ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่าเรื่องถิ่นเมืองเหนือ

    ลำดับตอนที่ #44 : ครูบาชัยยะ วงศาพัฒนา อริยบุคคลในดงกะเหรี่ยง ภาคเกร็ดประวัติหลวงปู่2

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ย. 54



    เกร็ดประวัติหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา ๒

    วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ต.นาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน

    โพสท์ใน เวบ PaLungJit.com โดย hero_ultra (ณพลเดช รักษ์บำรุง) เมื่อ 11-10-2007

    พระผง รุ่น "พระสุปฏิปันโน"

    ของหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา

    พระผง รุ่น "พระสุปฏิปันโน"

    เหตุการณ์ในวันที่ 16 เมษายน 2537 เป็นอีกครั้งที่ยังจำได้...ตอนที่คุณแน่งน้อยได้กราบเรียนถามครูบาเรื่อง พระรุ่นนี้ของเธอมีพระธาตุขึ้น ตามที่เธอได้กราบเรียนครูบาเหมือนในหนังสือ (คุณแน่งน้อยจะใช้เทปอัดคำพูดของครูบาไว้) วันนั้นครูบาตรวจงานในวัด ส่วนผมเดินพยุงท่าน

    คุณพี่แน่งน้อยกราบเรียนครูบาว่า มีเรื่องสำคัญปรึกษา ท่านไปนั่งพักที่ศาลาพรหมจักโก (ข้างศาลเจ้าแม่กวนอิมในวัด) ครูบาท่านนั่งข้างบน คณะคุณแน่งน้อยนั่งข้างล่าง ส่วนผมก็นั่งห่างๆ เพราะเกรงจะเป็นเรื่องสำคัญ เลยไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่ศาลาเงียบมาก จึงได้ยินทุกคำพูดของครูบาท่าน วันนั้นตอนคุณแน่งน้อยเปิดพระออกมา มีกลิ่นหอมประหลาดทั่วทั้งศาลา (ไม่รู้ว่าจะมีใครได้กลิ่นเหมือนผมบ้าง) ผมก็มัวแต่มองหาต้นเหตุของกลิ่นหอม

    คุณแน่งน้อยเธอจะถวายพระองค์นั้นให้ครูบาเพื่อเอาไปให้คนบูชา ตั้งราคาไว้สูงมาก..

    แต่ครูบาท่านไม่รับไว้ ท่านบอก...แล้วแต่ศรัทธาของญาติโยมเต๊อะ มีน้อยทำน้อย มีมากทำมาก

    ผมเลยขยับตัวไปใกล้ๆ ขอชมพระผงของคุณแน่งน้อยดู พอเข้าใกล้เลยทราบสาเหตุของกลิ่นหอมมาจากพระผงของคุณแน่งน้อยนั่นเอง กลิ่นหอมนี้เป็นกลิ่นที่ไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้มาก่อนเลย ยังแปลกใจว่าศาลาใหญ่มาก ทำไมถึงได้กลิ่นหอมทั่วไปหมดศาลา

     


    ปาฏิหาริย์ ดอกบัวแก้วกลางนภา

     

    อ้างอิง:

        

    ภาพปาฏิหาริย์ ดอกบัวแก้วกลางนภา

    อันเกี่ยวเนื่อง กับหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม

    .............................................................................

    ภาพที่พี่แหม่มฯ ถ่ายภาพได้โดยไม่ได้ตั้งใจ....

    คือถ่ายภาพลูกโป่ง และโคมลอย ในท้องฟ้า....

    ที่หลวงปู่วงศ์ฯ บอกว่า ให้ออกมาดูเขาที่ด้านนอกอาคาร

    เมื่อล้างฟิล์ม และอัดภาพมา ก็ปรากฏ ภาพดังนี้....

