ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Merifa หน่วยพิทักษ์ (ยามพัก) โลกวิญญาณ

    ลำดับตอนที่ #2 : EP. 1 When he died

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 727
      5
      10 ส.ค. 61


     

     EP. 1  

    When he died 

      

    เจ็บ...

    นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มคนหนึ่งรู้สึกหลังเขาถูกกระสุนปืนฝังเข้าที่หน้าอกด้านซ้าย ความเจ็บนั่นเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนที่มันจะเลือนหายไปพร้อมกับสติและภาพสุดท้ายที่ได้เห็น

    ขอโทษนะ.. ขอโทษจริงๆ

    นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินในชีวิตนี้

     

    สวัสดียามค่ำคืนขอรับ

    เอ๊ะ?

    ชายหนุ่มที่เพิ่งถูกยิงไปเมื่อครู่กะพริบตาปริบๆ เขายกมือขึ้นแตะอกด้านซ้ายและก้มลงมองมัน เสื้อผ้าสะอาดไร้รอยเลือดนั่นทำเอาเขาขมวดคิ้วมุ่น ขบคิดว่าเรื่องราวเมื่อครู่เป็นความจริงหรือความฝัน แต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่ได้รับนั่นให้คิดยังไงมันก็ต้องเป็นความจริง

    แล้วเหตุใด ทำไมตอนนี้ร่างกายของเขาถึงไร้บาดแผล ไม่รู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อครู่เลยสักนิด แต่เพื่อความแน่ชัด ชายหนุ่มจึงตัดสินใจหยิกตัวเองเพื่อเป็นการพิสูจน์

    ไม่เจ็บ?

    เอ่อ... ถ้าท่านจะสนใจฟังทางนี้

    ชายหนุ่มยังคงไม่ได้ยินเสียงนั้น เขากำลังพยายามตั้งสติและคิดหาสาเหตุที่ตนมีสติอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ในความฝัน พอสติกลับมาครบถ้วนก็นึกออกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองไม่ได้นอนหลับหรืออยู่ในความฝัน แต่มันตรงกันข้าม เขานอนไม่หลับเลยออกมาเดินชมวิวยามค่ำคืน แล้วอยู่ๆ ก็ถูกยิงสามนัดซ้อนเข้าที่หัวใจ

    โดนเข้าไปขนาดนั้นคงไม่มีใครที่จะมีชีวิตรอดไปได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ความรู้สึกตอนที่ถูกยิงเมื่อครู่นั่นเป็นความจริง เขาเจ็บจริงและตายจริงแน่นอน แต่ทำไมตอนหยิกแขนตัวเองเขาถึงไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด แรงก็ใช่ว่าจะน้อยเสียที่ไหน

    ฮะแฮ่ม!!

    ในระหว่างที่กำลังคิดหาเหตุผล เสียงกระแอมที่ดังจนทำให้สะดุ้งก็ดังเข้าหู เขาค่อยๆ หันไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียง และต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเบื้องหน้าคือชายหนุ่มท่าทางสุภาพในชุดพ่อบ้าน ที่มือมีเคียวด้ามยาวขนาดเท่าลำตัว ใบหน้าที่น่าจะอ่อนกว่ากันไม่กี่ปีแย้มยิ้มสดใสก่อนจะทำท่าดีใจ พูดสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึง

    สวัสดียามค่ำอีกครั้งขอรับ ท่าน....” เสียงลมที่พัดมาอย่างกะทันหันนั้นทำให้ไม่ได้ยินชื่อที่เอ่ยออกมา แต่ผู้ที่อยู่ในระยะใกล้นั้นกลับได้ยินได้อย่างชัดเจน

    รู้ชื่อนั้นได้ไง แกเป็นใครกันแน่” เขาถามเสียงเย็น ตาสีทองที่มีเพียงแค่ข้างเดียวเพราะอีกข้างถูกเส้นผมปิดบังเอาไว้หรี่ลง ไม่คิดว่าบุคคลตรงหน้าของตัวเองจะเป็นมิตร

    อะ ขออภัยขอรับ” ฝ่ายตรงโค้งตัวลงจนร่างกายทำมุมฉากกับพื้น “ข้าลืมแนะนำตัวไป ข้าคือยมทูต มารับวิญญาณของท่านขอรับ!

