คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : DARKNEss 1 :: ปฐมบทแห่งการไล่ล่า (จบตอน)
DARKNEss 1 :: ปฐมบทแห่งการไล่ล่า
“เมื่อเวลา 21.30 น. ของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เกิดเหตุฆาตกรรมหน้าสถานบันเทิง...”
“...ฆ่าชิงทรัพย์.....”
“เกิดเพลิงไหม้...”
กีกวังกดปุ่มรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ ข่าวต้นชั่วโมงไม่ว่าช่องไหนก็มีแต่ข่าวประเภทนี้ทั้งนั้น ไม่รู้ว่าโลกนี้มันเป็นอะไรกันไปหมด เรื่องดีๆ หาจากสื่อไม่ค่อยได้ เสพย์แต่ข่าวร้ายๆ ทุกวันจนประสาทจะกิน ยิ่งกำลังตกอยู่ในภาวะเครียดเพราะกำลังตกงานเนื่องจากร้านอาหารที่เคยทำงานหาเลี้ยงชีพปิดตัวลง ทำให้เขาขาดรายได้หลัก ซ้ำงานใหม่ที่รายได้ดีๆ ก็ยังหาไม่ได้
“โถ่เว่ย!!!” ชายหนุ่มกดปิดทีวีด้วยความรำคาญก่อนจะขว้างมันลงไปบนเตียงอย่างแรง หันไปเจอพาดหัวข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ข้างตัวก็ยังหนีไม่พ้นข่าวร้ายๆ ที่ตีแผ่ความโสมมของสังคมปัจจุบัน กีกวังปิดตาแน่นพร้อมทึ้งผมตัวเองราวกับคนบ้า ห้องพักในอพาร์ทเมนท์ซอมซ่อแห่งนี้เขาก็ยังไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายค่าเช่า ต้องบากหน้าไปผลัดกับคุณป้าเจ้าของอพาร์ทเมนท์ไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด โชคทีที่ตลอดมาเขาไม่เคยจ่ายเงินผิดเวลาฝ่ายนั้นจึงยอมให้ผ่อนผัน แต่มันก็แค่การขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ เท่านั้น ถ้ายังหางานทำไม่ได้แม้แต่ที่ซุกหัวนอนก็คงไม่เหลือ
กีกวังขยับมานั่งกุมขมับอยู่ปลายเตียงพลางถอนหายใจยืดยาวอย่างกลัดกลุ้ม ปัญหาหนักอกที่ยังแก้ไม่ตกทำเอาชายหนุ่มกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวัน
“จ๊อก!!” เสียงท้องของกีกวังร้องประท้วงเนื่องจากไม่มีอะไรตกถึงท้องนานหลายสิบชั่วโมง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหงุดหงิด จำต้องลุกไปค้นเศษเงินที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเพื่อลงไปหาอาหารประเภท ‘แดกด่วน’ กินประทังความหิว
“หลับอีกแล้ว ทั้งปี” กีกวังก้าวออกมาจากโถงทางเดินชั้นแรกก็พบกับภาพอันคุ้นเคยอยู่ในป้อมยาม ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมโซหัวล้านเลี่ยนอยู่ในชุดยูนิฟอร์มซีฟ้าซีดของอพาร์ทเมนท์กำลังหลับสบายส่งเสียงกรนดังสนั่น... ที่นี่เขาจ้างยามมาหลับแท้ๆ กีกวังส่ายศีรษะช้าๆ อย่างระอาก่อนเดินหนีไปจากภาพชินตา
ขณะกำลังก้าวไปยืนบนฟุตบาทหน้าอพาร์ทเมนท์กีกวังได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซด์ไม่ต่ำกว่าห้าคันแผดเสียงลั่นมาแต่ไกล ดูเหมือนจะเป็นพวกนักซิ่งประจำซอยที่เขาพบเจออยู่บ่อยครั้ง เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาทุกทีแต่ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับเขาชายหนุ่มร่างกะทัดรัดจึงหันหลังให้เสียงนั้นแล้วออกเดินตรงไปยังร้านสะดวกซื้อซึ่งอยู่ไกลออกไปไม่กี่สิบเมตร
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดด โครมมมมม
เอ๋ง ๆๆๆ!!