    วันนั้นผมยืนกับครูบาตลอด เพราะต้องคอยกางร่มกันถือไม้เท้าให้ท่าน คนเยอะมากตอนปล่อยตุง

    ตอนมองไปบนท้องฟ้า ด้วยตาเนื้อ ก็ประหลาดใจเหมือนที่เห็นแบบภาพที่คนถ่ายไว้ ที่เมฆเป็นรูปเหมือนดอกบัวเต็มท้องฟ้า (โชคดีจริงๆ ที่มีการถ่ายภาพนี้ไว้เป็นหลักฐาน..ไม่อย่างนั้นอาจจะมีคนว่าพูดไปเรื่อยเปื่อย) ตอนที่ท่านพูดกัน ลูกศิษย์แถวนั้นจำไม่ได้ว่าท่านพูดอะไร เพราะหลังจากนั้นท่านก็เอาเหรียญสตางค์พวกเหรียญสลึง เหรียญห้าสิบสตางค์มาแจก คนก็แย่งกันใหญ่ ผมขนาดไม่อยากได้ ยังต้องเก็บเอาไว้หลายเหรียญ (เพราะเห็นคนแย่ง เลยต้องเก็บกับเค้าบ้าง) เหมือนเป็นเครื่องยืนยันเรื่องบุญ มีจริงๆ...เหตุการณ์ครั้งนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อมั่นในการทำบุญกับครูบามากๆ


    ท่านเป็นพระพิเศษ ท่านกลัวคนอื่นบาป

    ตอนปลายๆ ชีวิตก่อนท่านจะละสังขาร ครูบาไม่ค่อยสบาย บางครั้งท่านจะหายใจเร็วเหมือนเหนื่อย เรียนถามท่านว่า..ครูบาเหนื่อยไหมครับ

    ท่านตอบว่า...เวลานี้ใจไหว แต่ร่างกายไม่ไหว

    เวลานวดขาท่านบางครั้ง เหมือนบางครั้งขาท่านบวม รู้สึกสงสารท่านต้องรับแขกโปรดญาติโยม ไม่ค่อยได้พักผ่อน

    มีอยู่ตอนบ่ายวันนึงจำวันที่ไม่ได้ อยู่ในห้องกับ 3 คน มีผม พี่โอภาส (ชลบุรี ) และครูบา ท่านพูดคาถาบทหนึ่งให้ฟัง ผมจดไว้ที่ถุงกระดาษ (เสียดายตอนหลังทำหายไป)

    วันนั้นท่านอารมณ์ดี เล่าเรื่องอะไรให้ฟังเยอะแยะ ผมกราบเรียนว่า ครูบาไปตรวจสุขภาพที่ โรงพยาบาลศิริราชไหม เพราะมีคุณหมอผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยฝากมาเรียนนิมนต์ท่านไปตรวจรักษา ปกติท่านก็จะไปรักษาที่โรงพยาบาลลานนาที่เชียงใหม่เป็นประจำ

    ครูบาท่านก็เฉยๆ ไม่รับปากว่าจะไป

    พี่โอภาสเลยพูดขึ้นมาแทนว่า ครูบาไม่ค่อยอยากไปกรุงเทพ... ท่านไม่อยากลอดสะพานลอย เดี๋ยวนี้กรุงเทพสะพานเยอะ ทางด่วนเยอะ ครูบาเราไม่เหมือนพระองค์อื่นทั่วไป ท่านเป็นพระพิเศษ ท่านกลัวคนอื่นบาป ..

    ผมหันไปมองหน้าครูบา ท่านก็ยิ้มๆ ให้ผม ก็ได้แต่มองหน้ากัน ตอนหลังเลยไม่ได้คุยกับท่านเรื่องจะให้ท่านไปกรุงเทพอีกเลย


    เกี่ยวกับการไม่ทานเนื้อสัตว์ของครูบา

    บ่อน้ำทิพย์ วัดพระบาทห้วยต้ม

    นึกขึ้นได้อีกเรื่องเข้ากับช่วงเทศกาลกินเจ....

