ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    King of Lions บุรุษหัวใจราชันย์ ออนไลน์

    ลำดับตอนที่ #16 : เบิกบาน [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.81K
      19
      19 ม.ค. 61

    ตอนที่ 16
    เบิกบาน






    "หนอนกินคนงั้นเหรอ อึ้ย~" แค่คิดว่ามันจะมุดออกมาจากผนังดินที่กำลังใช้มือคลำทางอยู่นี้ก็หวาดเสียวอย่างไรบอกไม่ถูก ไต่ลงมาจากจุดปล่อยตัวรวมระยะเดินเท้าก็ไกลมากแล้ว เฮ้อ~ราวกับเป็นคนตาบอดทั้งที่ได้เล่นเกม และกับผองเพื่อนใหม่ใจร้าย "ทำไมพวกเขาทำกับเราแบบนี้นะ"

    เวียร์จะคิดน้อยใจบ้างก็ไม่แปลกอะไร ตัวเขาเองก็สงสัยในความใจดีของแบร์ทังตั้งแต่ก่อนจะเดินทางมายังดันเจี้ยน ไม่ว่าจะเลี้ยงอาหาร รับปากว่าจะหาชุดใหม่ให้แถมยังปกป้องเขาจากคำปรามาสของรีอาน่า นี่หรือใจจริงของคำว่าเพื่อน มารู้เอาตอนนี้มิตรนั้นจึงกลายเป็นของปลอม

    'ให้มาเป็นเหยื่อหนอนกินคน เฮอะ'

    .

    .

    .

    'อะไรเนี่ย?' สิ่งที่สัมผัสคือเมือกเหนียวๆที่มีกลิ่นเหมือนดินซึ่งเหม็นสาบมาก "อี๋~" ติดหนืดเต็มสองฝ่ามือของเขา

    เป็นเหตุให้ชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ ก็คนมันตื่นกลัว 'มันคืออะไรเนีย เห็นสิ เราต้องเห็น! แลเพียงแค่ความคิดนั้นโลดแล่นท่ามกลางความมืดมิดที่เงียบสงัด แสงม่วงก็พริ้มพรายตอบรับความต้องการนั้นซึ่งแสดงออกยังดวงตาของเขา ฉายภาพเบื้องหน้าให้เห็นดุจกลางวัน

    ปรากฏว่าที่ตนกำลังยืนอยู่นี้คือปากโพรงดินขนาดใหญ่ที่เลื้อยยาวเข้าไปในเนื้อดินลึกลึกลึกลึกและไกลลิบ ถัดจากนั้นก็มีอีกหลายโพรงที่ต่างก็ทอดตัวไปในหลายทิศทาง มีเมือกเน่าสีออกเขียวเสมหะระบายอยู่เต็มไปหมด เพลานี้เวียร์จึงทราบในทันทีว่า นี่คงเป็นมูลหรืออุจจาระของเจ้าหนอนนั่นแหละ

    "เหอะๆ" เจ้าตัวถึงกับหัวเราะขยาดเมื่อได้พบกับสิ่งแขยงแห่งความสกปรก

    "รังหนอนสินะ เอาล่ะ มาลองกันดีกว่าว่าระดับสี่ร้อยทำอะไรได้บ้าง"

    เวียร์นั้นรู้จักตัวตนของปีศาจในยามที่ความมืดกลายเป็นมิตรแท้และเขาโหยหามัน ความสามารถในการมองเห็นเกินปกติธรรมดา พละกำลังผนวกความเร็วเพิ่มเท่าทวีคูณจนน่าตระหนก เสียงอื่นๆจะได้ยินในระยะไกลโข เสียงของลมหายใจ เสียงของหัวใจที่กำลังเต้นเพื่อสูบฉีดโลหิตหวานหอมรัญจวน หาเทียบประสงค์ใดกับอาหารคาวรสเลิศเช่นนี้ได้อีกหรือ เลือดมนุษย์! แค่หนึ่งรายก่อนค่ำที่จะต้องสังเวยแด่ความวิปริตแห่งคำสาปไนท์สตอลเกอร์

    "ไม่~ข้าจะยังไม่กินเจ้าในตอนนี้หรอกนะ" ชายหนุ่มเอ่ยกับตัวเองพลางใช้เล็บคมตัดเชือกมัดเอวขาดในทีเดียว "รีอาน่าจัง~"

    เมื่อปลดแอกตนเป็นอิสรภาพ แวมไพร์เต็มคราบเหยียดกายยืดตัวตรง กางสองมือชูไปในอากาศ  ความรู้สึกต่อหนอนยักษ์ที่ควรกลัวกลับมลายหายสิ้น เหนือสิ่งอื่นใดจิตใจของมันถูกเติมเต็มด้วยความระห่ำที่ต้องการทดสอบสมรรถนะขั้นสูง ณ เลเวลสี่ร้อยแปดสิบ






    "สว่างกว่านี้อีกหน่อยได้ไหม" อีกด้านหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้าม สาวแขนกลย่ำเท้าเบาๆไปเบื้องหน้าด้วยความหวาดระแวงความมืดรอบตัว ประดุจกำลังเล่นซ่อนหาที่เธอจะถูกหนอนยักษ์หาเจอก่อนไม่ได้ แลในมือของหญิงสาวคือไลท์ระดับสามซึ่งถูกบีบให้ส่องสว่างนำทาง ใจที่กล้าหาญนี้แม้แต่แบร์ทังยังยอมศิโรราบ

    ไร้ซุ่มเสียงที่คิดว่าเขาต้องซุ่มซ่ามจากอีกฝั่ง ไม่มีแม้กระทั่งเสียงของดินหล่นร่วง มันเงียบจนน่ากลัว เงียบเหมือนติดกับดัก คิดถึงตัวล่อคนก่อนๆอย่างเร็วไม่เกินสิบนาทีแบร์ทังต้องดึงเชือกพาเธอขึ้นจากหลุมดำนี่แล้ว นี่แสดงว่านายเวียร์อะไรนั่นเข้าใจสถานการณ์ ทำตัวใช้ได้และเป็นประโยชน์ต่อแผนการ

    'ครึ่งชั่วโมงแล้วสินะ' รีอาน่ามองดูเวลาจากแอปพลิเคชันนาฬิกาเรืองแสงที่ส่องออกมาจากแหวนสื่อสาร หญิงสาวคาดการณ์ว่าหากเดินตามทางนี้ไปเรื่อยๆอีกไม่เกินห้านาทีก็จะพบกับกุญแจดับแสงจันทร์ เป้าหมายของการลงดันครั้งนี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์

