดกับอังศุมาลินที่ไม่เคย ‘ยอมเลยสักครั้ง และเพราะอย่างนั้น ชายหนุ่มจึงไม่เซ้าซี้เธอ แต่ก็ออกไปหาความสุขกับคนอื่นแทนนั่นก็คือเคธี่ ซึ่งทั้งสองก็มาเกี่ยวพันกันอีก เมื่ออังศุมาลินกับเคธี่ได้มาทำงานในบริษัทเดียวกัน

    ทั้งที่สเตฟานสามารถเลือกใครเพียงคนเดียวก็ได้ แต่เขาก็ไม่ทำ เนื่องจากเขารักอังศุมาลินจริงๆ จนไม่อาจปล่อยให้เธอไปเป็นของใครได้ ส่วนเคธี่แม้ชายหนุ่มเคยบอกกับเธอแล้วว่า เขาจะเลือกอังศุมาลิน แต่ตอนนั้นหญิงสาวยืนยันว่า เธอจะยอมอยู่ในฐานะใดก็ได้ที่ไม่ต้องพรากจากเขา ด้วยเหตุนี้เองความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จึงถูกสานต่อมาเรื่อยๆ โดยที่อังศุมาลินไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยว่า ตัวเองกำลังถูกสวมเขา โดยเพื่อนและคนรักของตัวเอง

    “เรามาสนุกกันดีกว่านะ คุณจะได้ไม่ต้องสนใจคนอื่น นอกจากผม”

    พอถูกสัมผัสด้วยความเร่าร้อน เคธี่ก็ตัวอ่อนราวกับขี้ผึ้งถูกลนไฟ ความรู้สึกภายในปั่นป่วนไปหมด มันเสียวซ่านจนแทบควบคุมสติไม่อยู่ ตอนนี้ในความคิดของเธอมีแต่คนตรงหน้าและความปรารถนาอันร้อนเร่า ที่สเตฟานจุดขึ้นมาเท่านั้น ทว่านายพรานยังไม่ทันจะได้ล่าเหยื่อสาวสมใจ อารมณ์สวาทที่มอมเมาคนทั้งคู่ให้ละทิ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็พังทลายลง เมื่อคนที่กำลังแสดงฉากรักอันดูดดื่มรู้ว่า มีใครกำลังจ้องมองมา พร้อมด้วยข้าวของในมือของผู้มาใหม่ที่หล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น

    “เคท...ฟาน” อังศุมาลินเรียกชื่อของคนทั้งคู่ออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วระโหย หัวใจของอังศุมาลินหนักอึ้งราวกับมีหินสักร้อยก้อนมาถ่วง จนไม่อาจขยับหนีไปไหนได้ เธอหน้ามืดตัวชาคล้ายคนจะเป็นลม เนื่องจากตอนนี้เลือดในกายแทบไม่ไหลเวียน เพราะภาพของคนสองคนที่เธอรักและเชื่อใจที่สุดฉายวาบขึ้นมาในมโนนึกตลอดเวลา ฉากร่วมรักของคนทั้งคู่ เปรียบเสมือนน้ำเดือดๆ ที่ราดรดลงมาบนก้อนเนื้อตรงอกข้างซ้าย จนทำให้หัวใจที่เคยเต้นด้วยจังหวะแห่งรักแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ราวกับคนที่กำลังจะตาย

    ทว่าอังศุมาลินไม่ได้กรีดร้องโวยวายอย่างที่ผู้หญิงคนอื่นทำ หญิงสาวเอาแต่นิ่งเงียบ เพื่อใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวของคนทั้งสอง แม้จะไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา แต่อังศุมาลินก็รู้ดีว่า ตัวเองทรมานจนแทบอยากตายไปเสีย แต่หญิงสาวก็ยังเชื่อมั่นว่า ตัวเองจะยังมีชีวิตอยู่ได้ ท่ามกลางโลกที่แสนโหดร้ายนี้ แต่ก็คงมีชีวิตอยู่ในแบบที่ขมขื่น รวดร้าว ราวกับว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว...ตายทั้งที่ยังมีลมหายใจ

    หญิงสาวมองหน้าคนสองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างตัดพ้อ แม้เธอจะไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาเลยสักคำ แต่สเตฟานก็รู้ดีว่าอังศุมาลินกำลังเชือดหัวใจเขาด้วยมีดที่มองไม่เห็น ซึ่งมันเกิดจากความผิดหวังเสียใจ ที่ฉายชัดออกมาจากแววตาของเธอ

