ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Panthers ซีรีส์ SURVIVED SERIES: ต้องรอด มหากาพย์แห่งสงครามล้างเผ่าพันธุ์

    ลำดับตอนที่ #1 : จากใจมณีจันท์/อ้างอิง... ไม่มีในหนังสือนะคะ พท. ไม่พอ กร๊ากกกกกก....

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.35K
      6
      21 พ.ย. 56

       เริ่มลงนิยาย วันที่ 20 พฤศิกายน 2556 ค่ะ เเละลงไม่จบ จะลงเเค่ 50 % เท่านั้นจ๊ะ  

    ภาค Panther

    SURVIVED: ‘ต้องรอด

    โดย มณีจันท์

    จากใจมณีจันท์  

    เมื่อดิฉันรับโปรเจ็กต์ ต้องรอดมาเขียน ความรู้สึก ณ ขณะนั้น คือ ความท้าทายและตื่นเต้นเพราะจะได้ทำงานที่ต้องใช้การค้นคว้าอย่างมากในแนวอิงประวัติศาสตร์สำคัญในการสร้างชาติของคนอเมริกัน แต่หลังจากที่เริ่มค้นคว้าเรื่องนี้ได้สองสามเดือน ดิฉันพบว่านี่เป็นนิยายที่เขียนยากที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา เธอพลาดแล้วล่ะ มณีจันท์! - -’ ดิฉันบอกตัวเอง ทำยังไงถึงจะเขียนได้ในเมื่อแค่อ่านก็ยังสะเทือนใจขนาดนี้     

    ดิฉันอ่านหนังสือเรื่อง Bury My Heart at Wounded Knee ไป ค้นคว้าข้อมูลระหว่างทำงานไปก็นั่งน้ำตาซึมไปด้วยความรู้สึกอึดอัดและไม่รู้เลยว่าจะถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ออกมาได้ดีพอเท่าเศษเสี้ยวของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงได้อย่างไรกังวลมากเกรงจะทำความอับอายให้เพื่อนร่วมทีม แต่เมื่อรับงานมาแล้วก็ต้องทำ เรียกว่ายอมตายดีกว่ายอมเสียคำพูด เริ่มต้นด้วยความยากเพราะจะเขียนอะไรก็ต้องนึกถึงว่าเราต้องย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 19 ซึ่งช่วงเวลาในเรื่องของดิฉันอยู่ระหว่างปี 1873 – 1874 แต่ความตอนท้ายสรุปไปถึงปี 1890     

    โชคดีนิดหน่อยที่ได้โจทย์มาว่าพระเอกของเรื่องเป็นหนุ่มเพลย์บอยไฮเทคที่มีอุปกรณ์ทันสมัยหลายอย่าง เครื่องมือเครื่องใช้ในการทำงานบางอย่างของฌอนในนิยายจึงล่วงหน้าไปราว 5 –15 ปีตามลำดับเวลาจริงของช่วงเวลาในเรื่อง บางคนอ่านแล้วอาจจะไม่รู้อุปกรณ์ที่พระเอกของเรื่องใช้ในยุคสมัยของเขาจริงๆ ยังไม่เกิดขึ้น ที่บอกว่าโชคดีเพราะบุคลิกของตัวละครเป็นสิ่งที่ดิฉันถนัด และความไฮเทคของเขาทำให้การเดินเรื่องง่ายขึ้น  

    อุปสรรคสำคัญก็คือดิฉันไม่ถนัดนิยายดราม่าเพราะเป็นพวกอ่อนไหวกับตัวหนังสือ อ่านนิยายเศร้าๆ ซีนบีบคั้นอารมณ์ที่เข้าถึงเมื่อไหร่ทำเอาดิฉันนอนไม่หลับไปหลายคืนหรือจำติดใจไปอีกหลายปี เพราะรู้ว่าโลกนี้โหดร้ายส่วนตัวเวลาเขียนนิยายเลยชอบเขียนแนวหลุดโลก พาฝันอะไรไป (คือถ้าไม่ฝันก็ไม่มีทางเจอแหงๆ) แต่เมื่อต้องมาเขียนนิยายเชิงประวัติศาสตร์อภิมหาดราม่าเช่นนี้ ดิฉันจะทำอย่างไรจึงจะถ่ายทอดออกไปได้ดีพอที่จะไม่ถูกตราว่าเป็นงานระดับขยะวรรณกรรมในสายตาของผู้อื่นด้วยสติปัญญาและประสบการณ์อันน้อยนิดที่มี ดิฉันคิดเยอะและกังวลอยู่นานมาก    