    เกี่ยวกับการไม่ทานเนื้อสัตว์ของครูบา

    คงเป็นอุปนิสัยของท่านที่สร้างมาแต่ก่อน ท่านมีเหตุให้ไม่ทานเนื้อสัตว์มา ตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งแตกต่างจากคนทั่วไป และคนในท้องถิ่นที่ท่านอยู่ตอนเด็กๆ

    (เหมือนกับอาจารย์ของท่านทั้งครูบาศรีวิชัย ครูบาขาวปี และตัวครูบาเอง)

    อาหารที่ท่านฉัน จะมีแม่ครัวประจำเป็นผู้ปรุง ก็จะมีผักหลายชนิด น้ำพริก และต้มผัก (รสชาติเค็มๆ ดี ทานไปก็อร่อยดี เพราะลูกศิษย์จะคอยรับประทานอาหารที่ท่านฉันเหลือ)

    บางทีก็จะมีผลไม้ หรืออาหารที่โยมนำมาถวาย น้ำดื่มท่านจะดื่มเฉพาะจากน้ำบ่อทิพย์ในวัด (แม้จะไปกิจนิมนต์ที่อื่น ลูกศิษย์ก็จะนำน้ำบ่อทิพย์ติดไปด้วย)

    ครูบาบอก การไม่ทานเนื้อสัตว์ ก็จะทำให้กรรมค่อยๆ เบาบางลง และเข้าถึงสมาธิได้ง่าย

    ครูบาท่านเคยบอกลูกศิษย์ใกล้ชิดอีกคนว่า

    ถ้าจำเป็นต้องกินเนื้อสัตว์จริงๆ ให้หลีกเลี่ยงสองอย่าง คือเนื้อวัว กับเนื้อควาย ท่านบอก วัวเป็นแม่ ควายเป็นพ่อ

    ผมคิดเอง ว่า พวกลูกหลานครูบา ก็อาจจะเคยเป็นลูกเป็นหลานแม่วัวอสุภราช วนเวียนในแถวเจดีย์ศรีดอนไชย (ชเวดากองจำลอง) ท่านเลยบอกแบบนั้น เพื่อสำหรับลูกศิษย์ที่ยังต้องทานเนื้อสัตว์ ก็หลีกเลี่ยงเนื้อสองชนิดนี้ไป


    เวลานี้ ก็พยายามอยู่

    มีอยู่บ่ายวันนึง อยู่กับท่านสองคนที่ศาลา นึกคะนอง อยากจะถามว่า ครูบาเหาะได้ไหม แต่ไม่รู้จะถามท่านอย่างไรถึงจะเหมาะสม เวลาจะถามอะไรต้องวางแผนในการตั้งคำถามก่อน เพื่อให้ท่านสามารถตอบเราได้ด้วย...

    เลยถามท่านว่า ครูบาครับ อยากเหาะได้ต้องทำอย่างไร

    ครูบาท่านก็นิ่งสักครู่ แล้วก็ตอบว่า...เวลานี้ ก็พยายามอยู่

    ผมก็ไม่เข้าใจคำตอบท่านเท่าไร แต่ไม่กล้ารบกวนถามท่านต่อ เพราะชอบถามท่านไปเรื่อยเปื่อย บางเรื่องท่านก็ไม่ตอบ บางทีก็คงจะรำคาญผมเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะถามใครนอกจากท่าน


    ห่วงลูกหลาน

    มีเหตุการณ์หลายครั้ง ที่ผมเชื่อว่าท่านทราบว่าท่านห่วงลูกหลาน ค่อยๆ ทยอยเล่าเท่าที่นึกได้ละกัน ...

    เรื่องแรก มีวันนึง ประมาณปี 2538

    พี่ช่างไม้แกะสลัก ที่มาทำงานให้ครูบาบอกผมว่า ครูบาให้ลูกศิษย์วัดเอาอาหารไปให้คนที่ท้ายหมู่บ้าน

    เด็กวัดเอาไปให้ตามที่ท่านสั่ง

    ไปถึงก็เจอ เป็นชาวบ้านที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ นอนหิวข้าวอยู่

