ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silent's words ♥ เกิดอาการ "ปิ๊ง" เมื่อใกล้เธอ

    ลำดับตอนที่ #22 : ตอนที่ 20 : "เคยได้ยินคำว่าบาดแผลและความผิดที่จะติดตัวไปจนวันตายมั้ย" [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 53


     

     

     

    20

     

     

           อย่างที่ฉันเคยบอกไว้น่ะแหละ เมื่อวันอันเลวร้ายได้ผ่านพ้นไป เราจะเจอแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต

                ฉันที่เคยมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองมาตลอดก็ได้เปลี่ยนไป เมื่อรับรู้ว่าโลกแห่งความจริงมันช่างโหดร้ายเพียงใด แต่ในโลกอันเลวร้ายนั้น โชคดีที่ยังมีทางแห่งแสงสว่างให้ฉันได้เดินข้ามผ่านมันอย่างมั่นใจเพราะคนใกล้ตัวที่คอยเป็นแรงใจผลักดัน

                ในที่นี้ฉันขอกล่าวถึงเพื่อนสนิทที่สุดของฉันก่อน ซึ่งเธอคนนั้นก็คือบลูนั่นเอง ตัวฉันได้ทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่เพื่อนของฉันก็ยังคงหยิบยื่นน้ำใจที่เพื่อนมีต่อเพื่อนให้เสมอ ไม่ว่าจะในเวลามีความสุขหรือความทุกข์ที่คอยประดังมาในใจของเรา คอยเป็นเพื่อนในยามที่เราร้องไห้ น้ำตาของเธอมักจะไหลออกมาพร้อมกับน้ำตาของฉันเสมอ ไม่เว้นแม้แต่รอยยิ้ม พวกเราก็ยิ้มออกมาพร้อมกัน

                ชาตินี้ฉันคงจะไม่เจอเพื่อนคนไหนที่ดีกับฉันขนาดนี้อีกแล้ว ต้องขอบคุณพระเจ้าที่เมตตาประทานคนดีๆ มาให้ฉันได้รู้จักและได้สนิทสนม เดินไปเคียงคู่กันเสมอ

                และอีกหนึ่งคน ที่ทำให้ฉันเปลี่ยนไป ทำให้ฉันได้ทุกอย่างทั้งๆ ที่พวกเราเพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่าทำไมเขาต้องทำให้ขนาดนั้น ฉันที่ทำไม่ดีกับเขาไว้ร้ายแรงว่าที่ทำกับเพื่อนสนิท แต่เขากลับมองข้ามความไม่ดีของฉันไปและมองหาแต่ส่วนดีแทน

                เขาคนนั้นก็คือ คู่หมั้นของฉัน หรือไซเลนท์นั่นเอง

                ฉันยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ วันที่เขามาหาฉันที่โรงพยาบาล แน่นอนว่าในตอนนั้นเองที่ทำให้ฉันรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และเริ่มที่จะค้นพบกับคำตอบที่ว่า ในโลกนี้ยังมีคนที่คอยทำให้เราได้ทุกอย่างนอกจากพ่อแม่

                หลังจากนั้นฉันก็ตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองทั้งหมดจากที่เคยเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองจนเกิดเรื่องเดือดร้อนกลายเป็นคนที่เข้าใจอะไรมากขึ้น แน่นอนว่าฉันไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำสองอีกแน่ๆ

                อาจจะบอกว่ามันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกก็ได้ ตอนนี้ฉันเริ่มเป็นห่วงคนรอบข้างมากขึ้น จนแทบจะไม่มีเวลามานั่งสนใจตัวเองเลย

               

                นี่ๆ เทอมนี้จะเข้าชมรมอะไรดีล่ะ

                ยังไม่รู้เลย แกล่ะ

                ฉันไม่รู้ไงเลยถามแก

                ฉันนั่งเท้าคางอยู่กับหน้าต่างในห้องเรียน ขณะที่ยัยบลูนั่งอยู่ข้างหน้าฉันและหันกลับมาคุยด้วย โรงเรียนของพวกเรามีกฎอยู่ว่าต้องเปลี่ยนที่นั่งกันทุกเดือน แต่ฉันกับเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงหน้ามักจะได้นั่งใกล้กันเสมอ ไม่ข้างกันก็ต้องหน้าหลังสักที่

