แผ่นดินของพ่อ ณ รอยต่อกาลเวลา - แผ่นดินของพ่อ ณ รอยต่อกาลเวลา นิยาย แผ่นดินของพ่อ ณ รอยต่อกาลเวลา : Dek-D.com - Writer

    แผ่นดินของพ่อ ณ รอยต่อกาลเวลา

    วันนี้ จะสายเกินไปไหม ถ้าผมจะอ่านจดหมายบนแผ่นดินพ่อ ให้พ่อฟัง จดหมายที่ไม่เคยส่งถึงผู้รับเลย และมีคำขึ้นต้นที่ผมเขียนไว้ว่า ผมคิดถึงพ่อที่สุดในโลก

    ผู้เข้าชมรวม

    2,824

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    12

    ผู้เข้าชมรวม


    2.82K

    ความคิดเห็น


    10

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 พ.ค. 55 / 11:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    ผมชี้มือไปที่เครื่องบินบนท้องฟ้าซึ่งอยู่ไกลตา

    ครั้น เป็นสัญญาณให้ผมโบกมือทักทาย หัวใจยิ่งพองโตสุขล้นหัวเราะเริงร่า "พ่ออยู่บนนั้น" ผมรับรู้ได้ในทันที จากนั้นจึงออกแรงไล่กวดตามอย่างไม่ลดละ แต่อย่างไรเสียก็ทำได้แค่แหงนหน้ามองฟ้า บอกลาพ่อผู้ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปทุกที
    เจ้านกเหล็กทำมุมเก้าสิบองศาเหนือหัว
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      แผ่นดินของพ่อ  ณ รอยต่อกาลเวลา

                ผมชี้มือไปที่เครื่องบินบนท้องฟ้าซึ่งอยู่ไกลตา   ครั้นเจ้านกเหล็กทำมุมเก้าสิบองศาเหนือหัว    เป็นสัญญาณให้ผมโบกมือทักทาย   หัวใจยิ่งพองโตสุขล้นหัวเราะเริงร่า    "พ่ออยู่บนนั้น" ผมรับรู้ได้ในทันที จากนั้นจึงออกแรงไล่กวดตามอย่างไม่ลดละ แต่อย่างไรเสียก็ทำได้แค่แหงนหน้ามองฟ้า บอกลาพ่อผู้ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปทุกที        

      ภาพตัดมาที่แม่ในชุดสวย  ผมกับพี่สาวนั่งข้างกัน  เราทั้งสามคนอยู่บนรถไฟ ขบวนเคลื่อนผ่านไปหลายสถานี จอดรับส่งผู้โดยสาร  ผมมองทุกอย่างรอบกาย พอรู้สึกตัวอีกครั้งก็ยืนติดแม่แจในอาคารขนาดใหญ่  รู้สึกใจไม่ดี เสียงจ้อกแจ้กดังข้างหู   รถเข็นเหล็กวางกระเป๋าใบโต วิ่งเข้าวิ่งออกผ่านหน้าไปมาชวนเวียนหัว  ผมเริ่มงอแงจนแม่ต้องปลอบขวัญ  แล้วร่างหนึ่งก็เดินเข้ามา  อุ้มพี่สาวขึ้นไปกอด ยามนั้นหน้าแม่ยิ้มเผยเห็นฟันขาว มือใหญ่นั่นหมายจะจับที่แขนผม     ความตกใจทำให้กระโดดหลบข้างหลังแม่อย่างเร็ว   ไม่นานนักค่อยโผล่หน้าออกมาดู  ครั้นพอรู้ว่าเป็นใครผมก็หมายโผเข้าหา   ...................แต่!!!!!!!!!!!!!!!!

