ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Attack of Vampire คืนชีพเจ้าชายแวมไพร์ ออนไลน์

    ลำดับตอนที่ #2 : เงาในอดีต [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 446
      0
      8 พ.ย. 59

                ตอนที่ 2           
                เงาในอดีต



    'เวียร์!' เซนต์ฟาร์ที่เพิ่งปรากฏกายกลับยืนตกตะลึง 'เวียร์~'       
           
           ด้ามจอบจวนเจียนถึงศีรษะศัตรูในท่ากระโดดใส่ ย๊ากกก!!! ทว่าเธอไม่ยอมหลบ ไม่สิ!ไม่ขยับเขยื้อนเลย เจี้ยนหมิงสังเกตเห็นดวงตาสีครามน้ำทะเลคู่นั้นที่ตั้งอยู่ในภวังค์พลันเปลี่ยนใจ เอี้ยวตัวเสยด้ามจอบปลายแหลมหวดใส่อากาศตีลมไปหนึ่งที       
           
    "..." ขมังเวทย์สาวคล้ายพยายามจะร่ายมนต์ แต่ไม่มีเสียงออกมาจากปากของเธอ มือขวาเธอยกขึ้นราวกับจะยิงก้อนหลังงานสีดำทมิฬใส่ชายหนุ่ม วินาทีวัดใจที่ทำให้เจี้ยนหมิงคิดว่าตัวเองคงต้องตายกลับกลายเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ? พลางขมังเวทย์สาวก้าวเดินไปหาเขา       
           
           เพียงสามก้าวสั้นๆก็ถึงตัว มือขวาพิฆาตทาบลงบนอกของชายหนุ่ม เจ้าหนุ่มถึงกับใจหาย เจี้ยนหมิงยังมีสติถือด้ามจอบหักไว้แน่น เขาหมุนด้ามจอบอย่างช้าๆเพื่อให้ด้านที่เป็นปลายแหลมนั้นเตรียมกระทุ้งเสียบศีรษะเธอหากรู้สึกว่าถูกกล้ำกรายหมายชีวิต       
           
           จังหวะเดียวกับเซนต์ฟาร์สัมผัสเสียงเต้นของหัวใจ ชายหนุ่มที่เธอปรารถนาพบเจอจู่ๆก็ได้เจอยังสถานที่ที่เธอไม่คุ้นเคย เป็นเวลาเกือบปีแล้วที่เขาหายไปหลังจากพลัดตกหน้าผาและจมลงสู่ทะเล       
           
           เซนต์ฟาร์ที่เป็นใบ้ไม่อาจอดทนต่อน้ำตาของตนที่พยายามข่มไว้ได้อีกต่อไป หากว่าสิ่งที่อยู่ในภวังค์ของเธอคือเวียร์ในคราวที่เขาสวมเกราะสิงโตดำนาม ราชสีห์ทองพิทักษ์ เจ้าชายผู้หยิ่งทะนงสวมกอดหญิงสาวด้วยความอบอุ่น มือซ้ายของเขาลูบไล้เส้นผมสีเงินของเธออย่างนิ่มนวล แลสายพระเนตรอันเฉียบขาดอ่อนกำลังลงเพราะคำอ้อนวอน       
           
    "ใจข้าเป็นของเจ้า ชีวิตข้าไม่ต่างกัน เซนต์ฟาร์ฤทัยสีเงินแห่งข้า กับข้าโชคชะตานั้นร้ายนัก แต่กับเจ้าหวังว่ามันจะปราณี" เวียร์เอ่ยวิงวอนขอให้หญิงสาวทำตามประสงค์ของเขา วาระนี้แม้ยากเข็ญแต่ท้ายที่สุดชายหนุ่มจะต้องเผชิญ "บิดาข้าสิ้นแล้วด้วยน้ำมือพี่ชายของเขาเอง อัสทราซัสจะได้ครองทุกสิ่งเมื่อไร้ซึ่งข้า และวันนั้นย่อมมาถึงในไม่ช้า ข้าจะลงมือก่อน ข้าจึงมาบอกเจ้า...เก็บสิ่งนี้ไว้"       
           
           น้ำตาหยดเดียวกันที่ไหลในตอนนี้คือเหตุการณ์สุดท้ายของการกล่าวลา เวียร์มอบดอกไม้สีเหลืองทองที่ประจุไปด้วยความทรงจำทั้งหมดของเขาแด่เซนต์ฟาร์ ชูออร่าควีนดอกสุดท้ายแด่ฤทัยสีเงินกาลนี้ช่างสุกสว่าง หญิงสาวจ้องมองดวงแสงสีทองนั้นไม่กระพริบตา กล้ำกลืนฝืนทนความอ่อนแอของตนที่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้       
           
    "ถ้าข้าไม่กลับมา-"       
           
    "เวียร์ ข้าทำใจไม่ได้ เวียร์!ท่านอย่าไปเลย"       
           
           เจ้าชายแย้มยิ้มเล็กๆก่อนจะจุมพิตพิสมัยแก่เธอ       
           
    .       
           
