ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รามิดา ฮาบู YURI

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ ๑

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.75K
      25
      22 ก.พ. 57



    เรื่องนี้เขียนจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่สามารถใช้อ้างอิงอะไรใดๆ ได้จ้า

     

     

     บทที่ ๑

     

    แผ่นหินจารึก แผ่นหนึ่ง ถูกเคลื่อนย้ายจากแหล่งขุดค้นพบมันมามากว่าสามร้อยปี ไม่มีใครสามารถแปลข้อความในแผ่นหินนั้นได้ แม้จะมีความพยายามในการส่งให้ผู้เชี่ยวชาญนับร้อยนับพันคนให้มาลอง       แปลข้อความเหล่านั้น แต่มันกลับเหมือนโยนเม็ดทรายทิ้งลงในทะเล     อันกว้างใหญ่ไพศาล

    “ไม่มีใครแปลมันได้เลยหรือไง มันเป็นแผ่นศิลาที่มีข้อความชัดเจนครบถ้วนที่สุดเท่าที่เราขุดค้นพบมาเลยนะ”

    ศาสตราจารย์ชื่อดังของมหาวิทยาลัยในกรุงมาเซบ่นขึ้น เมื่อเขาเดินเข้ามายังห้องเก็บสมบัติ ซึ่งขุดค้นได้จากในสุสานต่างๆ รวมถึงจากในวิหารทั้งหลายทั้งมวลในประเทศนี้

    เขาเฝ้ามองมันทุกวัน หลังจากที่มีคำสั่งให้ขนย้ายมันมา           ยังพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัย เขาถ่ายรูปส่งไปให้เพื่อนๆ ที่เก่งทางด้านโบราณวัตถุ และภาษาโบราณที่สูญหายไปจากโลกมนุษย์เพื่อนำไปแปล นับเนื่องมาจนถึงบัดนี้ เป็นเวลากว่าสามสิบปี เขากับเพื่อนๆ ยังแปลข้อความบนจารึกนั้นได้ไม่ถึงสามบรรทัด

    เขาจำข้อความสามบรรทัดนั้นได้อย่างขึ้นใจ

    “จักรวาลแผ่ไพศาลมิมีสิ้นสุด  เอกภพบรรจบเกิดจุดแตกดับ บานหน้าต่างเปิดแลปิด เฉกเช่นลมสุริยา”

    ข้อความเหล่านั้น ถึงจะแปลออกมาแต่ก็ยังไม่ได้ใจความอะไร หรือคนโบราณจะชอบการเกริ่นนำเหมือนบทกวีเก่าๆ ที่เขาเคยอ่าน อ้างดินฟ้าอากาศไปเรื่อยเปื่อย แม้เนื้อเรื่องด้านในจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับดินฟ้าอากาศสักนิด

    คนโบราณอาจจะคิดว่าจักรวาลคือเทพเจ้าของพวกเขา เมื่อจะทำอะไรหรือแม้แต่จะสร้างสุสาน ก็ต้องสรรเสริญจักรวาลก่อนเป็นอันดับแรก

    “ท่านครับ วันนี้จะมีกรุ๊ปทัวร์จากเมืองไทยมาครับ”

    ผู้ช่วยของเขาเดินมาแจ้งข้อความที่เขารู้แล้ว อีกครั้ง

    “รู้ไหมจะมากันสักกี่โมง”

    “เครื่องจะลงที่สนามบินราวๆ สิบโมงครับท่าน ท่านจะให้เขามาที่นี่ก่อนเข้าพักโรงแรมหรือเปล่าครับ” ผู้ช่วยคนสนิทนามว่าอาราชา ถามเขาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ระยะทางจากสนามบินมายังสถานที่แห่งนี้     ใช้เวลาไม่นานนัก แต่หากให้คณะคนไทยเข้าที่พักแล้วจึงค่อยเดินทางมาที่นี่ คาดว่าจะใช้เวลานานร่วมๆ สองชั่วโมง เขาเกรงว่าเวลาเปิดทำการจะ  หมดลงเสียก่อน เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ พิพิธภัณฑ์จะเปิดถึงเวลา     สิบสามนาฬิกาเท่านั้น

    “ถ้าพวกเขาสะดวกให้มาเลยดีกว่า ผมเกรงว่าเวลาเราจะไม่พอ”