    ฟิ้ว~ กลับเป็นสายลมปนกลิ่นคาวเหม็นสาบโบยมาตีเรือนร่างเธอ ชวนให้คิดว่าในโพรงดินนั้นจะมีลมพัดผ่านได้อย่างไร โธ่! ไม่มีอะไรจะสำคัญเท่ากับเป้าหมายอีกแล้ว อย่าสงสัยเลย-

    วิ๊ดดดดดด~ หือ!!!? เสียงร้องของสิ่งมีชีวิตดังขึ้นเบื้องหลังอนงค์ใจกล้า เสียงนี้กลับดังชัดเจนและดังขึ้นเรื่อยๆ วิ๊ดดดดดดดดด~วิ๊ด-

    ไม่มีเสียงอื่นอีกแล้ว แต่คาคราร่าจะร้องแบบนี้หรือ? อย่าสงสัยเลยที่บอกกับตัวเองนั่นยิ่งสงสัยใหญ่ มันคืออะไร? เสียงนี้เป็นเสียงของอะไร? ขณะเดียวกันรีอาน่ายังคงมุ่งหน้าต่อไป เร็วขึ้น เร็วขึ้นและท้ายที่สุดก็วิ่ง

    .

    .

    .

    เพียงไม่อึดใจหญิงสาวจึงได้ประจักษ์ผลแห่งความเพียรพยายาม บางสิ่งบางอย่างนั้นลอยอยู่กลางอากาศ มันเรืองรองและมอดดับสลับไปมา

    "เจอแล้ว!" เธอร้องพลางโผเข้าหาสุดแรง

    หึ!

    ให้ตกใจเป็นที่สุด ครั่นคร้ามหวาดหวั่นเพราะคำนั้นถูกเปล่งออกมาจากความมืดที่มองไม่เห็นตัวตนผู้พ่นสุรเสียงอันไม่พอใจ

    วูบ

    แลกุญแจสีเงินนามดับแสงจันทร์ที่ควรได้รับบัดนี้พลันอันตรธานหายไปเฉยๆต่อหน้าต่อตา

    วูบ

    รีอาน่าต้องกระโดดตีลังกาถอยหลังตามสัญชาตญาณนักรบ บางอย่างมุ่งจู่โจมเธอและมันยังคงไม่ไปไหน หญิงสาวใช้ไลท์เพียงลูกเดียวนั้นส่องสว่างไปยังทิศทางต่างๆ ทว่าไม่ปรากฏสิ่งใด

    "..."

    นอกเสียจากคราบเขลอะของเมือกสีขาวใสเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ มันคืออะไรเธอก็หาทราบไม่ อ๊ะ! แล้วจู่ๆไลท์ที่แสนจะมีค่านั้นก็ถูกช่วงชิงไปจากมือ ราวกับถูกโยนทิ้ง ไลท์ฟื้นเลือดระดับสามที่หาได้ยากยิ่งในหมู่นักผจญภัยแรกเริ่มกลิ้งไปตามพื้นดิน มันกลิ้งไปตามพื้นจวบกระทั่งสิ้นแสงส่อง เวลานั้นชายผู้อหังการจึงปริปาก

    "แสบตาว่าไหม"

    "นายเป็นใครกัน!" อีกฝ่ายเมื่อพูดจารีอาน่าก็โพล่งคำ "ฉันแค่มาหากุญแจ ฉันช้าเอง ดังนั้นมันเป็นของนาย" พลางเธอกระตุกเชือกอย่างแรงเป็นสัญญาณให้แบร์ทังที่คอยอยู่ข้างนอกออกแรงดึงเธอ

    "ไร้ผลน่า เชือกนั่นขาดแล้ว" ดวงตาสีม่วงเข้มซึ่งเต้นเร่าค่อยลืมขึ้นให้แสงของมันว่ายในอากาศธาตุ สีม่วงที่น่าพรั่นพรึงนี้สะกดจิตให้ผู้ที่เผลอสติตกอยู่ใต้อำนาจได้โดยง่าย "ง่วงนอนจริงๆว่าไหม"

    "วะ-เวียร์" ผีร้ายตั้งใจแสดงตัวต่อเธอ "ทำไม อา~"

    แต่ก่อนที่จะได้ถามต่อไปว่าทำไมเป็นนาย หญิงสาวกลับถูกทำให้หลับไหล

    >> จักษุสะกดจิต ผู้เล่นเวียร์สามารถเข้าควบคุมจิตใจของมนุษย์ได้เป็นครั้งแรก ผลของมันจะคงสภาพไปตลอดจนกว่าผู้ถูกควบคุมจะได้รับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงค่ะ

    หึหึหึหึหึ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!!

    ยังความเบิกบานปานได้เป็นเทพเจ้า ปีศาจรัตติกาลหัวเราะร่าราวกับสรรพชีวานั้นอยู่แทบเท้ามันสิ้นแล้ว มันทั้งยินดีและชมชอบความสามารถใหม่ที่หลากหลาย ถลำลึกเถลิงพลังอำนาจใหม่ที่สาแก่ใจเกินกว่าอยากจะกล่าวออกมาเป็นวาจา
    ฮ่า!!!
    ฮ่า!!!
    ฮ่า!!!

    เสียงหัวเราะของปีศาจดังก้องกังวานสะเทือนโพรงดินที่ยาวแลลึกมากกว่าสิบกิโลเมตร ไหนล่ะคาคราร่าเจ้าถิ่น ไหนล่ะหนอนกินคนที่ว่า ไหนล่ะศัตรูที่หน้าใหม่กลัวหนักหนา ไหนล่ะ! อยู่ไหนล่ะ!

    ตายหมดแล้วหรือไร? หนอนยักษ์กินคนคาคราร่าที่มีขนาดของลำตัวพอพอกับโพรงที่มันขุดและอาศัยอยู่ พวกมันนั้นตาบอด พวกมันไม่มีขาแต่มีกล้ามเนื้อส่วนลำตัวที่แข็งแรง เมื่อออกแรงขยับก็จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างสบาย คาคราร่าจะผสมพันธุ์ในตัวเองและออกลูกเป็นตัว พวกมันกินได้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นดิน พืช รวมถึงนักผจญภัยใจหาญ แน่นอนว่าอาหารจานโปรดของพวกมันก็คือนักผจญภัยเคราะห์ร้าย

    เพราะไม่มีตาดังนั้นคาคราร่าจึงพัฒนาประสาทสัมผัสทางกายแทน กล่าวคือพวกมันจะมีขนอ่อนปกคลุมตลอดทั้งลำตัวเพื่อใช้จับแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นภายในโพรง และด้วยเงื่อนไขของดันเจี้ยนแห่งนี้ครั้นเมื่อปากหลุมเปิดออก แรงสั่นสะเทือนจะเกิดขึ้น เป็นเหตุให้ประดาหนอนกระหายหิวรู้ว่าจะต้องหันหัวของมันไปยังทิศทางใด