    .       
           
    .       
           
           กระทั้งจูบนั้นคลาย มันเป็นความรู้สึกที่แสนจะสะทกสะท้านหัวใจของเซนต์ฟาร์       
           
    "ถ้าข้าไม่กลับมา เซนต์ฟาร์เจ้าจะต้องหนีไปให้ไกล"       
           
    "เวียร์-"       
           
    "เจ้ารู้ที่ผ่านมาข้าไม่เคยแพ้ศึกใด ครั้งนี้ก็ด้วย อย่าได้อาลัยไปเลย"       
           
           หญิงสาวพยักหน้าช้าๆนัยเห็นพ้องต้องวาจานั้น ใช่แล้ว~ท่านจะไม่แพ้ใคร เพราะท่านคือผู้ชนะ ท่านคือผู้ชนะที่ข้าจะรักตลอดไปและตลอดไป เวียร์~       
           
    .       
           
    .       
           
    .       
           
           ค่ำคืนของการลงมือ เสียงกระจกหน้าต่างแตกพร้อมเศษกระจกปลิวว่อน ร่างของอัสทราซัสลอยคว้างอยู่กลางอากาศไม่ต่างจากเศษกระจก เขาหล่นจากหอคอยสูงเสียดฟ้าก่อนจะตีลังกาพยุงร่างของตัวเองในคราที่สองมือแตะถึงพื้น ชายร่างสูงมีบาดแผลตามร่างกายคล้ายถูกของมีคมบาดเนื้อเฉือนหนัง เสื้อขาวแขนยาวสำหรับใส่ตอนนอนแดงฉานไปด้วยเลือด และเวียร์กระโดดจากหอคอยตามลงมา ชายหนุ่มจ่อคมดาบกับคอของอัสทราซัส       
           
           อัสทราซัสก็เศร้าใจร้องห่มร้องไห้ขอชีวิต น้ำตาบุรุษสูงวัยกว่ารวยรินในขณะที่เขาเริ่มสำนึกผิดต่อการกระทำของตน ชายร่างสูงสั่นเทิ้มประหนึ่งหวาดหวั่นเกรงกลัวความตายที่รออยู่ตรงหน้า อัสทราซัสยอมแพ้ศิโรราบ เพลานั้นเวียร์ก็ลดปลายดาบลง       
           
           จันทราสีเงินเคลื่อนที่จากด้านหลังประดาหอคอยน้อยใหญ่กระทั่งปรากฏให้เห็นกว่าครึ่ง สีเงินของดวงจันทร์กลับกลายเป็นสีม่วงทีละน้อย เวลานี้ชายร่างสูงซึ่งมีฐานะเป็นลุงของชายหนุ่มจึงก้มหน้า ดวงตาของบุรุษสูงวัยทอแสงม่วงวูบไหวพร้อมกับเขี้ยวยาวที่งอกมาตรงขอบปาก       
           
    >> ราชาแวมไพร์       
           
           เสียงระฆังตีร้องก้องกังวาน การบุกรุกปราสาทขาวในยามวิกาลเป็นที่รู้กันทั่วแล้ว อัศวินรักษาการณ์แห่งอัสทราซัสกำลังกรูกันมาที่นี่ ทว่าเวียร์กลับทิ้งดาบและเขี่ยมันให้ลุงของเขาจัดการกับตัวเอง       
           
           ชายร่างสูงก็จับดาบนั้นโดยให้คมของมันอยู่ในระดับเดียวกับคอของตน เสี้ยววินาทีที่คนผิดสมควรตาย อัสทราซัสกวัดดาบใส่ผู้เป็นหลาน ชายร่างสูงทะยานกายด้วยปีกค้างคาวที่พรวดออกจากแผ่นหลังอย่างรวดเร็ว แลตะปบกรงเล็บซ้ายเกาะเกี่ยวไหล่ขวาเวียร์ มือขวาที่ถือดาบเสียบตรงหมายมั่นหัวใจชายหนุ่ม!       
           
