เสน่หาและราคี - เสน่หาและราคี นิยาย เสน่หาและราคี : Dek-D.com - Writer

    เสน่หาและราคี

    ไม่มีผู้ชายสติดีคนไหนหรอกที่จะชอบผู้หญิงร้าย ๆ แต่ตอนเริ่มต้นมันยังมองไม่เห็นความร้ายหรือไม่คิดว่าจะร้ายไง ตอนแรก ๆ อะไร ๆ ก็ดีไปหมด จนเมื่อหัวหกก้นขวิดกันแล้ว ทีนี้ล่ะ...ขอโทษนะ เหี้ยแล้วมึง!!!

    ผู้เข้าชมรวม

    772

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    772

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 ต.ค. 51 / 16:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ทุกเรื่องที่ผมเคยเล่า ทุกคำที่ผมเคยพูด ทุกแห่งที่ผมเคยไป ทุกอย่างที่ผมเคยทำ มันเหมือนระเบิดเวลาที่ย้อนกลับมาทำลายผมจริง ๆ

       

      เธอมาทำงานที่บริษัทชาตราสิงห์เหมือนผู้หญิงหลาย ๆ คน ในชีวิตผม โดยหน้าที่การงานของเธอแล้วแทบจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับผม สัญชาติญาณบอกผมเมื่อแรกพบสบตากับหล่อนว่า หล่อนสนใจผมและอยากจะมีปฎิสัมพันธ์ด้วย แต่สิ่งที่ทำได้ในขณะนั้นคือ ยิ้ม

       

      ทุกเช้าผมจะต้องเดินผ่านโต๊ะทำงานของหล่อนเพื่อไปลงเวลาเข้างาน และตอนนั้นเองที่ผมจะได้ยินหล่อนกับเพื่อนพูดแซวผมแบบตั้งใจให้ได้ยิน

       

      เซอร์สุด ๆ

      หน้าหวานจัง

      วันนี้แต่งตัวเท่ห์มาก

      เขาคงไม่สนคนอย่างเราหรอก

      อึ๊ย! เขายิ้มให้ฉันด้วยล่ะ

       

      หลังจากนั้นหล่อนก็ใช้วิธีคุยกับผมวันละนิดวันละน้อยผ่านการฝากถือสมุดบันทึกการทำงานประจำของพนักงานบริษัทชาตราสิงห์มาคืนที่แผนกเขียนบทและกองถ่าย

       

      ฝากไปด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

      ฝากไปด้วยนะคะ วันนี้มาทำงานเช้าจังนะคะ

      ฝากไปด้วยนะคะ เมื่อคืนนอนหลับสบายไหมคะ?

      ฝากไปด้วยนะคะ เสื้อสวยจังเลยนะคะ ซื้อที่ไหนคะ?

      ฝากไปด้วยนะคะ อยู่ว่าง ๆ ไม่มีอะไรก็คิดถึงคนฝากได้นะคะ 

      ฝากไปด้วยนะคะ ถือดี ๆ นะ มีหัวใจคนฝากติดไปด้วยค่ะ อย่าทำหล่นนะคะ

      ฝากไปด้วยนะคะ เย็นนี้ว่างไหมคะ อยากชวนทานข้าวค่ะ ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะคะ

       

      แล้ววันหนึ่ง...อย่างไม่ทันตั้งตัว หล่อนก็เดินมายืนจ่ออยู่หน้าประตูห้องทำงานของ

      ผม ยืนอยู่ใต้ป้ายที่เขียนว่า เขตอันตรายห้ามเข้า

       

      สวัสดีค่ะตัวเอง ขอเค้าเข้าไปได้ไหม?”

      หล่อนใช้สรรพนามเรียกแทนตัวเองและผมแบบนั้น เหมือนจงใจสร้างความสนิทสนมทั้งที่ยังไม่มีการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ

       

      ตัวเองมาทำงานตั้งแต่ตอนไหนคะ เค้ามองไม่เห็นเลย

      ตอนผมมาคุณคงอยู่ในห้องน้ำน่ะครับ

      ไม่ต้องมาผมเผิมคุณคงอะไรกับเค้าเลย ฟังดูเหินห่างยังงไงไม่รู้ ไม่เอาไม่ชอบ

      แต่เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่ครับ

      ตอนนี้ยัง แต่ต่อไปจะเป็น

      เป็นอะไร?”

      ก็เป็นแฟนกันไง?”

      “!!!????”

      อิอิ ล้อเล่น ดูสิ ตกใจใหญ่ โอ๊ะโอ๋ ขวัญเอยขวัญมานะ

      มีธุระอะไรหรือครับ คุณหน๋อย-ชาดี ใช้ให้มาทำอะไรหรือเปล่าครับ?”

      ไม่เกี่ยวกับคุณหน๋อย-ชาดีหรอกค่ะ เค้าอยากมาเอง ก็ตอนแรกกะว่าจะฝากสมุดบันทึกการทำงานมากับตัวเองเหมือนทุกวัน แต่ไม่เห็นตัวเองไง เลยถือมาเอง

      ที่จริงฝากใครมาก็ได้ครับ 

      ไม่ได้ค่ะ ฝากคนอื่นมาไม่ได้

      ทำไมครับ?”

      ฝากคนอื่น...ก็ฝากหัวใจติดมาไม่ได้น่ะสิ เนี่ยเห็นไหมเลยต้องถือมาเอง ไม่รู้จะเห็นหัวใจคนที่ถือมาบ้างไหมเน้อ?”

       

      โอ๊ะโอ๋!!! นี่หล่อนคงไม่เห็นป้ายหน้าห้อง หรือมีใครปลดป้ายหน้าห้องออกไปแล้ว?

       

      ห้องทำงานน่าอยู่นะคะ

      น่าอยู่ยังไง นี่มันห้องทำงานนะครับ ไม่ใช่ห้องนอน

      เอ๊ย! พูดผิดค่ะ ห้องทำงานน่าทำงานนะคะ อยากมานั่งทำงานด้วยจัง ดูสิมองเห็นตึกใบหยกด้วย

      กลับไปทำงานเถอะครับ สายแล้ว

      อะไรกัน ยังไม่ทันไรก็ขับไสไล่ส่งกันแล้ว

      เปล่าครับ กำลังยุ่ง ๆ น่ะครับ

      ถ้างั้นเย็นนี้จะหายยุ่งไหมคะ?”

      ทำไมหรือครับ?”

      จะชวนทานเย็นข้าวค่ะ

      เอ้อ...อ้า...

      ว้า! แย่จัง นี่เค้าเป็นผู้หญิงนะ แต่กลับเป็นฝ่ายออกปากชวนผู้ชายกินข้าวเย็นตั้งสองครั้งแล้ว ครั้งแรกถูกปฏิเสธ ครั้งนี้ก็ถูกปฏิเสธอีก อายจัง เธอทำเป็นพูดกับตัวเองแบบเจตนาให้ผมได้ยิน

      ยังไม่ได้ปฏิเสธเลยครับ พอดีเย็นนี้มีงาน เอาไว้กลางคืนดีไหมครับ

      ดีค่ะ กลางคืนก็ดี จะได้คุยกันยาว ๆ ถือว่าตกปากรับคำแล้ว ห้ามผิดสัญญานะคะ

       

      แล้วคืนนั้น...เราก็ไปจบกันที่ม่านรูดแห่งหนึ่งในซอยรางน้ำ

      ..........

      ..........