เสียงดังโครมครามที่ดังอยู่เบื้องหลังทำให้กีกวังสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ หัวใจของเขาแกว่งไกวไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดูเหมือนจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากพวกแก็งค์นักบิดมือสมัครเล่น ชายหนุ่มค่อยๆ หันไปมองภาพบนท้องถนนเล็กๆ อย่างลุ้นระทึก เสียงที่ดังพร้อมกับเสียงล้มของรถมอเตอร์ไซด์น่าจะเป็นเสียงสุนัขไม่ผิดแน่
“เฮ่ย ไอ้หมาเวรนี่มาจากไหนวะ”
“โอ๊ย!!! เจ็บโว๊ย พากูไปโรง’บาลที”
“มึงเป็นไรมากไหมวะ?”
“หมาตายไหมวะนั่น”
“ช่างหมามันเถอะน่ามันรนหาที่เอง รีบพาไอ้ชังฮุนไปโรง’บาลก่อนเหอะเดี๋ยวมันตายตามหมาแล้วจะยุ่ง”
ภาพความโกลาหลบนถนนแคบๆ พร้อมทั้งเสียงประกอบภาพอันหยาบคายของเหล่าสิงห์นักบิดดำเนินไปเพียงไม่กี่นาที บนท้องถนนก็ว่างโล่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อชายวัยรุ่นกลุ่มนั้นสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว จะเหลือก็แต่ร่างไร้วิญญาณของสุนัขขนฟูที่กีกวังไม่รู้ชื่อสายพันธุ์ของมัน ขนที่เคยขาวราวหิมะถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือดสดๆ กลิ่นคาวคลุ้งโชยมาแตะจมูกเมื่อเขาก้าวเข้าไปในระยะใกล้
กีกวังมองภาพนั้นพลางทอดถอนใจ สงสารเจ้าสุนัขตัวน้อยที่นอนแน่นิ่งจมกองเลือดอยู่ตรงหน้า ด้วยความที่เป็นคนรักสัตว์เขาจึงรู้สึกสะเทือนใจกับภาพตรงหน้าอย่างมาก
“ตายจริงๆ ด้วย เฮ่อ!” กีกวังยื่นมือไปแตะร่างชุ่มเลือดเพื่อความแน่ใจ ผลก็ปรากฏออกมาไม่ต่างจากที่คาดไว้แม้แต่น้อย ขณะนี้ความหิวจนแสบท้องถูกลืมไปชั่วขณะ กีกวังช้อนร่างไร้วิญญาณของสุนัขตัวนั้นขึ้นมาบนอ้อมแขนแล้วเดินกลับอพาร์ทเมนท์เพื่อนำศพของมันไปฝังไว้กันอุจาดตา
.
.
.
“ไปดีเถอะนะแก” กีกวังจับพลั่วที่ยืมมาจากห้องเก็บอุปกรณ์ของอพาร์ทเม้นท์กระทุ้งลงไปบนผืนดินที่นูนขึ้นเล็กน้อยเป็นครั้งสุดท้าย เป็นอันว่าภารกิจของสัปเหร่อจำเป็นอย่างเขาก็สิ้นสุดลงอย่างง่ายดาย ไร้แขกเหรื่อผู้มาร่วมงาน ไร้ญาติของผู้ตาย มีเพียงเขาและพลั่วอีกหนึ่งอันสำหรับพิธีศพของสุนัขโชคร้ายตัวนี้
กีกวังหยิบพลั่วขึ้นมาถือไว้ด้วยมือข้างเดียวแล้วก้าวขึ้นรถมอเตอร์ไซด์คันเก่าของตนเองก่อนจะเคลื่อนตัวออกมาจากสวนป่าหลังมหาวิทยาลัยโซลด้วยความเร็วต่ำ เนื่องจากอากาศที่หนาวเหน็บของต้นเดือนกุมภาพันธ์ไม่อำนวยให้เขาบิดคันเร่งเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนพวกปอดเหล็กที่เขาเจอเมื่อชั่วโมงที่แล้ว
.
.
.