      "กริ๊ง..........กริ๊ง" มือถือปลุกให้ผมตื่นจากฝัน ร่างกายที่ล้าทำให้ม่อยหลับไป ผมปรือตามองเวลาที่ข้อมือตนเอง  

      แล้วรีบลุกขึ้นไปล้างหน้าอย่างเร่งรีบ

      …………………

      ผมเดินกึ่งวิ่งสองแขนประชิดลำตัวความโดดเดี่ยวกระโดดตามรอยเท้าเคียงคู่     ผมมุ่งหน้าเข้าไปในอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่มนุษย์จำลองการอยู่อาศัยแบบมด  บันไดเลื่อนเคลื่อนตัวต่ำไปถึงทางเดินที่ผนังทั้งสองข้างเต็มไปด้วยการโฆษณาขายสินค้าหลากหลายรูปแบบ    ผู้คนสีหน้าเรียบเฉย บ้าง  ผมหยิกดำ  ผิวขาว   ตาชั้นเดียว   ต่างคนต่างภาษา        ผมถามตัวเองว่าความอ้างว้างที่ฝังลึกในใจนั้นมาจากการที่ผมยืนอยู่บนแผ่นดินเกิดแต่ไม่สามารถสื่อสารกับคนรอบกายได้ใช่หรือไม่   ?

      รังมนุษย์ใต้ดินถูกแบ่งซอยจัดสัดส่วนการใช้ให้คุ้มค่าเม็ดเงินมากที่สุดเท่าที่จะทำได้      ผมแกร่วหมุนตัวอ่านป้ายข้อความ หลบการมองผู้คนซึ่งได้ผลดีกว่าการกรอกตาแล้วเห็นแววตาไม่คุ้นเคยของใคร   การโดยสารด้วย

      เทคโนโลยีสมัยใหม่  ร่นระยะจากผิวจราจรด้านบนซึ่งติดขัดเสียจนบ้างครั้งผมแทบคลั่ง   ทำให้ผมถึงจุดหมายได้

      ทันใจมากขึ้น    ความเจริญรุ่งเรืองทางด้านวัตถุห่างผมแค่ไม่กี่ก้าวแต่สิ่งที่ฉุดรั้งให้ผมยืนนิ่งคือภาพของเด็กชายคนหนึ่ง   เขาก้มหน้าติดกับพื้นทางเท้า ปากคาบดินสอสีแดงสั้นกุด         ผมระทึกใจกับการเคลื่อนไหวเป็นจังหวะของ

      ศีรษะเขา         นั้นคืองานศิลปะมากกว่าแค่การเขียนหนังสือลงหน้ากระดาษ   บันทึกหลายเล่มวางข้างกัน    เล่มหนึ่งกลางไว้และหนีบด้วยไม้หนีบผ้า    ลมกระโชกแรงผ่านมา  แขนเสื้อของเด็กชายทั้งสองข้างปลิวตามสายลมไร้การต้านทาน   ผมกอดอกแน่นตัดใจเดินจากไป    ภาพนั้นยังติดตา      เปล่าผมไม่ได้รู้สึกเศร้าสร้อยแต่อย่างใดกับมีพลังมากขึ้นมากพอที่จะตัดสินใจทำอะไรซึ่งติดค้างในใจมานานแล้ว

               

                ผมมองดูฝ่ามือของตัวเอง เวลานี้มีรอยบวมปูดแดง      เกิดขึ้นจากการออกแรงใช้เสียม เพียรขุดหลุมขนาดกว้างสองศอก  ลึกมากพอที่จะทำให้พบบางอย่าง   ที่ผมเคยฝังเอาไว้เมื่อยังเด็ก

      ถ้าหากนับเวลาตั้งแต่วันนั้นจนถึงวินาทีนี้ก็ล่วงเลยเข้าปีที่ยี่สิบพอดี

                  เท้าเปล่าเปลือยของผมเหยียบลงบนพื้นดินที่ชุ่มชื่น แรกสัมผัสนั้นทำให้ผมคลายความวิตกต่อทุกสิ่งรวมถึงภาระเบื้องหลังก่อนผมจะตัดสินใจกลับมาบ้านเกิดอีกครั้ง  นานแค่ไหนแล้วที่เหินห่างธรรมชาติ  จมปรักกับสิ่งไม่มีชีวิตในเมืองใหญ่  คงไม่แปลกอะไรถ้าผมจะบอกว่า  ณ ตรงนี้หลุมซึ่งผมลงมือขุดเองกับมือได้ทำให้ผมรู้ว่ารากที่จมอยู่ใต้ดินของผมนั้น โผล่พ้นขึ้นมาอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงแล้ว