           จังหวะนั้นเวียร์ต้องเบี่ยงกายไปด้านข้างก่อนจะยกฝ่ามือซ้ายปัดทิศทางจู่โจมของดาบทันท่วงที หมัดขวารวมเป็นกำลังซัดวายุกำปั้นสวนใส่ท้องน้อยของอัสทราซัส       
           
           อัสทราซัสที่กลายเป็นแวมไพร์จุกเสียดสะท้านน้ำตาแตก ทว่าเขี้ยวยาวนั้นก็ทิ่มเข้าไปในเนื้อคอของชายหนุ่มเป็นที่เรียบร้อย ชายร่างสูงหวังสูบโลหิตออกจากร่างผู้เป็นหลานจนกว่าจะเหือดแห้งตายไป ทว่าเวียร์พลันใช้เท้าถีบอัสทราซัสกระเด็นติดกำแพงหิน       
           
           ชายหนุ่มรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง สายตาจู่ๆก็พร่ามัวอย่างประหลาด เริ่มได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นและได้เห็นว่าผองอัศวินรักษาการณ์นับร้อยเข้าปิดล้อมตัวเขา       
           
           อัสทราซัสตะโกนสั่งสังหารเวียร์ ชายร่างสูงกลับกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้เกือบจะถูกหลานของตัวเองฆ่าตาย บุรุษสูงวัยกล่าวว่ากษัตริย์เป็นปีศาจ จงมองดูดวงตาของมัน       
           
           ใช่ พระเนตรของเวียร์กาลนี้เปลี่ยนเป็นสีม่วงไปแล้ว ผองอัศวินเห็นชัดในหลักฐานจึงกรูกันเข้าโจมตี แต่ก็แตกพ่ายเพราะฝีมือของชายหนุ่มเหนือกว่า อาศัยช่วงเวลานี้อัสทราซัสจึงได้ทีหลบหน้าหายไป ส่วนพวกอัศวินก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุให้เวียร์ต้องตัดสินใจหนีก่อนที่จะหมดแรงสู้ แต่พิษของแวมไพร์ร้ายนัก มันส่งผลต่อเรี่ยวแรงให้ลดน้อยถดถอยลงเท่าทวีคูณ       
           
           ชายหนุ่มวิ่งกระทั่งถึงหน้าผาสูงชะลูดก็คว้าตัวอัศวินนายหนึ่งที่กำลังยกดาบหมายจะฟันเขาเข้าหาตัว มือขวาเวียร์วาดวงกลมเวทย์ในอากาศแล้วจิ้มลงบนหน้าอกของอัศวินอับโชคผู้นั้น มนตราเคลื่อนย้ายมวลสารได้ย้ายเกราะราชสีห์ทองพิทักษ์ของเขาสลับกับเกราะเงินของอัศวิน พลางเวียร์ใช้ดาบเล่มเดียวกันนั้นตัดคออัศวินอับโชคขาดขณะที่ร่างของทั้งคู่ดิ่งลงจากหน้าผา เหล่าทัพอัศวินที่ตามมาหยุดลง ณ ปลายผาสูง พลันบังเกิดเส้นแสงสีทองตวัดตัดปลายผา อัศวินกว่าร้อยนายจึงหล่นร่วงตกลงสู่ทะเลคลั่งอันดำมืดเฉกกัน       
           
           และแล้วก็ได้พบร่างที่คาดว่าน่าจะเป็นของกษัตริย์เวียร์คอขาดมาเกยยังชายหาดอีกด้านหนึ่งของเมืองเนื่องจากศพสวมใส่เกราะราชสีห์ทองพิทักษ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งเดียวของหลานชาย เมื่ออัสทราซัสผู้สืบสายโลหิตแห่งกษัตริย์ประจักษ์ว่ากษัตริย์องค์ปัจจุบันสิ้นพระชนม์แล้วจึงสถาปนาตนขึ้นครองราชบัลลังก์ตั้งแต่นั้นสืบมา     
       
     
                       
         
       
     
                .           
                       
         
       
     
                .           
                       
         
       
     
                .           
                       