    ชายหนุ่มยืดตัวขึ้น เขาแนะนำตัวเองอย่างฉะฉานและเสียงดังฟังชัด แต่มันคงไม่เข้าหูของผู้ฟังที่กำลังอ้าปากค้าง สติหลุดลอยไปไกลตั้งแต่ที่ได้ยินคำว่ายมทูต ทว่าผู้พูดก็ไม่ใส่ใจ ยังคงอธิบายต่อไปด้วยความหวังดี

    ท่านตายแล้วขอรับ หลักฐานคือร่างที่กำลังถูกมนุษย์รุมล้อมอยู่นั่น” ยมทูตชี้ไปด้านหลัง ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าเสียชีวิตไปแล้วจึงรีบหันไปมองทิศทางนั้นในทันที

    จุดที่มีกลุ่มคนรุมล้อมอยู่นั่นไม่ไกลจากสายตาของเขานัก และคนก็ไม่ได้มากจนมองไม่เห็นสิ่งที่อยากจะเห็น ชายหนุ่มเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พบเข้ากับใบหน้าของศพ ร่างไร้วิญญาณที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นนั่นมีหน้าตาเหมือนเขาทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมที่ปิดดวงตาฝั่งขวาหรือใบหน้าสวยเฉียบไม่สมกับเพศที่แท้จริง

    คนตายอ้าปากค้าง เขาหันกลับไปหายมทูตแล้วจะเอ่ยปากถาม แต่อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ทัน จึงตอบกลับมาก่อนที่เขาจะได้พูดออกไป

    ท่านโดนยิงเข้าที่หัวใจ แต่ไม่ตายในทันทีเพราะยังมีเวลาเจ็บอยู่ อาจจะสักสามวินาทีได้” ยมทูตยกนิ้วประกอบ ยิ้มกว้างเหมือนกำลังเสนอขายสินค้ามากกว่าเพิ่งบอกสาเหตุการเสียชีวิตให้ผู้ตายรับรู้ “แล้วตอนนี้ท่านก็อยู่ในสถานะของวิญญาณ ดังนั้นท่านจึงไม่รู้สึกเจ็บเมื่อหยิกตัวเอง”  

    พูดจบก็มองคู่สนทนา พอเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งงันไปอีกครั้งยมทูตก็ชักหนักใจ แต่ถึงจะอยากโวยวายออกไปอย่างไร ยมทูตที่อยู่ในช่วงฝึกงานอย่างเขาก็ต้องระงับอารมณ์ และถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะคงความสุภาพเอาไว้

    ท่านจะเลิกอึ้งได้หรือยังขอรับ ข้าจะได้รับดวงวิญญาณของท่านไปสักที

    คนตายรีบเรียกสติของตัวเองกลับมา ตอนนี้เขารับรู้ว่าตัวเองไม่ได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไปเรียบร้อยแล้ว แต่ใครเล่าจะทำใจยอมรับได้ในทันที เขามีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ความปรารถนาของเขายังไม่เป็นจริง ไหนจะยังมีสัญญาที่ให้ไว้กับคนสำคัญ ดังนั้นจะมาตายทั้งแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

    แบบนี้มัน...

    มีอะไรไว้ไปคุยกับราชาโลกวิญญาณเองเถอะขอรับ ข้าเป็นแค่ยมทูตสังกัดหน่วยเก็บวิญญาณ มีหน้าที่รับดวงวิญญาณของผู้ตายเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์อะไรนอกจากอธิบายสาเหตุการตายแล้วนำท่านไปยังโลกวิญญาณ

    แต่...