                  ก้อนหินขนาดใหญ่ใต้ต้นมะม่วงยังอยู่ที่เดิม   ผิดกับบริเวณโดยรอบเริ่มมีการปรับปรุงเตรียมพร้อมสำหรับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่     ผมกวาดตามองโดยรอบแทบจะจำเค้าเดิมไม่ได้เสียแล้ว    ภาพดงกล้วยซึ่งเคยวิ่งซนหนีแม่มายามเป็นเด็กแสนงอน  จอมโวยวายหากไม่ได้ของอย่างใจต้องการ  ผมเปรียบต้นกล้วยเป็นกระสอบทรายชกต่อยออกแรงถีบปลดปล่อยความแค้นเคือง    บางครั้งถือดีเอาไม้เสี้ยมปลายแหลมแทงใส่ลำต้นอ่อนอย่างไม่ลดละ  ครั้นยางต้นกล้วยไหลยิ่งสะใจหนัก   ด้วยอย่างน้อยผมก็รู้ดีว่าใต้ผืนฟ้านั้นผมไม่เสียน้ำตาอยู่คนเดียว

      หากจำไม่ผิดใกล้กับที่ผมนั่งอยู่ตอนนี้  เคยมียุ้งข้าว  เล้าเป็ด คอกหมูสยองขวัญ  ที่เรียกอย่างนั้นเพราะผู้ใหญ่ชอบหลอกผมว่า  หากแม่หมูหงุดหงิดยามโมโหหิวมันจะกินเด็กเป็นอาหาร  ทำให้เด็กอย่างผมยิ่งสร้างภาพให้ตนเองขวัญผวาไม่กล้าย่างกายเข้าไปใกล้  นั่นคือความทรงจำเก่าก่อนและนับแต่นี้ไป  ผมจักต้องเป็นคนจดบันทึกสิ่งใหม่เติมเข้าไปเพื่อวันข้างหน้าผมจะได้ย้อนมาคิดถึงได้อีกครั้ง

                  ขวดแก้วฝาพลาสติก ๒ ใบ คือสิ่งที่ขุดพบ    ผมไม่ได้รีบร้อนเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาในทันที หากแต่ปล่อยให้มันอยู่ในห้วงเวลาแห่งสัมผัสแรกเหมือนยามก่อนในเวลาที่ผมได้ฝังเอาไว้    แวบนั้นพยายามนึกถึงว่า เหตุใดจึงได้นำของเคยรักและห่วงแหนยิ่งมาฝังไว้ในผืนดินแห่งนี้

                  ผมปล่อยลมหายใจยาวหลังจากนั่งลงบนก้อนหิน ทิ้งปลายเท้าลงบนกองภูเขาดินเล็กๆ ที่กองอยู่ต่อหน้า ครั้นนึกสนุกจึงหมุนนิ้วหัวแม่เท้าไปมาบนผิวดิน  เป็นผลให้ภูเขากองย่อมยุบลงอย่างรวดเร็ว  ความสุขเกิดขึ้นได้ง่ายเสียจนผมคาดไม่ถึงว่าตนเองกำลังอมยิ้มให้กับโลก    จากนั้นไม่นานนัก ความรู้สึกตื้นเต้นแล่นผ่านเข้าถึงหัวใจ   เป็นเพราะขวดแก้วซึ่งผมนำขึ้นมาวางไว้ข้างกายเก็บความลับสิ่งใดไว้หนอ  ก่อนหน้านี้งดงามต่อหัวใจดวงน้อยในวัยเยาว์เพียงใด   ผมเลือกเปิดขวดแก้วที่ภายในมีของกระจุกกระจิกก่อน  ฝาเกลียวคลายออกตามแรงมืออย่างยากลำบาก  เหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ ผมล้วงมือเข้าไปจับสิ่งของในนั้น   กระดาษแผ่นหนึ่งพับครึ่งไว้ 

      พอคลี่ออกมีข้อความที่เขียนด้วยตัวหนังสือโย้ขนาดเต็มบรรทัด มองดูแล้วต้องประหลาดใจว่าลายมือเมื่อก่อนนั้นช่างดูน่ารักและบ่งบอกความหมายได้ดีกว่าปัจจุบันเหลือเกิน