    “ซันนี่...ที่รัก ฟังผมก่อน” สเตฟานลุกพรวดจากโซฟา ทั้งที่ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูนัก เพราะมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันท่อนล่างไว้ ส่วนฝ่ายหญิงที่เขาเพิ่งนัวเนียด้วยก็ไม่ต่างกัน เพราะเธอก็มีผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายอยู่เช่นกัน ไม่ต้องบอกอังศุมาลินก็รู้แล้วว่า สมรภูมิรักของคนทั้งสองดุเดือดขนาดไหน เพราะเสื้อผ้าทั้งชิ้นใหญ่ ชิ้นเล็กกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นเต็มไปหมด

    เคธี่เองก็มองออกว่าเพื่อนร่วมงานของเธอคงกำลังโกรธมาก เพราะปกติแล้วอังศุมาลินจะเป็นคนอ่อนโยน ยิ้มง่าย แต่ตอนนี้สีหน้าของอังศุมาลินเต็มไปด้วยความเย็นชา จนทำให้เคธี่เหน็บหนาวจนจับขั้วหัวใจ ราวกับว่าตอนนี้ตัวเธอถูกขังอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ

    “ซันนี่ ฉัน...” เคธี่พยายามอธิบาย แต่เธอก็ยังไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน เพราะในตอนนี้สภาพของเธอกับว่าที่เจ้าบ่าวของเพื่อน มันเป็นสภาพที่อธิบายได้ยากยิ่ง

    “ผมอธิบายได้นะ อย่าเย็นชากับผมแบบนี้เลยซันนี่” สเตฟานพยายามจะเข้าไปปรับความเข้าใจด้วย ชายหนุ่มดึงมืออังศุมาลินขึ้นมากุมไว้ ทั้งที่หญิงสาวพยายามจะขัดขืนแต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายเธอจึงปล่อยให้เขาจับมือต่อไป พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบสนิท

    “ฉันให้เวลาคุณสิบนาที จัดการตรงนี้ให้เรียบร้อย แล้วเราค่อยคุยกัน”

                เมื่อเห็นว่าอังศุมาลินผละจากไปแล้ว สเตฟานก็รีบบอกให้เคธี่กลับไปก่อน ซึ่งตอนแรกหญิงสาวก็มีท่าทีจะไม่ยอมไป แต่พอถูกตวาดใส่ก็ยอมกลับไปก่อน แต่ก็ยอมกลับแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก พอเคธี่จากไปแล้ว สเตฟานก็รีบวิ่งเข้าไปหาอังศุมาลินในห้อง ชายหนุ่มตั้งใจจะมาขอโทษเธอ แต่พอเห็นว่าหญิงสาวกำลังเก็บข้าวของของตัวเองใส่กระเป๋าเดินทาง เขาก็รีบเข้าไปขวาง แล้วดึงตัวเธอมากอดไว้ หวังจะใช้อ้อมกอดรั้งตัวและหัวใจของคนรักไว้

    “คุณกำลังทำอะไรที่รัก อย่าทำอย่างนี้เลย ผมขอโทษ”

    “ปล่อยฉัน”

    “ไม่! ผมไม่มีวันยอมให้คุณไป ผมรักคุณนะซันนี่ กับเคทผมกับเขาก็แค่สนุกกัน เราไม่มีอะไรผูกมัดต่อกันอยู่แล้ว”

    เพี้ย!

    “ไม่นึกเลยว่าคุณจะมีความคิดชั่วๆ แบบนี้ ฉันผิดหวังในตัวคุณมาก” สายตาของว่าที่เจ้าสาวที่เคยคิดว่าตัวเองโชคดีกว่าใครฉายแววปวดร้าว ตอนนี้เธอขยะแขยงผู้ชายคนนี้ยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือนเสียอีก ทำไมเขาถึงทำให้เธอรู้สึกเกลียดได้มากขนาดนี้กันนะ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทุกอย่างในชีวิตเธอดูเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ทว่าตอนนี้ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว ด้วยการกระทำเลวๆ ของคนที่เธอเชื่อใจ

    “คุณจะด่า จะระบายกับผมยังไงก็ได้ แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ”

    “ตอนที่ฉันโทรหาคุณเมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนคุณไปทำงานที่เมืองอื่น เคทก็ไปกับคุณด้วยใช่มั้ย คุณกับเค้าใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดเลยใช่หรือเปล่า แล้วเสียงผู้หญิงที่ฉันได้ยินแว่วๆ ตอนโทรไปหาก็คงเป็นเสียงเคทสินะ” แค่เธอเปรยขึ้นมา สีหน้าของสเตฟานก็ซีดเสียยิ่งกว่าไก่ต้ม แล้วอย่างนี้จะให้เธออภัยให้เขาอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง ต่อให้เธอรักเขาแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ ‘โง่พอ ที่จะยอมให้โอกาสผู้ชายที่สวมเขาให้ “ตอบมา! แล้วก็อย่าโกหกอีก คุณก็รู้ว่าฉันเกลียดคนแบบไหนที่สุด”