    ปกติแล้วชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นคนเยือกเย็น เขาไม่เคยร้อนรนถึงขั้นนี้มาก่อน ตั้งแต่ที่มาทำอาชีพนี้เขาก็ไม่เคยก้มหัวขอร้องใคร ไม่เคยเห็นใจใคร และไม่มีคำว่าปรานีมอบให้เหยื่อคนไหน แต่ในเวลานี้เขากลับอยากจะขอความเห็นใจจากอีกฝ่าย อยากขอให้ปล่อยเขาไป เขายังมีสิ่งที่ต้องทำ ยังไม่สามารถจากโลกนี้ไปได้อย่างสบายใจ

    ไม่มีแต่ขอรับ ท่านนี่ดื้อดึงจริงๆ มีอะไรก็ไปคุยกับราชาเอาเถอะขอรับ เวลามีไม่มากแล้ว

    ยมทูตไม่สนความต้อวการของใคร ทั้งยังไม่พูดเปล่า เขายกอาวุธในมือขึ้นขึ้นสูง แล้วฟันมันลงมาเป็นแนวเฉียง ดึงเอาวิญญาณของคนตายที่ยังไม่หมดห่วงให้เข้าไปในเคียว ดวงวิญญาณพยายามต้านแรงดึงดูดนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ แรงดึงดูดจากเคียวนั่นมีมากเกินกว่าที่เขาจะต่อต้านมัน

    ถึงแม้จะรู้ว่าตอนที่มีชีวิตอยู่นั้นตัวเองได้ก่อบาปเอาไว้มากมาย อีกทั้งมันยังเป็นบาปที่ไม่สามารถให้อภัยได้ จึงทำใจยอมรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขารู้ว่าถ้าเวลานั้นมาถึงตัวเองจะต้องได้รับโทษที่แสนจะทุกข์ทรมาน

    แต่เรื่องทำใจรับบาปกับรับความตายมันคนละเรื่องกัน ไม่ว่าอย่างไร เขาจะตายตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด!

    “ไม่ ขอเวลาให้ข้าได้—”

    ท่านนี่วุ่นวายจริงๆข้าบอกเลยก็ได้... ข้าไม่ได้มารับท่านไปลงโทษ แต่จะมารับท่านไปพบกับราชาโลกวิญญาณ พระองค์มีความประสงค์ที่จะคุยกับท่าน หายห่วงเรื่องโดนลงโทษได้เลย

    เอ๊ะ?”

    ประโยคคำพูดที่ฟังเข้าใจยากนั่นทำให้วิญญาณคนตายชะงักไป นั่นจึงเป็นจังหวะดีที่ทำให้ยมทูตมีโอกาสดึงเอาเขาเข้าไปในเคียวได้สำเร็จ เมื่อภารกิจที่สมควรต้องทำเสร็จสิ้น ผู้นำดวงวิญญาณสู่โลกหลังความตายก็ยิ้มพอใจ แล้วตวัดเคียวอีกครั้งเพื่อเป็นการเปิดประตูสู่ดินแดนของตัวเอง

     

    .....

     

    เมื่อนึกถึงยมทูตก็ต้องนึกถึงนรก แล้วเมื่อนึกถึงนรก ก็ต้องนึกถึงภาพความชั่วร้ายที่ตนเองได้ทำเอาไว้ และบาปของชายหนุ่มที่เพิ่งถูกยิงไปเมื่อครู่นั้นก็หนาอยู่ไม่น้อย ไม่แปลกอะไรที่เขาจะรู้สึกหวาดกลัวกับโทษที่รอคอย

    ถึงจะบอกว่าทำใจเอาไว้แล้วก็ตาม แต่เป็นใครก็ต้องกลัวกันทั้งนั้น ทว่ายมทูตตนนั้นบอกกับเขาว่าไม่ได้พามารับโทษ แต่พามาพบกับราชาโลกวิญญาณ...

    มันยังไงกันนะ?

