ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รามิดา ฮาบู YURI

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๓

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 905
      19
      22 ก.พ. 57




    บทที่ ๓

     

    สรวงฟ้านั่งมองรามิดาที่ไม่ยอมกินอะไรนอกจากผลไม้ เขา    ไม่รู้สึกแปลกอะไร รามิดาเคยทำเรื่องแปลกๆ ให้กับครอบครัวของเขามาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

    เขารู้จักกับรามิดาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พอๆ กับที่รู้จักกับเด่นจันทร์ ทั้งสามคนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกันมาในวัยเยาว์ ครั้งแรกที่รามิดาบอกกับเขาให้เตรียมอาหารเอาไว้มากๆ กับข้าวต้องสดใหม่ เขาแปลกใจว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น

    “เอาเถอะน่าไอ้สรวงแกเชื่อฉัน บอกอาด้วยว่าให้เตรียมของสดที่ดีที่สุดไว้ขายคืนนี้”

    “แกไปบอกพ่อกับฉันสิ” เขาตัดสินใจทำตามที่รามิดาบอกแต่ยัง ไม่กล้าพอที่จะไปคนเดียว จึงขอให้รามิดาไปด้วยกัน

    “อาจ๋า ไปซื้อกับข้าวใหม่ๆ สดๆ มาขายคืนนี้เถอะนะ ดาอยากกิน” รามิดาหาวิธีที่จะทำให้พ่อของสรวงฟ้าทำตามที่เธอต้องการ

    “อยากกินอะไรล่ะ อาจะได้ไปซื้อมาให้ หรือจะไปตลาดพร้อมๆ กันเลย” เกียรติพ่อของสรวงฟ้าชักชวนรามิดาให้ไปตลาดพร้อมกับเขา เขาเป็นเพื่อนบ้านกับยายของรามิดา เพื่อนบ้านผู้ชราใจดีกับเขาเสมอ ให้หยิบยืมเงินมาลงทุน ให้ยืมเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนลูกๆ ทั้งสามของเขา แถมบางครั้งยังให้ผลไม้ในสวนมากินฟรีๆ โดยไม่ต้องเสียเงิน

    เขาจะมีน้ำใจกับรามิดาบ้างไม่เห็นจะแปลกตรงไหน

    รามิดาเลือกของสดมาหลายอย่าง เธอบอกว่าอยากจะกิน แต่พอเกียรติซื้อมาตามที่รามิดาบอก เด็กสาวกลับหายตัวไป ไม่ยอมมากินกับข้าวที่เขาจะทำให้

    คืนนั้นมีเจ้านางจากประเทศที่เขาไม่รู้จักมากินอาหารที่ร้าน      ริมถนนของพ่อเขา เพียงชั่วข้ามคืน ผู้คนแห่มาจากไหนไม่รู้มากมายมืดฟ้า  มัวดิน ต่อคิวซื้ออาหารที่ร้านของเขายาวไปถึงถนนอีกฝั่ง

    พ่อถามเขาว่าทำไมรามิดาถึงให้ไปซื้อของสดใหม่ๆ มาจากตลาด อย่างกับจะรู้ว่าจะมีคนสำคัญมาใช้บริการที่ร้าน  เขาบอกว่าเขาไม่รู้ เขาทำตามที่  รามิดาบอกเท่านั้น

    ครั้งที่สอง รามิดาบอกว่า อย่าเปิดร้านในคืนนี้ ให้ปิดไปเลย พรุ่งนี้ค่อยเปิด เขาสองจิตสองใจบอกกับพ่อ พ่อแย้งว่าของสดซื้อมาแล้ว ไม่ขายจะทำให้ร้านขาดทุน แต่เขาเชื่อรามิดา คืนนั้นมีโจรหนีจากเรือนจำออกมาหลายคน ตำรวจตามล่าและไล่ยิงกันมาจนถึงบริเวณที่ปรกติพ่อของเขาจะเปิดร้าน หากคืนนั้นพ่อเขาขายของ ลูกค้าและพ่อของเขาอาจจะ         โดนลูกหลงไปก็ได้