                  ข้อความในกระดาษแผ่นนั้นตอนหนึ่งเขียนไว้ว่า

      "ปุ๊กกี้มันตายตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว   ขโมยใจร้ายวางยาปิดปากมัน       คงกลัวว่าปุ๊กกี้จะเห่าบอกคนในบ้านรู้    มันตายทั้งที่มันท้องแก่ใกล้คลอด   เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นความโชคร้ายที่ผมไม่ทันได้เตรียมใจไว้ ผมคิดว่าหากพวกเขารู้จักผมและปุ๊กกี้ดีพอ คงไม่ทำสิ่งเลวร้ายให้ผมต้องสะเทือนใจอย่างนี้แน่นอน 

                แต่เมื่อคิดอีกทีผมโกรธตัวเองและโกรธปุ๊กกี้พอกัน  ที่มันตะกละกินของจากคนแปลกหน้า  หรือเป็นเพราะตัวผมเองที่ให้มันกินไม่อิ่มและสั่งสอนมันไม่ดี    คิดแล้วผมรู้สึกแย่จริงๆ   หลายวันมานี้ผมเอาแต่ดุด่ามัน  ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ปุ๊กกี้ตั้งท้อง  ผมไม่เคยกอดหอมเล่นกับมันแม้แต่ครั้งเดียว  เพราะผมเกลียดที่มันชอบพาหมาตัวผู้เข้ามาในบ้านเรา

                จนเช้าวันนี้มาถึงมันก็สายไปเสียแล้ว  ปุ๊กกี้นอนตัวแข็ง อ้าปากเห็นเขี้ยวยาวสีเหลือง  ดวงตาปิดสนิท  ผมไม่รู้ว่าก่อนที่มันจะสิ้นใจปุ๊กกี้ทรมานมากไหม แต่ตอนนี้ผมรู้เพียงแต่ว่า ผมไม่มีปุ๊กกี้อีกแล้ว ผมคิดถึงมันเหลือเกิน ใจผมแทบจะขาด ผมพึ่งรู้ว่าตัวเองรักและห่วงมันมากแค่ไหน  ก็ตอนนี้ล่ะตอนที่ผมไม่สามารถสัมผัสความมีชีวิตมันได้อีกต่อไป  แล้วผมจะระบายเรื่องทุกข์ใจให้ใครฟัง  ทุกเช้าก่อนขึ้นรถไปโรงเรียนจนถึงเวลากลับบ้าน คงไม่มีปุ๊กกี้คอยเดินไปส่งและรอรับผมอีกต่อไป

                ผมยังจำวันแรกที่ปุ๊กกี้มาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้านได้ดี  ทั้งที่แม่ไม่อยากให้เลี้ยงหมาเพราะกลัวว่าพอมันโตจะเกเรและกัดใครเขา  แต่เพราะผมอีกนั่นแหละที่ร้องไห้งอแง อยู่สามวัน   แม่ถึงใจอ่อนให้ผมเลี้ยงได้  ปุ๊กกี้ตัวน้อยยามเด็กชอบร้องเสียงดังตอนดึกๆ  หนักไปกว่านั้นยังอึและฉี่ไม่เป็นที่  รวมไปถึงการทำเรื่องไม่ดีอีกมาก ก็พวกไม่ชอบฟังคำสั่งกัดข้าวของเสียหายต่างๆ นาๆ    และที่แม่ไม่ค่อยพอใจคือมันเป็นคู่อริกับนางสามสีแมวรักของแม่

      ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ผมอยากจะบอกกับพ่อว่า พ่อไม่เคยรู้หรอกว่าเจ้าปุ๊กกี้มันสำคัญกับผมมากแค่ไหน"   