    แทบไม่ต้องคิด ศาสตราจารย์ผู้สูงวัยตอบกลับทันที

    “ครับท่าน” อาราชารับคำและรีบเดินทางไปสนามบินเพื่อรอรับคณะจากเมืองไทยทันที

    ประเทศกาซาแห่งนี้มีดินแดนติดกับทะเลทรายอันร้อนระอุ ผู้คนส่วนใหญ่ดำรงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์

    ประเทศกาซาถูกยึดครองจากประเทศมหาอำนาจ ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน ทำให้ประเทศเล็กๆ อันแสนจะทุรกันดารต้องแยกออกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากที่ประธานาธิบดีคนแรกของกาซาขอให้เหล่ามหาอำนาจทั้งหลาย ปลดปล่อยกาซาออกจากการเป็นประเทศในเครือ กาซาจึงมีผู้นำเป็นของตัวเอง ศาสตราจารย์กริมราชูเป็นหนึ่งในคนที่เรียกร้องให้เหล่าประเทศมหาอำนาจเหล่านั้น นำสมบัติของชาติเขากลับมาสู่มาตุภูมิ

    สมบัติมีค่าทุกชิ้นในดินแดนนี้ถูกโยกย้ายและขายทอดตลาด    บางชิ้นหายไปอย่างลึกลับ บางชิ้นไปปรากฏในพิพิธภัณฑ์ใหญ่ และกลายเป็นสมบัติของประเทศ ซึ่งไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง

    วันนี้เขาจะได้พบกับเพื่อนเก่า ที่ไม่ได้พบกันมานานนับสิบๆ ปี ศาสตราจารย์ทุติ คือเพื่อนของเขาคนนั้น เขาบอกเรื่องเกี่ยวกับแผ่นจารึกแผ่นนั้นกับทุติมาสิบกว่าปี แต่ไม่เคยได้นำเอารูปถ่ายหรืออะไรใดๆ ไปให้  ทุติได้ดู ทุติบอกกับเขาว่า จะพานักศึกษาปริญญาเอกและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมาดูงานศิลปะของกาซา  เขายินดียิ่งนักที่จะได้ต้อนรับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเขา เขายืนรออยู่อย่างสงบ เพื่อรอรับทุติอย่างเป็นทางการ

     

    เครื่องบินโดยสารระหว่างประเทศหลายลำค่อยๆ ทยอยลงจอดยังรันเวย์ของสนามบินซึ่งเป็นสนามบินใหญ่แห่งเดียวในประเทศกาซา

    อาราชายกป้ายยินดีต้อนรับคณะทัวร์จากประเทศไทยขึ้นสูงเหนือศีรษะ เขาไม่แน่ใจว่าจะมีใครมองเห็นป้ายที่เขาตั้งใจเขียนขึ้นในนี้หรือไม่ นานๆ ครั้งเขาจะได้มาต้อนรับแขกคนสำคัญของท่านศาสตราจารย์ ทำให้เขาไม่ค่อยจะมั่นในเท่าใดนัก

    ปรกติแล้วเขาจะเป็นผู้ช่วยในด้านโบราณวัตถุมากกว่าที่จะให้ออกมาต้อนรับแขกคนสำคัญอย่างวันนี้ เขาเห็นชายชราคนหนึ่ง เดินมาพร้อมกับผู้หญิงอ่อนวัยกว่าอีกสี่คน และทุกคนมุ่งตรงมาที่เขา

    “สวัสดีครับ ผมเป็นแขกของท่านศาสตราจารย์กริม ผมทุติครับ”

    ทุติยื่นมือไปเพื่อทักทายกับอาราชา

    “ผมอาราชาครับท่าน ยินดีต้อนรับท่านสู่กาซาครับ”

    “จารย์คะ เราจะเข้าโรงแรมกันเลยหรือเปล่า”

    ผู้ติดตามเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถามทุติเป็นภาษาไทย ทำให้      อาราชาคิดว่าไม่ใช่เรื่องของเขา เขาจึงทำเฉยเสีย

    “ผมว่าเราไปพิพิธภัณฑ์กันก่อนดีกว่า วันนี้วันศุกร์ เปิดถึงแค่   บ่ายโมง” ทุติหยุดนิดหนึ่ง จึงหันไปเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษกับอาราชา

    “ขอโทษครับ ช่วยพาพวกเราไปพิพิธภัณฑ์เลยได้ไหมครับ”

    “ผมกำลังจะบอกกับท่านอยู่พอดีครับ ท่านศาสตราจารย์สั่งผมว่าให้พวกท่านไปที่พิพิธภัณฑ์กันก่อน แล้วค่อยกลับไปโรงแรม”

    ทุติพยักหน้ารับรู้ แม้จะรู้ว่าหนึ่งในผู้ร่วมคณะของเขาจะเมาเครื่องบินตั้งแต่ยังไม่ทันเชิดหัวขึ้นจากสุวรรณภูมิ และเมาต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งบินมาถึงประเทศกาซาแห่งนี้

    “ยังไหวไหม” ทุติหันไปถามนักศึกษาร่วมคณะทัวร์ของเขา

    “พอไหวค่ะจารย์” รามิดาอ้อมแอ้มตอบ เธอไม่คิดว่าเธอจะเมาเครื่องบินอย่างนี้ ปรกติแล้วเธอเดินทางบ่อยครั้ง ไม่มีครั้งใดที่จะเกิดอาการเช่นนี้มาก่อน คงเป็นเพราะเธอไม่ได้นอนติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน

    ทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอกว่าที่ควรจะเป็น

    “ท่านมากันกี่คนครับ” อาราชาเอ่ยถามระหว่างที่เดินไปยังรถตู้ ซึ่งจอดอยู่ที่ลานจอดรถหน้าสนามบิน

    “หกคนครับ ตามที่แจ้งเอาไว้” ทุติตอบ

    อาราชานำกระเป๋าเดินทางของทุกคนไว้หลังรถ โดยมีชายหนุ่ม   ซึ่งเขาเดาว่าคงเป็นหนึ่งในนักศึกษาที่ร่วมเดินทางมาพร้อมกับทุติ

    “ผมสรวงฟ้าครับ นี่เด่นจันทร์แฟนผม ส่วนคนที่กำลังอ่วมอยู่นั่น

    เธอชื่อรามิดาครับ” สรวงฟ้ายื่นมือไปทักทายกับผู้สูงวัยกว่า

    “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมอาราชาครับ ส่วนคนขับรถชื่อฮาบูครับ”

    อาราชาแนะนำตัวเขาและคนขับรถให้กับทุกคน

    เมื่อทุกคนขึ้นรถเรียบร้อยจุดมุ่งหมายคือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติมหาวิทยาลัยมาเซ

     

    แม้ระยะทางจากสนามบินมายังมหาวิทยาลัยมาเซจะไม่ไกลนัก แต่รามิดาซึ่งมีอาการเมาเครื่องค้างอยู่นั้น พอรถโยกซ้ายนิด โยกขวาหน่อย ทำเอาเธอเกิดอาการเมาขึ้นมาอีก

    “ไหวไหมแก” เด่นจันทร์เอ่ยถามเมื่อเห็นว่ารามิดากำลังจะเกิดอาการเช่นเดิมอีกครั้ง

    “ไม่ไหวแล้วแก จอดรถได้ไหม” รามิดาตอบเสียงแหบพร่า

    “จารย์ๆ จอดรถได้ไหมคะ” เด่นจันทร์ชักเห็นท่าไม่ดี ถุงพลาสติกที่เธอพกติดตัวลงมาจากเครื่องบินหายไปไหนไม่รู้ ครั้นจะให้เพื่อนรัก     นำของเก่าออกมายลโฉมโลกในรถก็คงใช่ที่

    รถตู้จอดข้างทาง ให้กับรามิดาได้ลงไปทำธุระ พร้อมกับเด่นจันทร์

    อากาศที่แสนจะร้อนอบอ้าว ทำให้เด่นจันทร์เกือบจะทรุด

    “ไอ้ดา แกเร็วๆ หน่อยได้ไหม ร้อนจะบ้าอยู่แล้ว”

    เด่นจันทร์เร่ง ส่วนมือของเธอยังคงช่วยลูบหลังของเพื่อนไปพลาง

    “แกลองมาเป็นฉันดูบ้างดิ แล้วจะรู้ว่าไหวไหม” รามิดาบ่นกลับ

    “อีกไกลหรือเปล่าก็ไม่รู้ แกชักชาแบบนี้มีหวังเขาปิดทำการพอดี”