    งานเริ่มไปอย่างช้าๆ สปีดหอยทากเป็นอัมพฤกษ์ในตอนต้น ก่อนจะเริ่มเร็วขึ้นเมื่อเข้าที่เข้าทางและใช้สันดานเดิมว่า จะเขียนให้มันดราม่ามากมายไปทำไม ไหนๆ ก็ต้องทำก็เอาในแนวที่เราถนัดดีกว่า อะไรรู้ก็เขียน ไม่รู้ก็ไม่เขียน พระนางก็นัวเนียกันให้เป็นศึกรักระหว่างรบ คนอื่นจะเขียนดีกว่าหรือมีอรรถรสกว่ายังไงก็ช่างเขาเถอะ หล่อนจะวิตกจริตไปทำไมยะ เราทำดีที่สุดของเราแล้วมณีจันท์!

    เมื่อสติมาปัญญาก็พลันบังเกิด!! ดิฉันเริ่มนึกสนุกกับงานเมื่อเลิกคาดหวังกับตัวเอง แต่ก็ยังติดขัดอยู่ประปราย ดิฉันได้เรียนรู้มากมายจากซีรีส์เรื่องนี้

    ความรู้สึกเมื่อดิฉันพิมพ์ประโยคสุดท้ายจบลง คือความตื้นตันปนเศร้า ส่วนหนึ่งก็ดีใจ ไม่ได้คิดว่าทำได้ดีพอแต่ดิฉันอิ่มใจที่ได้เป็นส่วนเล็กๆ ของการถ่ายทอดเศษเสี้ยวประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำของกลุ่มชนที่งดงาม งานเขียนชิ้นนี้หากมีส่วนหนึ่งส่วนใดที่เป็นประโยชน์ มณีจันท์ขอมอบคุณความดีทั้งหมดนั้นเพื่อคารวะต่อเถ้าถ่านของชาวอินเดียนแดงซึ่งครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง เพราะดิฉันรู้อย่างแน่นอนว่าชนพื้นเมืองอเมริกันคือหนึ่งในชาติพันธุ์นักปราชญ์ที่มีสติปัญญาอันลึกซึ้งและมีวัฒนธรรมที่สูงส่งยิ่งกว่าคนขาว     

    ขอบคุณทีมงานห้องสมุดและกองบรรณาธิการ ต้องรอดที่ให้เกียรติเชิญมณีจันท์มาร่วมเขียนซีรีส์ และอดทนรอต้นฉบับของดิฉันซึ่งดูเหมือนจะล่าช้าจนคนอื่นเสียเวลากันไปหมดจนต้องเลื่อนส่งงานทั้งทีม ขอบคุณพี่ทิพสำหรับการเป็นบรรณาธิการส่วนตัวที่ช่วยแก้ไขตรวจงานให้หนูอย่างละเอียด ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เมตตากันตลอดมาค่ะ

    **************************************************

    ตย. บางซีน

    ฌอน - ดาโกต้า  

    คุณไม่ชอบมางานแบบนี้ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ

    เสียงทักที่ดังอยู่เบื้องหลังทำให้ดาโกต้าหันไปมองคนพูดอย่างระมัดระวัง

    เธอไม่แปลกใจด้วยซ้ำที่รู้ว่าเป็นเขา อันที่จริงเธอรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องมาที่นี่ เขาไม่เหมือนคนขาวในเมืองโดยส่วนใหญ่ที่มีผิวขาวซีด ผู้ชายคนนี้น่าจะมีอายุไม่เกินสามสิบปีและมีผิวสีบรอนซ์ทองมีชีวิตชีวา

    ร่างสูงใหญ่สง่างามของเขาทำให้ดาโกต้าต้องเงยหน้าขึ้นสูงเพื่อพิจารณาใบหน้าคมเข้มซึ่งอยู่ในขั้นที่เรียกว่าหล่อเหลาตระการตา แต่สิ่งนั้นไม่สำคัญกับเธอเท่ากับการได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีสิ่งที่ชายอื่นไม่มี สิ่งที่เธอรับรู้ได้เพราะเธอคือปราชญ์ทางจิตหรือผู้รอบรู้ในศาสตร์แห่งจิต