                ข้อความในจดหมายไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น   แต่เพราะผมต้องการปล่อยใจให้รับรู้เหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป    จึงหลับตาข่มสติให้สงบลงสักครู่   จากนั้นหยิบสิ่งของที่เหลืออยู่ภายในขวดแก้วขึ้นมาดูทีละอย่าง   ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อก่อนของเหล่านี้มีความสำคัญกับตัวเองมากแค่ไหน   อาจเป็นความลับที่ผมเก็บงำไว้ในใจตลอดมาก็เป็นได้     มือผมสัมผัสไปที่  ตุ๊กตาหมีตัวเล็ก  ลูกแก้วหลากสี   แหวนพลาสติก และสิ่งนั้นที่ผมเคยลบไปจากใจมานานแล้ว "ตุ๊กตากระดาษ" จำได้ว่าต้องอดกินขนมอยู่หลายวันกว่าจะมีเงินไปซื้อ   แถมยามได้มาแล้วก็ต้องแอบเอาไว้ไม่ให้คนที่บ้านรู้    ผมชอบตุ๊กตากระดาษก็เพราะ เสื้อผ้าที่สวยงาม หลากแบบ มีทั้งชุดแบบในหนังสือนิทาน ให้เลือกเปลี่ยนได้ตามชอบใจ    เมื่อมองหน้าของตุ๊กตาแต่ละตัว จะมีความสุขมากมายอยู่ในนั้น ดวงตากลมโต ขนตายาว ปากสีลูกกวาด แกมแดงระเรื่อ ทำให้สร้างฝันแทนตัวเจ้าหญิง  รอเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วย  เพื่อจะได้ครองคู่กันอยู่ในปราสาทกระดาษ  ที่ผมสร้างขึ้นจากกล่องหลายขนาด  จินตนาการเติมแต่งตามใจฝัน  เป็นความสุขที่ต้องซุกซ่อนไว้คนเดียวยากที่ใครจะล่วงรู้

                  ถัดจากขวดใบแรก  ผมถามตัวเองในใจว่ากล้าพอไหมจะย้อนเวลากลับไปสู่ความทรงจำเก่าก่อนอีกครั้ง กับขวดแก้วใบสุดท้าย  ซึ่งในนั้นมีเพียงจดหมายหนึ่งฉบับ   ใช่แล้ว จดหมายของพ่อจากแดนไกลที่ผมแอบเอาออกมาจากตู้ไม้ในห้องนอนของแม่  มือผมสั่นเทามากด้วยความขลาดละอายต่อหลายสิ่งที่เคยกระทำไว้    ซองจดหมายสีซีดเหลืองมีกรอบล้อมรอบเป็นเส้นสีแดง สีขาว  สีน้ำเงิน เว้นช่องไฟสลับกันไปพอให้รู้ว่าเป็นสัญลักษณ์แทนธงชาติไทย  บนมุมด้านซ้ายสุดจะมีรูปเครื่องบินลำเล็กทะยานเหินฟ้า  

                  จดหมายที่อยู่ในซองนั้นทำให้ผมรับรู้ว่ากาลเวลาที่ห่างหายไปไม่ได้ยาวนานอย่างคิด กับกระจ่างชัดอยู่ในใจเสมอ  เป็นเพียงแต่ตัวผมเองที่โป้ปดว่าขาดหายไปจนจำเรื่องราวไม่ได้    

                  ข้อความจากแดนไกลของพ่อคือแรงบันดาลใจ ให้ผมอยากจะเขียนหนังสือตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียน  เพราะตัวหนังสือของพ่อมีแม่เป็นคนอ่านให้ฟังด้วยความขวยเขินนั้น  ทำให้ผมฝันหวานว่าสักวันจะเป็นคนเขียนจดหมายเล่าเรื่องต่างๆที่บ้านของเราให้พ่อได้ฟังบ้าง

                  ผมจ้องตัวหนังสือหวัดๆไม่มีหัวของพ่อ  ทำให้ต้องขมวดคิ้วตามไปด้วย ทั้งอ่านยากและเส้นสายก็ซีดจางไปตามเวลา

                "ถึงแม่น้องแนนจากพ่อเจ้าหมาสุข

      พ่อย้ายจากงานทำถนนแล้ว   บริษัทเขาให้เข้าไปทำงานที่อาคารสำนักงานกลาง ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าช่างซ่อมบำรุงอาคาร  งานสบายขึ้นแต่ต้องรับผิดชอบมากทีเดียว คนงานส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะได้ สั่งงานกันทีไม่วาดรูปให้ดูก็ต้องใช้ภาษามือกันวุ่นวายเล่นเอาเหนื่อยทั้งคนสั่งและคนทำงาน  