    “ใช่ แต่เคทตามผมไปเองนะ ผมไม่ได้...” ใครจะยอมรับว่าเขาตั้งใจนัดเคธี่ไป ขืนให้อังศุมาลินรู้ เขาได้ตายคาที่กันพอดี “ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ให้โอกาสผมนะที่รัก ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณเสียใจอีกแล้ว”

    “อย่าพยายามอธิบายอีกเลย เพราะคุณทำลายความเชื่อใจที่ฉันมีต่อคุณมาหลายปีได้อย่างไม่ละอาย แล้วยังพาเพื่อนร่วมงานฉันมานัวเนียกันถึงในบ้าน ที่กำลังจะเป็นเรือนหอของเรา คุณยังมีความคิดอยู่หรือเปล่า”

    “ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ตั้งใจ คุณก็น่าจะรู้นะว่าผมไม่เคยรักใครเท่าคุณ ไม่งั้นผมจะขอคุณแต่งงานทำไม ผม

    เลือกคุณแล้วนะซันนี่”

    นี่มันเป็นความผิดของเธอใช่ไหม...เธอคงผิดเองที่เข้ามาเห็นฉากรักระหว่างเขากับเคธี่ เธอผิดมากหรือที่รีบเคลียร์

    งานแล้วกลับมาก่อน ตั้งใจกลับมาเซอร์ไพรส์เขาด้วยเหตุผลของความคิดถึง ทว่าสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเลยก็คือ จะต้องมาเห็นในสิ่งที่ไม่อยากเห็น และรีบกลับมาเพียงเพื่อให้ตัวเองรู้ว่า กำลังถูกว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเองสวมเขาให้

    “ความเชื่อใจของฉันที่มอบให้กับคุณ มันเป็นสิ่งมีค่าต่อความรักของเรามาก แต่สุดท้ายคุณก็ทำลายมันด้วยการกระทืบที่ใจฉัน จนมันแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี”

    “ซันนี่ คุณจะตบตีผมยังไงก็ได้...ผมยอม ขอแค่ให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย” สเตฟานไม่อยากสูญเสียอังศุมาลินไป จึงพยายามยกทุกคำที่คิดออกขึ้นมาเกลี้ยกล่อม ซึ่งคนฟังรู้ดีว่าเขาไม่คิดที่จะปรับตัวจริงๆ หรอก ตอนนี้เขาก็แค่ขอ ‘แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปก่อนเท่านั้น

    “ปล่อยเถอะค่ะ ฉันอึดอัด” หญิงสาวพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้ เพราะไม่อยากจะระเบิดพายุอารมณ์ที่ตอนนี้มันรุนแรงยิ่งกว่าทอร์นาโดออกมา ด้วยรู้ว่าถ้ายิ่งทำแบบนั้น สเตฟานก็คงจะใช้กำลังเข้าข่มเธอไว้เหมือนกัน

    “ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมสัญญา” ชายหนุ่มพยายามอ้อนวอน ขณะกุมมือนุ่มขึ้นมาจุมพิตหลายครั้ง เขามองตาเธอด้วยแววตาเชื่อมหวาน ราวกับต้องการสะกดให้เธอยอมอภัยให้กับทุกอย่างที่ทำ ซึ่งรอยยิ้มนิดๆ ที่อังศุมาลินยิ้มตอบกลับมาก็ทำให้คนที่แอบลุ้นจนตัวโก่งใจชื้นกว่าเดิมร้อยเท่า “คุณยอมยกโทษให้ผมแล้วใช่มั้ยซันนี่ ขอบคุณนะครับที่รัก ผมรักคุณมากนะ ขอกอดหน่อยได้มั้ย”

                “ค่ะ” หญิงสาวกัดฟันตอบ ก่อนจะถูกดึงเข้าไปกอด แต่การถูกกอดคราวนี้ ไม่ได้สร้างความอบอุ่นให้เธออย่างที่ผ่านมา ในทางกลับกันมันเหมือนกับว่า เธอถูกรัดด้วยหนามแหลมๆ ที่ไม่สามารถดิ้นหลุด “ฉันก็...รักคุณค่ะ”