                ใช่แล้วล่ะ ฤดูกาลของชมรมมันจะเริ่มหลังจากเปิดเทอมประมาณหนึ่งเดือนครึ่งทั้งในเทอมแรกและเทอมสอง พวกรุ่นพี่ที่เป็นประธานชมรมจะคอยหลอกล่อให้น้องๆ ปีหนึ่งเข้าไปในชมรมของตัวเอง ไม่ว่าชมรมนั้นมันจะดีหรือแย่แค่ไหนก็ตาม บางคนก็โดนหลอกให้เข้าชมรมสุดเห่ยเพราะโปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อที่สวยงามเกินความจริง

                เฮ้ออ~ ปีที่แล้วก็เข้าชมรมทำอาหาร ฝีมือฉันก็ไม่ถึงขั้นยังจะสะเออะเข้าไป ผลสุดท้ายก็ทำแต่อาหารเห่ยๆ ออกมาตลอด ฉันจำได้ว่าวันวาเลนไทน์นั่นอ่ะ…” บลูพูดขึ้นและหยุดไป

                หือ? วาเลนไทน์ปีที่แล้วทำไมเหรอ

                อ่อ เปล่า ไม่มีอะไร

                เอ๋! นี่แกมีความลับอีกแล้วเหรอเนี่ย

                เปล่าๆ ไม่มีอะไรจริงๆ

                บลูพูดปฏิเสธพร้อมกับทำมือโบกไปมา แต่ฉันที่กำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ก็ได้แต่สงสัย

                ถ้าแกไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร

                เออ

                แต่ถึงปากจะบอกไปว่าไม่อยากรู้แล้ว แต่ในใจน่ะอยากรู้ยิ่งกว่าอะไรเสียอีก! แต่ก็นะ ฉันไม่อยากไปบังคับไตร่ถามให้มันมากเรื่องเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ฉันไม่อยากทำร้ายความรู้สึกใครอีก

                ว่าแต่เทอมนี้จะเข้าชมรมอะไรดีอ่ะ ยังนึกไม่ออกเลยบลูพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สายตาของเธอจับจ้องไปยังท้องฟ้าด้านนอก

                มีแต่ชมรมน่าเบื่อ ปีที่แล้วฉันก็เข้าชมรมดนตรี เมื่อเทอมที่แล้วก็เข้าชมรมแบดมินตัน แต่ละอย่างมันก็ไม่เข้ากับฉันทั้งนั้น ฉันพูดขึ้น

                เพื่อนสนิทของฉันทำท่าเหมือนนึกอะไรออก เธอยกมือขึ้นมาดีดนิ้วดังเป๊าะ

                รู้แล้ว!”

                รู้อะไร

                ก็ชมรมดาราศาสตร์ไง!”

                หา!? ดาราศาสตร์เนี่ยนะ ไม่น่าเบื่อแย่เหรอ

                บลูยกนิ้วขึ้นมาแล้วทำปากจุ๊ๆ มันจะไม่น่าเบื่อแน่ เพราะว่าทุกเทอมฉันได้ยินมาว่าพวกสมาชิกในชมรมจะมีจัดไปค่ายกัน

                ค่าย!?”

                ใช่ ค่ายของชมรมนี้ ยัยบลูพูดแล้วเชิดหน้าขึ้นทำจมูกฟุดฟิด

                ค่ายอะไรอ่ะ อย่างพวกเดินป่าอย่างนี้น่ะเหรอ

                คงไม่เชิง ฉันว่าน่าจะเป็นพวกค่ายดูดาวมากกว่านะ

                เออ! ค่ายดูดาวก็น่าสนเหมือนกัน ฉันพูดขึ้นพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงัก

                งั้นพรุ่งนี้ไปเอาใบสมัครกัน

                อืม

                ฉันหันหน้าออกไปมองข้างนอกหน้าต่างเช่นเคย ความจริงแล้วฉันน่ะชอบมองท้องฟ้าที่สุดเลย มันให้ความรู้สึกที่เป็นอิสระและความรู้สึกที่อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

                ในเทอมสองจะมีทั้งกิจกรรมกีฬาสี ชมรมทั้งหลายและงานประจำปีของโรงเรียน ซึ่งนักเรียนทุกคนรอคอยเวลานั้นมาตลอดเทอมแรก ที่พวกเราอยากให้ถึงก็เพราะว่าในวันนั้นไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือยังไงล่ะ!