      ผมมีคำถามในใจมานานแล้วว่า ผู้หญิงหลาย ๆ คนที่เดินเข้ามาในชีวิตผม ทำไมยังไม่ทันได้ใช้เวลาคบหาดูใจกันเท่าไรก็มีอะไรกันแล้ว

       

      หรือถ้าจะกล่าวอย่างให้เห็นพัฒนาการของความสัมพันธ์ ก็อาจกล่าวได้ว่า ทำไมยิ่งผมมีผู้หญิงมากคนขึ้นก็ยิ่งใช้เวลาทำความรู้จักก่อนขึ้นเตียงน้อยลงไปเรื่อย ๆ

       

      จากที่เคยใช้เวลาเป็นปีลดลงมาเป็นเดือน จากเดือนลดลงมาเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์ลดลงมาเป็นวัน และจากวันลดลงมาเป็นชั่วโมง

       

      นางฟ้าร้อยอารมณ์ของผมก็อยู่ในช่ายเดียวกัน

       

      หล่อนเข้ามาทำงานที่บริษัทชาตราสิงห์นานเท่าไรผมไม่รู้ แต่ถ้านับจากวินาทีที่หล่อนเดินล่วงล้ำ  เขตอันตรายห้ามเข้า  มาชวนผมกินข้าวเย็นในวันหนึ่ง นับจากนั้นไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง เราก็เปลือยกายเล่มเกมแก้ผ้าเอากัน เกมที่กติกาไม่เคยเปลี่ยน เปลี่ยนแต่คนเล่น

       

      แต่ในเกมที่เหมือนจะสุขเกษมเปรมปรีดิ์ เหมือนจะสนุกสนานสำราญใจ เหมือนจะผ่านมาแล้วผ่านไป เหมือนจะเล่นแล้วเลิก กลับไม่เป็นเช่นนั้น มันกลับกลายเป็นกลกามแห่งความรักของหล่อนไปเสียนี่กระไร หล่อนที่ผมมองเห็นเป็นผู้หญิงประเภท สายลมแสงแดด กลับกลายเป็นพวก หินผา กา ดาบ ในนิยามตามความรู้สึกของผมเวลานั้นก็คือ

       

      หินผา คือ หนักแน่น ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายไปไหน

      กา มาจากสำนวนไทย สาวไส้ให้กากิน หมายถึง  การเอาความลับหรือเรื่องไม่ดีของตนเองหรือของพี่น้อง ของคนใกล้ชิดไปเปิดเผยให้คนอื่นฟัง  โดยไม่ได้ประโยชน์อะไรแก่ตนเองเลย

      ดาบ หมายถึง การฟาดฟัน การทำลาย

       

      แปลโดยรวมความว่า หลังผ่านการเริงรักอย่างเร่าร้อนรุนแรงในคืนนั้น หล่อนถือว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่จริงจังระหว่างเรา หล่อนพร้อมที่จะให้ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นความลับระหว่างเรา หล่อนยืนยันว่าจะไม่บอกใคร ตราบเท่าที่ผมยังพร้อมที่จะไปมาสมสู่กับหล่อนได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

       

      หล่อนสำทับว่า หล่อนไม่แคร์ว่าผมจะเคยมีผู้หญิงมากี่คน แต่ตอนนี้ขอให้มีหล่อนเพียงคนเดียว ขอให้ร่วมรักหลับนอนกับหล่อนเท่านั้น เพราะหล่อนเองก็สารภาพขณะอกยังเปิดอวดความอวบอิ่มต่อหน้าต่อตาผมว่า หล่อนจะตัดความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น ๆ ที่คบไว้เผื่อเลือกออกไปให้หมด ต่อไปนี้จะมีแต่เราเท่านั้น

       

      หล่อนพูดเป็นเชิงขู่ว่า เมื่อไรก็ตามที่ผมมีท่าทีเหินห่าง เป็นอื่น หรือมีผู้หญิงคนอื่น หล่อนจะแปลงร่างเป็นอีกาสาวไส้ผมให้คนอื่นได้รู้กันโดยทั่วหน้า ซึ่งจะว่าไปแล้ว ผมก็ไม่มีใครที่ต้องแคร์อยู่แล้ว  แต่โดยหน้าที่การงาน และกฎ กติกา มารยาทของบริษัทชาตราสิงห์ แม้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับหล่อนจะถือเป็นเรื่องส่วนตัว แต่มันก็ล่อแหลมและหมิ่นเหม่ต่อการเสียระบบ บริหาร

       

      ฉะนั้น  คนอื่น ในที่นี้ของหล่อนจึงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก คุณหน๋อย-ชาดี การที่หล่อนกล้าเอาเรื่องนี้มาถือเป็น ไพ่ใบที่เหนือกว่า เพราะรู้ว่าถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงคุณหน๋อย-ชาดี ผมจะมีประวัติด่างพร้อยอย่างเป็นทางการทันที และนั่นก็เป็นข้อหาที่หนักหน่วงและรุนแรงพอที่จะทำให้ผมต้องกระเด็นออกจากบริษัท

       

      เพราะที่ผ่านมา ถึงผมจะมีประวัติไม่ดีในเรื่องผู้หญิง แต่ก็เป็นเหมือนเสียงลือเสียงเล่าอ้าง ไม่เคยมีใครยื่นจดหมายร้องเรียนหรือมีเอกสารโพนทนาพฤติกรรมเสเพลของผมอย่างเป็นทางการ  อย่างมากก็มีบัตรสนเท่ห์ซึ่งถือเป็นการเล่นสกปรก แทงข้างหลัง ไม่สามารถเอามาเป็นใบเสร็จเช็คบิลผมได้  ทั้งหมดยังอยู่ในกรอบของคำว่า เรื่องส่วนตัว เพราะไม่มีผลกระทบต่อการทำงาน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่หล่อนคาบเรื่องนี้ไปฟ้องคุณหน๋อย-ชาดี มันก็ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป

       

      เค้ารักตัวเองนะ รักมากด้วย เค้าไม่เคยรักผู้ชายคนไหนเท่าตัวเองมาก่อนเลย เค้าจะหยุดกับตัวเองไปจนตายเลย ตัวเองต้องรักเค้ามาก ๆ นะ ตัวเองได้เค้าแล้ว ตัวเองอย่าทิ้งเค้านะ ตัวเองต้องรักเค้าคนเดียวนะ ตัวเองอยากเอาเค้าเมื่อไหร่ก็มาเอาได้ตลอดเวลา ให้เค้าขับรถไปรับตัวเองไปเอากันที่ไหนก็ได้ แต่ตัวเองห้ามไปเอาคนอื่นนะ ตัวเองห้ามมีผู้หญิงคนอื่นนะ ถ้าเค้าจับได้ว่าตัวเองมีผู้หญิงคน เค้าจะฟ้องคุณหน๋อย-ชาดี เค้ายอมถูกออกจากงาน แต่ถ้าเค้าออกตัวเองก็ต้องถูกไล่ออกด้วย

       

      ตัวเองเล่าให้เค้าฟังเองว่า คุณหน๋อย-ชาดี ไม่ชอบพวก 'สมภารกินไก่วัด' ไม่ชอบให้มีเรื่องชู้สาวในบริษัท คุณหน๋อยเธอไม่ห้าม เธอรู้ว่าห้ามไม่ได้ ถือเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ถ้ามีพนักงานคนไหนไปร้องเรียนเรื่องนี้กับเธอ เธอจะไม่เอาไว้ ที่ผ่านมาเธอก็ไล่ออกไปหลายคนแล้ว...ตัวเองคงไม่อยากให้เค้าทำอย่างนั้นนะ

       

      นั่นคือ...ระเบิดเวลาก้อนแรก!!!

      ..........

      ..........

      กรุงเทพฯ สมัยอาคารที่พักอาศัยสูงระฟ้ายังไม่ผุดราวกับดอกเห็ดเหมือนทุกวันนี้ คำเรียกบ้านลอยฟ้าที่คุ้นเคยกันยังมีเพียง 'แฟลต' หรูหน่อยก็ 'อพาร์ตเมนต์' หรูขึ้นมาอีกระดับก็ 'คอร์ท' เพิ่งจะ 30-40 ปีมานี้เอง หรืออย่างมากก็ไม่เกิน 50 ปีที่ชาวบางกอกเริ่มจะได้ยินคำเเรียก 'คอนโดฯ' ก่อนจะกลายมาป็นคำคุ้นหูและคำฮิตในหมู่ชาวเมืองที่นิยมการมีพื้นที่ส่วนตัวที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลพื้นที่ส่วนกลางและมีกฎหรือข้อห้ามหยุมหยิมยั้วเยี้ยไว้ให้ลูกบ้านคอยแหก เช่น

      ห้ามเลี้ยงหมา (กูก็เแอบลี้ยง)

      ห้ามใช้เตาแก๊ส (กูก็แอบใช้)

      ห้ามวางรองเท้าหน้าห้อง (กูก็ตั้งใจวางเลย)