    “เออๆ ขอน้ำหน่อย” รามิดาเสร็จธุระ จึงเรียกหาน้ำ

    “ไม่มีแกอมของเก่าแกไปก่อนแล้วกัน ไปๆ รีบๆ เข้าเกรงใจจารย์กับคุณอาราชาเขา” เด่นจันทร์พูดจบรีบเปิดประตูรถเข้าไปนั่งด้านใน

    รามิดารีบตามเพื่อนขึ้นรถ ไปนั่งประจำที่ของเธอ

    “แหวะไอ้ดา เหม็นโคตรเลยว่ะ ไปนั่งไกลๆ เลยนะแก”

    เด่นจันทร์บ่นอีกครั้ง เมื่อได้กลิ่นไม่พึงประสงค์จากตัวเพื่อนรัก

    รามิดารู้ว่า วันนี้ไม่ใช่วันของเธอ ขอให้ถึงมหาวิทยาลัยก่อนเถอะ เธอจะจัดการล้างหน้าล้างตา ล้างเนื้อล้างตัว สำหรับเธอ การเดินทาง     ในครั้งนี้มันช่างเป็นอะไรที่ย่ำแย่เสียเหลือเกิน ให้ตายเถอะ

     

    อาราชาเดินนำทุติไปพบกับเจ้านายของเขา ทั้งสองคนแสดงความยินดีที่ได้พบหน้ากันอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้พบกันมาร่วมสิบๆ ปี

    “ยินดีต้อนรับสู่กาซา”

    ศาสตราจารย์กริมเอ่ยทักทายเพื่อนรัก และกอดกับทุติแน่น

    “ยินดีเช่นกัน คุณไม่เปลี่ยนไปเลยกริม”

    “คุณก็เหมือนกัน มาๆ เชิญทางนี้” ศาสตราจารย์กริมเดินนำทุติและคณะไปยังห้องกระจกขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถมองเห็นศิลปวัตถุชิ้นใหญ่

    ที่จัดแสดงอยู่เบื้องล่าง

    “พระเจ้า อะไรจะอลังการงานสร้างอย่างนี้”

    เด่นจันทร์ร้องออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นสิ่งที่เธอเห็นอยู่ ณ เวลานี้

    “นี่ยังเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยนะ ยังมีอีกมากด้านใน”

    ศาสตราจารย์กริมว่า

    “นี่ขนาดส่วนน้อยนะครับ ถ้าเห็นรวมๆ กันทั้งหมดมีหวังพวกผมหัวใจวายตาย” สรวงฟ้าแสร้งว่า เขาเคยเห็นสมบัติมีค่าจากทั่วทุกมุมโลกมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง พ่อของรามิดาเป็นเพื่อนกับทุติและเป็น            นักโบราณคดีเช่นเดียวกับทุติ เขาจึงมีโอกาสได้เดินทางไปทั่วโลก เพื่อ     ยลโฉมศิลปะโบราณล้ำค่าเหล่านั้นมาบ้าง แต่ไม่เคยเห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างนี้มาก่อน

    “ถ้าฝรั่งเศสคืนสิ่งที่เราขอคืนมาให้ ส่วนที่เป็นยอดเศียรจะได้มีของประดับกลับมาเหมือนเดิม” กริมบอกกับทุกคน รูปสลักหินทรายรูปนี้มีขนาดมหึมา ประเทศมหาอำนาจไม่สามารถขนย้ายรูปสลักขนาดใหญ่รูปนี้ไปได้ จึงสั่งให้คนสกัดเอามงกุฎบนยอดรูปสลัก ไปเก็บเอาไว้ที่ประเทศ  ของตัวเอง เป็นการบอกว่า สิ่งของเหล่านี้อยู่ในความครอบครอง          ของประเทศนั้นอย่างกรายๆ

    มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ใส่ใจกับวัตถุตรงหน้า นั่นคือรามิดา เธอเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนอีกครั้ง จึงรีบเดินไปหาห้องน้ำ