    เธอรู้... ตั้งแต่สบตากับนัยน์ตาสีเฮเซลเป็นประกายพร่างพราวล้อเลียนแสงไฟหากคมจัดคู่นี้ว่าจิตใจของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า เขามีความทระนงอย่างที่อินเดียนแดงมีและเฉียบคมยิ่งกว่าภาพลวงตาหากห่อหุ้มมันไว้ด้วยเปลือกนอกของหนุ่มร่ำรวยเสเพลที่ไม่แยแสโลก เหมือนหนุ่มเพลย์บอยจากสังคมชั้นสูงของนิวยอร์ก แต่ภายในนั้นดิบเถื่อนดุร้ายเหมือนนักรบเผ่าซูว์หรือลาโกต้าในทุ่งราบตะวันตก 

    และถึงคุณสมบัติภายในจะทำให้เขาดูองอาจเยี่ยงชายชาตรีที่ดึงดูดอิสตรีเข้าหา หากเสน่ห์ทางเพศของเขากลับอันตรายจนไม่น่าเข้าใกล้... อันตรายอย่างยิ่งสำหรับเธอ! จิตสัมผัสที่ละเอียดอ่อนบอกเช่นนั้นและทำให้เธอหวาดหวั่นจนนึกอยากถอยห่างไปให้ไกล เธอหวังว่าเขาจะไม่เข้ามา แต่เขาก็ยังมาจนได้      

    ท่านคงจะทำเฉพาะสิ่งที่พอใจเท่านั้นน่ะสิคะ

    โปรดเรียกผมว่าฌอนเถอะครับ ผมไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์อะไรมิสโอ'ซัลลิแวน

    เธอเงียบไปนิดหนึ่งเมื่อทำท่าคิดก่อนจะยื่นมือให้เขายกขึ้นจูบ และย่อตัวลงเล็กน้อยตามแบบของกุลสตรี แต่สีหน้าท่าทางระมัดระวังตัวขึ้นกว่าเดิมมิสเตอร์วินสตัน-รอสส์

    นัยน์ตาสีเฮเซลฉายประกายของความแปลกใจออกมาโดยไม่พยายามปิดบัง ยื้อมือของเธอเอาไว้นานกว่าปกติเมื่อนาบปากอุ่นร้อนลงบนหลังมือนุ่ม สูดดมกลิ่นหอมหวานสดชื่นเหมือนดอกไม้ป่าเข้าไปด้วยความพิศวง เธอมีกลิ่นกายที่เย้ายวนลึกลับจนเขาต้องพลิกมือเล็กเพื่อจูบไซ้ฝ่ามือด้านหน้าด้วย และเขาอยู่ใกล้จนได้ยินเสียงเธอสูดหายใจเข้าโดยแรงขณะกระชากมือกลับอย่างรวดเร็วแต่ไม่ลุกลน แม้ใบหน้าจะแดงขึ้นมาเมื่อถลึงตาใส่เขาเธอไม่น่าถอดถุงมือเก็บก่อนจะออกมาตรงนี้เลย 

    นัยน์ตาดำจัดชวนสะกดใจของเธอฉายแววของความกล้าหาญผสมกับความอยากรู้อยากเห็นและหวั่นไหว หากยังแฝงไปด้วยแววหวาดหวั่นนานัปการ เหมือนดวงตาของกวางน้อยระแวงไพร เขาไม่เคยเห็นสาวน้อยคนไหนจะมีดวงตาแสนสวยที่สื่ออารมณ์หลากหลายได้เช่นนี้ ทั้งยังปลุกสัญชาตญาณดิบแบบนักล่าของเขาให้ตื่นตัวขึ้นเต็มที่ สีผิวของเธออีกเล่าช่างดูบอบบางและนวลละไมปานกลีบแมกโนเลีย แถมยังนุ่มเนียนน่าลูบไล้ทั้งคืนเป็นบ้า 

    น่าแปลกที่ดูเหมือนเธอจะรับรู้อารมณ์ดิบของเขาเพราะดาโกต้าถอยห่างออกไปอีกหนึ่งก้าวพลางจ้องเขาเขม็ง   

    แบบนั้นมันเยี่ยมมาก.... โค้งริมฝีปากของเขายกสูงเป็นรอยยิ้มร้ายกาจเมื่อเห็นท่าทางระวังตัวแจของเธอ

    ผมอยากเชื่อว่าคุณคงแอบชื่นชมผมเป็นการส่วนตัวเลยรู้ว่าผมเป็นใคร แต่รู้ว่าไม่ใช่

    ดิฉันเชื่อว่าสุภาพสตรีทั้งนิวยอร์กต้องรู้จักชื่อเสียงของคุณดีอยู่แล้วเธอสบตากับเขาตรงๆ และคุณไม่ควรทำให้พวกเธอกระวนกระวายใจ