    ครูบาท่านทราบได้ยังไร ก็ประหลาดใจดี


    เดี๋ยวค่อยไป ถึงเท่ากัน

    เกี่ยวกับช่างไม้แกะสลักสองสามีภรรยา ถ้าจำไม่ผิด เป็นคนสุโขทัย ที่มาช่วยทำงานถวายครูบา

    เมื่อก่อนจะอยู่ในบ้านหลังวัด เคยถามว่า ทำไมถึงมาศรัทธาครูบา พี่ผู้ชายเล่าให้ฟัง เหตุการณ์3อย่าง

    1. ตอนแรก พี่ผู้ชายเค้าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดอื่น ได้ติดตามพระไปพิธีพุทธาภิเษกที่วัดหลวงพ่อเปิ่น ที่นครปฐม หลังพิธีได้เอาม้วนด้ายสายสิญจน์มาด้วย ตอนกลับพระที่พาไปได้มาแวะที่วัดห้วยต้ม พี่ผู้ชายได้เอาม้วนด้ายเพื่อขอให้ครูบามนต์ (เสก) ให้ ครูบารับมาแล้วก็บอกว่า..มนต์แล้ว จะมนต์อีกทำไม (เสกมาแล้ว จะเสกอีกทำไม) แต่ท่านก็เป่าให้

        ทั้งพระที่พามา ทั้งช่างคนนั้นและคณะที่มาด้วย ก็มองหน้ากัน ครูบาท่านทราบได้อย่างไร

    2. ครั้งที่สอง พี่ผู้ชายคนนี้ติดตามคณะทัวร์จะไปทำบุญกันที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี มาแวะทำบุญกับครูบาก่อน ตอนเช้าก่อนออกจากวัดห้วยต้มเพื่อไปอุทัยธานี ได้มาบอกลาท่าน ครูบาบอกคณะทัวร์ว่า สักสี่โมงเช้า ค่อยไป

        แต่คณะทัวร์ก็เกรงว่าจะเสียเวลา ครูบาก็บอกอีก เดี๋ยวค่อยไป ถึงเท่ากัน

        แต่คณะทัวร์ก็จำเป็นต้องไปตามกำหนดการณ์

        ปรากฏว่าเจอหินถล่มขวางทางเส้นทางลี้เถิน ต้องรอกรมทางมาเก็บหินที่ถล่ม เสียเวลาจอดรถรอ เคลียหินที่ถล่มข้างทาง กว่ารถจะได้ออกก็สี่โมงเช้าเหมือนครูบาบอก ญาติโยมบ่นกันใหญ่ น่าจะรอเหมือนครูบาบอก

    3. พี่คนนี้ พอเจอเหตุการณ์ข้างต้น ยิ่งเริ่มศรัทธาครูบา ได้มาทำบุญที่วัด ครูบามองหน้าแล้วบอกพี่คนนี้ว่าบ้านลูกวางพระ..ผิดที่ ให้ไปย้ายจากตำแหน่งที่ครูบาบอก

    พี่คนนี้กลับไปบ้านเป็นเหมือนที่ครูบาบอกทุกประการ


    ครูบาจะไปไหน

    เมื่อปี 2549 เคยไปเขียนเรื่องครูบาไว้ น้องคนนึงเค้าเก็บกระทู้ไว้ เรื่องครูบาจะไปไหนhttp://www.phuttawong.com/v1/www.gmw....htm#LoopStart

    ผมเพิ่งเข้ามาเวปคุณเนาว์ไม่นาน ได้มีโอกาสเล่าบางเรื่องเกี่ยวกับครูบาวงซึ่งผูกพันกับผมมาก ไม่มีวันไหนที่จะไม่ระลึกถึงท่าน ไม่ว่าจะไปที่ไหนแม้ต่างประเทศก็ต้องหันหน้าไปทิศที่ท่านอยู่แล้วกราบระลึกถึงท่าน

    มีเรื่องหนึ่งเล่าเลย...