    ตอนนี้หนุ่มหน้าสวยกำลังนั่งสงบจิตสงบใจอยู่ในห้องสีขาวดูหรูหรา มีโคมระย้าอยู่กลางห้อง มันดูสว่างไสวและขัดจากภาพลักษณ์ของนรกโดยในความคิดของใครหลายๆ คนไปโดยสิ้นเชิง

    แล้วดูเหมือนยมทูตในชุดพ่อบ้านนั่นจะกลัวเขาเบื่อในระหว่างรอการมาของราชาโลกวิญญาณ ชายหนุ่มจึงได้รับชาร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น และคุกกี้ดูน่ารับประทานอีกหนึ่งจาน

    เขาอยากถามนักว่าสภาพวิญญาณอย่างนี้จะเอาอะไรมาย่อยอาหาร แต่ ได้เพียงอ้าปากค้าง ครู่ต่อมาก็ต้องยื่นมือไปหยิบชาที่กำลังส่งกลิ่นหอมขึ้นมาจิบ เพราะความหิวที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

    “ตื่นได้แล้วขอรับท่านอินเฮล!!

    แล้วตอนที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบคุกกี้ขึ้นมารับประทาน เสียงอึกทึกครึกโครมก็ดังขึ้น ชายหนุ่มตกใจจนทำน้ำกระฉอกออกจากแก้วชา เขามองซ้ายมองขวาหาต้นตอของมัน แล้วเสียงที่เต็มไปด้วยความง่วงงุนของชายคนหนึ่งก็มาพร้อมกับคราบน้ำที่เลือนหายไป

    “ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”

    เสียงเนือยๆ เต็มไปด้วยความง่วงงุนดังขึ้น มันมาจากทางที่ยมทูตชุดพ่อบ้านเดินเข้าไป พอหันไปมองก็พบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่ง

    “เจ้าปล่อยให้ข้ารอตั้งนาน รู้ไหมว่าข้ารอจนหลับไปหลายตื่นแล้ว

    ใบหน้าของผู้พูดดูหล่อเหลาคมคาย ผิวขาวซีดราวไม่เคยต้องแสงแดด ผมสีดำยุ่งเหยิง และนัยน์ตาสีเดียวกันที่กำลังถูกขยี้อยู่นั่นไม่ได้ลดความน่ามองของอีกฝ่ายลงไปได้เลยสักนิด ซ้ำยังดูน่ามองยิ่งขึ้นเมื่อเขาอยู่ในชุดนอนสีดำสนิทเหมือนกับสีผม แต่จะขัดกันก็ตรงที่เขากำลังกอดหมอนสีขาว และเดินลากเท้าออกมาจากกลุ่มควันสีดำพร้อมหาวหวอดๆ

     สวัสดี ข้าคือราชาโลกวิญญาณ ข้าขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะคำพูดของเขาทำให้ดวงวิญญาณหนุ่มวางแก้วชาลง แล้วตั้งใจฟัง

    ยินดีด้วย เจ้าได้รับสิทธิพิเศษ ไม่ต้องโดนลงโทษ และได้ไปทำงานฆ่าคนกับหน่วยเมริฟา

    อะไรนะ!?”

     ถึงแม้จะรู้ดีว่าผู้ที่พูดคุยอยู่ด้วยนั้นเป็นถึงราชาของโลกวิญญาณแห่งนี้ แต่อย่างไรเขาก็อดอุทานอย่างไร้มารยาทออกมาไม่ได้

    เมริฟามันคืออะไร ทำไมเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน สิทธิพิเศษคืออะไร แล้วทำไมเขาต้องไปทำงานในหน่วยนั้น ก่อนตายเขาก็ทำแต่บาป ฆ่าคนไปมากมาย มีความดีให้แลกสิทธิพิเศษได้เสียที่ไหน ถ้าเป็นความชั่วยังว่าไปอย่าง นั่นคงแลกประเทศได้เลยด้วยซ้ำ