                และไคลแมกซ์ที่สำคัญของเทอมนี้ก็คงจะเป็นวันวาเลนไทน์ ที่มีความสำคัญกับเด็กผู้หญิงอย่างพวกเรามากๆ ถึงมันจะเป็นเวลาแค่วันเดียวก็เถอะ

    ใครบางคนที่มีแฟนอยู่แล้วก็คงจะดีไป แต่สำหรับเด็กผู้หญิงที่ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน เขาจะนัดรวมกลุ่มกันไปทำช็อกโกแลตที่บ้านของคนใดคนหนึ่งเพื่อที่จะมอบช็อกโกแลตนั้นให้กับคนที่ตนเองแอบชอบในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะสมหวังหรือไม่สมหวังก็ต้องรอดูกันอีกที

                สำหรับฉันแล้ว ปีนี้คงจะทำช็อกโกแลตไปให้หมอนั่นกินล่ะมั้ง จะท้องเสียหรือไม่ท้องเสียก็อยู่ที่ฝีมือของฉันแล้วสินะ แต่ฉันน่ะไม่มีฝีมือในการทำอาหารเลยสักนิดเดียว ยัยบลูก็เช่นกัน แต่พี่สาวของฉันทำเก่งยิ่งกว่าใครเลย

                ฮ้า~ พูดถึงชมรมก็ต้องนึกถึงงานประจำปีของโรงเรียนใช่มั้ย!” ขณะที่ฉันกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่ บลูก็ตะโกนขึ้นมา

                อือ แน่นอนอยู่แล้ว

                อ้า! วันออกเดทในโรงเรียนสำหรับคู่รัก!”

                ที่เพื่อนของฉันพูดขึ้นมาแบบนั้นก็เพราะว่า ในงานประจำปีของโรงเรียนเรา นักเรียนส่วนใหญ่จะไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นคู่ จากโรงเรียนที่เคยมองไปทางไหนก็มีแต่ตึกสีขาวและสีควันบุหรี่ วันนั้นจะเป็นเพียงวันเดียวแหละที่คุณจะเห็นภาพตรงหน้าเป็นสีชมพูไม่ก็สีแดงทั้งหมด!

                เฮ้อ~ อย่างฉันจะได้เจอคนดีๆ กับเขาบ้างมั้ยน้า…” บลูพูดแล้วหันไปกอดอกนั่งพิงกำแพง และไม่ลืมที่จะเหล่ตามามองฉันเป็นนัยๆ ว่าคู่หมั้นของแกน่ะ เพอร์เฟคสุดๆ น่าอิจฉาชะมัด

                แกไม่เห็นต้องรีบหาเลย ความรักน่ะอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวมันก็คงมาเองแหละ ใช่อย่างที่ฉันว่า ไม่เห็นจะต้องไปไขว่คว้าเอามันมาไว้กับตัวเลยสักนิด อย่างฉันที่เคยพยายามจะไขว่คว้าหรือเอื้อมมือไปหามันเท่าไหร่ มันก็ยิ่งวิ่งออกห่างไปเท่านั้น มิหนำซ้ำยังจะปล่อยหนามแหลมๆ มาทิ่มแทงทำให้ใจเราเจ็บช้ำอีก

                แหม แกก็พูดได้สิ มีคนดีอยู่ในครอบครองแล้วนี่

                เฮ้อ~ ถึงจะมีก็เถอะ แต่แกไม่เห็นจำเป็นต้องเก็บไปใส่ใจเลย เออ ว่าแต่เซนๆ อะไรที่แกเคยเล่าให้ฉันฟังน่ะใครฉันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะนั่งเท้าไปบนโต๊ะและยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับเพื่อนสนิท

                บลูรีบเบี่ยงหน้าหลบไปทันที แต่ฉันก็ยังไม่ลดละที่จะลุกขึ้นจับไหล่ให้เธอหันมามอง เซนนั่นใครนะ ที่แกเคยบอกมาอ่ะ

                เอ่อ ก็แค่คนรู้จัก

                เฮ้ย ฉันไม่เชื่อหรอก

                จริงๆ

                บ้าเหรอ

                อ้าว ทำไมแกถึงไม่เชื่อเนี่ย

                ก็…”

                ที่ฉันไม่เชื่อยัยบลูก็เพราะว่า ตอนนี้ใบหน้าของเธอกำลังแดงเป็นลูกพีชอยู่เลยน่ะสิ!