    ฌอนย่นหัวคิ้วกับประโยคกำกวมในตอนท้ายแต่มองตามสายตาเป็นนัยของเธอไปจึงเห็นว่าจูเลีย แครวิตซ์กำลังมองมา ก่อนจะถอนสายตาจากเขาเมื่อถูกเจนดึงไปทางอื่น ชายหนุ่มหันกลับมามองสาวน้อยตรงหน้าอีกครั้ง ผมคิดว่าคุณกำลังเข้าใจผิด มิสโอ'ซัลลิแวน

    ดิฉันไม่เคยเข้าใจผิดหรอกค่ะ มิสเตอร์วินสตัน-รอสส์

    เรียกผมว่าฌอนสิคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน นามสกุลยาวเหยียดสองคำแบบมีเชื้อสายของเขาฟังดูแปร่งหูเมื่อเสียงนั้นดังออกมาจากปากของเธอ

    ฌอนเธอเรียกตามอย่างว่าง่าย ดิฉันขอตัวก่อนค่ะ

    คุณจะไปไหนเขาโพล่งคำถามด้วยน้ำเสียงข่มขู่ออกมารวดเร็วเกินไป และรีบบอกให้ตัวเองใจเย็นกว่านี้เมื่อเธอสะดุ้งนิดๆ มองมาด้วยสายตาคลางแคลง แต่ยังยอมตอบคำถามอย่างสุภาพ  

    คุณพ่อคงกำลังมองหาดิฉัน

    เขากำลังคุยอยู่กับนายธนาคารอีกคนชายหนุ่มบุ้ยใบ้ไปยังฟากห้องที่โอ'ซัลลิแวนกำลังยืนอยู่กับภรรยาสาวของเขา มีแม่เลี้ยงของคุณอยู่ใกล้ๆ อาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพาลูกสาวอีกคนมาด้วย”   

    ก็อาจจะเป็นได้ แต่ดิฉันก็ยังอยากอยู่ใกล้ๆ คุณพ่ออยู่ดี

    คุณกลัวที่จะอยู่กับผมสักครู่หรือไงดาโกต้า” 

    **************************************************

    ฮันเตวี - ไวท์เเซนด์ [มีไม่เยอะนะคะ ราวๆ 15 % เท่านั้นจ๊ะ เน้นคู่หลัก] 
             “ข้าต้องการอะไร” 

    เจ้าน่าจะรู้อยู่แก่ใจตัวเอง เจ้าชอบนิวยอร์ก แต่เขาชอบนามิด

    ส่วนเจ้าก็รักนามิดไวท์แซนด์ย้อนเสียงทื่อ ทั้งน้อยใจและโกรธเมื่อเดาได้ว่าเขากำลังเตือนเธอเรื่องอะไร นักรบเฮงซวยคนนี้รู้ดีทีเดียวว่าเธอมีใจให้เขามาตั้งแต่ยังเป็นสาวรุ่นอายุแค่สิบห้า การที่เขาไม่เคยให้ความสนใจเธออย่างชู้สาวแม้จะเที่ยวมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายคนในเผ่าและต่างเผ่าเป็นสิ่งที่เธอยอมรับได้

    แต่ที่ยอมรับไม่ได้คือ นอกจากเขาจะไม่ต้องการเธอ ยังกีดกันไม่ให้เธอมีความรักด้วยเหมือนกัน มันเป็นแบบนี้มานานแล้วตั้งแต่ที่เธอเริ่มมีชายหนุ่มมาเกี้ยวพาเป็นครั้งแรก ฮันเตวีจะทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้ชายพวกนั้นเลิกสนใจในตัวเธอราวกับว่าเขาไม่อยากเห็นเธอมีความสุข บางครั้งไวท์แซนด์อดคิดไม่ได้ว่าเขาคงเกลียดเธอมาก

    มีผู้ชายมากกว่าสองคนเคยคิดจะมาขอเธอจากพ่อแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเพราะเจ้าปีศาจประจำเผ่าคนนี้ทำบางสิ่งให้พวกเขาล้มเลิกความตั้งใจ เธอรู้เพราะเห็นสายตาคลางแคลงใจปนหวาดหวั่นของพวกนั้นยามมองมาที่เธอ แม้จะไม่เคยรู้แน่ชัดว่าฮันเตวีเล่นงานเธอไว้ลับหลังอย่างไร แต่มั่นใจว่าเขาจะต้องเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้