    จากนั้นเขากับพ่อจะเชื่อคำพูดของรามิดามาโดยตลอด ครั้งสุดท้ายที่รามิดาบอกกับเขาเรื่องงานศพของย่าเขา รามิดาบอกว่า ให้นำศพของย่าเขาไปลงเรือ เธอจะพาไปเอง เขากับพ่อ ไม่แน่ใจว่าจะทำตามดีหรือเปล่า แต่รามิดาบอกกับเขาว่า

    “ทำตามเราเถอะ สิ่งดีๆ จะตามมาเอง”

    เขากับพ่อนำโลงศพของย่าขึ้นเรือไปตามที่รามิดาบอก

    เมื่อถึงจุดหนึ่ง รามิดาบอกให้จอดเรือ และรอเวลา จากนั้นเธอจึงบอกให้พ่อของเขากับเขานำโลงศพลงน้ำ ไม่ทันกะพริบตาเกิดกระแสน้ำวนบริเวณที่โลงศพย่าเขาลอยอยู่ และมันจมลงไปใต้น้ำทันที

    เขากับพ่อตกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น รามิดาบอกว่า บริเวณนี้คือปากมังกร ไม่บ่อยนักที่ปากมังกรจะเปิด ย่าของเขาได้ไปอยู่ในสถานที่ซึ่งเรียกว่าเมืองบาดาล เป็นสถานที่ที่ดีที่สุด และจะทำให้ลูกหลานอย่างเขากับพ่อจะเจริญรุ่งเรืองจนใครๆ ก็ฉุดไม่อยู่  

    หลังจากนั้นไม่นาน พ่อเขาขยายกิจการใหญ่โต ทำให้ครอบครัวของเขาซึ่งเป็นคนขายอาหารรถเข็นริมถนน กลับกลายเป็นเศรษฐีย่อมๆ กลายเป็นผู้ส่งออกอาหารสำเร็จรูปรายใหญ่ที่สุดในประเทศ และกำลังจะกลายเป็นรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย หากเขาไม่เชื่อรามิดาตั้งแต่ครั้งแรก     พวกเขาอาจจะไม่มีวันนี้

    พ่อของเขาถามรามิดาว่าอยากได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน รามิดาบอกว่า สักวันเธอจะบอก ก่อนหน้าที่จะมาถึงที่นี่ รามิดาบอกกับพ่อของเขาว่า ให้ช่วยออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางมายังประเทศนี้ให้กับเขาและคณะ พ่อของเขาไม่รีรออะไร รีบจ่ายเงินให้กับเขาเพื่อให้รามิดาและเขาเดินทางมายังประเทศนี้ทันที

    “ไม่เอาหน่อยเหรอไอ้ดา อร่อยนะแก”

    เด่นจันทร์ถามรามิดาที่นั่งห่างออกไปจากวงอาหาร

    “ไม่ล่ะ ตามสบายเลยเพื่อน”

    “ไอ้เนื้อแกะเนี่ยอร่อยนะแก ฉันกินไปตั้งหลายชิ้น”

    เด่นจันทร์ยังคะยั้นคะยอเพื่อนอีกรอบ

    “ไม่ไหว แค่ได้กลิ่นก็จะแย่แล้วแก”

    รามิดาแสดงอาการพะอืดพะอมออกมาทันที

    “ไอ้ดา ฉันว่ากลับไปถึงเมืองไทยเมื่อไหร่แกไปตรวจร่างกายแก  ชุดใหญ่ได้แล้วเพื่อน”

    “ทำไมล่ะ”

    “แกต้องเป็นอะไรแน่ๆ ตั้งแต่มาถึงที่นี่แกเป็นโน่นเป็นนี่ แพ้อากาศหรือเปล่าวะ หรือว่าเหม็นกลิ่นเครื่องเทศ ของอร่อยๆ ดันไม่กิน มาถึงถิ่นไม่ชิมสักนิดเลยหรือไง”

    “ฉันคิดว่าฉันจะกินแต่ผักกับผลไม้”