    น่าเสียดายที่หลายตัวขณะกำลังคืบคลานเพราะยังระบุทิศของอาหารไม่ได้กลับต้องมาจ๊ะเอ๋กับเวียร์ พวกมันเพียงสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งพุ่งตรงเข้ามา และ...ทุลุผ่านร่างของพวกมันไป ทำลายฟันอันแหลมคมของมันที่มีมากกว่าสองร้อยซี่ภายในปากอย่างง่ายดาย ไหนจะไม่สามารถแตะต้องสิ่งนี้ได้ ไม่ทันที่ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายมันจะชนกับสิ่งนี้ด้วยซ้ำ อากาศที่ดูจะมีมวลหนาแน่นอย่างมากพลันปะทะแหวกร่างของมันให้ระเบิดและกระจายออก เหตุนี้ไขมันที่มีสีไสและเหนียวหนืดจึงกระเซ็นเป็นฝอยดุจระอองน้ำ ไม่น่าเชื่อ ทั้งที่พวกมันแต่ละตัวมีเลเวลมากกว่าห้าสิบสองเทียวนะ

    มากกว่าหนึ่งโพรงที่ทะลุถึงกันได้ หลายโพรงมาบรรจบกันเป็นเหตุให้หนอนสองตัวมาเจอกันและพวกมันก็กินกันเองด้วย มีอยู่ตัวหนึ่งกำลังงุ่มง่ามกระดืบอยู่อย่างขมีขมัน แต่เพียงขนาดตัวสีน้ำตาลเข้มที่ใหญ่คับโพรงนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้มันรอดจากความตาย

    แวมไพร์หนุ่มเพียงเดินเข้าไปหาแล้วใช้กรงเล็บกรีดเบาๆผิวหนังของมันก็เปิดออก แหวกออกจากกัน เปิดลำตัวของมันจนของเหลวสีใสสาดกระเด็น

    วิ๊ดดด!!! เจ้าหนอนเปล่งเสียงร้องแสนทรมานเมื่อร่างของมันปริออกจากกันตั้งแต่ส่วนหางจนถึงส่วนหัวในขณะที่เวียร์กำลังเดินผ่าลำตัวของมัน จะกระเสือกกระสนอย่างไรก็ไม่ได้เพราะขนาดของตัวใหญ่พอพอกับโพรงดิน อั๊ก- เสียงดังอั๊กสั้นๆเมื่อส่วนหัวกระเด็นไปเบื้องหน้าก่อนที่ชายหนุ่มจะใช้เท้าบดขยี้เสียแหลกลาญ

    ปลายของสุดโพรงดินนี่เองที่แสงสว่างจากดวงดาวและสายลมพัดผ่านเข้ามา บนไหล่ขวาของเขาที่แบกมาด้วยก็คือนักรบนิทรารีอาน่า และหากมองภาพของแวมไพร์หนุ่มยามนี้ล่ะก็...

    เขานั้นยืนอยู่ ณ ปากโพรงดินบนหน้าผาสูงชันอันมีลมเชี่ยวโกรก ประหนึ่งลมนั้นเซาะหน้าดินแลตัดภูเขาทั้งลูกให้กลายเป็นหน้าผาที่เรียบและยาวขึ้นไปจรดชั้นเมฆ ที่สุดแล้วเวียร์ก็ได้พบกับสถานที่ใหม่ ที่ลึกลับซึ่งอยู่ด้านหลังดันเจี้ยนหนอนกินคน

    >> ดินแดนแม่มด มูก้า






    "เดี๋ยวๆ" ข้อมือขวาของเขาถูกอีกมือหนึ่งที่ดูจะอ่อนเยาว์กว่าคว้าไว้แล้วลากจูง "แตม~"

    เขานั้นสวมเสื้อแขนยาวสีขาวคอปกประกอบเนคไทสีเหลืองดอกทานตะวันถูกเธอที่สวมกระโปรงสั้นจีบรอบสีน้ำตาลแดงดึงไปอย่างง่ายๆ

    ยังบริเวณเล็กๆของโลกจริงที่พลุกพล่านแห่งนี้คือระเบียงยาวสีขาวสะอาดตาของมหาวิทยาลัยชั้นนำ คู่หนุ่มสาวดังกล่าวกำลังวิ่งผ่านเหล่านักศึกษามากหน้าหลายตาที่บ้างก็คุยกัน บ้างก็หัวเราะเสียงเจื้อยแจ้ว สี่ห้าคนนั่นกำลังดูประกาศของทางคณะ เขาทั้งสองหาได้สนใจสายตาที่แลมองเลยสักนิด

    เธอนำเขาไปยังบันไดที่ทอดยาวระหว่างชั้นบนและล่างของตึกสูงหรือก็คือปีกขวาของอาคารเรียน

    ตรงนี้ไม่มีคน นั่นหมายความว่าไม่มีใครเห็น

    "เอ็ด" เธอเรียกชื่อเขาทั้งยังเชิดหน้าจ้องตา

    "อะไร" เขาก็ตอบมาในความไม่เข้าใจที่ถูกเรียกชื่ออย่างนั้น "?"

    "แตม..." สาวน้อยดวงตากลมโตเอ่ยนามตนเองพลางคลี่ยิ้มหวานก่อนจะโพล่ง "สอบวิทย์ผ่านแล้วนะ!"

    "อะไรกันๆ" เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเอ็ดพลันยิ้มตอบอย่างสดใส "มนตร์วิเศษของพ่อมดเป็นจริงหรือเนี่ย"

    "ขอบคุณนะที่ติวให้น่ะ" เธอดูจะอายมากกว่าดีใจที่สอบได้เสียอีก "..."

    อุ๊บ! โดยที่เขาไม่ได้ตั้งตัว

    .

    .

    .

    หญิงสาวได้ประกบตัวแนบอกชิดกายเอ็ด ในชุดนักศึกษาปีหนึ่ง ในมุมที่ไม่มีใครเห็น ในความตื่นตัวนี่เอง เธอก็จูบเขาเป็นรางวัล แด่รักของเรา แด่ความใส่ใจที่เขามีให้เธอตลอดมา แด่ความอุตสาหะและทุ่มเทดูหนังสือให้กระทั่งสอบกลางภาควิชาวิทยาศาสตร์สุดหินได้ในที่สุด

    สุขใจ

    สุขใจ

    ดีอะ ดีจังเลย~

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    แล้วจูบก็คลาย ให้ตัวเอ็ดนั้นขวยเขินจนพูดอะไรไม่ออก "........." เด็กหนุ่มทำได้เพียงมองดูใบหน้าของแตมที่ใกล้จะละลายไปพร้อมกับลมหายใจอันร้อนรน

    "แตมรักเอ็ดนะ" ที่สุดเธอจึงพูดมันออกมา "เอ็ดรักแตมไหม"

    "รักสิ" ตอบแบบไม่ต้องคิดเลย

    "อิอิอิ พูดแล้วน้าาา~ห้ามเปลี่ยใจ"

    "ไม่เปลี่ยนใจหรอก" ยืนยันแบบไม่ต้องคิดอีกด้วย

    แหม~ฟังอย่างนี้แม่คุณเธอก็ยิ้มใหญ่เลย ชอบใจๆๆๆ เบิกบานใจลันลาขนาดว่าหากกระโดดทะลุเพดานตึกได้คงทำไปแบ้ว อ้ายยย! ก็คนมันดีใจสองเด้งอะ!

    แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับไปที่ระเบียง แตมบอกว่าบ่ายนี้ว่างยาวจนถึงเย็นเทียว เอ็ดเองก็ว่างเหมือนกัน งั้นเราก็ควรมีกิจกรรมยามว่าง เหตุนี้สาวน้อยจึงชวนเด็กหนุ่มออนไลน์

    เอ็ดนั้นอยู่ชั้นปีที่สอง เด็กหนุ่มขึ้นชั้นปีที่สองไวกว่านักศึกษาปีหนึ่งคนอื่นๆเพราะเขาทำข้อสอบปลายภาคของชั้นปีหนึ่งได้คะแนนเต็มและพ่อของเขาขอเข้าพบอธิกาาบดีของมหาวิทยาลัย ลุงอุ๊ดเป็นเพื่อนกับอธิการบดี เมื่อหลานชายมีความสามารถขนาดนี้อธิการบดีก็ยินดีให้เลื่อนชั้นปีได้โดยไม่มีเงื่อนไข

    การสอบวัดผลเพื่อเลื่อนชั้นปีลักษณะเดียวกันนี้จะจัดขึ้นทุกปี สำหรับนักศึกษาที่ทำข้อสอบปลายภาคของชั้นปีที่สูงกว่าได้คะแนนมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคะแนนทั้งหมดหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์จะได้รับสิทธิพิเศษเลื่อนชั้นปีขึ้นเป็นชั้นปีถัดไปในเทอมที่สอง แต่ด้วยมิตรภาพอันดีระหว่างชายวัยกลางคนกับอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เอ็ดจึงกลายเป็นนักศึกษาปีสองตั้งแต่อาทิตย์แรกที่เปิดเรียน

    คู่รักหัวใจตึกตั๊กเดินผ่านสะพานลอยฟ้าที่เชื่อมระหว่างตึกเรียนสู่ศูนย์คอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย อาคารทรงลูกบาศก์สีน้ำเงินขนาดยักษ์ที่ตั้งเอียงทำมุมกับพื้นราบอย่างประหลาด สู่โถงเปิดโล่งขนาดใหญ่ที่ถูกประดับด้วยกระจกใสบานใหญ่ยักษ์ นั่น! ห้องเล็กๆนั่นคือจุดหมายที่เธอกับเขากำลังมุ่งหน้าไป



    "เฮ้ไปไงมาไงสาวน้อย" ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าของห้องทักแตมก่อนจะได้เห็นว่าเอ็ดก็มาด้วย "เอ๋"

    "ดีค่ะพี่ชน" เด็กสาวโบกมือทักทายพลางเรียกชื่อชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสั้นๆว่า ชน

    "ดีฮะ" เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มเล็กน้อย

    "ดีๆ" รุ่นพี่ที่ถูกแตมเรียกมีชื่อเต็มว่าชนสรณ์ "นี่อย่าบอกนะเธอจะมาเล่นเกม เอ็ดด้วยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อ"

    "ค่ะ แตมพามาเองเลย อิอิ อะไรก็เกิดขึ้นได้" เธอหันไปทางคนรัก "เน๊อะ"

    ชนสรณ์เห็นว่าจู่ๆเอ็ดก็หน้าแดงเฉย นั่นทำให้เขาเข้าใจเป็นอื่น

    "เอ็ดไม่สบายหรือเปล่า ไม่สบายห้ามออนไลน์นะ จะแย่ไปกันใหญ่"

    "เปล่าฮะ ผมสบายดี"

    และก่อนที่รุ่นพี่จะจับทางได้ เธอจึงถาม "หมวกว่างไหมพี่"

    "อ่อ พักนี้ไม่มีใครมาเล่นหรอก" ชนเองก็ไม่เคยจะตามทัน "นี่เพิ่งเที่ยงเองนะ แล้วทานข้าวกันมาหรือยัง"

    "ไม่หิวค่ะ!" สาวแตมยืนตรงทำมือตะเบ๊ะพร้อมกับยักคิ้วสองที จะน่ารักไปไหนเด็กคนนี้ "พี่ล่ะเล่นด้วยกันไหม"

    "ไม่ล่ะยังก่อน-"

    "รอใครบางคนอยู่ล่ะเซ้ซซซ องค์หญิงหรือเปล่าน้าาา"

    "อะไรๆเข้าไปเลยๆ" ด้วยว่าสาวน้อยทายได้แม่นยำ รุ่นพี่ชนสรณ์ทำได้แค่ปัดความอายให้พ้นตัวเท่านั้น "รู้ไปทุกเรื่อง"






    ณ โลกจำลองที่ทั้งสองเคยเจอกันมาแล้ว การเป็นเพื่อนกันจะแสดงตำแหน่งที่แต่ละคนเกิดหรือยังสถานที่ที่ออฟไลน์ออกจากระบบล่าสุดที่ถูกบันทึกไว้ ทั้งคู่ได้มาเกิดในกระโจมทรงกรวยแหลมสีขาวตัดแถบเฉลียงสีทองซึ่งด้านบนมีธงสัญลักษณ์ปักไว้

    กิลด์ไลท์ ภาคีแห่งแสงสว่าง

    ทันใดนั้นระบบก็ประกาศศักดาของท่านผู้นำภาคี

    >> ไวท์ริออน แห่งไลท์ได้ครอบครอง วาวา จิตพำนักของมังกร! ส่งผลให้สมาชิกภาคีแห่งแสงสว่างทุกคนได้รับบัฟเพิ่มค่าประสบการณ์ระดับเอส (S) ในเวลานี้จนกว่าแสงสถิตแห่งดวงดาราจะถูกคร่าไป

    >> ไวท์ริออน แห่งไลท์เลื่อนชั้นแรงค์เป็นระดับเอส ส่งผลให้สมาชิกภาคีแห่งแสงสว่างทุกคนสามารถพัฒนาอาวุธคู่กายได้หนึ่งชิ้นโดยไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบในการพัฒนาค่ะ

    >> ไวท์ริออน แห่งไลท์สำเร็จภารกิจทองอัญเชิญ เมดูซา ผลจากความเพียรพยายามนี้ทำให้ดินแดนแม่มด มูก้า ถูกเปิดเผยในแผนที่โลก

    "เจ๋งไปเลยลูกพี่ริออน!" สาวน้อยแตมโพล่งเสียงดังขึ้นทันทีครั้นได้ทราบว่าไวท์ริออนผู้นำแห่งกิลด์ไลท์เก่งกาจสามารถขนาดไหน แม้นไม่พบท่านผู้นำเป็นเวลาแรมเดือนกระนั้นสรรพคุณของไวท์ริออนก็มิถูกลดทอนลงไป "เอ็ดได้ยินแล้วใช่ไหมล่ะ!"