    สำหรับคนที่มั่นคงกว่านั้นและใจกล้าเข้ามาเกี้ยวพาขอหมั้นหมายเธอกับพ่อ ฮันเตวีก็เอ่ยด้วยคำพูดเป็นนัยๆ ให้เธอรู้ว่าผู้ชายเหล่านั้นจะเดือดร้อนขนาดไหนจากการยุ่งเกี่ยวกับเธอ เขาเคยทำให้หนุ่มคนแรกที่มาขอเธอเกือบโดนฝูงควายป่าเหยียบเละระหว่างการล่าสัตว์ในฤดูร้อนครั้งหนึ่ง โดยมีไวท์แซนด์ที่ตามไปเป็นพยานรู้เห็นด้วย

    แหม มันโง่จริงๆ ถ้าแต่งงานกันไปเจ้าคงได้เป็นม่ายก่อนจะได้เป็นแม่คน น่าสงสารเนอะ!’ คราวนั้นเจ้าปีศาจหัวหน้านักรบควบม้าเข้ามาหาและเอ่ยลอยๆ ให้เธอได้ยินคนเดียวจนหญิงสาวตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว

    เธอรีบปฏิเสธการขอหมั้นและปฏิเสธคนต่อๆ มาทุกคนเมื่อเห็นสายตาไม่เป็นมิตรที่ฮันเตวีใช้มองพวกนั้น

    ใครๆ ก็รักนามิดทั้งนั้น เจ้าไม่เห็นหรือว่านางทั้งสวยทั้งน่ารักขนาดไหนฮันเตวียิ้มกริ่มยอมรับง่ายๆ

    ข้าไม่ได้ตาบอด!”

    น่านแหละนักรบเผ่าซูยักไหล่ สีหน้ากวนโทสะ นามิดเป็นขวัญใจของคนในเผ่า ใครๆ ก็รัก

    รู้แล้ว”  

    นิวยอร์กชอบนามิด เขาเคยขอหมั้นกับนางด้วย

    จริงหรือ?” ไวท์แซนด์ชะงักด้วยความแปลกใจเพราะได้ยินข่าวนี้เป็นครั้งแรก ก่อนจะนิ่งขึงกลั้นหายใจเมื่อเห็นสายตาเกรี้ยวกราดที่เขามองตอบกลับ แต่แล้วสายตานั้นกลับเปลี่ยนเป็นขบขันในเวลาต่อมาราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าคือภาพลวงตา เหมือนกับที่ใครต่อใครเข้าใจว่าฮันเตวีคือนักรบที่กล้าหาญและเฉลียวฉลาด

    แต่ความจริงแล้วเขาคือ ไอ้ปีศาจจอมราวีที่ตามจองเวรเธอไม่ยอมเลิกรา 

    นามิดทั้งสาวทั้งสวย...คนพูดหยุดแค่นั้น แต่คนโง่ที่สุดก็เดาออกว่าเขาหมายถึง ทั้งสาวและสวย... กว่าเธอ

    แล้วที่เธอเป็นสาวเทื้อหาคู่ไม่ได้ก็เพราะใครกันล่ะ! ไวท์แซนด์กำมือแน่นข่มใจไม่ให้ลุกไปเอามีดมาจ้วงเข้าสู่หัวใจของเจ้าปีศาจคนนี้ให้มิดด้าม โทษฐานที่รังควาญชีวิตของเธอมาหลายปี

    ดวงวิญญาณอันยิ่งใหญ่น่าจะลงโทษเขาบ้างแทนที่จะให้พละกำลังและทำให้เขาแคล้วคลาดจากความตายมาแล้วหลายครั้ง ซ้ำทุกครั้งเธอต้องเป็นคนที่คอยดูแลจนกว่าเขาจะหายดีเสมอ

    ความจริงเจ้าน่าจะดีใจถ้านิวยอร์กสนใจคนอื่น ในเมื่อเจ้าเองก็รักนามิด

    แล้วทำไมข้าต้องดีใจ

    อ้าว! นามิดจะได้รับรักเจ้าสักทีไงล่ะ” 

    ข้าไม่เคยขอแต่งงานกับนามิดเขาตอบกลับเสียงห้วน โหนกแก้มเป็นสีเข้ม

    ข้าเชื่อ ถ้าเจ้าอยากแต่งงานคงได้แต่งหลายปีแล้วเนอะถึงทีที่เธอจะเอาคืนบ้างด้วยน้ำเสียงล้อเลียนปนเยาะ เพราะสงสัยเหมือนที่ผู้นำหลายคนสงสัยว่านามิดอาจเห็นเขาเป็นแค่เพื่อน แม้ผู้หญิงทั้งเผ่าจะเห็นว่าเขามีเสน่ห์แต่อาจจะไม่ใช่เพื่อนรุ่นน้องของเธอก็ได้ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก๊อ... สมน้ำหน้า! อย่างน้อยก็ไม่ได้มีแต่เธอที่ผิดหวังก็แล้วกัน 