    “ไอ้บ้า มาทะเลทรายจะกินแต่ผัก ถือว่ากินของแพงสุดๆ เลยนะ”

    เด่นจันทร์ท้วง เธอเคยได้ยินมาว่าประเทศในแถบนี้ผักถือเป็นอาหารที่แพงที่สุด แพงกว่าเนื้อแกะที่เธอกำลังจะนำเข้าปากหลายเท่า

    “เออน่า เดี๋ยวพ่อไอ้สรวงมันก็ส่งเงินมาให้ซื้อเองแหละ”

    รามิดาบอกตัดความรำคาญ

    “พ่อฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย” สรวงฟ้าร้อนตัว

    “เกี่ยวดิ ฉันบอกพ่อแกไปแล้วไง เราจะให้พ่อแกเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ในครั้งนี้”

    “อ้าวไอ้นี่ หาเรื่องให้พ่อฉันเสียเงินแล้วดิ”

    “เออน่า หลังจากนี้แกจะได้ส่งออกผักมาขายที่นี่ไง”

    “ขอให้จริงเถอะ” สรวงฟ้าชักไม่มั่นใจ

    “ฉันเคยโกหกแกหรือไงเพื่อน” รามิดาจ้องตาสรวงฟ้า ทำให้    อีกฝ่ายเงียบเสียง กลืนคำพูดที่กำลังจะพูดลงคอไปอย่างยากเย็น

    “ตกลงแกจะเป็นมังสวิรัติว่างั้น”

    “เปล่า”

    “อ้าว แต่แกกินผักนะ”

    “ฉันจะกินเจต่างหาก ไม่กินอะไรที่มาจากสัตว์”

    “เจริญ” เด่นจันทร์ว่าจบหันไปจัดการกับเนื้อแกะชิ้นโตในจานของเธอต่อให้เสร็จ หลังจากนี้เธอคงจะต้องนอนพักเอาแรงสักงีบ เพื่อเตรียมความพร้อมกับการทำงานในยามค่ำคืน

     

    พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าลาโลกไปแล้ว คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด   ไม่มีแสงจันทร์บนท้องฟ้า ทำให้แสงดาวสว่างสุกใสราวกับมีดวงตานับร้อยนับพันจ้องดูการทำงานของทีมขุดค้นโบราณสถานกลางทะเลทราย

    เมื่อไม่มีแสงอาทิตย์อันร้อนแรง อากาศในทะเลทรายเริ่มเย็นลง และเย็นลง จนต้องนำเสื้อกันหนาวมาสวมใส่กันอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น

    “ทำไมมันหนาวอย่างนี้วะ” เด่นจันทร์บ่น

    “ทะเลทรายก็แบบนี้แหละ ร้อนก็ร้อนสุดขั้ว พอเย็นก็เย็นจับจิต”

    รามิดาว่า

    “ทำอย่างกับเคยอยู่ทะเลทรายมาก่อน”

    “เพิ่งเคยครั้งนี้แหละ แค่เคยอ่านในหนังสือเท่านั้น”

    “ลืมไปว่าฉันคุยกับหนอนหนังสืออยู่ แกไม่หิวแน่นะไอ้ดา แกกินไปนิดเดียวเอง” เด่นจันทร์ถามด้วยความเป็นห่วง เธอเห็นรามิดากินผลไม้ไปไม่กี่คำ จากนั้นไม่ยอมกินอะไรอีกเลย นอกจากน้ำทับทิมเท่านั้น

    “ไม่หรอก สบายมาก ไอ้เด่นแกบอกให้คนงานขุดหลุมตรงนั้นให้ฉันหน่อย”

    รามิดาชี้ไปที่ผืนทรายว่างๆ ไม่ไกลจากที่เด่นจันทร์ยืนอยู่มากนัก

    “ตรงไหนของแก” เด่นจันทร์หันซ้ายหันขวา

    รามิดาเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณที่เธอบอก

    “ตรงนี้แหละ แกไปบอกคนงานมาสักสองคน”