      ห้ามวางกระถางต้นไม้บริเวณระเบียง (กูก็จะวาง พอลมพัดตกลงไปใส่หัวกบาลหรือหลังคารถใครกูก็ทำไม่รู้ไม่ชี้)

      ห้ามตากผ้าพ้นระเบียงห้อง (กูก็จะตาก)

      ห้ามทิ้งขยะโดยไม่มัดปากถุง (กูก็จะทิ้งทั้งอย่างนั้น จะต้องมัดทำไม เดี๋ยวก็ต้องเอาไปแยกอยู่ดี)

      ห้ามส่งเสียงดัง (กูก็จะทำ)

      ห้าม...ไม่รู้ล่ะ ห้ามอะไรกูก็จะฝืน


      แล้วไอ้คนแบบ
      'กู' มันก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย บางทีมันอาจจะเกิดมาตั้งแต่เมื่อครั้งมีคอนโดฯแห่งแรกในกรุงเทพฯ แล้วก็แพร่ลูกแพร่หลานสืบมาก็ได้

       

      พูดถึงคอนโดฯยุคบุกเบิกของเมืองหลวง อาจมีน้อยคนที่จะรู้ว่าหนึ่งในนั้นคือ 'บางกะปิคอนโดฯ'

       

      แม่ของ P5 ซื้อห้องที่นั่นไว้นานแล้ว แม่วางแผนให้หล่อนซึ่งเป็นลูกคนเดียวได้ใช้เป็นบ้านหลังที่สองเมื่อมาเรียนต่อกรุงเทพฯ

       

      ตอนนั้น P5 ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ห้องที่คอนโดฯแห่งนั้นจึงถูกปล่อยให้เช่าไปพลาง ๆ จนกระทั่งหล่อนเข้ามาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง หล่อนจึงมาอยู่ที่นั่น นาน ๆ ครั้งแม่จึงจะแวะมาเยี่ยมหล่อน

       

      หลังจากเริ่มต้นความสัมพันธ์กันครั้งแรกที่ม่านรูดในซอยรางน้ำ 'คืนนั้น' ผมกับหล่อนก็เริ่มสานสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เราตกลงกันว่าจะใช้ บ้านหลังที่สอง ของเธอเป็นโรงแรม โดยเริ่มจากการนัดไปเจอกันที่นั่นทุกคืนวันศุกร์ ก่อนจะเพิ่มเป็นทุกคืนวันจันทร์ พุธ  ศุกร์ ก่อนจะเพิ่มเป็นคืนทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ และสุดท้ายก็ต่อเนื่องถึงเสาร์อาทิตย์ 

       

      ...7 วันที่ผม Fuck เธอ...

       

      ถ้าจะให้ผมสรุปบทชีวิตในช่วงเวลานั้น ผมก็อยากจะสรุปอย่างนั้น

       

      แต่ในความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์กันนั้น มีอยู่ปรากฏการณ์หนึ่งที่ผมบอกไม่ถูกว่าจะรู้สึกดีหรือไม่อย่างไร

       

      ผมพยายามเก็บรวมรวบสถิติไว้ในใจมาระยะหนึ่งจนแน่ใจว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา ประกอบกับผมเริ่มจับ Sfx ได้จากคนรอบห้อง รวมไปถึงคนทั้งคอนโดฯแห่งนั้นซึ่งมักจะมองมาที่เราทั้งคู่ด้วยสายตากึ่งยิ้มกึ่งหยัน  จนในที่สุดผมทนก็อดรนทนไม่ไหวต้องถามหล่อนในวันหนึ่ง

       

      สังเกตไหมว่าทุกคนในคอนโดฯ มองเราด้วยสายตาแปลก ๆ ยังไงไม่รู้ มันจะเกี่ยวกับตอนที่เรามีอะไรกันหรือเปล่า?”

      ตัวเองว่ามันจะเกี่ยวกับการที่เรามีอะไรกันได้ยังไง?”

      อาจจะเกี่ยวนะ ก็เวลาที่หล่อนใกล้จะเสร็จน่ะ หล่อนเล่นกรีดร้องเสียงดังไปแปดบ้านสิบบ้านไม่ใช่สิ ตอนนี้เราอยู่คอนโดฯ ต้องบอกว่าเสียงดังไปแปดห้องสิบห้อง อาจจะดังไปทั้งตึกเลยก็ได้ เอาเป็นว่าดังมาก ๆ ก็แล้วกัน หล่อนรู้ตัวไหม?”

      รู้ค่ะ เธอตอบผมเหนียม ๆ

      ไหน ๆ ก็คุยกันเรื่องนี้แล้ว ถามจริงๆ เถอะ ทำไมเวลาเสร็จ หล่อนต้องร้องเสียงดังขนาดนั้น?”

      ตัวเองเคยบอกว่า ผู้หญิงคนหนึ่งของตัวเองเวลาถึงจุดสุดยอด เธอจะกรีดร้องเสียงดังมาก เค้าก็แค่อยากจะชนะเธอด้วยการกรีดร้องให้ดังกว่าเท่านั้น

       

      โอ้! พระเจ้า นี่ก็เป็นระเบิดเวลาอีกลูกหนึ่ง!!!

       

      เหมือนกับผู้หญิงหลายคนที่มีรถ พวกเธอจะเป็นคนขับรถให้ผมนั่ง P5 ก็เช่นกัน เมื่อผมตกลงใจใช้คอนโดฯโบราณหรือบ้านหลังที่สองของหล่อนเป็นรวงรัง ทุกเช้าเราจะออกมาทำงานด้วยกัน และทุกเย็น ถ้าไม่ต้องไปออกกองถ่ายต่างจังหวัด เราก็จะกลับบ้านด้วยกัน  แต่เพราะความสัมพันธ์ที่ต้องดำเนินไปแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่อยากให้พนักงานด้วยกันรู้   ทุกเช้าหล่อนจะหย่อนผมลงจากรถก่อนถึงบริษัทเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ใครเห็น และเมื่อถึงเวลาเลิกงาน หล่อนก็จะขับรถไปรอผมที่ไหนสักแห่งเพื่อกลับด้วยกัน

       

      เมื่อต้องใช้ชีวิตด้วยกัน เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผมเคยเล่าสู่หล่อนฟังก็กลายมาเป็นระเบิดเวลาลูกแล้วลูกเล่าที่ทะยอยกันทำลายเป้าหมายแบบหวังผลบ้าง ไม่หวังผลบ้าง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่หล่อนอารมณ์ปรวนแปร ระเบิดเวลาจะทำงานถี่มาก เรียกว่าเป็นการก่อการร้ายทางความรู้สึกรายวันเลยก็ว่าได้

       

      วันหนึ่งเราติดอยู่ในลิฟต์ด้วยกัน มันเป็นลิฟต์ที่มีอายุเก่าแก่พอ ๆ กับคอนโดฯ ลิฟต์ซึ่งดูจากสภาพแล้วน่าจะขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุได้

      สายกันพอดี

      ก็ตัวเองนั่นล่ะ ถ้าไม่ชวนเค้าฉีดยาก็ไม่สายหรอก

      ไม่เกี่ยวกับฉีดยาสักหน่อย ปกติก็ฉีดกันเป็นประจำไม่เห็นจะสาย เป็นเพราะไอ้ลิฟต์ดึกดำบรรพ์นี่ต่างหาก ดันมาเสียอะไรตอนนี้วะ ยิ่งรีบ ๆ อยู่ ผมบ่นอย่างเสียอารมณ์

      ก็นี่มันคอนโดฯ ซังกะบ๊วย จะไปสู้คอนโดฯ ราคาเป็นล้านที่ตัวเองเคยอยู่กับผู้หญิงคนอื่นได้ยังไง

      ทำไมต้องพูดเรื่องเก่า ๆ ด้วย?”

      ก็ใครเริ่มก่อนล่ะ

      ใครเริ่ม?”

      ตัวเองนั่นล่ะ

      เฮ้ย! อย่ามั่วสิ หล่อนต่างหากที่เป็นคนเริ่ม

      เค้าไม่ได้มั่ว ตัวเองล่ะเป็นคนเริ่ม

      เริ่มยังไง?”