    นี่เจ้าเยาะเย้ยข้าเรอะ” 

    ข้าไม่รู้ตัวเลยว่าเยาะเย้ยเจ้า ทำไมเจ้าคิดอย่างนั้นล่ะไวท์แซนด์แกล้งทำเสียงตกใจเกินเหตุ เธอไม่ได้ซื่อเหมือนสาวแรกรุ่นสมัยที่ตกหลุมรักเขาโครมเบ้อเริ่มในตอนแรกก็แล้วกัน

    ชายหนุ่มเองก็รู้เลยกัดฟันกรอด พักหลังเริ่มแกล้งยายนี่ไม่สนุกเพราะเธอไม่วิ่งไปแอบร้องไห้คนเดียวตอนโดนเขาเล่นงานเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่ค่อยกลัวเขาเหมือนเคย แถมปากคอยังร้ายกาจเริ่มคมเหมือนมีดเข้าไปทุกที สงสัยว่าเขาจะอ่อนข้อให้เธอเกินไปจนของเล่นชิ้นนี้เริ่มแข็งข้อ

    ถ้าเจ้าคิดจะให้นิวยอร์กสนใจเจ้ามากกว่านามิด…”

    เจ้าจะทำอะไรเขา บลูคอร์นมูนบอกว่าเขาเป็นผู้มีบุญคุณ เขาช่วยเหลือเราแถมยังช่วยเจ้าปล้นม้ากลับมาด้วยถ้าไม่มีเขาเจ้าอาจจะตายไปแล้วก็ได้ถ้าเจ้าทำอะไรเขาก็เท่ากับเป็นคนเนรคุณ!”

    ข้าไม่เคยเนรคุณใคร!” ฮันเตวีตอบกลับเสียงเหี้ยมต่ำ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนหญิงสาวเริ่มถอยหนี หัวใจเต้นโลดด้วยความกลัวเมื่อเขาคว้าหมับที่ข้อมือบอบบางและก้มลงกระซิบข้างหูให้เธอได้ยินคนเดียว เจ้าต่างหากล่ะ ที่จะซวยถ้ายังไม่เลิกให้ท่าเขา

    ข้าน่ะเรอะ...ไวท์แซนด์หอบหายใจแรงด้วยความโกรธ พยายามกระชากข้อมือออก แต่คนเจ็บกลับแรงเยอะจนความพยายามของเธอไร้ผล เขายังบีบข้อมือเล็กแน่นขึ้นจนเธอเจ็บ ให้ท่าคนขาว จิตใจเจ้ามันสกปรก ฮันเตวี

    ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย เห็นเจ้าออกจะชอบความสกปรกของข้าชายหนุ่มใช้มืออีกข้างยึดต้นแขนลากเธอเข้าไปใกล้ ขยับหน้าเข้าหาคนที่เอนหนีสุดฤทธิ์ สีหน้าของเธอหวาดหวั่น เริ่มกลัวเขาแล้ว... แบบนี้สิมันค่อยน่าสนุกหน่อย 

    ถ้าเธอกลัวจนวิ่งหนีไปร้องไห้แอบอยู่คนเดียวเหมือนตอนเป็นเด็กที่ถูกเขารังแกจะเหมาะมาก!  


    **************************************************

     

    ข้าหนีเพื่อต้องการปกป้องคนของข้าเพราะเราอยากมีชีวิตอยู่ เหมือนที่ท่านจะปกป้องคนของท่าน แม้การตายของพี่น้องเราจากการสังหารหมู่ถึงสองครั้งเราก็ยินดีจะลืมมันไปเพื่อสร้างมิตรภาพที่ยั่งยืนกับคนขาว พวกข้าไม่เคยก่ออาชญากรรมใดๆ กับคนขาวโดยตั้งใจเลยและจะไม่มีวันทำ คนของข้าเคยถือธงขาวขี่ม้ามาบอกทหารว่าเราไม่อยากรบ แต่ทหารยิงใส่เราก่อนทุกครั้ง หัวหน้าอินทรีฮอร์ควูดเคยสั่งให้ทหารจับตัวพวกข้าเอาไว้ครั้งหนึ่งระหว่างการเจรจา แต่เราหนีรอดออกมาได้ เราเพียงอยากกลับบ้านเพราะหัวใจของเราโหยหาดินแดนอันเป็นถิ่นเกิดของเรา…”