    “ทำไมแกไม่ไปเองวะ ฉันสื่อสารไม่รู้เรื่อง”

    “งั้นแกไปบอกฮาบูก็ได้ ให้เอาคนงานมาสองคน ฉันจะรอที่นี่”

    เด่นจันทร์ทำตามคำบอกนั้นทั้งๆ ที่ไม่อยากเดินไปไหนคนเดียว ทะเลทรายในยามค่ำคืนมันช่างมืดสนิทจริงๆ แถมยังเดินลำบากอีกด้วย เดินแต่ละครั้งทรายจะยุบลงไปเรื่อยๆ เธอว่ามันเหมือนกับแผ่นดินจะดูดร่างของเธอลงไปข้างใต้ตลอดเวลา

    ฮาบูมาพร้อมกับคนงานอีกสองคนอย่างที่รามิดาร้องขอ เธอสั่งให้คนงานค่อยๆ ขุดลงไปบริเวณที่รามิดายืนอยู่ ขุดไปได้สักพักใหญ่ คนงานมาบอกกับฮาบูว่า

    “นายครับ ผมเจอหิน น่าจะเป็นกำแพงหรืออะไรสักอย่าง”

    ฮาบูพร้อมกับรามิดาและเด่นจันทร์รีบเดินตามคนงานไปทันที

    “ไปเรียกมาอีกสักสี่คนเถอะ” ฮาบูบอกกับคนของเธอ

    คนงานรีบวิ่งไปตามเพื่อนๆ ให้มายังบริเวณนั้นอีกสี่คน ทุกคนพร้อมใจกันค่อยๆ ตักทรายออกจากพื้น เผยให้เห็นก้อนหินก้อนใหญ่ที่ถูกสกัดจนเรียบ ขุดเรื่อยๆ ไปตามแนวก้อนหินนั้น ยังพบก้อนหินอีกหลายก้อนวางเรียงกันเป็นแนวเส้นตรง

    “แกมูเตลูอีกแล้วใช่ไหมไอ้ดา” เด่นจันทร์แอบกระซิบถาม

    “เปล่า แค่มองจากเนินทราย มันน่าจะมีอะไรมากกว่าเนินทรายเท่านั้น แกเห็นไหม เนินทรายตรงนั้นมันสูงกว่าเนินที่อยู่ใกล้ๆ กัน แกว่าถ้ามันเป็นทรายจริงๆ มันจะสูงขึ้นมาเป็นโดมแบบนี้ได้เหรอ ทั้งๆ ที่รอบๆ มันเป็นทรายเตี้ยๆ ทั้งนั้น” รามิดาแก้ตัวไปตามที่เธอจะหาเหตุผลมาอ้างได้

    “ทั้งปี จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน แกไม่เคยยอมรับว่าแกมีอะไรประหลาดๆ ในตัวตลอดเวเลยนะ”

    เด่นจันทร์ไม่อยากคาดคั้นเอาความจริงจากรามิดามากนัก

    ศาสตราจารย์กริม ทุติ ตรีทิพย์และเรกะติ เดินมาสมทบกับ    พวกของรามิดาเมื่อได้รับข่าวจากคนของฮาบูเรื่องขุดพบแนวกำแพงอีกแห่ง  บนเนินทราย

    “คุณว่าน่าจะเป็นอะไร” ทุติเอ่ยถาม

    “ผมไม่แน่ใจนัก แต่แถวๆ นี้เคยมีคนเลี้ยงแพะเจอสุสานอยู่ใต้ดิน แล้วก็ขโมยเอาของมีค่าในนั้นไปขาย กว่าจะจับได้ของต่างๆ ก็ถูกขายต่อไปต่างประเทศจนหาทางซื้อกลับมาไม่ได้”

    “ผมเคยได้ยินข่าวอยู่เหมือนกัน แถมยังได้ข่าวว่าชายคนนั้น     กับครอบครัวต้องมาตายอย่างที่เราไม่คาดคิด”