      ก็ตัวเองพูดว่าลิฟต์ดึกดำบรรพ์ ไม่ใช่เรื่องเก่าเหรอ?”

      “???!!!???”

      ..........
      ..........

      วันหนึ่ง หล่อนเบื่อความจำเจในบ้านที่สอง ชวนผมไปเที่ยวต่างจังหวัดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนสถานที่ โดยหลักการก็ดี แต่ติดตรงที่รายละเอียด

      'ไปไหนดี?' ผมถาม

      'ตัวเองอยากไปไหนดีกว่า ยังไงเขาก็ต้องเป็นคนขับรถอยู่แล้ว'

      'ไปไหนก็ได้'

      งั้นไปตายไหม?' พูดแบบมะนาวไม่มีน้ำ

      อารมณ์ไหนวะเนี่ย?”

      ก็ขอความเห็น ที่จริงเค้าให้เกียรติตัวเองนะ ถามว่าตัวเองอยากจะไปไหน?

      ก็ตอบว่าไปที่ไหนก็ได้ไง ไม่ได้อยากจะไปที่ไหนเป็นพิเศษ

      ใช่สิ! ก็ตัวเองเคยเล่าให้เค้าฟังว่า ตัวเองคบกับผู้หญิงมา 10 คน แต่ละคนตัวเองก็ชวนกันไปเที่ยวไปเอากันมาคนละที่สองที่จนเกือบจะหมดแล้วนี่

      อย่ามาพูดแบบนี้

      หรือมันไม่จริง ตัวเองเล่าให้เค้าฟังเองนะว่าไปเอากับใครยังไงที่ไหน

      อย่าไปพูดถึงมันเลย

      เค้าจะพูด เผื่อตัวเองจำไม่ได้ว่าไปเอากับใครยังไงที่ไหนมาบ้าง ฟังนะ

      ชายหาดที่หัวหินกับ LK

      ใต้ต้นมะพร้าวที่เกาะสมุยกับ P1

      ริมระเบียงรีสอร์ทที่เกาะช้างกับ A

      ในแพที่เมืองกาญจน์กับ TT1

      จุดชมวิวที่พัทยากับ P2

      ดาดฟ้าเกสท์เฮาส์ที่เกาะล้านกับ VV

      บ้านตากอากาศเชิงดอยที่เชียงใหม่กับ TT2

      กลางแสงจันทร์ที่เกาะเสม็ดกับ NN

      กลางแสงเทียนที่ชะอำกับ P3

      บนภูเขาที่ภูกระดึงกับ P4

       

      โอ้! นี่หล่อนจำได้หมดเลยหรือ?

      ……….

      ……….

      ผมเชื่อมาตลอดว่า หล่อนเป็นผู้หญิงเอวบางร่างน้อยที่มีหน้าอกใหญ่และใจกว้าง ผู้หญิงอย่างหล่อนไม่น่าจะคิดเล็กคิดน้อย

       

      ผมเชื่อมาตลอดว่า ประสบการณ์ของหล่อนที่เคยใช้ชีวิตกลางคืนในแหล่งบันเทิงย่านดังของกรุงเทพฯ มานักต่อนัก เคยใช้ยาเสพติด  และเคยใช้ผู้ชายมาแล้วหลายคน จะทำให้หล่อนมีทัศนะต่อชีวิตคู่แตกต่างจากผู้หญิงคนอื่น ผู้หญิงอย่างหล่อนไม่น่าจะสนใจไยดีกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

       

      พูดอย่างง่าย ๆ ผมไม่เชื่อว่า ผู้หญิงที่ดูเหมือนง่าย ๆ กับเรื่องเซ็กส์ และอีกหลาย ๆ เรื่อง วันหนึ่งจะกลายเป็นคนที่อยู่ด้วยยากมากถึงยากที่สุก  เพราะความเป็นคนช่างจับผิด ช่างหวาดระแวง ช่างหวง และช่างหึง

       

      นั่นอาจเป็นเพราะผมเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้หล่อนฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่ผมเคยมีแฟนมาแล้ว 10 คน ทำให้หล่อนชอบคิดว่า ผมจะกลับไปหาผู้หญิงคนเก่า หรือไม่ก็แอบมีผู้หญิงคนใหม่

       

      เชื่อไหม? แค่ ไหมสีชมพูที่ป้ายยี่ห้อชายขอบกางเกงตัวหนึ่งของผม มันที่มาจากร้านซักอบรีดทำไว้เป็นสัญลักษณ์เพื่อบอกว่าเป็นของลูกค้ารายใด หรือเพื่อป้องกันความสับสนในการส่งคืนลูกค้า ซึ่งติดค้างมาตั้งแต่สมัยที่ผมคบอยู่กับผู้หญิงคนก่อนจะกลายมาเป็นระเบิดเวลาได้เช่นกัน

       

      อาทิตย์ที่แล้ว ตัวเองไปออกกองต่างจังหวัดมาใช่ไหม?” หล่อนพูดขณะคัดแยกเสื้อกางเกงเตรียมโยนเข้าเครื่องซักผ้า

      ใช่ผมเริ่มเสียวสันหลัง

      ตัวเองได้ส่งเสื้อผ้าให้ทางโรงแรมซักบ้างหรือเปล่า?”

      เปล่านี่ ถามทำไม?”

      ถ้างั้นตัวเองไปนอนที่ไหนมา?”

      ทำไมถามอย่างนั้น?” ผมเลิ่กลั่กลนลาน เพราะไม่รู้หล่อนจะมาอารมณ์ไหน

      ก็ไหมสีชมพูนี่ไง มาอยู่ที่กางเกงได้ไง แสดงว่าตัวเองไปนอนไปกับผู้หญิงที่ไหนมาใช่ไหม?”

      จะไปนอนกับใครวะ ก็อยู่กับหล่อนมาตลอด แล้วไอ้ไหมสีชมพูนั่นมันก็มีมาตั้งนานแล้ว ตัวเองไม่เคยสังเกตต่างหาก

      หล่อนลองนึกดูดี ๆ สิ เคยเล่าให้ฟังแล้วนี่ว่าสมัยอยู่คอนโดฯกับผู้หญิงคนก่อน เสื้อผ้าส่งร้านซักอบรีดตลอด แสดงว่าไหมนั่นก็ตืดค้างมาตั้งแต่คราวนั้นแหละ

      ตัวเองไม่ได้กลับไปเอากับมันอีกนะ?”

      นั่นไง! ระเบิดเวลาอีกลูกหนึ่งที่ผมวางให้ตัวเอง

      ..........

      ..........

      ยังมีระเบิดเวลาอีกหลายลูก เช่น

       

      หลังเลิกงาน เมื่อผมบอกว่า น้องที่แผนกชวนกินเหล้า หล่อนก็ขัดว่า น้องที่แผนกหรือน้องที่ผับไหน?

       

      เสาร์อาทิตย์ เมื่อผมบอกว่า ต้องกลับไปหาคุณแม่ หล่อนก็แย้งว่า ไปหาคุณแม่หรือไปหาแม่คุณ?

       

      ตอนออกกองถ่าย เมื่อผมบอกว่า รับโทรศัพท์ไม่ได้ เพราะกำลังหัวหมุนชุลมุนอยู่กับการแก้ปัญหา หล่อนก็โวยวายว่า เพราะกำลังหัวหมุนชุลมุนอยู่กับการแก้ปัญหาหรือกำลังหมุนหัวอลวนอยู่กับการแก้ตัณหา?

       

      ครั้งหนึ่งในการไปออกกองถ่ายต่างจังหวัด ต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไป แล้วฝนก็ตกหนักแบบลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ต้องเข้าไปหลบในถ้ำกลางป่า โทรศัพท์มือถือไม่มีสัญญาณ จนเมื่อกลับออกมาจากป่าได้แล้ว จึงรับสัญญาณได้ตามปกติ เมื่อโทรศัพท์คุยกัน หล่อนก็วีนใส่ทันที

       

      ตัวเองปิดมือถือทำไม?”

      ไม่ได้ปิด ไม่มีสัญญาณ นี่เพิ่งจะออกมาจากป่านะ

      เข้าไปทำอะไร?”