กีกวังเดินคอตกเข้าไปในลิฟท์อันอับชื้นของที่พักอาศัยด้วยจิตใจหอเหี่ยว วันนี้เขาขี่มอเตอร์ไซด์เตร็ดเตร่หางานทำตั้งแต่เช้าจรดเย็นแต่ก็ยังไม่ได้สักที่ สามวันแล้วหลังจากที่เขาทำพิธีศพให้กับสุนัขตัวนั้น คิดว่าน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยให้เขามีโชคบ้างแต่ก็เปล่า ตรงกันข้ามกลับยิ่งแย่ลงๆ ทุกวันเสียด้วยซ้ำ
“รอก่อน” ขณะที่ประตูลิฟท์กำลังจะปิดลงกลับมือร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งปราดเข้ามาขวางให้ประตูเปิดกว้างออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มในชุดดำสนิทสองคนก้าวเข้ามาในลิฟท์ กีกวังมองสำรวจผู้ร่วมโดยสารอย่างเคลือบแคลง หน้าตาท่าทางของพวกเขาดูไม่คุ้นเคยน่าจะไม่ใช่คนที่พักอยู่ที่นี่ คงจะมาหาใครสักคนกระมัง... กีกวังคิดหาคำตอบให้ตัวเองเสร็จสรรพก็หันหน้าออกไปมองประตูเหล็กขึ้นสนิมที่กำลังปิดเข้าหากันอย่างช้าๆ ก่อนที่ตัวลิฟท์จะเคลื่อนขึ้นไปบนชั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
ชายหนุ่มสองคนที่ร่วมโดยสารมากับกีกวังไม่พูดไม่จากันสักคำ เอาแต่ยืนล้วงกระเป๋านิ่งเหมือนรูปปั้นยังไงอย่างนั้น แต่เขาต้องยอมรับกับตัวเองอย่างหนึ่งว่าสองคนนี้หน้าตาดีไม่น้อย ขนาดผู้ชายด้วยกันอย่างเขายังอดที่จะมองด้วยความอิจฉาไม่ได้ หนำซ้ำทั้งสองคนนี้ยังสูงกว่าเขาตั้งหลายเซ็นต์ พอมายืนอยู่ด้วยกันแบบนี้ร่างของกีกวังยิ่งโดนข่มให้เล็กลง... ทว่าบรรยากาศแปลกๆ ที่ลอยอบอวลอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมคับแคบนี่มันคืออะไร? ... สัญชาตญาณภายในจิตใต้สำนึกบอกเขาว่าผู้ชายสองคนนี้เป็นตัวอันตราย ไม่ควรเข้าใกล้
กีกวังแทบไม่กล้าขยับตัวเมื่อสมองมันสั่งให้เขาระวังชายแปลกหน้าทั้งสองคน ประสาทตรึงเครียดจนเริ่มปวดศีรษะตุบๆ กว่าที่ลิฟท์จะขึ้นมาถึงที่หมายช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึกของเขา ประตูลิฟท์เปิดออกช้าๆ พร้อมส่งเสียงครืดคราดเหมือนเคย กีกวังกลั้นหายใจเตรียมจะก้าวเท้าออกไปจากที่ตรงนี้โดยเร็ว ทว่าชายหนุ่มสองคนที่ช่วงขายาวกว่ากลับก้าวนำออกไปอย่างรวดเร็ว แต่... ไม่เป็นไร ให้พวกมันเดินนำหน้าไปก่อน เราค่อยๆ เดินตามหลังดูลาดเลาไปพลางๆ ก่อนก็ดีเหมือนกัน...