         
       
     
    "..." ชักจะเนินนานเกินไปแล้ว จอมขมังเวทย์ต้องการอะไรจากเจี้ยนหมิง ทำไมมอนสเตอร์ถึงได้มาอิงแอบแนบชิดกับชายหนุ่ม ถึงจะสวยมากก็เถอะ ถึงจะไม่มีกลิ่นเหม็นสาบสักนิดก็เถอะ แต่ที่กำลังทำอยู่นี้มันเป็นหนึ่งในรูปแบบการโจมตีหรืออย่างไร งั้นลองถามดูก่อน "นี่เจ้าน่ะ"        
           
           เซนต์ฟาร์ยังคงอยู่ในห้วงรำลึกของอดีต คำทักทายของเจี้ยนหมิงนั้นเป็นดั่งลมที่พัดผ่านไป       
           
    "นี่ๆๆเจ้าทำอะไรน่ะ จะสู้หรือจะทำอะไร ข้าไม่มีเวลามายืนทำอะไรแบบนี้หรอกนะ เฮ้ๆ"       
           
    "..." หญิงสาวได้ยินคำว่า เฮ้ๆ ก็เงยหน้ามองชายหนุ่ม เธอยิ้มทั้งน้ำตาอาบหน้า ทว่าไม่กล่าวกระไรทั้งสิ้น       
           
    "อะไรของเจ้าเนี่ย บ้าปะเนี่ย?" หากแต่จ้องมองแววตาของเธอ เจี้ยนหมิงกลับรู้สึกประหม่า เลือดสูบฉีดขึ้นหน้าจนใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที "..."       
           
           มอนอะไรสวยโลกตะลึงขนาดนี้ ชักไม่มีใจสู้เสียแล้วสิ       
           
    "โอเค เอางั้นก็ได้"       
           
           ผนังทรุดตัวลงปิดทางเข้าจนแน่นสนิท คงเป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนก่อนหน้านี้ที่จับเจ้าวัวเหวี่ยงใส่กำแพงหิน เห้อ~ หวังว่าจะมีทางออกอื่นนอกจากถ้ำแคบๆที่ยุบตัวลงไป ว่าแต่จอมขมังเวทย์สาว...เอ่อ...แม่เจ้าประคุณจะเดินตามมาให้ได้ใช่ไหม ถามว่าเป็นมอนสเตอร์หรือเปล่าก็ส่ายหัว แล้วเข้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างไร พอถามว่าเข้ามาได้อย่างไรก็ส่ายหัวอีก ตกลงพูดไม่ได้ หรือไม่อยากพูด หรือไม่เข้าใจภาษาที่ใช้พูดกันแน่       
           
    "เจ้าน่ะมีชื่อไหม" ชายหนุ่มเกาหัวยิกๆ เพราะสวยหรอกนะถึงได้พยายามสนใจเนี่ย "ฟังออกหรือเปล่า เจ้า-ชื่อ-อะ-ไร"       
           
    "..." เธอไม่ตอบ อ้าปากแล้วก็หุบไปเฉยๆ

    'ฟันผุแน่เลย' เขากลับสงสัยเป็นอื่น        
           
           เจี้ยนหมิงไม่ประสากับผู้หญิง ขนาดกับน้องสาวของตัวเองยังไม่ค่อยจะใส่ใจ เห็นดังนั้นก็ไม่ว่าและไม่ถามอีก ทั้งสองเดินวนเวียนอยู่บนเส้นทางร้างใต้ดินเป็นเวลานานพอสมควร กระทั่งหิวน้ำ ชายหนุ่มจึงหยุดพักนั่งลงยังผนังหินด้านหนึ่ง ส่วนด้านตรงข้ามเป็นของเซนต์ฟาร์       
           
           ถุงผ้าใส่น้ำสีเขียวถูกหยิบออกมาจากด้านในของชายเสื้อ มันมีน้ำมากพอที่จะกลับถึงบ้านก่อนพระอาทิตย์ตก ทว่าเพลานี้ใกล้ค่ำ กล่าวให้ถูกคือน้ำในถุงนั้นแทบจะหมดแล้ว       
           
           เจี้ยนหมิงทำทีเป็นดื่มน้ำอย่างกระหาย เสร็จแล้วปล่อย อ่า~ ออกมาอย่างสดชื่นไม่มีขื่นขม ให้คนนั่งชมฝั่งตรงข้ามรู้สึกน้ำลายเหนียว       
           