    เด็กหนุ่มเอ็ดที่เพิ่งลืมตาจากที่นอนใกล้กับแม่นกเสียงหลงกำลังหาวหวอด เขานั้นไม่ใคร่สนใจเกมออนไลน์ แต่ก็ยอมเล่นเพราะเธอคือหวานใจ

    "อื่ม~ได้ยิน แต่ยังมืดอยู่เลยนะ" เด็กหนุ่มยิ่งไม่ชอบการเดินทางตอนกลางคืน "รอให้เช้าก่อนดีกว่า"

    "ได้ไงเล่า! แต่ตอนนี้พวกเราต้องรีบไปฆ่ามอนสเตอร์ให้มากที่สุด" พลางแตมค้นหาคุณสมบัติของวาวากับสิ่งที่ระบบประกาศออกมาด้วยแหวนสื่อสาร เธอนั้นบอกเล่าให้เขาฟังว่าโอกาสนี้สำคัญเพียงไร "จิตพำนักของมังกรบัฟเพิ่มยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ยี่สิบห้าเปอร์! แล้วคูณสองจุดห้าเมื่อนอนในกระโจมก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ค่าประสบการณ์คูณอีกสองจุดห้าหน่วยเอ็ด! ไอเทมแรร์สุดๆ"

    "นั่นเรียกว่าบัฟเหรอ" ตามความเข้าใจของเอ็ดแล้วบัฟคือการทำให้สถานะเดิมที่ผู้เล่นเป็นอยู่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเพิ่มพลังโจมตี เพิ่มพลังป้องกัน เพิ่มระยะการกระโดดหรือวิ่งได้เร็วขึ้นเป็นต้น ส่วนบัฟที่ทำให้ค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้นตัวเขาเองยังไม่เชื่อว่าเป็นบัฟ "คุณสมบัติโหดมาก"

    "ใช่ไหมล่ะ" แตมนี่ออกอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด "เร็วเข้าไปฟาร์มกัน"

    "แล้วฟานเซียจะไปฟาร์มที่ไหน"

    แตมหรือชื่อในเกมว่าฟานเซียถูกถามตามใจแบบนี้ รู้เลยว่าอยากไปไหนก็ไปได้ คุณเธอจึงตอบโดยไว

    "อิอิ มูก้า! หัวหน้าก็อยู่ที่นั่น ไปมูก้า"



    วิ้ง! เมื่อแสงสว่างสีเงินกระจายตัวแลม้วนตัวสู่อากาศธาตุ ใกล้กับศิลาเทวรูปที่ได้ปรากฏแสงสีเงินนั้นจึงปรากฏร่างของนักรบสาวสวมเกราะสีเพลิงคาดทวนยาวไว้ด้านหลัง

    วิ้ง! ตามมาติดๆด้วยร่างของนักรบหนุ่มสวมเสื้อหนังสีดำ ใส่ถุงมือหนังนิ้วขาดทั้งสองข้าง ดวงตามีประกายของความทระนงรอบรู้ ผมก็เป็นสีดำและมีสมบัติสะท้อนสีสันของดวงดาวให้วาววับในบางคราว เขานั้นไม่มีอาวุธใดเคียงกายเฉกเช่นเธอ เมื่อการวาร์ปจากกระโจมนอนมายังศิลาเทวรูปที่ประดิษฐานอยู่กลางทางสิ้นสุดลง เอ็ดก็เอ่ยปากกับฟานเซีย

    "จุดนี้ก็คงจะใกล้สุดแล้ว เห็นหน้าผาที่อยู่ตรงนั้นไหม นั่นแหละมูก้า"

    หน้าผาที่ว่าทอดยาวเข้าไปในชั้นเมฆซึ่งตั้งอยู่ไกลลิบ ท้องฟ้าบริเวณเดียวกันก็เป็นดำบิดเบี้ยวเคี้ยวคดไปมาอย่างไม่ปกติ วินาทีที่ทั้งคู่มองอยู่พลันบังเกิดเส้นแสงสีม่วงเล็กๆเคลื่อนไหวในลักษณะดิ่งพสุธาจากผาชัน

    "ดาวตกสีม่วงงั้นเหรอเอ็ด?" ที่ฟานเซียประหลาดใจก็เพราะแสงสีม่วงเล็กๆนั่นเห็นชัดมากทั้งยังสวยงาม "อิอิ เรารีบไปดูกันเถอะ"



    ไม่น่าเชื่อว่าด้วยระดับสี่ร้อยนี้จะทำให้เวียร์สามารถกระโจนจากหน้าผาสูงชะลูดสู่พื้นดินเบื้องล่างได้อย่างปลอดภัย การกระทำของเขาเป็นเหตุให้ใครหลายคนที่อยู่ห่างไกลออกไปเข้าใจผิดคิดว่าที่ตรงนี้เกิดมีดาวตกสีม่วงพุ่งลงมาจากฟ้าปานนั้น รองเท้าเกรดต่ำที่เคยสวมพังไปหมดแล้ว ผีดิบรัตติกาลในท่าก้มตัวใช้สองมือยันพื้นจึงเหยียดกายขึ้นแลเดินเย้ยหยันแรงโน้มถ่วงที่ไม่สามารถทำอันตรายใดๆแก่มัน ช่างน่าภาคภูมิใจเหลือเกินให้ตายสิ

    "วาวา" ชายหนุ่มเปล่งเสียงถึงไอเทมที่ปรารถนายิ่ง "วาวา เจ้าเรียกข้างั้นรึ เจ้าเรียกร้องหาข้างั้นรึ"



    รูปปั้นสัตว์ประหลาดกอร์กอนอันมีใบหน้าเป็นมนุษย์เพศหญิงแสนน่ากลัวและมีงูพิษเป็นร้อยแทนเส้นผมบนศีรษะนั้นตั้งตระหง่านบนภูหินสูง ยอดแหลมของภูเขานี้อยู่ใต้โพรงถ้ำขนาดใหญ่มากที่เปิดรับเอาแสงจากดวงดาวส่องต้องลงมาและสะท้อนมันกลับขึ้นไปจนสว่าง ยังมีความขมุกขมัวของไอน้ำภายในโพรงถ้ำที่เย็นเสียดผิวกาย ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆแว่วมาเรื่อยทว่าฟังไม่ออกว่านางกล่าวกระไร