    หน้าเจ้าดูงงมากเลย อีกเดี๋ยวจะมียมทูตพาเจ้าไปหน่วยนั้น เจ้าก็ถามกับพวกเขาเอาเองแล้วกัน อ่อ ข้าชุบกายเนื้อให้เจ้าแล้ว เดี๋ยวพอไปถึงหน่วยเมริฟาพวกเขาก็จะพาเจ้าไปหาร่างของเจ้าเอง พอแค่นี้ก่อนนะ ข้าขอตัวไปนอนต่อละ” 

     ชายหนุ่มผู้เคยสังหารผู้คนเป็นอาชีพนิ่งอึ้ง เนื่องด้วยงานที่เขาทำนั้น ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์แบบไหนเขาก็สามารถรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ และไม่หลุดอารมณ์อื่นใดออกไปทางสีหน้าได้โดยง่าย แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะช็อกที่ตัวเองตายหรือโดนยัดเรื่องน่าเหลือเชื่อใส่สมองแบบโครมๆ จนตั้งตัวไม่ทันกันแน่ เขาถึงได้ยืนอ้าปากค้างอย่างหมดมาดนักฆ่าอยู่แบบนี้

    ด... เดี๋ยวสิ ตื่นก่อน ตื่นขึ้นมาตอบคำถามข้าก่อน!

    ภาษาที่หลุดออกมาจากปากของเขานั้นเป็นภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ช่างมัน นั่นไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาใส่ใจในเวลานี้ เรื่องที่ควรทำในตอนนี้ก็คือเขย่าปลุกราชาที่กำลังนอนอยู่บนพื้นให้ตื่นแล้วเค้นถามให้รู้เรื่องรู้ราว

    มาพูดให้ชวนงงแล้วหลับไปแบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหนกัน!

    ตื่น!!”

    เปล่าประโยชน์น่าท่านยมทูตตนเดิมเอ่ย น้ำเสียงดูเหนื่อยหน่ายกับอะไรบางอย่างข้าจะบอกข้อควรรู้ให้เขาหยุดพูด เดินเอาผ้าห่มมาคลุมร่างราชาจนปิดถึงใบหน้า แล้วถอนหายใจยาวเหยียด

    ถ้าท่านอินเฮลหลับแล้ว ท่านต้องปลุกอยู่นานเลยกว่าจะตื่น ถ้าอยากรู้เรื่องอะไร ข้าแนะนำว่าให้ไปถามเอากับหัวหน้าหน่วยเมริฟาเอาจะดีกว่าขอรับ”  

    ก็แล้วเมริฟามันคืออะไรกันล่ะ บ้าเอ๊ย!

     

    ----------------------------

     

    แจ้งข่าวนะคะ 

     

    – สำหรับคนที่เคยอ่านเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้

    เนื่องจากเราทำการเปลี่ยนคำโปรย (เพื่อเรียกลูกค้า) ดังนั้นมันจึงส่งผลกับเนื้อเรื่อง เราเลยต้องทำการรีไรต์สลับตอนใหม่เพื่อความไม่งงค่ะ

    เนื้อเรื่องของบีเฮดอาจจะไปอยู่ในช่วงกลาง ๆ นะคะ ตอนนี้เราจะทำการอธิบายก่อนว่าทำไมพระเอกของเราถึงได้มาทำงานนี้ และเจอกับราเชสได้ยังไง ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะชัดเจนขึ้นกว่าเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ค่ะ

    ขออภัยในความไม่สะดวกของแฟนคลับทุกท่านนะคะ

    Macaros.

     

    และสำหรับนักอ่านที่เข้ามาใหม่นะคะ

    ยินดีต้อนรับค่ะ นิยายเรื่องนี้เป็นแนวต่างโลก ต่างมิติก็จริง แต่จะแตกต่างออกไปนะคะ ส่วนจะแตกต่างยังไงนั้นให้ติดตามตอนต่อไปเรื่อยๆ ทุกคนจะรับทราบเองค่ะ

    ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านเรื่องนี้กันนะคะ

    Macaros. 



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×