    “ครับ สุสานแต่ละแห่งมีคำสาปของมัน มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่าวันใดที่มีคนกล่าวถึงพระนามของเจ้าของสุสานนั้นสามครั้ง วิญญาณของเจ้าของสุสานจะกลับเข้าร่าง และมีพลังเหมือนก่อนที่จะสิ้นพระชนม์” ศาสตราจารย์กริมอธิบายอย่างคร่าวๆ เพื่อให้คนฟังเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด

    “แต่ละแห่งต้องมีบทสวดเรียกวิญญาณไม่เหมือนกันหรือคะ”

    เด่นจันทร์อยากรู้ขึ้นมาบ้าง

    “ครับ แต่ละที่จะมีคำสวดวิงวอนแตกต่างกัน บางแห่งเพียงแค่เรียกขานพระนามเพียงสามครั้ง ในวันพระจันทร์เต็มดวง เจ้าของก็จะ   ฟื้นคืนชีพได้ เพียงแต่คัมภีร์เหล่านั้นหายไป บางคนบอกว่าที่ต้องทำให้หายไปเพราะไม่ต้องการให้เจ้าของร่างกลับคืนสู่ร่างเดิม”

    “ทำไมต้องทำแบบนั้นล่ะคะ” เด่นจันทร์ยังมีข้อสงสัย

    “ผมคิดว่าถ้าคนเก่าๆ ไม่ยอมตาย คนใหม่ๆ จะมีอำนาจได้อย่างไรล่ะครับ” ศาสตราจารย์กริมพูดติดตลก  

    “แบบนี้ค่อยฟังเข้าท่าหน่อยค่ะท่าน ถ้าเป็นเด่น เด่นก็คงไม่ยอมให้ฟื้นขึ้นมาเหมือนกัน” เด่นจันทร์คล้อยตามคำอธิบายนั้น

    “แต่บางคนก็บอกว่าการขโมยคัมภีร์ไปจะทำให้วิญญาณเจ้าของสุสานได้สถิตอยู่กับดินแดนสุดท้ายของเขา”

    “ด้วยความทรมาน” รามิดาเอ่ยขึ้นมาเบาๆ

    “ทรมานตรงไหน สร้างมาซะสวยหรู แถมด้วยข้าทาสบริวารนับร้อยที่ถูกฝังพร้อมกัน”

    “แกอยากอยู่เป็นพันๆ ปีในที่มืดๆ อับๆ ชื้นๆ ไม่มีแสงอะไรส่องไหมล่ะไอ้เด่น”

    “ไม่เอาล่ะ แค่มืดอย่างเดียวฉันยังขนลุกเลย ทั้งมืดทั้งชื้น สงสัยต้องมีแมงป่อง แมลงสาบ หนู ตะขาบวิ่งกันให้คึก บรื้อๆ”  

    เด่นจันทร์ทำท่าสะอิดสะเอียนกับคำพูดของตัวเอง

    รามิดายืนมองยิ้มๆ “เป็นนักโบราณได้ไง กลัวของพวกนี้”

    “หรือแกไม่กลัว” เด่นจันทร์ย้อนถาม

    “ถามแปลก”

    “เห็นปะ แกก็กลัว ยังมีหน้ามาว่าฉัน”

    เด่นจันทร์ค้อนให้กับรามิดาวงใหญ่ ก่อนที่จะหันไปใส่ใจกับคนงานที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขุดกันอย่างจริงจัง

    “ดิอาเตอราเซ่อ” รามิดาร้องตะโกนสุดเสียง ผืนทรายที่คนงานยืนอยู่ ทรุดตัวลงไปจนเป็นหลุมลึก โชคดีที่รามิดาตะโกนเตือนไป ไม่เช่นนั้นคนงานเหล่านั้นจะต้องตกลงไปในหลุมลึกนั้นอย่างแน่นอน

    “ไอ้ดา แกพูดภาษาอะไรวะ”

    เด่นจันทร์หน้าเหวอ ที่อยู่ๆ รามิดาตะโกนภาษาแปลกๆ ออกไป แถมยังเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดกับคนงานอีกด้วย

    “ถามอยู่ได้ รีบไปดูกันเถอะ มีใครตกลงไปหรือเปล่า”