    "หิวน้ำ?" ถามพลางส่ายถุงใส่น้ำไปมาในอากาศ       
           
           หญิงสาวพลันพยักหน้ารับ       
           
    "หิวมากพยักหน้าสองครั้ง หิวน้อยส่ายหน้า"       
           
           คนถูกถามพยักหน้าสองครั้งอย่างว่าง่าย จะว่าไปเธอไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวาน       
           
    "ก็ฟังออกนี่! โถ่~ข้าก็นึกว่าเจ้าเป็นใบ้แล้วจะมีปัญหาในการรับฟังเสียอีก สรุปว่าพูดไม่ได้ใช่ไหม"       
           
           เซนต์ฟาร์ก็พยักหน้า       
           
    "แต่ฟังรู้เรื่อง"       
           
           พยักอีก       
           
    "เขียนได้"       
           
           และอีกครั้ง       
           
    "เยี่ยม! อย่างน้อยเจ้ากับข้าก็สื่อสารกันรู้เรื่อง"

           อันที่จริงรู้เรื่องตั้งนานแล้วย่ะ

    "แล้วเจ้าทำไมถึงพูดไม่ได้"       
           
           เงียบ...       
           
    "ไม่เป็นไรๆ เอ้านี่ ดื่มซะ" ที่สุดชายหนุ่มก็ยื่นถุงผ้าใส่น้ำให้หญิงสาว เธอรับมาและดื่มน้ำไปสองอึก เป็นสองอึกที่ตื้นตันใจ "ดื่มให้หมดเลย ข้าพอแล้วล่ะ"

           (^^) แฮ่ๆ        
           
           จากนั้นทั้งสองก็นั่งมองหน้ากัน เจี้ยนหมิงเอียงศีรษะไปทางซ้าย เซนต์ฟาร์จึงเอียงไปทางขวา พออีกฝ่ายสลับไปทางขวา หญิงสาวก็สลับไปทางซ้าย ชายหนุ่มทำหน้าเจื่อนนึกในใจว่าจะมาเลียนแบบกันทำไม ส่วนเธอกลับยิ้มสนุกที่ได้เห็นเขาทำหน้าแบบนั้น เพราะไม่มีเลยสักครั้งที่เวียร์ในอดีตจะสามารถสร้างสีหน้าได้อย่างนี้       
           
           ความมืดคืบคลานด้วยการทาสีทุกสิ่งให้เข้มขึ้น กระทั่งกลายเป็นสีดำเมื่อไร้แสง พระอาทิตย์กำลังล่ำลาวันอันเหน็ดเหนื่อยไปทีละน้อยโดยที่เขาและเธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ตะวันลับฟ้าใกล้เข้ามาทุกขณะจิตเป็นเหตุให้เจี้ยนหมิงคิดถึงคำเตือนของท่านผู้เฒ่า
           
    'กลับก่อนพระอาทิตย์ตกด้วยนะหมิง'       
           
           ประโยคนั่นทำให้เขารู้สึกตัว       
           
    "เราต้องไปกันแล้วเออ..." พอจะขานนามจอมขมังเวทย์สาวพลันเกิดติดขัด ก็ไม่รู้จักเลยนี่เน๊อะ "ข้าควรกลับบ้านก่อนค่ำมืด เจ้าด้วย"       
           
           เซนต์ฟาร์รีบส่ายศีรษะนัยว่าข้าไม่มีบ้านให้กลับไปแล้ว แต่ชายหนุ่มคิดไปว่าเธอไม่อยากให้เขาไปไหน ดังนั้นตอบไปแบบสุภาพบุรุษหัวใจกระดาษ       
           
    "ไว้พรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้าใหม่ ข้าสัญญา นอกเสียจากว่าทั้งข้าและเจ้าออกไปจากที่นี่ไม่ได้ คืนนี้ก็คงต้องยู่ด้วยกัน" เขายักไหล่ "ล่ะมั้ง แต่เฮ้ๆข้าไม่ได้คิดลามกอะไรกับเจ้าหรอกนะสาวน้อย"       
           
           คำพูดนั่นช่างเลอเลิศนัก การได้อยู่กับเวียร์คือสิ่งเดียวที่หญิงสาวต้องการ เซนต์ฟาร์จึงอ้าแขนโถมตัวโผเข้าหาเจี้ยนหมิง กอดชายหนุ่มที่เธอครวญถึงหนักหนา ทำให้เขาเสียสมดุลอย่างแรง ตกใจสะดุ้งจนตัวโยก       
           