    ไวท์ริออนเพียงผู้เดียวที่ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าแม่ทัพแห่งไลท์ เครื่องแต่งกายของเขาเลอเลิศตระการตาประดับประดาอัญมณีส่องแสงสีขาวละเมียดละไมระยิบระยับกับปีกขนนกที่ผุดผาดติดกลางหลัง ชายหนุ่มผู้เป็นความหวังและความภาคภูมิสูงสุดของกิลด์ แลปลายแหลมคมของเหมันต์นิรันดร์ดิมอร์นิกเวสเซลที่ทิ่มบนพื้นศิลานั้นก็ยิ่งทวีความหนาวเย็นเข้าไปอีก มันคือยอดศาสตราที่ไวท์ริออนรักหนักหนา บัดนี้ถึงคราวที่ต้องใช้เพื่อนยากตัดคอเมดูซาให้เป็นดั่งตำนานโบราณ

    "ข้าว่ารออีกสักหน่อยเถอะ ให้ที่นี่เป็นที่รู้จักก่อน เราคุ้มกันไม่ให้ศัตรูเข้ามาก็พอ" อาวุโสเก่าแก่ของกิลด์ให้ความเห็น เนื่องไม่เห็นด้วยกับการบุกโจมตีเมดูซาในตอนนี้ "แน่นอนว่าเซฟีรอธและอาสตรอนต้องส่งมือดีมาช่วงชิง แต่ข้ามีแผนจัดการ"

    "ท่านแก่และช้าเกินไปแล้วเอลานอร์" คนหนุ่มกว่าซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่เคียงข้างกลับต้องการให้รีบสังหารกอร์กอน "ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่ก่อน ทำไมจะต้องคอยสู้ศัตรูให้เสียทั้งคนเสียทั้งเวลา ฆ่าเมดูซาซะแล้วขึ้นเหนือ"

     "แม่ทัพซูรี" เป็นหญิงสาวใส่หน้ากากยิ้มแฉ่งครึ่งซีกทักท้วงความเห็นของคนหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ซูรี "แม่ทัพเอลานอร์เป็นห่วงว่าหากเราลงมือเร็วเกินไปอาจเสียเวลาเปล่า"

    "รองแม่ทัพดิเอลซ่าวอร์ล่าสุดที่ผ่านมาเจ้าสู้กับอาสตรอนก็แพ้" คนหนุ่มนามซูรียังคงเห็นต่าง "ให้อีกห้าสิบคนไปต้านปีศาจดำก็ตายหมด เจเนซิสทหารรับจ้างชั้นดีของเจ้าก็หายสูญ" พลางถ่างตา "จะให้ข้าฟังคนที่ล้มเหลวอย่างเจ้า?" เมื่อไร้คำตอบจากเธอที่ก้มหน้านิ่งซูรีจึงหันไปกล่าวกับคนเฒ่า "ท่านเอลานอร์หนนี้ท่านต้องฟังข้า"

    ควรทราบว่ากิลด์ไลท์มีผู้นำคือไวท์ริออนซึ่งแบ่งอำนาจให้กับแม่ทัพทั้งสี่ ได้แก่ เอลานอร์ ซูรี มังกรขนปุยและกุ้งเลี้ยงอ่างเพชร สองแม่ทัพฝ่ายรุกคือเอลานอร์และซูรี สองแม่ทัพฝ่ายรับคือมังกรขนปุยและกุ้งเลี้ยงอ่างเพชร

    แม้เอลานอร์ในเกมนั้นจะแก่มาก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่านอกเกมเขาคือคนแก่หรือคนหนุ่มแสร้งมาเล่นเป็นคนแก่กันแน่ มือขวาของนักรบเฒ่าก็คือ ดิเอลซ่า ฉายานักฆ่าหน้ายิ้ม หญิงสาวหุ่นบางที่น้อยครั้งจะยิ้ม ฉะนั้นฉายานี้คงได้มาจากหน้ากากที่ใส่อยู่ล่ะสินะ

    แม่ทัพชราให้ยั้งตั้งรับทว่าแม่ทัพหนุ่มต้องการให้ไปต่อ แลไม่มีเสียงที่แสดงถึงความเห็นใดๆจากสองแม่ทัพฝ่ายรับที่ปิดปากเงียบมาสักพักหนึ่งแล้ว

    "กุ้งราคาตกเหรอท่านอ่างเพชร" ผู้เฒ่าถามด้วยความเป็นห่วง

    กุ้งเลี้ยงอ่างเพชรก็พยักหน้ารับ

    "เห้อ~แบบนี้ต่อไปพวกเราจะไปทำมาหากินอะไรดี" เอลานอร์ทอดถอนใจอาลัยถึงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำยาวนาน โดยเฉพาะกับสินค้าเกษตรทั้งหลาย "เลี้ยงไก่ก็ไม่เลวนะท่าน"

    "โอ้ย!นี่มันใช่เวลาไหมคนแก่!" ซูรีได้ฟังก็ไม่สบอารมณ์คนหัวร้อน ว่าใหญ่เลย "เล่นเกมก็เล่นเกมสิ ไม่มีใจก็ออกเกมไป จะไปฆ่ามอนไม่ได้จะมาเลี้ยงไก่!บ้าป่าว!"

    ธรรมดาเด็กน้อยไม่เข้าใจผู้ใหญ่ แต่ที่ซูรีด่านั่นก็ถูกเพราะมันใช่เวลามาพูดการเมืองที่ไหน เหตุนี้อาวุโสเก่าแก่จึงต้องเงียบปากไป

    "ตกลงพวกเราบุกครับ" แม่ทัพหนุ่มสรุปเอาเองโดยไม่มีผู้คัดค้าน

    ถึงคราภาคีได้ข้อสรุปไวท์ริออนก็ดึงดาบน้ำแข็งดิมอร์นิกเวสเซลขึ้นชูจรดดวงดาราบนฟ้าฟาก ฉับ! ฟันตวัดตัดหัวรูปปั้นเมดูซาขาดกระเด็นพร้อมประกายน้ำแข็งแตกระยิบระยับส่งหัวรูปปั้นตกจากยอดเขา เป็นสัญญาณว่าได้เวลาล่าเมดูซาตัวจริงกันแล้ว



    ฉับ! ดังจากที่ไกลมาเยือนถึงหูผีดิบ ให้แวมไพร์วิ่งไปยังเสียงนั่นทันที

    "ฮ่า วาวา!"