    รามิดารีบไปยังที่เกิดเหตุทันทีที่เธอพูดจบ

    ทุติและทุกคนรีบตามรามิดาไปเช่นกัน หลุมที่เกิดขึ้นนั้นลึกมาก จนแทบมองไม่เห็นก้นหลุม ทำให้ทุกคนลงความเห็นว่าคืนนี้จะยังไม่ลงไปสำรวจเบื้องล่าง แต่จะลงไปในเวลากลางวันของวันพรุ่งนี้

    เมื่อสอบถามว่ามีใครสูญหายไปหรือเปล่า ทุกคนตอบว่าไม่มี ทีมขุดค้นจึงเบาใจ

    “คืนนี้เราคงต้องนอนเฝ้าที่นี่” ทุติว่า

    “ให้ดาเฝ้าก็ได้ค่ะ”

    “ไม่ได้ ดาเป็นผู้หญิงจะมาอยู่กับคนงานผู้ชายได้ยังไง”

    สรวงฟ้าแย้ง

    “ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ กฎหมายของที่นี่รุนแรงมาก ไม่มีใครกล้า

    ทำอันตรายคุณรามิดาหรอกค่ะ”

    ฮาบูบอกเช่นนั้น กฎหมายของแต่ละประเทศมีความรุนแรงไม่เท่ากัน แต่ในประเทศแห่งนี้ หากใครทำร้ายหรือข่มขืนผู้หญิง มีโทษ    สถานเดียวคือประหารชีวิต โทษรุนแรงเช่นนี้คงไม่มีใครกล้าทำอะไร

    “ใช่ค่ะ ขอดาอยู่ที่นี่นะคะ ดาไม่อยากนั่งรถไปๆ มาๆ ดากลัว   เมารถอีก” รามิดาอ้างในสิ่งที่เธอคิดว่าทุกคนจะเชื่อเธอ

    “ตกลง ถ้าดาคิดว่าอยู่ได้ ผมคงห้ามอะไรดาไม่ได้ เด่นจะกลับโรงแรมหรือเปล่า” ทุติหันไปถามเด่นจันทร์

    “กลับค่ะ เด่นไม่อยากนอนกลางทะเลทรายแบบนี้”

    “ตรีขออยู่กับดาค่ะ” ตรีทิพย์เลือกฝ่ายบ้าง

    “ตกลงตามนี้ ที่เหลือใครจะกลับใครจะอยู่เลือกเองครับ ส่วนผมขอกลับไปนอนโรงแรมจะดีกว่า จะได้เอาขอใช้จำเป็นกลับมาให้”

    ทุติสรุป แม้เขาจะเป็นหัวหน้าคณะ แต่ทุกคนมีสิทธิ์เลือกที่จะดำเนินชีวิตของตัวเอง เขาจะมีสิทธิ์ออกคำสั่งก็ต่อเมื่อเห็นว่าสิ่งที่คน      ในคณะของเขาเลือกจะนำไปสู่อันตรายเท่านั้น

     

    เงาตะคุ่มๆ ของใครบางคน กำลังเดินลัดเลาะมากับความมืด เงานั้นบ่งบอกว่าเป็นร่างของผู้ชายที่มีลักษณะตัวใหญ่และสูง หากแต่         ไม่ต้องการให้คนที่พักอยู่ในบริเวณนั้นรู้ว่าเขาได้ปรากฏกายอยู่แถวนี้

    ชุดดำพรางตา ปกปิดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทำให้เขาแอบซ่อน ตัวมากับความมืดในคืนเดือนดับได้อย่างแนบเนียน เพื่อมาพบกับคนที่เรียก

    ตัวเขามา ณ ที่แห่งนี้

    “ให้คนของเจ้าเฝ้าดูเอาไว้ห่างๆ หากเกิดอะไรขึ้นจะได้เข้ามาทัน”

    คำสั่งเบาๆ แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น

    “ครับท่าน” ชายชุดดำย่อตัวลง คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนผืนทรายอันเย็นยะเยือกอยู่ต่อหน้าเสียงสั่งนั้น

