คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : ตอนที่ 22 : ความทรงจำของฉันมันจะเป็นดั่งปราสาททราย [100%]
22
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาเจ็ดปีแล้ว ฉันที่กำลังนั่งวุ่นอยู่กับการนับเงินในกระปุกออกสินก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากข้างบ้านที่ปิดตายไปนานจนลืมว่าเคยมีคนอยู่
ฉันได้ยินเสียงเหมือนรถบรรทุกของขับมาหยุดอยู่หน้าบ้าน จึงรีบกระวีกระวาดไปมองที่หน้าต่างบานเล็กแทบจะทันที
รถบรรทุกที่มีป้ายติดอยู่ข้างๆ ว่า ‘บริษัทรับขนย้ายของ’ ขับมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังเก่าของเซน
บางทีเซนอาจจะย้ายกลับมาแล้วก็ได้! ฉันคิดแบบนั้น
แต่เมื่อมองดีๆ ก็ต้องผิดหวังเป็นอย่างมาก เพราะว่าเพื่อนบ้านที่ย้ายมาใหม่เป็นครอบครัวใหญ่ที่ประกอบไปด้วยพ่อแม่ลูกและคนชราสองคน
ฉันเบือนหน้าจากภาพที่เห็นตรงหน้าด้วยความเสียใจ ต่อจากนี้ไปฉันก็คงจะไม่ได้พบเขาอีกแล้ว ใช่มั้ยล่ะ
แน่นอนว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างชั้นประถมกับมัธยม เดือนหน้านี้ฉันก็ต้องย้ายจากโรงเรียนประถมเดิมไปที่โรงเรียนมัธยมต้นแห่งใหม่
ความจริงแล้วฉันยังไม่ได้ทำใจที่จะจากกับเพื่อนๆ ในห้องทั้งหมดเลยด้วยซ้ำไป แต่เป็นเพราะว่าเวลาที่ไม่เคยหยุดเดินหรือรอคอยพวกเรา ทำให้สิ่งต่างๆ ต้องหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป
หนึ่งเดือนต่อมา
ในช่วงเช้าที่อากาศสดใส ฉันอยู่ในชุดเครื่องแบบใหม่ของเด็กมัธยมต้น คุณแม่มองหน้าฉันแล้วพูดเป็นการใหญ่กว่าฉันเริ่มโตแล้วให้ช่วยดูแลไปรับไปส่งน้องด้วย ตัวฉันเองก็ไม่อยากดูแลน้องสาวที่กวนประสาทนั่นเท่าไหร่หรอกนะ แต่มันก็ช่วยไม่ได้เหมือนเคย ในตอนเช้าฉันต้องพาน้องสาวไปส่งที่โรงเรียนประถมก่อนที่ตัวเองจะเดินวกกลับเพื่อไปโรงเรียนมัธยมต้นแห่งใหม่
เมื่อมาถึงหน้าโรงเรียน ฉันก็เดินก้าวเข้ารั้วไปโดยคิดในใจว่าฉันคงจะเข้ากันได้ดีกับทุกๆ คนและใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขในช่วงเวลาที่จะถึงนี้
แต่เหมือนสวรรค์เล่นตลกยังไงฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน ในเช้าวันนั้นเองที่ฉันได้พบกับคนที่รอคอยมานานแสนนาน
ใช่แล้วล่ะ
ฉันได้พบกับเซน
“เอ้า ทุกคนช่วยลุกขึ้นมาแนะนำตัวกันหน่อยนะจ๊ะ อืม
เริ่มจากเธอก่อนก็แล้วกัน” อาจารย์ประจำชั้นชี้นิ้วไปที่เด็กผู้ชายที่นั่งอยู่หน้าสุดแถวเดียวกับฉันคือริมหน้าต่าง เขาลุกขึ้นยืนอย่างเรียบง่ายพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวสั้นๆ
ในตอนนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรจึงนั่งหมุนปากกาเล่นรอให้ถึงตาเพราะว่าฉันเห็นเพียงแผ่นหลังของเขาเท่านั้น แต่เมื่อได้ยินที่เขาพูดขึ้นมาทำให้ปากกาหลุดจากมือทันที
“ผมชื่อเซน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับทุกคน”
เซน
และฉันก็ยังไม่ได้คิดอีกล่ะว่าเป็นเขา คนชื่อเซนในโลกนี้อาจจะมีเป็นร้อยๆ พันๆ คน แต่สิ่งที่ทำให้ฉันแน่ใจก็คือช่วงเวลาที่เขาหันกลับมาโบกมือให้กับเพื่อนๆ ในห้อง
ใบหน้าน่ารักของเด็กผู้ชายที่ฉันคุ้นเคยเมื่อเจ็ดปีที่แล้วได้ผุดกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง ใบหน้าของเขาที่เปื้อนทรายแต่ยังคงยิ้มให้ฉันอยู่ แต่ตอนนี้โครงหน้าของเขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาดูโตขึ้นมากและน่าจะดูหล่อสำหรับสาวหลายๆ คน
นั่นเป็นเซนจริงๆ ด้วย!