    กิริยาของหัวหน้าเผ่าซูเป็นไปอย่างจริงใจและซื่อตรงแม้เขาจะนั่งนิ่งมองไปข้างหน้าอย่างทระนง

    นักรบในเผ่ายอมมอบอาวุธและนั่งลงในการเจรจาด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ทำจากหนังควายไบซันจนเป็นที่เห็นใจแก่คณะกรรมการและทหารซึ่งยอมรับคำขอร้องของพวกเขาทุกคนลงนั่งเจรจาเรื่องสนธิสัญญาฉบับใหม่เกี่ยวกับที่ดินจำนวนนับสิบล้านเอเคอร์ซึ่งเคยเป็นของอินเดียนแดงก่อนที่ทหารจะขับไล่พวกเขาออกไปจากการตายของชาวไร่ปศุสัตว์และภรรยารวมถึงการบังคับให้เขาเข้าไปอยู่ในเขตสงวนอีกแห่ง 

    (8)ไม่มีความหวังใดๆ หลงเหลืออยู่บนโลกนี้ และดูเหมือนว่าพระเจ้าลืมเราไปเสียแล้ว บางคนบอกว่าเขาเห็นบุตรของพระเจ้า บางคนก็บอกว่าไม่เห็นพระองค์ ถ้าพระองค์เสด็จมา พระองค์ก็น่าจะทำสิ่งอันยิ่งใหญ่ดังเช่นที่เคยทำมาแล้ว เราสงสัยก็เพราะว่าเราไม่ได้เห็นทั้งองค์พระเจ้าหรือผลงานของพระองค์เลย...
     

    ขออนุญาตวางอ้างอิงไว้ตรงนี้นะคะ หนังสือที่ไม่พอ ต้องเอาออก เพราะกล่อง 7 เล่มนั้นมันหนักมาก เล่มของไรเตอร์หนาที่สุด เลยถูกจัดหน้าใหม่เเละจัดเเบบอัดเต็มสตรีม ส่วนนี้เลยต้องยกออก ความจริงทางทีมขอให้ตัดเนื้อหาออกด้วยเเต่ทำใจไม่ได้ค่ะ เพราะจริงๆ เรื่องมันไม่ได้ยาว เเต่มันถูกจำกัดด้วยความยาวเพราะการเป็นเซ็ต 

    ถ้าตัดออกก็จะสูญเสียออรรถรสส่วนนี้ไปจ๊ะ เเต่อ้างอิงเนี่ย ต่อให้ตัดออกก็ยังพอมองเห็นภาพ คนที่รู้ประวัติศาสตร์ก็จะเข้าใจส่วนนี้พอสมควร ขอบคุณค่าาาา  

    (1)             ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก(New York Stock Exchange : NYSE)เริ่มก่อตั้งราวเดือนพฤษภาคม 1792 จากการลงนามในข้อตกลงของสต็อกโบรกเกอร์ 24 ราย ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่11 วอลล์สตรีทเเมนฮัตตัน นิวยอร์กซิตี้ เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าใหญ่ที่สุดในโลก ตลาดแห่งนี้เคยปิดตัว 10 วันจากวันที่ 10 กันยายน ค.ศ.1873 เพราะวิกฤติทางการเงินจากวิกฤติการณ์ในปี 1873 จนทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนเเรงระหว่างประเทศในยุโรปเเละสหรัฐอเมริกา เเละคงอยู่จนกระทั่งถึงปี 1879 เป็นผลกระทบมาจากการที่เยอรมันตัดสินใจเปลี่ยนมาตรฐานเงินตราจากมาตราเงิน(มาตรฐานเงินตราของหน่วยเศรษฐกิจที่กําหนดมูลค่าของของเงินโดยอิงกับน้ำหนักมาตรฐานของโลหะเงิน) มาเป็นมาตราทอง(มาตรฐานเงินตราของหน่วยเศรษฐกิจที่กำหนดมูลค่าของของเงินโดยอิงกับน้ำหนักมาตรฐานของทองคำ) หลังชนะสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียจนทำให้เกิดการร่วงดิ่งของอุปสงค์เงินตราระหว่างประเทศ สหรัฐอเมริกาเองเปลี่ยนมาใช้มาตราทองในปีเดียวกัน และอีก 35 ปีต่อมาทั่วโลกเปลี่ยนมาใช้มาตราทองทั้งหมด