    มูก้าคือดินแดนของแม่มดหมอผี ชนพื้นเมืองของที่นี่ถูกคิงไลออนสาปมิให้เห็นเดือนเห็นตะวันและปิดกั้นดินแดนนี้ไว้ตราบนานเท่านาน ไม่มีผู้เล่นคนไหนทราบความเป็นมาว่าเหตุใดจึงถูกประมุขของเกมสาปอย่างนั้นได้ ครั้นสุดยอดไอเทมหายากอย่างวาวาถูกค้นพบโดยไวท์ริออน ตัวเขาเองกับแนวหน้าของกลุ่มค่อยทราบว่าสถานที่แห่งนี้คือดินแดนต้องสาปในอดีตกาลแถมยังมีเมดูซาอาศัยอยู่ใต้เปลือกโลก ศีรษะของอสูรกายเส้นผมเป็นงูมีราคาที่ไม่อาจประเมินได้ กล่าวกันว่าหากนำมาตีผสมกับทองคำก็สามารถขึ้นรูปเป็นศาสตราวุธระดับเทพซึ่งมีคุณสมบัติทำให้เลือดภายในร่างกายแห้งเหือดและจับกันกลายเป็นหิน จะเป็นดาบก็ควรอยู่หรือจะเป็นเกราะก็พิทักษ์กายาก็แจ่มใช่เล่น ส่วนตัวแล้วไวท์ริออนตั้งใจจะเอามาทำเป็นโล่วิเศษ

    จากยอดผาเสียดนภากาศไปทางทิศตะวันออกสุดขอบทวีปเกือบถึงแหลมคร่าราชันย์ ที่นั่นถูกเรียกกว่าภูนรก จะเห็นภูเขาขนาดใหญ่ที่ปล่องของมันเปิดออก มีความร้อนจากใต้พิภพถูกพ่นออกมาประหนึ่งว่ามันเคยประทุมาแล้วในอดีต ภายในภูเขาจะเป็นโพรง และภายในโพรงก็มีภูเขาอีกลูกดันตัวเองขึ้นมาจนเกือบจะถึงปากปล่อง

    บัดนี้ภูนรกถูกปกคลุมด้วยความเย็นจากดาบน้ำแข็ง ดิมอร์นิกเวสเซลสามารถทำให้หิมะตกได้ ทว่าที่นี่ร้อนเกินไปและพวกเขายังไม่พบทางไปสู่เป้าหมาย

    "ดันเจี้ยนนี่จะลึกไปถึงไหน" แม่ทัพชราพร่ำบ่นขณะเดินย่ำกรวดหินขนาดเล็กที่เคยร้อนระอุ "ดีนะที่ได้ดิมอร์นิกช่วยให้อากาศเย็นลง ไม่งั้นข้าคงถูกไฟเผาตาย จริงๆเลยน่าจะรออยู่ข้างนอก"

    "..." ดิเอลซ่าเหลือบมองประตูหินหลายต่อหลายบานที่กลุ่มของเธอนั้นเดินผ่าน ในนี้แหวนสื่อสารโหมดออนไลน์ใช้งานไม่ได้ อีกอย่างแผนที่ก็เพิ่งถูกเปิด ดังนั้นเส้นทางที่ค้นพบจึงเป็นของใหม่ทั้งหมด เพลาก่อนหากภาคีเชื่อถือแม่ทัพเอลานอร์แต่แรกย่อมไม่ต้องลำบากเดินหามั่วซั่วแบบนี้

    "เงียบเลยคนแก่" ซูรีชักรำคาญ "แผนท่านคือให้คนนอกเข้ามาสำรวจก่อนจากนั้นก็เก็บข้อมูลที่ได้จากพวกมัน ข้าไม่เถียงว่ามันใช้ได้ แต่มันนานเกินไป อย่าลืมสิว่าพวกเราตัดสินใจแล้ว"

    "การตัดสินใจนั่นของเจ้าคนเดียวอย่ามาเหมารวม" ผู้อาวุโสแย้งย้อน "อย่ามาใช้คำว่าพวกเรา"

    "เฮอะ!"



    บนท้องฟ้าที่แสนจะวิปโยคซึ่งมองแทบไม่เห็นดวงดาว ณ บริเวณนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้คน

    "เอ็ดทางนี้ๆ" สาวฟานเซียกำลังสนุกที่ได้เห็นร้านค้าท้องถิ่นขายของท้องถิ่นหรือไม่ก็ไอเทมที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันแปลกตาเอามากๆเลยล่ะ "ดูนั่นสิ"

    คู่รักอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังดินแดนแม่มดแต่กลับต้องมาแวะชมโน่นนี่นั่น เด็กหนุ่มเดาว่าผู้เล่นหลายคนคงจะปาร์ตี้กันอยู่แถวนี้ และพอแผนที่ใหม่ถูกเปิดจึงมีมอนสเตอร์แปลกๆออกมาให้ล่าเป็นเหตุให้เกิดสิ่งของประหลาดต่างๆนานา แวะริมทางมันก็เหมือนได้เที่ยวนะแต่มันจะเสียเวลาไปไหม ไหนใครบางคนบอกว่าต้องการยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์

    สำหรับร้านค้านั้นโดยทั่วไปแล้วสร้างด้วยวัสดุที่หาได้ง่ายๆแบบว่ากิ่งไม้กับผ้าบางกางเป็นหลังคาเรียงรายไปตลอดสองฝั่งทาง แสงสว่างก็มาจากเทียนไขบ้าง ไลน์ระดับสูงบ้าง หรือไม่ก็เป็นไอเทมคฑาของพวกนักบวชไม่ก็จอมเว
    ทย์ โชห่วยเหล่านี้จึงให้ความเพลิดเพลินออกแนวแฟนตาซีย้อนยุค

    "ดวงตาของยักษ์งั้นเหรอค่ะ?" หญิงสาวถือลูกตาสีเหลืองขนาดเท่ากำปั้นที่มีก้านประสาทติดมาด้วยขึ้นมาพิจารณา ก่อนจะถามถึงประโยชน์ของมัน "ใช้ทำอะไรคุณยาย"

    "อ่อนั่นน่ะ" หญิงชราสวมชุดคลุมยาวสีดำทั้งร่างและใส่ฮูดดำยิ้มในมุมที่แสงไฟส่องมาชนกับเหงือกในปาก "ไว้มองในความมืดมิด"

    "มองในความมืดมิด" หมายถึง? "ยังไงคุณยาย คือที่มืดๆเหรอ"

    ไม่ทันที่คุณยายใส่ฮูดดำจะตอบคำ เอ็ดก็คว้ามือฟานเซียเดินออกจากร้านไปเสียก่อน ดวงตาของยักษ์จึงหล่นลงบนโต๊ะไม้ดังแผละ