                อังศุมาลินพูดไม่เต็มเสียนัก เพราะใจเธอไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูด แต่ที่ตอบไปก็เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน ว่าเธอกำลังจะทำอะไร ทว่าในที่สุดหญิงสาวก็ต้องผลักเขาออกอย่างแรง เมื่อสเตฟานตั้งใจจูบเธอ ชายหนุ่มฮึดฮัดขัดใจนิดหน่อย ที่คนรักดูเหมือนจะยังไม่หายโกรธ แต่ก็ไม่กล้าบังคับเพราะยังอยากถนอมน้ำใจอีกฝ่ายอยู่ ด้วยรู้ดีว่าอังศุมาลินไม่เหมือนเคธี่ ที่จะงอนง้อด้วยวิธีการพาไปนอนคุยกันบนเตียงได้

                “ซันนี่ไม่ได้โกรธ เพียงแต่ตอนนี้กำลังพยายามทำใจ ขอเวลาให้ซันนี่อีกนิดนะคะ” แม้จะเห็นใบหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียดาย และหงอยเหงาของคนที่เธอเคยรัก อังศุมาลินก็ไม่ยอมใจอ่อน เธอดึงเขาให้ลุกขึ้นจากเตียงแล้วพาไปที่หน้าห้อง ก่อนจะพยายามบังคับตัวเองให้หอมแก้มเขาอย่างที่เคยทำทุกคืน เวลาจะขอตัวไปนอน “ฝันดีนะคะ”

                พอเห็นว่าไม่มีทางทำให้อังศุมาลินอารมณ์ดีมากขึ้นกว่านี้ได้ สเตฟานจึงยอมที่จะกลับห้องของตัวเองไป แต่ก่อนไปชายหนุ่มก็ยังทิ้งท้ายด้วยคำพูดแสนเลี่ยนว่ารักเธออย่างนั้นอย่างนี้สารพัด ทว่าความรู้สึกดีๆ ของอังศุมาลินที่มีต่อผู้ชายตรงหน้า มันได้พังลงไปแล้ว ตั้งแต่ที่รู้ว่าเขาโกหกหลอกลวงเธอ ด้วยการสร้างภาพผู้ชายแสนดีขึ้นมา ทั้งที่ความจริงมันไม่เคยมีอยู่จริง คราวนี้คงต้องสิ้นสุดกันทีกับผู้ชายจอมหลอกลวง!

     

     

                เกือบเที่ยงคืนแล้ว อังศุมาลินยังคงวุ่นวายอยู่กับการเก็บข้าวของชุดสุดท้ายใส่ลงในกระเป๋าเดินทาง เพื่อเตรียมตัวที่จะจากไป จริงๆ เธอตัดสินใจได้ตั้งแต่ตอนแรกที่เห็นภาพของสเตฟานกับเคธี่นัวเนียกันบนโซฟาแล้ว แต่ก็รู้ว่าคนรักที่กำลังจะกลายเป็นอดีตสำหรับเธอตลอดกาล ต้องพยายามขัดขวางแน่ๆ ถ้าเขารู้ตัวก่อน หญิงสาวจึงแกล้งทำเป็นยอมให้อภัย เพื่อจะได้มีโอกาส หนีไปจากชีวิตอันเลวร้ายได้ง่ายขึ้น  โดยไร้ความระแวงสงสัยจากคนร่วมบ้าน

                มือบางเอื้อมมือไปลูบที่ชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดที่เพิ่งให้ช่างแก้มาให้เมื่อหลายวันก่อนทั้งน้ำตา ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเธอยังมีควาสุข ยิ้มชื่นชมกับชุดเจ้าสาวที่เธอเป็นคนเลือกแบบด้วยตัวเองอยู่เลย ทว่าวันนี้เธอกลับต้องมายืนมองมัน ในอารมณ์ที่ต่างกันราวฟ้ากับก้นเหว นึกๆ ดูแล้วก็สมเพชตัวเองนัก ที่เสียเวลากับผู้ชายไร้ค่าอย่างนี้มาตั้งหลายปี ทั้งที่เพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยก็เคยเตือนเธอตั้งแต่ตอนคบกับสเตฟานแรกๆ แล้วว่า ผู้ชายคนนี้เจ้าชู้ และเชื่อใจอะไรไม่ได้

    ในวันนั้นเธอยังหัวเราะกับคำตักเตือน และบอกตัวเองว่า เธอสามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้ จนกระทั่งวันนี้

    อังศุมาลินเพิ่งได้รู้ซึ้งว่า เธอไม่เคยเปลี่ยนสเตฟานได้เลย ในทางกลับกัน การคบกับเขาทำให้เธอปิดหูปิดตาตัวเองมากขึ้นด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เธอหายโง่แล้ว และคงไม่มีวันยอมกลับไปโง่เหมือนเดิมแน่