ร่างสูงใหญ่ของชายแปลกหน้าสาวเท้าเร็วๆ ตรงไปยังโถงทางเดินโดยไม่พูดไม่จากันเช่นเคย มีเพียงเสียงฝีเท้าดังกึกก้องไปทั่วทั้งชั้น กีกวังเดินตามหลังคนทั้งคู่ไปช้าๆ โดยทิ้งระยะห่างอยู่หลายช่วงตัว หัวใจของเขาบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออกเมื่อพวกเขาเดินหน้าต่อไปไม่เรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องสุดทางเดินฝั่งขวามือ หมายเลขห้อง 5002
‘นั่นมันห้องของฉันนี่หว่า’
‘แล้วมันมากันทำไม’
‘มันจะมาเอาอะไรจากฉัน’
‘ฉันไม่เคยมีเรื่องกับใครนะเว่ย’
เสียงของกีกวังดังก้องอยู่ในใจ คำถามมากมายกระหน่ำเข้ามามากมายจนตีกันให้วุ่นอยู่ในสมอง หัวใจเต้นระส่ำระสายเมื่อชายแปลกน่าท่าทางอันตรายทั้งสองคนกำลังเคาะประตูห้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย กีกวังมองซ้ายมองขวาอยู่ชั่วเวลาหนึ่งก่อนจะทำทีเป็นเคาะประตูห้องหมายเลข 5010 ซึ่งเขารู้ดีว่าห้องนั้นไม่มีคนอยู่ แล้วแสร้งส่ายหน้าไปมาพร้อมบ่นกับตนเองเสียงดังจงใจให้ทั้งสองคนนั้นได้ยินด้วย แล้วเตะประตูดังปัง
“โถ่เว่ย!! ไอ้บ้าเอ๊ย ไปไหนของมันวะ” ขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่เหมือนกับโกรธใครมาสักสิบชาติเหงื่อเย็นๆ กลับพากันไหลออกซึมออกมาตามขมับ เหงื่อที่ไม่ได้มาจากความร้อนหากแต่เกิดจากความหวาดกลัวอันไม่ทราบสาเหตุ ยิ่งรู้สึกว่าสายตาของชายแปลกหน้าทั้งสองคนกำลังมองมาความกลัวยิ่งแล่นพล่านไปทั่วไขสันหลัง
กีกวังก้าวฉับๆ ออกไปจากหน้าประตูห้องนั้นด้วยท่าทางหัวเสีย จนแน่ใจแล้วว่าพ้นจากสายตาคมปลาบของคนทั้งคู่กีกวังจึงรีบวิ่งตรงไปยังบันใดหนีไฟเพื่อเลี่ยงการปะหน้าระหว่างเขาและฝ่ายนั้นหากยังดึงดันที่จะลงไปชั้นล่างด้วยลิฟท์อืดอาดนี้
การวิ่งไปบนอาคารที่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อเพื่อให้เกิดเสียงฝีเท้าเบาที่สุดทำเอากีกวังเหนื่อยจนแทบขาดใจ แต่กระนั้นก็ยังวิ่งไม่หยุด แม้จะรู้ว่าสองคนนั้นไม่ได้ตามมา แต่เพื่อปลอดภัยเขาต้องรีบออกไปให้พ้นจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“แฮ่กๆ” กีกวังหยุดพิงพนังพักหายใจเมื่อมาหยุดอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เหงื่อมากมายไหลโทรมกายจนต้องถอดเสื้อโค้ตออกเพื่อคลายความร้อน ทั้งที่ตอนนี้เป็นหน้าที่อากาศเย็นจัด ชายหนุ่มมองสำรวจซ้ายขวาเพื่อความมั่นใจว่าไม่มีคนแปลกหน้าอยู่ในบริเวณนั้นก่อนจะก้าวฉับๆ ไปยังประตูทางออก ทว่า เพียงสายตาเหลือบไปเห็นร่างของลุงยามเจ้าเก่ากีกวังถึงกับผงะถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด
“มัน...ฆ่า...คน...ตาย” กีกวังเค้นเสียงออกมาทีละคำอย่างอยากลำบาก สภาพศพที่อาบย้อมไปด้วยเลือดแดงฉานเต็มหน้าอกของชายสูงวัยทำเอากระเพาะอาหารของเขาปั่นป่วนจนอยากจะสำรอกออกมาเสียตรงนั้น มือสั่นเสียจนต้องยกขึ้นมากัดแรงๆ เพื่อควบคุมสติ สถานการณ์เช่นนี้เขารู้ดีว่ามีเวลาไม่มาก ชายหนุ่มตัดใจวิ่งหนีจากร่างไร้วิญญาณของชายสูงวัยเพื่อจับรถมอเตอร์ไซด์ที่เพิ่งจอดไว้ไม่กี่นาทีบึ่งออกไปให้ไกลจากที่นี่ ความหนาวเหน็บจนทิ่มแทงผิวเนื้อไม่ทำให้กีกวังสะทกสะท้าน ความกลัวมีอิทธิพลเหนือกว่าความลำบากทางกายที่กำลังประสบ
ไม่ว่าพวกมันจะตามหาเขาทำไม เพื่ออะไร กีกวังไม่มีเวลาหาคำตอบ แต่รู้อยู่อย่างเดียวว่าหากพวกมันหาตัวเขาพบจุดจบคงไม่ต่างจากลุงยามที่เพิ่งกลายเป็นศพไปเมื่อครู่อย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือหนีไปให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกมันเพียงอย่างเดียวนั้น
*******************
ความคิดเห็น