           ไม่นานเพียงลุกจากที่นั่งอยู่แล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงไป ทั้งสองก็พบกับบันไดหิน เมื่อเดินขึ้นจนสุดแล้วจึงได้ทราบว่า เอ๋ มันเป็นห้องกว้างที่มีเพดานสูงลิ่ว แลภาพวาดของพวกนักรบโบราณมีอยู่เต็มไปหมดบนผนัง บ้างก็ลอกร่อนตามกาลเวลา แต่โดยส่วนใหญ่แล้วยังคงสภาพสมบูรณ์       
           
           ภาพเหล่านี้เล่าว่าแต่ก่อนปีศาจกับมนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกัน ตัดสินได้จากปีศาจมีเขาคล้ายวัวเดินเคี้ยวหญ้าอยู่กับมนุษย์ผู้หญิงที่มีหญ้าอยู่ในตะกร้า ทั้งสองยืนเคียงกันในตลาดที่มีสารพัดการค้าเกิดขึ้น ภาพเด็กกำลังขโมยสินค้าของลุงตั๊กแตน มโหรีที่มีทั้งเครื่องดีด เครื่องสี เครื่องตีและเครื่องเป่าซึ่งบรรเลงโดยมนุษย์มีปีกสีขาว สีฟ้าและสีแดงดั่งกินรี       
           
           แต่แล้วก็มีทหารสวมเกราะสีดำมาจับพวกปีศาจ บ้างก็ฆ่าทิ้งทันทีที่ขัดขืน ผู้สั่งการแต่งกายด้วยชุดยาวสีดำที่มีคอเสื้อตั้งชันเกินครึ่งศีรษะ ดวงตาของเขาแดงฉานราวกับพิโรธอยู่ตลอดเวลา ปีศาจถูกจับไปเป็นทาสก่อสร้างปราสาทและวิหารจำนวนมาก โดยเฉพาะวิหารนั้นถูกสร้างขึ้นเรียงรายบนเนินภูเขาใกล้กับแม่น้ำที่ยาวไปจรดสุดขอบทะเลไกลโพ้น       
           
           ซึ่งจะว่าไปแล้วปราสาทแห่งนี้ก็มีลักษณะคล้ายกับในภาพ สายตาของเจี้ยนหมิงอ่านเรื่องราวเหล่านั้นกระทั่งสบเห็นประตูบานใหญ่ที่มีโซ่ตรวนมัดไว้ ประตูนี้ย่อมเปิดเข้ามาด้านใน ทว่าไฉนต้องคล้องโซ่จากด้านในด้วยเล่า       
           
    "น่ะนี่มัน...ให้ข้าเหรอ" ดาบสนิมสีแดงสดถูกยื่นให้กับชายหนุ่มด้วยสีหน้าของความเชื่อมั่น ทว่าผู้รับกลับปั้นหน้างงงวย เธอไปหาแต่ใดมา หรือใช้เวทมนตร์เนรมิต ไฉนไม่เห็นว่าเธอเคยถือมันไว้หรือมีมันติดตัว แต่แล้วที่สงสัยก็พลันเข้าใจได้ในทันทีเมื่อได้เห็นว่า อ๋อ เธอคงไปหยิบมาจากกองซากกระดูกตรงมุมห้องเป็นแน่ ซึ่งมีอีกสองเล่มอยู่ในมือซากผีดังนั้น "ขอบใจนะ"       
           
           เซนต์ฟาร์ยิ้มรับคำขอบคุณอย่างน่ารัก ทำเอาเจ้าหนุ่มถึงกับใจป่วนปั่น       
           
    "..." แต่สองมือที่ได้จับดาบคราวนี้ แม้นจะเป็นครั้งแรก ตะแต่ว่ามัน...เหตุใดจึงรู้สึกดีอย่างประหลาด สัมผัสถึงความคุ้นเคย สัมผัสถึงความผูกพันที่มีต่ออาวุธประเภทดาบอย่างนั้นหรือ ไอร้อนที่ประหนึ่งเกือบจะจับต้องได้ในฝ่ามือคืออะไรกัน "ดีแฮะ ดีกว่าจอบเยอะเลย"       
           
    >> ดาบสนิม       
           
           ว่าแล้วก็ยกดาบขึ้น ย๊ะ! เจี้ยนหมิงใช้ดาบฟันใส่โซ่ ติ้ง! สายโซ่ก็ขาดออกจากกันพร้อมกับใบดาบสนิมแตกหักกระเด็น มันก็ควรอยู่หรอกที่ดาบจะหัก เก่าและสนิมเขลอะขนาดนั้น       
           