      ก็เข้าไปทำงานน่ะสิ ถามได้

      แล้วทำไมติดต่อไม่ได้?”

      ติดต่อไม่ได้เพราะติดฝนอยู่ในถ้ำ อยู่ในป่า สัญญาณไม่มี ออกมาไม่ได้

      ติดฝนอยู่ในถ้ำหรือติดน้องน้ำฝนอยู่ในอ่างที่ไหน

      เฮ้ย! ทำไมพูดแบบนั้น เรื่องซีเรียสนะ นี่ถ้าฝนไม่หยุด กลับออกมาไม่ได้ ต้องติดอยู่ในถ้ำแบบนั้น คืนนี้ได้กินข้าวลิงแน่ ๆ

      อะไร? ตัวเองบอกจะกินข้าวกับใคร เค้าไม่ยอมนะ

      กินข้าวลิง เป็นคำเปรียบเปรยโว้ย!!!”

      เปรียบเปรยยังไง?”

      หมายถึง เวลารถไปจอดเสียกลางทางหรือหลงป่าไม่มีอาหารเตรียมไว้ เมื่อหิวก็ต้องหาผัก ผลไม้ หรืออะไรก็ตามที่พอกินได้มากินเพื่อประทังความหิว คล้าย ๆ พฤติกรรมหาอาหารของลิงค่างบ่างชะนี เขาก็เลยเรียกกันว่ากินข้าวลิง

      อ๋อ! เหรอ เค้าก็นึกว่าตัวเองแอบไปกินข้าวกับหญิงน่ะสิ ตัวเองก็รู้ว่าเค้าทั้งรักทั้งหวงตัวเองแค่ไหน

      แต่ถ้าหล่อนหึงงี่เง่าแบบนี้ เราคงไปด้วยกันไม่รอดหรอก

      ตัวเองจะเลิกกับเค้าเหรอ?”

      เมื่อก่อนก็ไม่คิดหรอก แต่หลัง ๆ มานี้เริ่มคิดแล้วล่ะว่าชีวิตคู่ของเรามันมีอัไรที่ขาด ๆ เกิน ๆ อยู่ไม่น้อย

      อะไรขาด?”

      ขาดความเข้าใจ

      อะไรเกิน?”

      มีเซ็กส์มากเกินไป

      แต่เค้าไม่เห็นว่ามันจะขาดเกินตรงไหน?”

      ไม่เห็นเพราะไม่คิดถึงใจเขาใจเราไง

      ทำไมจะไม่คิด เขาคิดถึงตัวเองตลอดเวลาเลยนะ เค้าอยากอยู่กับตัวเองทั้งวันทั้งคืนเลย เขาอยากเอากับตัวเองทุกวันเลย

      ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กส์อย่างเดียวหรอก

      แต่ตัวเองเคยบอกว่า ตัวเองชอบลีลาเซ็กส์ของเค้า ตัวเองชอบเวลาที่เค้ายั่วยวน ตัวเองชอบเวลาที่เค้านัวเนีย ตัวเองชอบเวลาที่เค้าใช้ปาก ตัวเองบอกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่เพราะในชีวิตของตัวเองไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนใช้ปากที่มีเหล็กดัดฟันทำออรัลเซ็กส์ ตัวเองชอบรสสัมผัสผสมผสานของลิ้นกับโลหะ ความแข็งกับความอ่อนนุ่ม ตัวเองบอกว่ามันทั้งหวาดเสียวทั้งตื่นเต้น ตัวเองชอบเวลาที่เค้าทำท่าสะพานโค้ง ตัวเองชอบเวลาที่เค้าส่าย ตัวเองชอบเวลาที่เค้าร่อน ตัวเองชอบเวลาที่เค้าสู้ ตัวเองชอบเวลาที่เค้าส่งเสียง... 

      พอแล้ว นี่กำลังคุยเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ได้ชวนเล่น Sex Phone นะ เดี๋ยวก็ได้เสียวจนเสร็จกันพอดี

      แล้วตัวเองจะเอายังไง?”

      เอาเป็นว่าวันหนึ่ง ถ้าอยู่กันไปแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น ก็เลิกกัน อย่าฝืนเลยนะ

      แต่ตัวเองเคยบอกกับเค้าว่า ตั้งแต่มีแฟนมา ตัวเองยังไม่เคยขอเลิกกับผู้หญิงคนไหนก่อน มีแต่ผู้หญิงที่เป็นฝ่ายบอกเลิกกับตัวเอง หรือไม่ก็เดินออกไปจากชีวิตตัวเองไปเฉย ๆ

      แล้วไง?”

      แล้วตัวเองมาชวนเค้าเลิกทำไม ตัวเองต้องเป็นฝ่ายรอให้เค้าเป็นคนบอกเลิกสิ

      เฮ้อ!”

      ……….

      ……….

      วันเกิดของหล่อน

      อยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด?” ผมถาม

      อะไรก็ได้ที่ผู้หญิงคนอื่นไม่เคยได้จากตัวเอง

      งั้นก็คงไม่มีหรอก ทั้งแก้วแหวนเงินทอง สิ่งของเครื่องใช้ เครื่องประดับ เครี่องอำนวยความสะดวกความสบาย รถยนต์ คอนโดฯ กระทั่งบ้านพร้อมที่ดินก็เคยให้มาหมดแล้ว ให้จนทุกวันนี้ไม่เหลืออะไรเลย

      เค้าไม่อยากได้แบบนั้น

      งั้นจะเอาอะไร?”

      นั่นล่ะ ตรงประเด็นเลย

      ตรงยังไง?”

      เค้าอยากเอากับตัวเองในแบบที่ตัวเองไม่เคยเอากับผู้หญิงคนไหนมาก่อน

      เป็นโจทย์ที่ยากจัง

      ไม่อยากหรอก เค้าคิดไว้แล้ว

      บอกมาสิ

      เค้าอยากเอากับตัวเองตอนขับรถ

      เฮ้ย! พูดจริงหรือ?”

      จริง

      เพื่ออะไร?”

      เพื่อให้ตัวเองจดจำเค้าไปตลอดชีวิตว่าครั้งหนึ่งเคยมีเซ็กส์ขณะขับรถ

      ทำแบบนั้นมันอันตรายนะ

      รู้ได้ไง เคยแล้วหรือ?”

      ไม่เคย เคยเห็นในหนัง แต่ในชีวิตจริงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก

      ไม่ลองจะรู้ได้ไงว่าทำไม่ได้

      แต่มีข้อแม้ว่าตัวเองต้องเป็นคนขับรถ

      จะดีหรือ หล่อนก็รู้ว่า...

      ตัวเองขับรถไม่เป็น

      จะยากอะไร รถเกียร์ออโตเมติก แค่เหยียบคันเร่งกับเบรกเท่านั้นเอง ที่จริงตัวเองก็ไม่ถึงกับว่าจะขับรถไม่เป็นซะที่ไหน ตัวเองแค่ไม่กล้าขับรถในเมืองเท่านั้น แล้วเราก็เลือกถนนสักสายที่มันตัดเป็นเส้นตรงยาว ๆ สัก 4-5 กิโลเมตรก็น่าจะพอ

      ที่ไหน?

      ……….

      ……….