หัวใจของฉันเต้นรัวจนน่าตกใจ และเมื่อถึงตาฉันแนะนำตัวบ้าง ฉันพยายามสังเกตเขาที่กำลังนั่งหันหลังให้อยู่ว่าจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง
แต่เขา
ไม่ได้หันกลับมามองเลยสักนิดเดียว
วันนั้นฉันยังไม่ยอมแพ้และคิดว่าเขาอาจจะไม่ได้ยินที่ฉันแนะนำตัว ในช่วงพักกลางวันจึงตัดสินใจเดินไปหาเขาที่โต๊ะ
ฉันก้มตัวลงเล็กน้อยและมองหน้าเขา “นี่ นายชื่อเซนใช่มั้ย”
เขาเหล่ตามามองฉันเล็กน้อยและยิ้มให้ “อืม ผมชื่อเซน”
“เอ่อ
นายพอจะจำเพื่อนสมัยเด็กของนายได้มั้ย” ฉันเอ่ยปากถามตะกุกตะกัก
เซนทำหน้าครุ่นคิด เขาหันออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะหันกลับมามองฉัน
“ผมจำไม่ได้หรอก ทำไมเหรอ”
เพราะคำพูดนั้นของเขาทำให้ฉันยืนอึ้งอยู่นานก่อนจะได้สติและบอกกับเขาไป “อ๋อ
เอ่อ ฉันแค่ถามเล่นๆ น่ะ”
ในคืนวันนั้นเองที่ฉันกลับไปนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
วันต่อมาฉันยังคงไม่ยอมแพ้และเข้าไปถามเขาอีก
“เซนๆ นายเคยมีเพื่อนชื่อบลูมั้ย”
เขาทำใบหน้าครุ่นคิดเช่นเคย “ผมจำไม่ได้”
“อ่า
เหรอ
งั้นขอโทษทีนะ ไม่มีอะไรหรอก”
ฉันรีบวิ่งออกมานอกห้องและไปยืนทาบอยู่กับประตู น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาของฉัน
ไม่เป็นไร อย่าร้องไห้นะ
พรุ่งนี้ยังมีอีก
วันรุ่งขึ้นฉันก็เข้าไปถามเขาเหมือนเคย
“นายจำฉันได้มั้ย”
เซนมองหน้าฉันด้วยความงง
“ผมจำไม่ได้”
ทำไมล่ะ ทำไมถึงจำไม่ได้ ก็นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้ฉันลืมนาย แต่นายกลับลืมฉันเสียอย่างนั้น
“ทำไมนายถึงจำไม่ได้”
“ก็ผม
ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าแต่ทำไมเธอถึงชอบเข้ามาถามผมจัง” เซนเอ่ยปากถามฉันด้วยความสงสัย
“ฉันคุ้นหน้านายไง เหมือนกับเคยเล่นด้วยกันมาก่อน”
“เหรอ”
“อื้ม เมื่อก่อนน่ะ พวกเราชอบไปสร้างปราสาททรายด้วยกันบ่อยๆ”
“แต่ผมจำไม่เห็นได้เลย”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวสักวันนายก็คงจะนึกได้เองล่ะ”
หลังจากนั้นพวกเราก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงเขาจะจำอะไรไม่ค่อยได้ก็ตามที แต่ฉันจำได้เสมอว่าเขาคือเด็กผู้ชายคนนั้นอย่างแน่นอน
พวกเราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แต่ฉันก็ไม่เคยคิดกับเขาเกินไปกว่าเพื่อนคนหนึ่งเลย วันวาเลนไทน์ก็ทำช็อกโกแลตไปให้เหมือนให้เพื่อนของตัวเอง เขายังบอกเลยว่ามันอร่อยมาก แต่ที่ไหนได้