                อังศุมาลินพยายามตัดใจและลากกระเป๋าเดินทางสองใบออกมาจากบ้านเช่าหลังน้อยอย่างเงียบๆ หญิงสาวต้องการไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่สเตฟานจะตื่นมาเห็นเข้า เธอจึงโทรไปตามแท็กซี่ที่ศูนย์บริการล่วงหน้า ตั้งแต่ตอนที่แยกกับสเตฟานเมื่อตอนหนึ่งทุ่ม และนัดแนะเวลากันไว้ว่า ให้มารับเธอตอนห้าทุ่มสี่สิบห้า ซึ่งสาเหตุที่เธอเลือกเวลานั้นก็เพราะคิดว่าสเตฟานคงจะหลับสนิทแล้ว

     

    ทันทีที่ถึงเวลานัด รถแท็กซี่ก็เคลื่อนมาจอด อังศุมาลินขึ้นรถไปทันทีโดยไม่เหลียวหลัง พอขึ้นรถแล้วเจอคนขับถามว่าจะไปไหน ความเข้มแข็งที่พยายามสร้างเป็นเกราะ เพื่อป้องกันตนเองก็ทลายลง ด้วยความหวั่นไหวและไม่แน่ใจ

                เธอจะไปไหนได้...อังศุมาลินคิดอย่างว้าวุ่น ตลอดหลายปีที่ผ่าน สเตฟานเป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเธอ ยามไม่มีเขา เมื่อมองไปทางใดก็ดูเหมือนว่า มันจะมืดมนไปหมด แต่พอนึกถึงสิ่งที่เขาทำกับเธอ น้ำตาที่เคยไหลพรากราวกับเขื่อนพังก็หดหายไปทันที พร้อมกับความคิดที่ว่า...เธอจะไปสนใจผู้ชายไม่ได้เรื่องอย่างสเตฟานทำไม

    “ไปไหนดีครับคุณ” คนขับแท็กซี่มองผ่านมาทางกระจกหลัง พลางเอ่ยถามอีกครั้ง เพราะขับออกมาจากหมู่บ้าน

    สักพักแล้ว ผู้โดยสารสาวก็ยังไม่ยอมตอบเสียทีว่า ต้องการจะไปที่ไหน

    “ขับไปเรื่อยก่อนค่ะ” คนขับฉงนเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำตอบของผู้โดยสาร แต่ก็ตัดสินใจขับรถไปเรื่อยๆ อย่างเงียบๆ เนื่องจากดูออกว่าคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง คงอยากอยู่เงียบๆ มากกว่า  

    ตี๊ด! ตี๊ด!

    เสียงนาฬิกาในรถแท็กซี่ดังขึ้น ทำให้หญิงสาวเบนสายตาที่เหม่ออกไปนอกรถก่อนหน้านี้ กลับมามองที่หน้าปัดของนาฬิกาที่ตั้งไว้ด้านหน้ารถ นาฬิกาดิจิตอลที่บอกเวลาเที่ยงคืน ทำให้อังศุมาลินนึกไปถึงตอนที่ซินเดอเรล่าต้องหนีเจ้าชายออกมาจากงานเลี้ยงในเวลาเที่ยงคืน เพราะกลัวว่าชุดสวยๆ ที่เธอใส่ไปร่วมงานจะกลายเป็นเสื้อผ้ามอซอ ส่วนรถม้าก็จะกลายเป็นฟักทอง

    ตอนนี้เธอเองก็ต้องหนีเหมือนนางเอกในนิทานเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่า ซินเดอเรล่าในนิทานยังมีหวังที่จะได้เจอเจ้าชายและครองรักกันในตอนจบ ส่วนเธอนั้นเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่ไม่มีรถฟักทอง ไม่มีรองเท้าแก้ว และคงไม่ได้ครองรักกับเจ้าชายในตอนท้ายของเรื่อง ทั้งที่กำลังจะได้เป็นเจ้าสาวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หากไม่เกิดเหตุการณ์บ้าๆ นี่ขึ้นมาเสียก่อน

    ไม่มีหรอกความฝันที่สวยงามอย่างในนิทานที่ว่า เพราะทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของอังศุมาลินในเวลานี้เป็นยิ่งกว่าฝันร้าย แต่เธอก็ต้องพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมาเร็วๆ ก่อนที่สิ่งร้ายๆ ในฝันนั้น จะตามมาหลอกหลอน และทำลายความเข้มแข็งที่มี จนทำให้เธอตายทั้งเป็น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×