      ถนนสายบางนา-ตราด ช่วงระยองมุ่งจันทบุรี Veos สีดำคันหนึ่งกำลังแล่นไปด้วยความเร็วเฉลี่ย 20-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พระอาทิตย์ลับดวงไปนานแล้ว ทิ้งแสงยามเย็นระบัดระบายก้อนเมฆเป็นสีหลากเฉด ก่อนจะละเลงสีส้มหมากสุกไปทั่วฟากฟ้าฝั่งตะวันตก

       

      ในความสลัวรางของบรรยากาศยามพลบค่ำ ยิ่งช่วยอำพรางสายตาเจ้าของรถคันอื่นที่แซงผ่านขึ้นไปหรือแล่นสวนมา ไม่ให้มองเห็นว่าภายในVeos สีดำที่กำลังขับเคลื่อนด้วยแรงม้าตีนปลาย นั้น มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังเล่นบทอัศจรรย์หลังพวงมาลัยกันอย่างดูดดื่ม บางขณะก็ลดความเร็ว บางขณะรถก็เพิ่มความเร็วขึ้น และเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง ที่หน้าปัดบอกความเร็ว เข็มไมล์ก็ค่อย ๆ ขยับขึ้นไปที่ 40...50...60...70และ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนจะหักลงข้างไหล่ทาง พร้อม ๆ เสียงเบรกชนิดยางรถครูดพื้นดังสอดประสานกับเสียงกรีดร้องของคนในรถ และเสียงแตรรถลากยาวเพราะคนนั่งหันหลังให้พวงมาลัยทอดเอนหลังไปกดทับแตรค้างไว้อย่างเหนื่อยแรง ตามมาด้วยเสียงของอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับพูดด้วยเสียงสั่นเครือ หายใจหอบ ขณะที่ตัวก็สั่นเทาราวกับลูกนกตื่นตระหนก

       

      สุขสันต์วันเกิดนะ ขอให้มันเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เราจะทำอะไรกันแผลง ๆ แบบนี้

      สนุกดีออก

      "สนุก แต่เสี่ยงตายเหลือเกิน ไหนจะต้องแยกประสาทส่วนความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขณะมีเซ็กส์กับประสาทการมอง ประสาทการควบคุมพวงมาลัย และประสาทการบังคับเท้าซึ่งไม่ง่ายเลยนะ"

      "แต่ตัวเองก็ทำได้"

      "ที่ทำได้เพราะเราไม่ได้ใช้ความเร็วสูงไง หล่อนไม่รู้สึกหรือว่าความเร็วมันจะเพิ่มขึ้นตามระดับอารมณ์ของเรา โดยเฉพาะเมื่อตอนที่เราใกล้จะถึงจุดสุดยอดน่ะ ถ้าข้างหน้าเป็นทางโค้งเราคงไม่ได้มาคุยกันอย่างนี้หรอก พรุ่งนี้ได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งกันแน่ ๆ"

      "ตัวเองก็ชอบมองโลกในแง่ร้ายอยู่เรื่อยเลย อย่างน้อยตอนนี้เค้าคุยได้แล้วเป็นคนเดียวที่ได้เอากับตัวเองแบบนี้"

      "ไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจเลยนะ"

      "ก็เค้าภูมิใจของเค้านี่"

      "ภูมิใจก็ภูมิใจ แต่ขอบอกว่าจะไม่มีการเอากันแบบนี้อีก ถ้าหล่อนเสี้ยนจะทำอะไรที่มันพิสดารอีก แค่ออรัลเซ็กส์ขณะขับรถก็น่าจะพอ"

      "แบบนั้นจะไปสนุกอะไร"

      "อย่างน้อยก็ยังได้ฟิลลิ่งของการเดินทาง"

      "ไม่เอาเค้าไม่ชอบ"

      "ไม่ชอบก็เรื่องของหล่อน"

      "แต่บอกแล้วไงต่อไปจะไม่มีการเอากันแบบเมื่อกี๊อีก"

      "อูวว! แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ?"

      "แบบไหน?"

      "ก็แบบข้างถนนนี่ไง!"

      "ก็ได้ แต่เปลี่ยนไปเบาะหลังจะดีกว่าไหม จะได้ขยับเขยื้อนย้ายได้คล่องขึ้น"

      "ตามใจตัวเองสิ ส่งเค้าให้ถึงสวรรค์ก็พอ"

      "ถึงน่ะถึงอยู่แล้ว แต่สวรรค์มีตั้ง 7 ชั้น หล่อนต้องการจะไปชั้นไหนล่ะ?"

      "โอว! ที่รัก แค่พูดเค้าก็เห็นประตูสวรรค์อยู่รำไรแล้ว มาต่อกันเถอะค่ะ"

      ……….

      ……….

      หล่อนกลัวมาตลอดว่าผมจะกลับไปหาผู้หญิงคนเก่าหรือแอบไปมีผู้หญิงคนใหม่ เพราะหล่อนมีข้อมูลที่ได้รับจากผมเองว่า วิถีชีวิตกองถ่ายเอื้ออำนวยให้ทำแบบนั้นได้  เช่น

      ผมอาจอ้างว่าไปดูงานที่ต้องค้างคืนทั้งที่ไปเช้าเย็นกลับ แล้วก็ใช้เวลาในคืนนั้นกับผู้หญิงสักคน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้

      หรือผมอาจอ้างว่าไปออกกองถ่ายต่างจังหวัด 7 วัน ทั้งที่ไปจริงเพียง 5 วัน แล้วใช้เวลา 2 วันนั้นกับผู้หญิงสักคน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้เช่นกัน

       

      แต่ผมก็ไม่ได้ใช้วิธีนั้นบ่อยนัก ผมจะใช้ก็ต่อเมื่อ

      เหงา...อยากอยู่คนเดียว

      เบื่อ...อยากใช้เวลากับเพื่อนพ้องน้องพี่ หรือไม่ก็

      คิดถึง...ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมทำผิดต่อเธอด้วยการปล่อยให้ความรักจืดจางไปเพราความห่างไกล ผมปล่อยให้เธอเดินออกไปจากความสัมพันธ์ของเราเพียงเพราะไม่กล้าตัดสินใจเลือกระหว่างเธอกับหล่อน

      ...เก่าก็แสนดี ไม่ก็เข้าที...

      อารมณ์ประมาณนั้น!!!

      ตอนนั้นผมเลือกไม่ถูกจริง ๆ

      ไม่ใช่สิ! อันที่จริงผมเลือกเธอมาตั้งแต่แรก และผมก็น่าจะตัดสินใจได้เด็ดขาด ถ้าไม่เป็นเพราะว่า

      หล่อนท้อง!

      ...........

      ...........

      'ผู้หญิงคนไหนท้องกับฉัน ฉันก็จะหยุดกับผู้หญิงคนนั้น'

      อยู่ ๆ ผมก็คิดถึงคำพูดประโยคนี้ขึ้นมา ผมเคยพูดประโยคนี้กับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง

      'แกจะบ้าหรือวะ?'

      'บ้าก็บ้าวะ!'

      'แกมีเหตุผลอะไร?'

      'ฉันอยากเป็นพ่อคน'

      'ไม่ make sense เลยว่ะ'

      'ฉันรู้ว่ามันฟังดูบ้าบอ แต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดผู้ชายสถุลแบบฉัน'

      'ถ้าแกอยากหยุดจริง ๆ แกก็แค่แต่งงานกับผู้หญิงสักคน'

      'ฉันไม่ได้อยากจะแต่งงานนี่หว่า ฉันเคยบอกแกแล้วไมใช่หรือว่าฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว'

      'ใช่ แกเคยบอกว่าตั้งแต่แม่แกปฏิเสธ 'น้องสาวบิ๊กบัง' ไม่ยอมให้แกแต่งงานด้วย แกก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้อีก'

      'ถูก'

      'แต่ที่ฉันว่ามันไม่ถูกก็คือ แกไม่อยากแต่งงาน แต่อยากมีลูก อยากเป็นพ่อคน มันจะไม่แปลกคนไปหน่อยหรือวะ?'

      'ไม่แปลกหรอก ยังไง ๆ ฉันก็ยังอยากมีลูกกับผู้หญิงที่ฉันใช้ชีวิตอยู่กินด้วย ลูกที่เกิดจากเลือดเนื้อเชื้อไขของฉันเอง'

      'แต่ฉันไม่คิดว่าแกจะเจอผู้หญิงที่คิดเหมือนแกหรอกว่ะ ผู้หญิงคนนั้นจะมีหรือวะ?'

      'ต้องมีสิวะ' ผมเถียง 'มันต้องมีผู้หญิงสักคนที่พร้อมจะใช้ชีวิตกับผู้ชายสักคนโดยไม่คิดถึงเรื่องแต่งงาน และพร้อมจะมีลูกด้วยกันโดยไม่ต้องมีการวางแผนการณ์อะไร'

      'อะไรทำให้แกคิดแบบนี้?'