วันรุ่งขึ้นเขาหยุดเรียนไปเพราะท้องเสีย
จนมีอยู่วันหนึ่งที่พวกเรากำลังทำเวรอยู่ในห้องเรียนด้วยกันตอนเย็นเพียงสองคน
“เอ่อ
บลู”
“หือ” ฉันที่กำลังเอื้อมมือไปเก็บไม้กวาดก็ได้หันหน้ากลับมาหาเขา
“ผม
”
“อืม ทำไมเหรอ”
“ผมว่าผมคงจะชอบบลูเข้าซะแล้วล่ะ” เขาพูดขึ้นมาและมีท่าทีกระอักกระอ่วน
ฉันได้แต่ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรตอบกลับไปดี ‘ขอบคุณนะ’ เหรอ ไม่สิ
‘อย่าเลย เราเป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้ว’ ไม่ๆ ‘ฉันไม่เคยคิดอะไรกับนายหรอกนะ’ อืม
นี่คงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
“เอ่อ
เซน แต่พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ แล้วฉันก็ไม่ได้คิดอะไรกับนายเลยด้วย”
“
” เขาไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา
ในตอนนั้นฉันไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี เลยรีบวิ่งออกมาจากห้องเรียนโดยไม่ยั้งคิด
คืนนั้นฉันกลับไปนอนคิด
เช้าวันรุ่งขึ้น
ฉันกลับไปปฏิเสธเขาอีกรอบเพื่อให้มั่นใจ
แต่เพราะคำพูดนั้นเองที่ทำให้เขาไม่เคยย้อนกลับมาหาฉันอีกเลย
“นายจำฉันไม่ได้แล้วนายจะมีสิทธิ์มาชอบฉันด้วยเหรอ”
ฉันจำได้ว่าสีหน้าของเขาตอนนั้นดูสับสนและอึ้งมาก เหมือนกับว่าเขาคิดว่าคนอย่างฉันจะไม่กล้าพูดจาทำร้ายจิตใจได้ขนาดนั้น
เหมือนตัวฉัน
พยายามไล่เขาออกไปจากชีวิต
หนึ่งสัปดาห์ถัดมา
พวกเราคุยกันไม่ถึงสิบคำ
สองสัปดาห์ถัดมา
พวกเราคุยกันไม่ถึงห้าคำ
หนึ่งเดือนถัดมา
พวกเราไม่ได้คุยกันอีกแล้ว
สองเดือนหลังจากนั้น
เขาไม่แม้แต่จะมองหน้าฉันเลย
และสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจมากก็คือเขาสามารถคุยเล่นกับผู้หญิงอื่นได้อย่างสนุกสนาน ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่กับฉันเลยสักนิดเดียว
ตอนนี้เองที่ฉันเพิ่งจะเข้าใจว่า
ฉันได้เสียคนที่ฉันรักไปเสียแล้วและฉันเหงาขนาดไหนเมื่อไม่มีเขาอยู่ข้างๆ
แต่ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากคอยใช้หางตาเหล่มองเขาอยู่เรื่อยไป มองดูเด็กผู้ชายที่เคยอยู่ในความทรงจำของฉันปาดเม็ดทรายที่เปื้อนใบหน้าทิ้งไปแล้วหัวเราะขึ้น
ฉันทำให้เขาเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