    “อย่าให้ใครลงไปในนั้นได้ จนกว่าเราจะได้ลงไปดูด้วยตาของเรา มันผู้ใดฝ่าฝืนลงโทษได้ตามกฎ”

    “ครับท่าน”

    เสียงนั้นพูดจบยกมือของตนขึ้นทำท่าปัด แสดงให้รู้ว่าไม่ต้องการให้ชายชุดดำ อยู่ ณ บริเวณนี้อีกต่อไป  

    เมื่อชายชุดดำจากไป ร่างนั้นจึงเดินออกไปจากที่ยืนอยู่ แฝงกายไปกับความมืดเช่นเดียวกับชายชุดดำคนนั้นทันที รวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะมองเห็น

              ความมืดดำมีอยู่ทุกตารางนิ้วในบริเวณแห่งนี้ ยกเว้นกระโจมที่พักที่อยู่เบื้องหน้า ที่มีแสงไฟจากการก่อกองไฟลอดส่องออกมาตามรูโหว่นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น

    เครื่องปั่นไฟถูกปิดไปแล้ว จึงทำให้ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัด ไม่ได้ยินสรรพเสียงใดๆ นอกจากลมหายใจของตนเองเท่านั้น

     

    รามิดานอนไม่หลับ แม้อากาศจะเย็นสบาย แต่เธอกลับรู้สึกว่า อึดอัด จนต้องเดินออกมารับความหนาวเย็นนอกกระโจม เธอได้ยินเสียงเรียก ใครสักคนอยู่ในโสตประสาทตลอดเวลา ภาพที่เธอเห็นก่อนที่จะให้คนงานมาขุดคือสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ มันไม่ใช่เนินทรายอย่างที่เห็นอยู่ในตอนนี้ สิ่งๆ นั้นอาจไม่ใช่สุสาน แต่มันน่าจะเป็นมหาวิหารของเทพเจ้าอะไรสักองค์ ความยิ่งใหญ่ของมันยิ่งกว่าเภตรา ยิ่งกว่ามหาวิหารอาบู      ซิมเบล หรือวิหารอื่นๆ ที่เคยเห็นกันในเวลานี้

    น่าเสียดายยิ่งนักที่มันได้เลือนหายไปตามกาลเวลา พายุทรายโหมกระหน่ำเข้าซัดกัดกร่อนหินทรายที่นำมาสร้างมหาวิหารแห่งนี้ไปจนแทบไม่เห็นเค้าโครงเดิม รามิดาไม่อยากคิดว่าสิ่งที่เธอเห็นจะเป็นความจริง แต่มันคือความจริง เมื่อรู้ว่ายังมีอะไรบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ผืนทรายที่เธอยืนอยู่ เธออยากค้นหามันจนกว่าจะพบ

    บางทีเสียงเรียกใครคนนั้นอาจจะเงียบไปก็ได้ ถ้าเธอทำงานนี้สำเร็จ ใช่ว่ามันจะเพิ่งเกิดกับตัวเธอ เสียงนั้นเรียกเธอมาตั้งแต่อยู่เมืองไทย มันยิ่งดังมากขึ้นเมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้ รามิดาไม่สามารถลบมันออกไปจากสมองของเธอได้ หากเป็นคนอื่นคงจะบ้าไปนานแล้ว ใครกันนะที่ชื่อราห์

    “คุณต้องการหาเขาหรือคะ ฉันจะช่วยคุณหาเขาให้พบ แต่ขออย่างเดียว อย่ามาเรียกเขาให้ฉันได้ยินอีกจะได้ไหม ฉันขอร้อง”

    รามิดาพูดกับความมืดรอบๆ ตัวเธอ น่าแปลกเมื่อเธอพูดจบ เสียงนั้นหายไป ทำให้รามิดายิ้มออกมา

    “ขอบคุณค่ะที่เข้าใจฉัน”

    รามิดาบอกกับความมืดอีกครั้ง เธอจะทำตามที่เธอพูด เธอสัญญา

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×