    ครูบากับรถสามล้อไฟฟ้าของท่าน

    วันนึงกำนันวิรัตน์ ภัทรประสิทธิ์ (ขออภัยถ้าเขียนชื่อผิด) กับครอบครัว จากจังหวัดพิจิตร (ครูบาท่านมีฉายาเรียกกำนันวิรัตน์ด้วย ..) ครอบครัวภัทรประสิทธิ์ศรัทธาครูบามาก ได้มาหล่อพระสังกัจจายน์องค์ใหญ่ที่วัด มีช่างมาหล่อสุมไฟกันทีเดียว บริเวณลานหน้าวิหารพระพุทธบาทที่วัดห้วยต้ม เพื่อถวายครูบา

    ผมอยู่กับครูบาตลอดโดยมีหน้าที่ถือร่ม กับเดินตาม รถสามล้อไฟฟ้า ของท่าน (งานประจำของผมเวลาอยู่กับท่าน) ในพิธีอยู่กันประมาณไม่เกิน 20 คน จนพิธีหล่อพระเสร็จ ได้กลับมาที่กุฏิ มีโอกาสอยู่กับท่านลำพังได้ถามท่าน 2 เรื่องสำคัญดังนี้

    1. ด้วยความสงสัย เพราะเป็นคนขี้สงสัย และไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องการการยืนยันให้แน่ใจ

    ผมถามท่านว่า "ครูบาครับ หล่อพระวันนี้มีเทวดามาไหม "

    ท่านตอบมา "มา"

    ถามท่านต่อว่า "มาเยอะไหมครับ"

    ท่านบอกว่า "เยอะ"

    ที่ถามท่านแบบโง่ๆ อย่างนี้ เพราะสงสัยมานานว่า เทวดามีจริงไหม แต่อยากทราบจากปากท่านจริงๆ

    2. ช่วงนั้นประมาณปี 2538 หรือ 39 ได้ข่าวเข้าหูว่า มีคนทรงเจ้าเข้าผีไปอ้างว่า ทรงองค์ครูบาศรีวิชัย

    วันนั้นผมถามท่านว่า "ครูบาครับ เวลานี้ ครูบาศรีวิชัยอยู่ไหน"

    ท่านตอบ "ดุสิต"

    ผมถามต่อว่า "ครูบาขาว (ปี) เวลานี้อยู่ที่ไหน"

    ท่านตอบ "ดุสิต "

    ผมถามต่อว่า "แล้วครูบาวงล่ะ จะไปไหน"

    ท่านยิ้มเห็นฟัน (คงรู้ทันเรา) แล้วตอบผมว่า "เฮาไปตามบุญ บ่ไปตามบาป"

    ผมเลยขอท่าน.. "งั้นครูบาเอาผมไปด้วยเน้อ"

    ท่านพยักหน้าบอก "อือ"

    ..ยังย้ำท่านอีกที ครูบาสัญญากับผมแล้วนะ อย่าลืมนะ

    เล่าให้ลูกศิษย์คนอื่นๆ ฟัง ไม่อยากเก็บไว้คนเดียว ยังมีเรื่องที่ท่านเคยเล่าความสัมพันธ์ในอดีตของท่านบางช่วงกับหลวงปู่บุดดา หลวงพ่อฤาษีลิงดำให้ผมฟังด้วย...ค่อยๆ ทยอยเล่าละกัน งานเยอะ

    เคยถามท่านว่า พระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว แบบพระศรีอาริยเมตไตรย จะมาเกิดอีกไหม

    ท่านบอก..มา ท่านจะมาโปรดลูกหลานของท่าน

    ส่วนครูบาของผม ผมเชื่อว่าตอนนี้ท่านก็คงอยู่ที่เดียวกับอาจารย์ของท่านทั้งสององค์ และกำลังมองดูลูกหลานทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา


    เป็นไง กินเหล้าสนุกไหม

    พระอาจารย์นิกร ชัยยะเสโน

    วัดพระธาตุแก่งสร้อย

    มีอยู่ครั้งนึง ได้มีโอกาสติดตาม ครูบาท่านไปตรวจงานที่วัดพระพุทธบาทผาหนาม (วัดของครูบาขาวปี)

    ตอนนั้น ครูบามอบหมายให้ ตุ๊นิกร ไปช่วยดูงาน คุมก่อสร้าง พอกลับมาถึงวัด มีคณะผ้าป่ามารอที่ศาลาหน้าวัด

    ครูบาพอมาถึงวัดก็เดินตรงไปที่โยมคนนึง ตอนแรกผมสงสัยว่าท่านเดินไปทำไม เพราะผมเดินพยุงท่านไป

    ท่านเดินไปทักโยมคนนั้นในคณะผ้าป่า...