    “อยู่ไหนของมันวะ อย่าบอกนะว่าไม่มีห้องน้ำ ตายแน่ๆ ไอ้ดา”

    รามิดาบ่นกับตัวเอง เธอเดินมาไกลจากห้องกระจกพอสมควร แต่ไม่เห็นวี่แววของห้องน้ำเลยสักนิด หรือสถานที่แห่งนี้จะไม่มีห้องน้ำกันแน่

    “ขอโทษคะ ห้องน้ำอยู่ทางไหนคะ”

    รามิดาเอ่ยถามกับนักท่องเที่ยวชายหญิงคู่หนึ่ง ทั้งสองส่ายหน้า แสดงว่าไม่รู้เหมือนกับเธอเช่นกัน

    รามิดากลืนก้อนแข็งๆ ลงลำคอ เธอรู้ว่าอีกไม่นานเธอคงทนไม่ได้อีกแล้ว ความหวังเดียวคือเดินย้อนกลับไปด้านหน้า และออกไปนอกประตู อย่างน้อยๆ ข้างๆ รถที่จอดก็ยังพอไหว ขืนปล่อยในนี้มีหวังตายหยังเขียด แล้วจะจุดอะไรกันนักหนาไอ้กำยงกำยานเนี่ย เวียนเฮดสุดๆ น้ำหูน้ำตาไหลกระเจิง แสบตาก็แสบ ยังจะอยากอาเจียนอีก

    “จะไปไหน” เสียงห้วนๆ เสียงหนึ่งเอ่ยถาม รามิดาหันไปตามเสียงนั้น เห็นว่าเป็นคนขับรถที่อาราชาแนะนำเธอว่าชื่อฮาบู

    “ห้องน้ำค่ะ”

    “ทางนี้”

    เสียงนั้นตอบพร้อมกับเดินนำรามิดาไปยังซอกเล็กๆ เมื่อเข้าไป  ในนั้นจึงเห็นว่ามีห้องน้ำอยู่สองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นของผู้ชาย อีกฝั่งเป็นของผู้หญิง รามิดาไม่รอช้า รีบเข้าไปในนั้นทันที สิ่งที่เธออดกลั้นมานาน บัดนี้ได้นำออกมาจนหมดไส้หมดพุง หวังว่าจะไม่มีออกมาอีกนะ ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ประทับใจกับทริปนี้เป็นแน่

     

    รามิดาเดินกลับมารวมกลุ่มหลังจากที่หายไปร่วมครึ่งชั่วโมง

    “หายไปไหนมาไอ้ดา” เด่นจันทร์ถามด้วยความเป็นห่วง

    “ไปห้องน้ำมา”

    “เอาอีกแล้วหรือแก อาหารเป็นพิษหรือเปล่าวะ อ้วกได้ตลอดทาง

    ตั้งแต่เมืองไทยยันที่นี่”

    “ไม่รู้เหมือนกัน ที่แน่ๆ เบาเลยแก ชักหิว”

    “ไม่หิวไม่รู้จะว่าไงแล้ว แกเล่นอ้วกๆ จนพวกฉันจะทำตามแล้วเนี่ย ล้างหน้ามาหรือยัง”

    “เรียบร้อยแล้ว ค่อยสบายตัวขึ้นมาหน่อย แล้วนี้ดูอะไรกัน”

    รามิดาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคณะของเธอยืนมองก้อนหินก้อนหนึ่งอยู่อย่างเงียบๆ

    “ดูจารึกคำทำนายอะไรเนี่ยแหละ ฉันดูไม่ออกหรอก ภาษาโคตรโบราณเลยแก”

    “อันไหน”

    “อันนั้นไง ชิ้นกระจิ๊ดเดียว แต่เห็นว่าสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์”

    เด่นจันทร์ชี้ไปที่ก้อนหินแกะสลักอันหนึ่งซึ่งวางอยู่ในตู้กระจกนิรภัย ที่ทุติกำลังยืนมองอยู่ เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ จ้องมองมันเหมือนกับ  ทุกคน อยู่ๆ สมองของเธอได้ยินเสียงบางอย่าง

    “ยินดียิ่งที่เจ้ากลับมาราห์....”