จากเมื่อก่อนที่เคยเป็นคนน่ารักพูดจาสุภาพเรียบร้อยและยิ้มให้ฉันอย่างอบอุ่น เดี๋ยวนี้เขากลับกลายเป็นผู้ชายที่จ้องจะเก็บหญิงสาวเข้าไปไว้ในคอลเลคชั่นของตัวเองด้วยความสนุกสนาน
แน่นอนว่าฉันได้แต่มองด้วยความเศร้า ฉันเสียใจที่ได้ฆ่าเซนคนเก่าทิ้งไป และฉันเสียดายที่ฉันไม่สามารถบอกให้เขายืนหยัดอยู่ข้างฉันได้
สามปีผ่านไป
พวกเราจบการศึกษาระดับมัธยมต้น มันเป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะได้อยู่ด้วยกัน ฉันเห็นเขายืนอยู่คนเดียวใต้ต้นไม้ แต่ก็ไม่กล้าแม้จะเดินเข้าไปทักว่า ‘สวัสดีนะ’ หรือกล่าวคำบอกลาเลยสักนิดเดียว
ฉัน
ตัดใจทิ้งไป
แทบจะทุกคนในห้องของฉันที่เรียนต่อในโรงเรียนนั้น บางคนก็แยกย้ายกันออกไปต่อที่โรงเรียนอื่น
ส่วนตัวฉัน
เลือกที่จะย้ายโรงเรียนเพื่อลบความทรงจำทิ้งไป
เปลือกช็อกโกแลตที่ฉันเคยมอบให้เขาในวันวาเลนไทน์ยังเหลืออยู่ และฉันยังคงเก็บมันไว้ในลิ้นชักที่บ้าน ไม่เว้นแม้แต่
กระดาษโน้ตแผ่นนั้นที่เขาเคยเขียนและเสียบมันไว้ในปราสาททราย
ฉัน
ไม่รู้แม้แต่ที่อยู่ของเขา
ฉัน
ไม่ได้พูดอะไรกับเขาสักคำก่อนจบจากโรงเรียน
ฉัน
โทษตัวเองเสมอเมื่อหันกลับไปมองเขาในตอนนี้
ฉัน
พยายามลบความทรงจำที่มีอยู่หลายปีทิ้งไป ให้มันผ่านไปกับสายลม
แต่ฉัน
ก็ยังลืมเขาไม่ได้อยู่ดี
ตัวฉันมันคงเป็นเหมือนปราสาททรายที่จะพังทลายลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ จะปลิวไปเมื่อไหร่ก็ได้ถ้ามีลมแรงหรือฝนที่โหมกระหน่ำลงมา หรือจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาก็แล้วแต่สภาพ
แต่ว่าความทรงจำที่มีอยู่ในใจของฉัน มันจะเป็นดั่งฐานของปราสาททรายที่จะยังคงอยู่ตลอดไปไม่มีวันจางหาย
หนึ่งปีหลังจากนั้นฉันได้ย้ายโรงเรียนมาอยู่ที่ใหม่ ในวันแรกมีเด็กผู้หญิงท่าทางเป็นมิตรคนหนึ่งเข้ามาทักฉันก่อน
“นี่ๆ เธอชื่ออะไรเหรอ”
ฉันที่กำลังก้มลงไปหยิบของจากกระเป๋าก็ได้เงยหน้าขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงนั้น
“อ๋อ ชื่อบลู”
“อื้ม! ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันชื่อเชียร์ เรามาเป็นเพื่อนกันนะ ฉันก็เพิ่งย้ายมาอยู่โรงเรียนนี้เหมือนกันเลย”
เธอพูดและยิ้มกว้างให้ฉัน
ในวินาทีนั้นเองที่ฉันคิดขึ้นได้ในใจ
ฉันจะไม่มีวันทำลายความรู้สึกของคนอื่นและเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าฉันอย่างแน่นอน
และฉัน
ต้องเปลี่ยนตัวเอง
ขอโทษอย่างรุนแรงที่มาลงช้านะคะ T^T
ให้อภัยกันด้วยเน่ออออออ แงแงแงแง
ความคิดเห็น