                แกกำลังหน้าแดงอ่ะ…”

                เฮ้ย!” บลูรีบยกมือขึ้นมาปิดหน้าเป็นพัลวัน หลังจากนั้นก็หันไปและไม่ยอมหันมาสบตากับฉันอีกเลย

                เซนนี่ใคร ฉันอยากรู้ว่ะ ช่วยบอกมาหน่อย

                โอ๊ย ไม่เอาอ่ะบลูซุกหน้าลงไปในแขนของตัวเอง ฉันต้องไปจับตัวเธอขึ้นมา

                นิดเดียวเองแก

                มันไม่มีอะไรมากหรอก

                เอ๋ ไม่มีอะไรมากแล้วทำไมถึงต้องหน้าแดงด้วยเนี่ย!”

                เฮ้ย ฉันไม่ได้ตาฝาดนะ แกเงยหน้าขึ้นมาสิ

                ฉันพยายามดึงตัวบลูขึ้นมาจากโต๊ะ แต่เธอก็ยังรั้งไว้ จนในที่สุดเธอก็ยอมลุกขึ้นมา เพราะใบหน้าของเธอทำให้ฉันตกใจ

                บลู นี่แกร้องไห้ทำไมเนี่ย!”

                นัยน์ตาของเพื่อนสนิทที่อยู่ตรงหน้ามีน้ำตาคลออยู่เต็มเบ้า น้ำใสๆ ค่อยๆ หยดลงมาทีละน้อย

                มะ ไม่มีอะไร บลูพูดแล้วรีบใช้มือปัดไม่ให้ฉันมอง เธอก้มหน้าลงไปกับโต๊ะอีกครั้ง

                แก ลุกขึ้นมาก่อน มีอะไรก็บอกฉันได้นะ ยังไงฉันก็จะคอยเป็นที่ปรึกษาให้แกเอง ฉันพูดพลางเขย่าตัวเพื่อนเบาๆ

                ฉัน ฉันไม่อยากไปนึกถึงมันแล้วว่ะบลูเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เธอใช้มือปาดน้ำตาทิ้งไป

                มีอะไร

                ไม่รู้สิ อยู่ๆ มันก็ร้องไห้ออกมาเอง

                แกบอกฉันมาเถอะ อย่างน้อยๆ ก็คงจะคลายความเศร้าลงได้บ้าง

                ก็…”

                อืม…”

                คนที่แกถามว่าชื่อเซนๆ อะไรนั่นอ่ะ เคยเป็นรักแรกของฉันเอง

                หลังจากที่บลูพูดจบฉันก็ถลึงตาโตทันที เฮ้ย! จริงเหรอ!?”

                อืม

                อ้าว แล้วตอนนี้หมอนั่นอยู่ที่ไหน ฉันไม่เห็นจะรู้จักเลย ฉันส่ายหน้าไปมาด้วยความสงสัย

                แกไม่รู้จักหรอก เพราะว่าเขาไม่ได้อยู่โรงเรียนนี้

                อ้าว แล้วแกไปเจอที่ไหนมาล่ะนั่น

                บลูสูดหายใจลึกมากจนฉันตกใจก่อนจะพูดออกมา

                ก็ รักสมัยเด็กของฉันเองล่ะ

                เอ๋!? รักสมัยเด็กเหรอ!”

                เพื่อนสนิทของฉันพยักหน้าเล็กน้อย ใช่ เขาคนนั้นเป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉัน

                อ้าว มันก็เป็นความทรงจำที่ดีแล้วไม่ใช่เหรอไง

                แต่สิ่งที่ฉันพูดออกไปกลับทำให้บลูส่ายหน้าแล้วถอนหายใจอย่างไร้อารมณ์

                ไม่หรอก มันไม่ได้ดีอย่างนั้น

                แล้วทำไมล่ะ

                มันเป็นอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น

                หา…? ซับซ้อน ซับซ้อนยังไง

                บลูหลับตาลงสักพัก ก่อนจะสูดหายใจเข้าไปอีกทีและจ้องหน้าฉันด้วยสายตาจริงจัง

                แกเคยได้ยินคำว่า บาดแผลและความผิดในจิตใจที่จะติดตัวไปจนวันตายมั้ย

     

     

     

     

     

     

     

    ที่แต่งช้าเพราะนอยจากคะแนนที่ได้รับรู้มา

     

    ช็อกไปพักหนึ่งก่อนจะลืมมันไปราวกับลมตดที่พัดผ่านจมูกไป -..-

     

    ติดตามกิจกรรมต่อไปจ้า

               

               

    Loma_ p

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×