      'ฉันเบื่อชีวิตที่มีแบบแผน มีขนบจารีต มีธรรมเนียมประเพณี มีกฎกติกามารยาท บางทีเรื่องนี้อาจเป็นหนึ่งในเรื่องที่ฉันปฏิเสธมันได้'

      'ปัญหาคือ ผู้หญิงคนไหนจะยอมรับเงื่อนไขของแกได้ ฉันเองก็อยากจะรู้จริง ๆ ว่าผู้หญิงแบบไหนจะหยุดผู้ชายแบบแกได้'

      ..........

      ..........

      ก็ผู้หญิงแบบ 'หล่อน' นี่ยังไงล่ะ ผู้หญิงแบบลูกอมร้อยรส ดนตรีร้อยเสียง ดอกไม้ร้อยสี แม่น้าร้อยสาย บทรักร้อยลีลา มารยาร้อยเล่มเกวียน

       

      คิด ๆ ดูมันก็น่าจะเหมาะสมกันดีนะ คนหนึ่งผ่านผู้หญิงมาเยอะ อีกคนผ่านผู้ชายมาไม่น้อย

      และที่ลงตัวคือ ไม่มีใครคิดถึงเรื่องแต่งงาน ต่างคนต่างก็พอใจที่จะใช้ชีวิตอยู่กินกันไป

       

      สำหรับหล่อน...ถ้าจะมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่บ้างก็คงไม่พ้นเรื่อง 'ผู้หญิง'

       

      สำหรับผม...ถ้าจะมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่บ้างก็คงเป็นเรื่อง 'กลิ่น'

      ..........

      ..........

      ผมได้ 'กลิ่นไม่ดี' มาตั้งแต่ตอนที่เรามีอะไรกันครั้งแรก มันเหมือนกลิ่นตายซากของอะไรสักอย่าง

      แต่การขึ้นเตียงกับผู้หญิงสักคนซึ่งเป็น 'ครั้งแรก' นั้น มันเป็นปกติวิสัยที่จะเกิดไฟราคะพลุ่งพล่านกระพือโหมรุนแรง มันจะระริกระรี้กระดี๊กระด๊าเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ มันจะหื่นกระหายในรสสัมผัสและความเสน่หารัญจวนใจ ถึงที่สุดมันจะกำหนัดจนหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถหลับหูหลับตาเอาได้ หรือแม้หลับลิ้นลับจมูกเอาก็ได้

       

      นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมจึงยังหลับนอนกับหล่อนทั้งที่ได้ 'กลิ่นไม่ดี' ตั้งแต่แรก?

       

      'มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?'

      'ก็มีอาการปวดท้องเป็นพัก ๆ'

      'ปวดยังไง?' ผมสวมบทคุณหมอจำเป็นซักประวัติหล่อน

      'ปวดหน่วง ๆ'

      'ปวดมานานแค่ไหนแล้ว?'

      'หลายเดือนแล้ว'

      'ประจำเดือนล่ะ?'

      'มาบ้างไม่บ้าง'

      'มายังไง มามากมาน้อย?'

      'มาน้อย น้อยมาก บางเดือนก็มานิดเดียว เหมือนหยดเลือดมากกว่าจะเรียกว่าประจำเดือน'

      'เดือนนี้ล่ะ มาหรือยัง?'

      'ยังไม่มา ไม่มาตั้งสี่ห้าเดือนแล้ว แต่ที่เค้าไม่คิดอะไรมากเพราะมันมีอาการเหมือนมาไง มีการปวดท้อง ปวดหลัง บางวันก็มีเลือดหยดติ๋ง ๆ'

      'มีกลิ่นไหม?'

      'เลือดเสียมันก็ต้องมีกลิ่นสิ'

      'กลัวมันจะไม่ใช่แบบนั้น'

      'ตัวเองคิดว่าเค้าจะท้องหรือ?'

      'ไม่แน่ใจ'

      'ไม่ท้องหรอก เค้าเคยซื้อเครื่องมือตรวจสอบการตั้งครรภ์มาตรวจเองตั้งสองหนแล้ว'

      'ผลเป็นไง?'

      'ไม่ท้อง!'

      'เคยคิดจะไปตรวจไหม? 

      'เคย แต่เค้าอายหมอ'

      'ควรจะไปนะ'

      'ตัวเองจะไปเป็นเพื่อนเค้าได้ไหม?'

      'ได้ จะไปเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน'

      ..........

      ..........

      ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอหล่อนอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องรับยา นาน ๆ ครั้งก็จะเงยหน้ามองไปยังห้องที่หล่อนเดินเข้าไป

      ผ่านไป 30 นาที แต่มันราวกับหนึ่ง 3 ชั่วโมง หล่อนก็เดินออกมา

      'เป็นไงบ้าง?'

      'หมอขอตรวจปัสสาวะไปตรวจผลก็ออกมาเหมือนเดิมคือไม่ท้อง'

      'ไม่ท้องก็ดีแล้ว'

      'แต่หมอบอกว่าอาการประจำเดือนมาผิดปกติของเค้ามันฟ้องว่าเค้าท้อง'

      'แล้วไง?'

      'เหลืออีกวิธีเดียวที่จะรู้ได้'

      'วิธีไหน?'

      'x-ray'

      'ก็เอาสิ'

      'ค่า x-ray 3,000'

      'นาทีนี้ถึง 30,000  ก็ต้องเสีย'

      'ตัวเองกลัวอะไร?'

      'ไม่ได้กลัว อยากจะรู้มากกว่า'

      'อยากรู้อะไร?'

      'ทำไมผลการตรวจสอบการตั้งครรภ์จึงยันว่าตัวเองไม่ท้องทั้งที่ประจำเดือนไม่มาตั้งหลายเดือนแล้ว'

      'ถ้าเค้าท้องล่ะ?'

      'มันจะเป็นไปได้ยังไง?'

      'แต่เราก็ไม่เคยป้องกันกันเลยนะ'

      'รู้ แต่มันตอนไหน?'

      'ตัวเองกำลังคิดอะไร?'

      'ช่างมันเถอะ อย่าเพิ่งพูดอะไรกันตอนนี้เลย รอให้ผล x-ray ออกมาก่อน'  ผมตัดบท ไม่อยากต่อความให้หล่อนใจเสีย วินาทีนั้นผมบอกกับตัวเอง

       ...นี่คือโจทย์ข้อสำคัญอีกครั้งหนึ่งในชีวิต ผมเคยตอบผิดมาแล้วครั้งหนึ่ง และครั้งนี้ผมได้รับโอกาสให้ตอบอีกครั้ง ผมจะตอบอย่างไร?...

      คุณหมอเสียบฟิล์ม x-ray ในกล่องไฟ มือกดสวิทช์ขอบกล่อง แสงที่สะท้อนผ่านฟิลม์ปรากฎเป็นภาพถ่ายอวัยวะภายในบริเวณช่องท้องของหล่อน ก่อนหันมาพูดอย่างขึงขัง

       

      "ถ้าคุณรอฟังข่าวดีว่าตั้งครรภ์หรือไม่ ผมขอแสดงความเสียใจด้วย ดูจากภาพ x-ray คุณจะเห็นว่า แฟนคุณมีลักษณะการตั้งครรภ์นอกโพรงมดลูกหรือพูดง่าย ๆ คือ ท้องนอกมดลูก

      รบกวนคุณหมอช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยครับผมร้อนใจอยากรู้

      ผมขออธิบายรวม ๆ  อย่างนี้ก็แล้วกันนะครับ คือตามธรรมชาติของผู้หญิงนั้นเมื่อไข่ตกจากรังไข่แล้วบังเอิญมีตัวอสุจิหรือสเปิร์มของผู้ชายเดินทางผ่านจากช่องคลอดเข้าไปยังมดลูกแล้วออกไปทางท่อนำไข่ไปพบกับไข่เข้า ก็จะเจาะไข่เข้าไปผสมกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นตัวอ่อนจะเดินทางกลับมาตามท่อนำไข่ผ่านเข้าไปในมดลูกซึ่งเป็นที่ที่เหมาะจะเป็นที่ฝังตัวเพื่อการเจริญเติบโตต่อไป และเมื่อตัวอ่อนฝังตัวในตัวแม่แล้วนั้นจึงจะเรียกว่ามีการตั้งท้องหรือตั้งครรภ์เกิดขึ้น พวกคุณตามทันนะครับ

       

      ผมกับหล่อนพยักหน้า

       