    รามิดารู้สึกมึนอีกครั้ง นี่เธอเมาเครื่องจนหูฝาด ตาฝางขนาดนี้เลยหรือ อักษรที่เขียนอยู่บนแผ่นหินนั้น ทำไมเธอถึงอ่านมันออก

    “จักรวาลแผ่ไพศาลมิมีสิ้นสุด  เอกภพบรรจบเกิดจุดแตกดับ    บานหน้าต่างเปิดแลปิด เฉกเช่นลมสุริยา ตราบวันดวงดาวบรรจบ เอกภพจักลบกลบแสง กลับกลายเป็นเช่นข้างแรม ไร้แสงจันทราและดาวเดือน”

    รามิดาพูดได้เพียงเท่านั้น สติของเธอหลุดออกจากร่าง

    “อะไรนะดา เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ”

    ทุติหันมามองลูกศิษย์ของเขา และเห็นว่ารามิดาเป็นลมไปแล้ว แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คำพูดของรามิดาที่พูดเอาไว้ก่อนที่จะหมดสติไป ทำให้เขาได้คิด หรือรามิดาจะอ่านจารึกบนแผ่นศิลานั้นออก เหมือนที่มุจลินทร์และ นาลันทาเคยทำมาแล้ว

     

    ความโกลาหลเกิดขึ้นกับกลุ่มของทุติทันทีที่รามิดาเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาของทุกคน

    ทุติเคยเจอเรื่องราวแปลกๆ แบบนี้มาบ้างแล้ว เขาจึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนักกับสิ่งที่รามิดาเป็น ผิดกับทุกคนที่ต้องการจะให้นำตัวรามิดาไปโรงพยาบาล แต่ทุติบอกว่าให้พาไปพักที่โรงแรมจะดีกว่า เขาเห็นว่าหากนำตัวไปโรงพยาบาลจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยาก ดีไม่ดีรามิดาอาจจะถูกส่งตัวกลับเมืองไทย ทุกคนเห็นด้วยกับความคิดของทุติ ทำให้ศาสตราจารย์กริมต้องให้แพทย์ส่วนตัวของเขามารักษารามิดาที่โรงแรม

    แพทย์ให้ความเห็นว่ารามิดาขาดน้ำ จึงให้น้ำเกลือและกลับไป เด่นจันทร์ค่อยข้างเป็นห่วงเพื่อนของเธอ รามิดาไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน ใช่ว่าพวกเธอจะไม่เคยไปลำบากที่ไหน เธอกับรามิดาไปมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ จะมีก็ครั้งนี้นี่แหละที่เพื่อนของเธอเกิดอาการชนิดที่เธอยังรับไม่ได้ ถึงกับต้องมานอนให้น้ำเกลือ หยอดน้ำข้าวต้ม

    “ให้พักสักหน่อยคิดว่าคงไม่เป็นไร” เรกะติบอกกับเด่นจันทร์ ด้วยเห็นว่าอาการของรามิดา การได้พักผ่อนถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เธอเห็นรามิดาอาเจียนมาตลอดทาง แถมยังไม่ได้พักผ่อน สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในเวลานี้คือให้คนป่วยได้นอนพักเอาแรง วันพรุ่งนี้อาการของรามิดาคงจะดีขึ้น

    “เราไปพักเถอะเด่น เดี๋ยวพี่ดูแลให้เอง” เรกะติบอกอย่างนั้น

    “จารย์เรไม่พักหรือคะ”

    “พี่นอนมาในเครื่องไม่เป็นไรหรอก ไปเถอะ ทางนี้พี่จัดการเอง อีกอย่างมีฮาบูคอยอยู่เป็นเพื่อน ไม่ต้องห่วง” เรกะติหมายถึงฮาบูลูกสาวของอาราชา ที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้กับพวกเธอ

    อาราชาบอกกับพวกเธอว่าจะให้ฮาบูคอยอยู่ช่วยเหลือ หากมีอะไรขาดตกบกพร่อง เขารู้ว่าคนในแถบนี้ไม่คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษเท่าใดนัก ดินแดนแถบนี้เคยเป็นเมืองขึ้นของสเปน จึงทำให้คนในย่านนี้พูดภาษาสเปนกันเสียส่วนใหญ่ผิดกับทางตอนล่างของประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ ส่วนทางด้านซ้ายของแม่น้ำลาอูลนั้นจะพูดภาษาอังกฤษ เป็นข้อเสียของประเทศที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อให้ตนเองอยู่รอด