           พลันบานประตูเปิดออกโดยอัตโนมัติ กลิ่นสาบสางยิ่งรุนแรงแทงทารุณโพรงจมูกสุดๆ       
           
    "เหม็นอะไรอย่างนี้!" ปรากฏซากวัวมินะทอร์นอนตายเกลื่อนอยู่เต็มไปหมด ท้องพระโรงที่ประจักษ์เบื้องหน้าเกิดเหตุรบราฆ่าฟันกันหรืออย่างไร!? "อี๊! ศพทั้งนั้นเลย~"       
           
           อีกาส่งเสียงร้อง กา!กา! บินผละจากซากวัว มันกระพือปีกรวดเร็วรุนแรงและหนีออกไปทางหน้าต่างหินรูปห้าเหลี่ยมซึ่งถูกสร้างไว้ด้านตรงข้าม เป็นเหตุให้เขาและเธอตกใจเล็กน้อย       
           
           หญิงสาวจับหลังเสื้อเจี้ยนหมิงแน่น คนตัวสูงกว่าพลันเหลือบแลเธอแวบหนึ่งก่อนจะหันไปจดจ้องศพของมินะทอร์อีกครั้งอย่างเคลือบแคลง       
           
    "พวกนี้ถูกฆ่าตายอย่างนั้นเหรอ" ชายหนุ่มพึมพำ สังเกตชัดว่าบนพื้นหินไม่มีแม้รอยขีดข่วน แต่ที่น่าสังเกตกว่าคือขณะนี้พระอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว ใยเจี้ยนหมิงจึงมองเห็นได้กระทั่งร่องรอยบนพื้นที่เปื้อนเปรอะ "ไม่น่าใช่หรอก"       
           
    "ก็ไม่ใช่น่ะสิ~" แว่วเสียงใสในความสลัว พร้อมกับเทียนไขสีแดงสดถูกจุดสว่างขึ้นพรึบพรับ ปรากฏร่างของเด็กผู้หญิงตัวเล็กสวมชุดเกราะสีชมพูครามนั่งไขว่ขาอยู่บนโคมเทียนระย้าเหนือศีรษะเจี้ยนหมิง เกราะส่วนหัวของเธอมีเขางอกออกไปด้านหลังยาวดั่งเขาของมังกร คนตัวเล็กหัวเราะต่อกระซิก "ราชาบอกว่านางน่าจะยังอยู่ที่นี่ ว้าว นางอยู่ที่นี่จริงๆ"       
           
           ผู้ปรากฏกายกำลังถลึงตาสีแดงก่ำไปยังเซนต์ฟาร์ กรงเล็บสีชมพู ณ มือข้างขวานั้นขูดเนื้อเทียนไขไปด้วย       
           
    "..." ชายหนุ่มเข้าใจว่าผู้เผยตัวบนโคมเทียนระย้ามีความสามารถไม่ธรรมดา ทำให้เทียนไขจุดขึ้นได้ในพริบตาแสดงว่าต้องเป็นจอมคาถาอาคมซึ่งไม่ควรอยู่ใกล้ สิ่งที่ได้ยินนั้นแม้นจะไม่เข้าใจ ทว่าคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ ดังนั้นใช้แผ่นหลังของตนผลักดันเซนต์ฟาร์ให้ถอยไปด้านหลังทีละน้อย "พวกเราแค่คนหลงทางไม่มีเจตนาจะรบกวนเจ้า จะไปเดี๋ยวนี้แล้ว"       
           
    "คิคิคิ ราชาว่าผู้ที่กลืนบุปผชาติปีศาจเข้าไปจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่ราชาว่าผู้ที่กินหัวใจของผู้นั้นอีกทีจะมีชีวิตอมตะ จะจริงหรือเปล่าน้าาา แล้วทำไมราชาไม่กินเสียเองล่ะ?" เด็กผู้หญิงส่ายศีรษะ "ข้าไม่เข้าใจเลย"       
           
    "ขอลา"       
           
    "คิคิ ไม่~" ปีศาจเกราะชมพูทำปากจู๋ เสมือนเป่าลมในอากาศ แล้วเทียนไขทุกเล่มก็ดับลง "ให้ข้าได้กินหัวใจนางก่อนสิ"     
       
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×