    (2)             The Franco-Prussian War or Franco-German War คือ สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย หรือ สงครามฝรั่งเศส-เยอรมนี เป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1870 จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1871 จากความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสและปรัสเซีย โดยมีสมาพันธรัฐเยอรมันสนับสนุนปรัสเซียและเป็นฝ่ายชนะสงคราม นำมาสู่การรวมตัวเป็นเยอรมนีภายใต้จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 1 และเป็นการสิ้นสุดของอำนาจของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 และจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 2 ที่มาแทนที่ด้วยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ในส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาแฟรงเฟิร์ต ดินแดนเกือบทั้งหมดของอัลซาซ-ลอร์แรนถูกยึดครองโดย ปรัสเซียและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีมาจนถึงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1

    (3)             วินคูป คือ พันตรีเอ็ดเวิร์ด ดับบลิว. วินคูป (Edward Wanshear Wynkoop มีชีวิตอยู่ในช่วง คศ. 1836-1891) เป็นนายทหารอเมริกัน อินเดียนแดงเรียกเขาว่า "หัวหน้าร่างสูง"  เขามีความเห็นอกเห็นใจชาวอินเดียนแดง เป็นผู้นำหัวหน้าชาวอะราปาโฮเเละไชย์เเอนน์ไปพยายามเจรจาสันติภาพกับนายทหารระดับสูง วินคูปเคยเล่าว่า การสนทนาที่เขาเคยมีกับชาวไชย์เเอนน์ในการเดินทางเป็นผลให้เขาเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่ออินเดียนแดงที่เขาเคยยึดถือมานานโดยสิ้นเชิง "ผมรู้สึกตนเองเหมือนกับอยู่ต่อหน้ามนุษย์ที่เหนือกว่าเรา และคนทั้งสองนี้คือตัวแทนของเชื้อชาติที่ผมเคยเหยียดหยามเอาไว้โดยไม่มีข้อยกเว้นว่าเป็นพวก โหดเหี้ยม อกตัญญู และกระหายเลือด และเป็นพวกที่ไม่มีความรู้สึกซาบซึ้งในมิตรหรือความเป็นญาติกับใครเลยแม้แต่น้อย" การให้วินคูปเป็นเพื่อนกับฌอนเป็นเพียงพลอตเท่านั้น เพื่อสื่อว่าเขารู้เรื่องอินเดียนแดงในมุมมองที่น่าเห็นใจมาได้อย่างไร

    (4)             รอย มิลตัน เป็นตัวละครที่สร้างประวัติเลียนแบบชีวิตของคนครึ่งชาติบางกลุ่ม

    (5)             ทางรถไฟเเปซิฟิกสายเหนือ (The Northern Pacific Railway) คือ การก่อสร้างทางรถไฟทางทั่วภาคเหนือทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกาตั้งเเต่รัฐมินนิโซตาไปจนถึงชายฝั่งมหาสมุทรเเปซิฟิก เริ่มก่อสร้างในปี 1870 ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรสตั้งเเต่ปี 1864

    (6)             โพคาฮอนทัส (ชื่ออินเดียนแดงว่า มาโตอาคา) มีชีวิตอยู่ในปี ค.ศ. 1595 - มีนาคม 1617 เป็นลูกสาวของวาฮันโซนาคู้คหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงพาวฮาตานในเวอร์จิเนีย ที่ถูกสถาปนาให้เป็นกษัตริย์พาวฮาตานโดยชาวอังกฤษ เธอเเต่งงานกับจอห์น โรล์ฟเพื่อสร้างสันติภาพระหว่างคนขาวเเละเผ่าพาวฮาตาน เข้ารีตเป็นคริตส์ศาสนิกชนและได้รับการตั้งชื่อคริสเตียนว่า รีเบคกา เธอติดตามสามีไปประเทศอังกฤษและเสียชีวิตลงด้วยโรคฝีดาษด้วยวัยเพียง 21 22 ปี 

    (7)             เพ็มมิกัน (Pemmican)คือเนื้อผสมไขมันกับผลไม้รวมกันอัดไว้เป็นก้อนแล้วจึงตากแห้ง อินเดียนแดงในอเมริกาเหนือทำอาหารเช่นนี้ไว้เป็นเสบียงในฤดูหนาว และใช้ระหว่างการเดินทาง

    (8)             คำพูดตอนหนึ่ง จากหนังสือ Bury My Heart at Wounded Knee ผู้แปล : ไพรัช แสนสวัสดิ์ ๒๕๒๒ 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×