    หญิงสาวที่ชื่อฮาบูก้มศีรษะให้กับเด่นจันทร์นิดๆ เป็นการบอกว่าเธอทำตามที่เรกะติบอกเอาไว้ เด่นจันทร์จึงเบาใจ เดินกลับไปพักยังห้องของตัวเอง หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เธอหลับชนิดที่เรียกได้ว่าหลับเป็นตาย ด้วยความอ่อนเพลีย

     

    “ท่านกลับมาแล้ว ราห์...” เสียงจากที่ใดสักแห่งส่งเสียงดังก้องจนเกือบทำให้รามิดาปวดแก้วหู

    สถานที่แห่งนี้คือที่ไหนกันนะ มันไม่เหมือนกับที่เธอเคยเห็น      รามิดาค่อยๆ เดินลงไปตามบันไดหินอันเย็นยะเยือก บันไดแห่งนี้จะพาเธอไปยังที่แห่งใดกัน ยิ่งเดินยิ่งลึกลงไปทุกที หรือทางแห่งนี้จะนำพาเธอไปสู่ ขุมนรกกันแน่นะ

    ไม่นะ มีคนบอกว่าขุมนรกมันร้อน แต่ที่นี่ ยิ่งเดินความเย็นยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ ไม่มีลมอะไรพัดผ่าน แต่อุณหภูมิในสถานที่แห่งนี้มันเย็น ราวกับติดเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่เอาไว้ แถมยังเร่งอุณหภูมิให้เย็นน่าจะเกือบถึงจุดเยือกแข็ง

    รามิดาลูบแขนของเธอ เพื่อให้ความอุ่นจากฝ่ามือไล้ไปยังแขน   ทั้งสองข้างของตน “อะไรมันจะหนาวแบบนี้”

    แม้ในสถานที่แห่งนี้จะไม่มีแสงสว่าง แต่มันกลับมองเห็นไปได้ทั่ว รามิดาเดินลงไปจนถึงบันได้หินขั้นสุดท้าย เธอพบกับผนังห้องซึ่งไม่มีประตูอะไรสักอย่าง

    “ตายล่ะหว่า อย่าบอกนะว่าต้องเดินกลับขึ้นไป”

    รามิดามองไปยังบันไดหินที่เธอเดินลงมา บัดนี้ความมืดมิดปกคลุมบันไดนั้นจนทำให้เธอมองไม่เห็นมันอีกต่อไป

    ลำแสงบางอย่างพุ่งตรงลงมาจากเพดาน ลำแสงนั้นอบอุ่นและสว่างไสว ทำให้รามิดารู้สึกดีขึ้น หลังจากที่เธอหนาวจับใจ

    “ราห์....” เสียงๆ นั้นดังขึ้นอีกครั้ง 

    รามิดาเห็นผนังกำลังขยับ ทำให้แผ่นหินที่เธอยืนอยู่สั่นไหวจนเธอถึงกับเซไปปะทะกับผนังนั้น

    “โอ๊ย” รามิดาร้องออกมาด้วยความตกใจ ผนังนั้นค่อยๆ เปิดกว้างออกเรื่อยๆ เผยให้เห็นรูปสลักหินขนาดมหึมา คล้ายๆ กับรูปสลักที่เธอได้เห็นเมื่อตอนบ่าย แต่มันมหึมากว่านั้นมาก มันกินพื้นที่ทั้งหมดในห้องแห่งนี้  บนศีรษะของรูปสลักนั้นมีมงกุฎประดับด้วยอัญมณีสีแดงเพลิงก้อนเท่ารถยนต์หนึ่งคัน

    ไม่ผิดแน่!!! เธอคิดว่าเธอตาไม่ฝาด อัญมณีสีแดงนั้นก้อนเท่ารถแน่นอน

    “แม่เจ้า อะไรจะขนาดนั้น” รามิดาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง หากมีอัญมณีก้อนเท่ารถเป็นของตัวเอง เธอคงจะรวยล้นฟ้า

    “ราห์” เสียงเรียกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

    “ขอต้อนรับเจ้ากลับบ้านแห่งเรา”

    ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเสียงเรียกเท่านั้น ยังมีเสียงพูดคุยกับเธออีกด้วย