    หญิงชราใช้มือซ้ายคลำไปตามเสียงแผละ เมื่อหยิบดวงตาได้ก้านของมันก็มัดเข้ากับมืออันเหี่ยวย่นของนาง พรึบ! ราวกับมันกลับมามีชีวิต! ดวงตาสามารถกลอกกลิ้งไปมาได้ มันเพ่งพิศไปที่แผ่นหลังของหญิงสาว

    ฮี่ๆๆๆ พลันเสียงหัวเราะขบขันดังมาจากลำคอคุณยาย ที่สำคัญเมื่อไฟนั้นส่องต้องหน้ากลับพบว่านางไม่มีดวงตาทั้งรูจมูกก็แนบติดใบหน้าอีกด้วย

    "ฮี่ๆๆ อุคูชารา ชารามาคะรา" หญิงชราปริปากแมลงหกขาคล้ายแมลงสาบก็ไต่ออกมาเป็นจำนวนมาก "หัวใจเจ้าเป็นของปีศาจ สมสู่และตาย~"



    "วิงฮันเตอร์" ฟานเซียเรียกชื่อของมอเตอร์ไซค์มือสองที่พ่อค้าหนุ่มคนหนึ่งนำมาโชว์ที่หน้าร้าน

    "ใช่ไงที่เคยเห็นเลย"

    ตรงหน้าของทั้งสองคือเครื่องยนต์พลังงานแร่ราคาแพงนามว่าวิงฮันเตอร์รุ่นเจ็ทเอ็มเอ็มทู มอเตอร์ไซค์ดิไซน์อนาคตสีดำเป็นเงามันที่ลำตัวขนานไปกับพื้น มาพร้อมกับระบบท่อไอเสียทองแดงคู่ที่ครอบด้วยโลหะสีทองด้าน ล้อหน้าติดจานเบรคขนาดใหญ่ใช้สำหรับดริฟท์ปัดท้ายในขณะเข้าโค้งความเร็วสูง ทว่านี่ก็เป็นยานพาหนะหนึ่งในหลายแบบมีอยู่ภายในเกม มันหอมหวนขนาดว่าการละสายตาเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากสำหรับใครบางคน

    "เอ็ดอยากได้มอไซค์เหรอ?"

    "อยากได้สิ!" เจ้าหนุ่มตอบรับทันควันแถมจ้องมองเครื่องยนต์สองล้อนั่นตาเป็นมัน "นะ!"

    "เงินเราสองคนรวมกันมันก็พอซื้อได้อยู่นะแต่ว่า..."

    "ถึงเป็นมือสองแต่เครื่องแรงนะคร๊าบ" เสียงครับของคุณพ่อค้าลากยาวจนได้ยินเป็นคร๊าบ "คือน้องสาวผมเธอซื้อมาผิดรุ่นน่ะคร๊าบ ไม่ใช่ที่อยากได้ ก็เลยให้ผมเอามาปล่อย"

    "เหรอ แล้วจากป้ายนั่นนายลดให้เราได้อีกเท่าไร" หญิงสาวต่อรอง "เพราะมันแพงเกินไปสำหรับราคามือสองนะบอกเลย"

    "หือ~ขี่ยังไม่ถึงสิบกิโลเลยนะคร๊าบ แหม ลดไม่ได้หรอก ของไม่มีตำหนิบอกเลย" พ่อค้าเล่นลิ้นกับลูกค้าด้วย

    "สองหมื่นไลออน" เธอว่าลดราคาอีกสองหมื่นไลออน "ลดให้เลย"

    "ได้เต็มที่หนึ่งหมื่น" พ่อค้าว่าลดได้เท่านี้

    "หมื่นแปดไลออน ไม่งั้นไม่ซื้อ" เห็นชัดว่าต่อรองได้ แสดงว่าราคาที่อยากขายจริงๆต่ำกว่านี้

    "โถ่ ของยังใหม่เลยนะคร๊าบ" พ่อค้าโอดครวญ

    "หมื่นแปดไม่ได้ก็ลาล่ะ"

    พอฟานเซียทำท่าจะเดินหนีเท่านั้นแหละ

    "เดี๋ยวก่อน หมื่นห้าพันไลออน นะ ได้เท่านี้จริงๆ" รู้เลยว่าอยากขาย "ไม่มากไปกว่านี้อีกแล้ว"

    "ก็ได้ จากเก้าหมื่นลดไปหมื่นห้า ตกลงตามนี้"

    "ย่ะฮู้!" เอ็ดดีใจจนออกหน้า ไม่ว่ามันจะราคาเท่าไรเขาไม่ได้ใส่ใจ ตรงเข้าไปลูบคลำในทันที "ขอบคุณครับ!"



    อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นเป้าหมายของคู่รัก กลุ่มผู่ล่าเมดูซากำลังถูกกองทัพแมงป่องยักษ์ล้อมคอกดุจฝูงแกะกับฝูงหมาจิ้งจอกหิวโซ แมงป่องแต่ละตัวสูงไม่ต่ำหว่าสามเมตร พวกมันมีลำตัวสีแดงประหนึ่งถ่านไม้ติดไฟ หางพิษนั้นชูขึ้นเตรียมใช้ทะลวงแทงเหยื่องุ่มง่าม หาไม่พวกมันก็กำลังเผชิญอยู่กับมหานักรบอันตรายที่ไม่อาจปล่อยให้พวกมันหลบหนีได้อีก เพราะพื้นกรวดหินที่ใช้ซ่อนตัวถูกฉาบด้วยน้ำแข็งหนาเป็นชั้น

    "ฆ่ามันท่านไวท์!" เฒ่าเอลานอร์ตะโกนบอกในขณะที่เหวี่ยงดาบยาวฟันฉับไปยังก้ามยักษ์ เวลาเดียวกันร่างของซูรีพลันกระเด็นผ่านสายตา "?"

    ซั๊ว!!! เลือดสีเขียวและกรดเข้มข้นสาดกระจายเมื่อดาบน้ำแข็งเสยขึ้นผ่าครึ่งแมงป่องยักษ์ขาดออกสองท่อน คลื่นความเย็นซัดออกดุจลูกดอกเวทตรึงขาแมงป่องยักษ์อีกหลายตัวที่อยู่ใกล้ให้แข็งติดกับพื้นกลายเป็นเป้านิ่ง

    "ฮึบ!" ตาแก่ผสานฝ่ามือให้กุ้งเลี้ยงอ่างเพชรใช้เท้าเหยียบถีบทะยานร่างโจมตีเหล่าแมงป่องต้องฤทธิ์น้ำแข็ง และเพียงช่วงกระพริบตาเท่านั้นซูรีผู้โชกเลือดก็ลอยผ่านหน้าไปอีก จนต้องหันศีรษะมองตาม "..."
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×