      สิ้นปีนี้พ่อจะได้กลับบ้านประมาณ ๑๐วัน    ช่วงนี้จะมีคนกลับเมืองไทยพ่อคงฝากของไปให้น้องแกมกับเจ้าหมาสุขเป็นของขวัญก่อน    ว่าแต่ทั้งคู่การเรียนเป็นอย่างไรบ้าง    แจ้งมาให้พ่อรู้ด้วย  น้องแนนคงได้คะแนนดีอยู่แล้วให้พยายามต่อไปอย่างสม่ำเสมอ อ่านหนังสือให้มาก และสอนหนังสือเจ้าหมาสุขด้วย  เจ้าหมาสุขอย่าดื้อซนนัก   แล้วยังนอนหลับน้ำลายไหลเปื้อนหมอนเหมือนเดิมไหม   เห็นแม่บอกว่าเรื่องฉี่รดที่นอนยังไม่หายเหรอ อีกไม่นานก็โตเป็นหนุ่มแล้วต้องรู้จักเข้าห้องน้ำก่อนนอนนะ     

                ตอนกลับถึงเมืองไทยพ่อจะหานาฬิกาดีๆ ไปฝากเอาไว้เป็นสมบัติติดตัว   น้องแนนและเจ้าหมาสุขจะได้ไม่อายใคร  

                พ่อคิดถึงลูกๆ ของพ่อทุกคน เรียนให้เก่ง และสุขภาพแข็งแรง

                                                      พ่อสบายดี"   

      ผมยังน้อยใจเสมอ เมื่อยามที่จดหมายพ่อส่งมาถึงบ้าน  พ่อจะรู้ไหมว่า "คิดถึงพ่อที่สุดในโลก" คือคำขึ้นต้นในจดหมายฉบับหนึ่งที่ผมไม่เคยส่งไปถึงพ่อ   ได้แต่เก็บจดหมายนั้นไว้ในความทรงจำตลอดมา ตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยบอกรักพ่อเลย และผมก็ไม่รู้ว่าพ่อรักผมไหม    มีเพียงแต่ข้อความส่งผ่านมาจากจดหมายเท่านั้น ซึ่งพ่อเป็นฝ่ายเดียวที่ร้อยเรียงเรื่องราวความเป็นอยู่บอกผ่านมาให้ฟัง     แต่ผมอยากบอกให้พ่อได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว   อ้อมกอดและคำพูดนั้นสำคัญมากเพียงใด สำหรับเด็กน้อยอย่างผมในเวลานั้น

                  ถึงแม้ของเล่นไปจนถึงเสื้อผ้ามากมายที่พ่อส่งมาให้  คือสิ่งแปลกใหม่แต่ก็เป็นความสนุกชั่วครั้งคราวเท่านั้น    เพราะความล้ำค่ามากเกินที่ผมจะได้รับยามนั้นคือตัวพ่อซึ่งอยู่ห่างข้ามขอบฟ้าต่างหาก

      ผมยังคงนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนเดิม ปล่อยให้แสงแดดลอดผ่านกิ่งก้านต้นไม้ ตกกระทบกับใบหน้า บางครั้งอยากหลับตาเสียแต่ก็ฝืนมองภาพทุกอย่างให้กระจ่างชัดมากที่สุดเท่าจะทำได้

                  ณ เวลานี้ผมอยู่บนแผ่นดินของพ่อ  ผู้ซึ่งย้ำกับผมเสมอว่า  "พ่อสบายดี" จนวันเวลาล่วงผ่านถึงวันที่ผมโตเป็นผู้ใหญ่ ในห้วงแห่งความคิดก็หวังแต่ว่า พ่อจะยังคงอยู่ที่เดิมเหมือนขวดโหลที่อยู่กับผมตอนนี้ และบอกกับผมด้วยคำว่า "พ่อสบายดีอีกครั้ง" แต่พ่อก็เป็นคน มีชีวิต ย่อมต้องมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย และผมคงเป็นลูกที่เห็นแก่ตัวยิ่งนัก    ฟังความข้างเดียว ยึดถือคำว่า "พ่อสบายดี" ไว้ตลอด และไม่เคยเอ่ยคำใดบอกผ่านให้พ่อได้ชื่นใจแม้แต่ครั้งเดียว

                  วันนี้ จะสายเกินไปไหม ถ้าผมจะอ่านจดหมายบนแผ่นดินพ่อ ให้พ่อฟัง จดหมายที่ไม่เคยส่งถึงผู้รับเลย  และมีคำขึ้นต้นที่ผมเขียนไว้ว่า "ผมคิดถึงพ่อที่สุดในโลก"  

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×