      แต่บางครั้งการเดินทางของตัวอ่อนอาจไม่สะดวกหรือเดินทางเร็วเกินไป หรืออาจวกวนจนทำให้มันไม่อาจไปฝังตัวในที่ที่เหมาะสมในโพรงมดลูกได้ การที่มันฝังตัวในที่อื่น ๆ นอกเหนือจากในโพรงมดลูกนี่แหละที่เรียกว่า ท้องนอกมดลูกซึ่งในการตั้งครรภ์นอกโพรงมดลูกนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณท่อนำไข่ข้างใดข้างหนึ่ง ที่รังไข่ หรือที่อยู่นอกระบบสืบพันธุ์ เช่น ในช่องท้องหรือที่บริเวณปากมดลูก ในกรณีของแฟนคุณนี้เกิดที่บริเวณปากมดลูก ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง และจะมีโอกาสเกิดมากยิ่งขึ้นหากผู้นั้นเคยตั้งท้องนอกมดลูกมาก่อน

       

      ผมกับหล่อนหันมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย  คุณหมอจึงอธิบายต่อ

       

      "ส่วนใหญ่เราจะพบภาวะการท้องนอกมดในแม่ที่มีพฤติกรรมใช้ชีวิตที่เสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ ขอโทษนะครับ คุณสูบบุหรี่ไหม?”

       

      หล่อนส่ายหน้า

       

      งั้นก็น่าจะมาจากสาเหตุอื่น ๆ แต่ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุไหน ถ้ามีการตรวจพบการท้องในลักษณะนี้ ส่วนใหญ่หมอก็จะแนะนำให้ทำแท้ง เพราะโอกาสที่จะติดเชื้อมีสูงมาก หรือได้รับความกระทบกระเทือนจนตกเลือดเสียชีวิตทั้งทารกในครรภ์และแม่ เท่าที่มีการบันทึกไว้ในทางการแพทย์มีไม่กี่รายในโลกที่อุ้มท้องนอกมดลูกจนถึงกำหนดคลอดโดยที่ลูกรอดแม่ปลอดภัย"

      "แล้วกรณีนี้ถึงขั้นไหนครับคุณหมอ?"

      "ก็อย่างที่อาจที่ผมบอก ถ้าคุณรอฟังข่าวดีที่จะมีลูกหมอขอแสดงความเสียใจด้วย แต่ถึงคุณรอฟังข่าวร้ายเพราะไม่อยากมีลูก ผมก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยอยู่ดี"

       

      หล่อนหันมามองสบตาผม สีหน้าหวาดหวั่น ผมเอื้อมมือไปเกาะกุมมือหล่อนไว้จนเหงื่อซึม

       

      "ยังไงนะครับคุณหมอ?"

      "ภรรยาคุณท้องนอกมดลูก ท้องมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เชื้อที่ปฏิสนธินอกรังไข่ไม่สมบูรณ์ ประกอบกับภรรยาคุณไม่ได้มีการฝากท้องผดุงครรภ์ตามขั้นตอนที่คนมีครรภ์พึงจะทำ ไม่ว่าจะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเหตุผลใดก็ตาม จึงทำให้เชื้อไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นทารกได้ ในทางกลับกันเชื้อที่อ่อนแอนั้นก็กลายเป็นก้อนเลือดเสียที่รอเวลาถูกขับออกมา หรือพูดภาษาชาวบ้านก็คือ ตกเลือด!!!"

      "อันตรายแค่ไหนครับ?"

      "ที่จริงแฟนคุณก็อยู่ในข่ายตกเลือดมานานแล้ว แต่โชคดีมาก ๆ ที่มันค่อย ๆ ตกหรือค่อย ๆ ไหล นั่นคือสาเหตุที่ทำให้คุณเข้าใจผิดคิดว่าประจำเดือนมาแบบกระปริดกระปรอย จะว่าไปคุณก็อึดมากเลยนะที่ทนปวดอยู่มาได้ตั้งนาน"

      "ต้องทำยังไงต่อไปครับ?"

      "เท่าที่ดูจากฟิล์ม x-ray วิธีรักษาที่ดีและปลอดภัยที่สุดคือการผ่าตัด"

      "ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือคะ?" หล่อนเป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้างหลังจากนิ่งฟังอยู่นาน

      "ขอโทษนะ หมอไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้คุณตกใจ แต่ในกรณีนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองหมอจำเป็นต้องตัดรังไข่คุณทิ้งข้างหนึ่ง"

      "แล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรไหมครับ?"

      "ไม่มี การมีรังไข่ข้างเดียวไม่ใช่ปัญหา หลังผ่าตัด คุณยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ คุณยังมีความสัมพันธ์ทางเพศได้ตามปกติ เพียงแต่คุณหมดโอกาสที่จะมีลูกเท่านั้น ซึ่งถ้าคุณสองคุณไม่อยากมีลูกเป็นทุนเดิมอยู่ นั่นก็น่าจะถือเป็นข่าวดีนะ"

      ..........

      ..........

      หลังออกจากห้องผ่าตัด ผมต้องเล่นเอาเถิดเอาล่อกับการไปเยี่ยมหล่อนที่โรงพยาบาล

      หล่อนบอกกับพนักงานด้วยกันที่มาเยี่ยมว่าผ่าตัดมดลูกที่มีปัญหา แต่ผมรู้ว่าความลับไม่มีในโลก ถ้ามันไม่มีวันเล็ดลอดออกจากปากผม ก็ต้องออกจากปากหล่อนนั่นเอง

      ..........

      ..........

      หลังกลับมาพักฟื้นอยู่เดือนหนึ่ง หล่อนก็กลับไปทำงานตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ หล่อนมีอารมณ์ปรวนแปรง่ายขึ้น เกรี้ยวกราดรุนแรงขึ้น และเริ่มมีเซ็กส์น้อยลง ๆ จากวันละครั้ง กลายเป็นวันเว้นวัน จากวันเว้นวันกลายเป็น 3-4 วันครั้ง จาก 3-4 วันครั้งกลายเป็นอาทิตย์ละครั้ง จากอาทิตย์ละครั้งกลายเป็นเดือนละครั้ง และจากเดือนละครั้งกลายเป็นสองเดือนครั้ง

      "เอามาเยอะแล้ว เบื่อ!"

      ผ่านไป 1 ปีหลังผ่าตัด คืนวันหนึ่งผมสะกิดหล่อนชวนมีเซ็กส์

      "ไม่เอา ไม่มีอารมณ์ แค่คิดก็เบื่อแล้ว" คือคำตอบที่ได้จากหล่อน

      ผมพยายามคิดหาวิธีทำให้หล่อนคนเดิมกลับมา แล้วก็นึกได้ว่าการเปลี่ยนบรรยากาศอาจจะทำให้เธอมีความรู้สึกอยากมากกว่าเบื่อหรืออย่างน้อยก็รู้สึกเบื่อๆอยากๆก็ยังดี ไม่ใช่เบื่ออย่างเดียว

      "ขับรถไปจันทบุรีกันไหม?" ผมถามแบบมีนัยยะที่รู้กัน

      "ไม่อยากไป"

      "ไม่อยากเปลี่ยนบรรยากาศเหมือนคราวนั้นหรือ?"

      "ไม่อยาก เคยแล้ว ครั้งเดียวก็รู้แล้ว รู้แล้วก็พอแล้ว"

      "ถามจริง ๆ ตัวเองไม่อยากเอากับเค้าแล้วใช่ไหม?" ครั้งแรกที่ผมใช้สรรพนามแทนตัวเองและหล่อนเช่นนั้น

      "ใช่!" หล่อนตอบแบบไม่สนใจใยดีความรู้สึกของผมเลยแม้แต่น้อย

      "ทำไม?" ผมถาม

      "ก็เอามาจนเบื่อแล้ว"

       

      หลังจากนั้นไม่นาน

      ผมกับหล่อนก็ทางใครทางมัน แม้ผมดีใจไม่มีโอกาสได้ตอบโจทย์ข้อนั้น แต่บ่อยครั้งที่ผมเฝ้าถามตัวเองว่า ถ้าต้องตอบโจทย์ข้อนั้นอีกครั้ง

      ผมจะตอบอย่างไร?   

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×