    "เป็นไง กินเหล้าสนุกไหม"

    แล้วท่านก็เดินขึ้นไปบนกุฏิเลย ไม่รับทานผ้าป่าคณะนั้น

    ลูกศิษย์จะทราบว่าท่านไม่ชอบพวกที่กินเหล้าเมายามาทำบุญที่วัด ครูบาท่านทราบได้อย่างไรก็น่าประหลาดใจดี คำพูดที่ท่านจะพูดบ่อยๆ ติดหูลูกศิษย์ว่า

    "ระวังบุญจะฆ่าบุญ"

    ลูกศิษย์คงทราบดีว่า ถ้าทำอะไรผิดอย่างไร

    ครูบาท่านก็จะทราบหมด อะไรที่ท่านไม่ชอบ

    ก็อย่าไปทำผิด

    บางคนที่นำเนื้อสัตว์เข้ามาในวัด ครูบาท่านก็จะทราบ ลูกหลานทำอะไรก็ต้องมีสติให้ดี อย่าคิดอะไรไม่ดี อย่าทำอะไรไม่ดี เดี๋ยวครูบาท่านจะดุเอา


    ทำไมถึงรวย

    ผมเคยมีความสงสัยในการทำบุญ ได้ถามคำถามท่านว่า ทำไมประเทศที่ไม่นับถือพระพุทธศาสนา หลายประเทศ แบบยุโรป อเมริกา คนถึงได้รวยกว่าเราทั้งๆ ที่เราเป็นประเทศพุทธ และมีหลวงพ่อหลวงปู่ที่เป็นเนื้อนาบุญหลายรูป

    ครูบาท่านตอบ...

    พวกนั้น ที่รวย เพราะฤทธิ์ของพญามาร มันหลอกเรา


    สมัยพระศรีอาริย์

    เข้าๆออกๆ เวป วันนี้หลายครั้ง เพราะพอนึกเรื่องอะไรที่ครูบาบอกได้ก็จะมาเขียนในสมุดบันทึกไว้ และก็มาเขียนในกระทู้ตามที่พี่มหาหินบอกไว้....

    ประมาณปี 2539-2540 ผมเคยถามท่านเรื่อง สมัยพระศรีอาริยเมตไตรย ความว่า...

    ครูบาครับ เค้าว่าสมัยพระศรีอาริยเมตไตรยนี่จะสุขสบายจริงไหม

    ครูบาท่านตอบว่า...ณ เวลานี้ ก็เริ่มเข้าเขตศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรยแล้ว คนถึงได้สุขสบาย บารมีของท่านทำให้เราสบาย


    เรื่องเกี่ยวกับ วังหน้า

    ...ว่าตามตรง ผมเองตอนเห็นหนังสือที่มีรูปที่ครูบาเขียนไว้ให้ลูกศิษย์ดู ก็แปลกใจ

    เพราะตอนที่ผมเคยคุยกับท่าน ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้เท่าไร ในส่วนที่ครูบาเคยพูดกับผมก็เป็นอีกวาระหนึ่ง เรื่องมันยาวมาก

    ตอนนั้นครูบาเองก็เป็นพระในป่าในบ้านนอก ประชาชนทั่วไปก็ไม่มีคนรู้จักมากมาย ท่านพูดชื่อเจ้านายบางองค์ ท่านพยายามนึกชื่อ บางชื่อท่านก็จำไม่ได้ ท่านพยายามนึกชื่อ ผมเองก็ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ท่านก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร เรื่องมันนานมาแล้ว วันหลังมีโอกาสจะเล่าให้ฟังครับ...