    “คุณเป็นใครกัน”

    รามิดารวบรวมความกล้าทั้งหมดที่เธอมีส่งเสียงตอบกลับไป

    “เจ้าลืมเราแล้วรึ” เสียงลึกลับเอ่ยถาม

    “ฉันไม่รู้จักคุณ” รามิดาชักจะหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้รับรู้

    “เจ้าจักจำเราได้ในสักวัน ราห์...ดวงใจแห่งข้า”

    เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง รามิดารู้สึกว่าตัวของเธอโดนเขย่า หรือแผ่นดินจะขยับอีกครั้งกันนะ

    “คุณดา เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงอีกเสียงหนึ่งเรียกรามิดาเบาๆ เมื่อเห็นว่ารามิดาเพ้อออกมาฟังไม่ได้ศัพท์

    “คูณรามิดาคะ”

    รามิดาลืมตาตื่นขึ้นมามองใบหน้าซึ่งมีดวงตาคมกริบแทบจะบาดทุกสิ่งที่เจ้าของจ้องมอง เธอเรียกสติกลับคืนมามองไปรอบๆ เตียง

    “คุณอยู่ที่โรงแรมค่ะ” เสียงจากสาวตาคมบอกเช่นนั้น

    “ฉันเป็นอะไรคะ”

    “คุณเสียน้ำไปมากค่ะ จึงต้องให้น้ำเกลือ”

    “ฉันหิวน้ำ” รามิดาว่า เธอเห็นอีกคนขยับกายไปเทน้ำจากเหยือกมาป้อนให้กับเธอ

    รามิดาดื่มไปจนหมดแก้วแล้วจึงส่งคืนให้กับสาวตาคมคนนั้น

    “ขอบคุณค่ะ ฉันหมดสติไปนานไหม”

    “นานค่ะ ราวๆ ครึ่งวัน”

    “ตายแล้ว จารย์ต้องด่าฉันแน่เลย” รามิดาทำท่าว่าจะลุกจากเตียง แต่มีมือของอีกคนผลักร่างของเธอให้นอนลงที่เดิม

    “คุณยังไม่หายดี นอนต่อเถอะค่ะ ฟ้ายังไม่สาง เทพรายังไม่เสด็จคุณนอนต่อเถอะค่ะ”

    “อะไรนะ” รามิดาหันไปถามอีกครั้ง ใครจะเสด็จไปไหนกันแน่

    “ฉันหมายถึงองค์สุริยะเทพค่ะ ท่านมีชื่อว่าเทพรา บางคนก็เรียก อาเมนรา เราใช้เรียกท่านในตอนเช้า ส่วนตอนกลางวัน เราจะเรียกว่า     เฆเปรา และตอนเย็นคืออาตูม” เสียงตอบจากสาวตาคมเหมือนกำลังเล่านิทานให้กับเด็กน้อยผู้น่าสงสารฟัง

    “อ๋อ พระอาทิตย์มีชื่อเรียกเยอะจัง”

    “คุณไม่รู้เรื่องนี้หรอกหรือคะ”

    “ไม่แน่ใจค่ะ อาจจะเคยอ่านผ่านๆ ตามาบ้าง แต่คิดว่าคงลืม”

    รามิดาไม่มั่นใจในสิ่งที่เธอได้ยินมากนัก เธอมักจะอยู่กับของโบราณแต่ก็เป็นของในลุ่มอารยะของเอเชียตะวันออกเสียมากกว่า

    ส่วนทางเอเชียกลางหรือในแถบแอฟริกานั้น เธอแทบไม่มีความรู้อะไรเลย

    “คุณพอจะเล่าให้ฉันฟังบ้างได้ไหมคะ เกี่ยวกับเทพเจ้าของคุณ”

    รามิดาเสนอ ในเวลานี้ เธอยังไม่อยากหลับ หากหลับไปแล้วต้องฝันเรื่องเดิมที่เธอฝันค้างเอาไว้อีกคงไม่ดีแน่ ทางที่ดีที่สุดคือ ขอให้เจ้าบ้านเล่าเรื่องแปลกๆ ให้ฟังจะดีที่สุด อย่างน้อยๆ ก็ช่วยให้เธอหายเหงาไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×