    เนินมหัศจรรย์ (miracle hill)

    รูปปั้นฤๅษีวาสุเทพ

    ที่วัดศรีดอนชัย

    ผมเลือกเอาเรื่องที่ผมบันทึกเอาไว้อ่านเอง เพื่อจะได้ระลึกถึงครูบา บางเรื่องที่น่าสนใจจากพวกลูกศิษย์ใกล้ชิดคนอื่นที่น่าสนใจ ผมก็เอามาจดไว้ จะได้ไม่ลืม....

    วันนึงนั่งคุยเล่นกับ ตุ๊นิกร คุยกันเรื่องครูบา

    ตุ๊กรถามว่า รู้จักเนินมหัศจรรย์ไหม (miracle hill)

    ผมถามว่า ที่ไหน

    ตุ๊บอกว่า ที่แม่สอดไง

    ผมบอกว่า รู้จัก

    ตุ๊กรบอกว่า ครูบาเคยบอกว่า สมัยท่านเป็นฤๅษี ท่านไม่มีน้ำดื่ม ท่านอธิษฐานขอน้ำให้ไหลขึ้นมาบนเนิน ..

    เนินมหัศจรรย์ อ. แม่สอด จ.ตาก

    ทุกวันนี้คำอธิษฐานของท่านก็ยังคงอยู่

    แม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว เวลาขับรถผ่านจากตากไปแม่สอด จะเห็นคนมาจอดรถ ให้รถไหลจากที่ต่ำไปที่สูงเล่น

    คำอธิษฐานเล็กๆ น้อยๆ ก็มีผลมาก

    ครูบาท่านเคยบอกผม

    ..อย่าไปมองข้ามคำอธิษฐานเล็กๆ น้อยๆ นะ

    เรื่องนี้ตุ๊กรเล่าให้ฟัง ไม่มีโอกาสถามครูบาสักที ได้แต่จดไว้


    ครูบาช่วยลูกศิษย์

    มีเรื่องในบันทึกของผมที่เกี่ยวเนื่องแต่คนละวาระกัน..

    ลูกศิษย์ใกล้ชิดคนนึงมีเรื่องน่าสนุกมาเล่าบอกว่า

    วันก่อนมีโยมคนนึงมาทำบุญกับท่าน ครูบาบอกให้นอนพักที่วัด แต่ชายคนนั้นก็ไม่ยอมนอน จะกลับกรุงเทพให้ได้ ครูบาท่านเลยเอาน้ำหมากเจิมที่หน้าผากให้ (ท่านไม่ค่อยทำให้ใคร)

    ปรากฏว่าลูกศิษย์คนนั้น ขับรถไปชนกับรถ 10 ล้อพังยับเยิน แต่ไม่ได้รับอันตรายอะไรเลย

    ชายคนนั้นบอกว่า รถ 10 ล้อ บอกว่า เห็นพระมายืนขวางรถไว้ เลยหักหลบ

    ภายหลังโยมคนนั้นได้กลับมาหาครูบา มากราบขอบคุณครูบา เค้าบอกว่า ครูบาช่วยเค้าไว้

    เรื่องทำนองนี้ผมได้ยินมาบ่อยมากจนชิน แต่ก็เก็บคำถามความสงสัยไว้มาตลอด

    จนวันนึงมีโอกาสเหมาะจังเรียนถามท่าน ... ครูบาไปช่วยลูกศิษย์ด้วยตัวเองหรือเปล่าครับ

    ครูบาตอบ...บางทีก็ไม่ได้ไป บางทีเทวดาเค้าก็มาช่วยครูบา เค้ามาช่วยสร้างบารมี

    ลูกหลาน ที่มีพระเครื่องของท่าน จงเชื่อมั่นตามที่ท่านบอก ถ้าไม่ใช่ครูบามาโปรดช่วย ก็คงมีเทวดาที่เป็นลูกศิษย์ของท่านมาช่วย ครูบาสร้างบารมี ตามที่ท่านบอก

    เวลาจะไปไหนมาไหน หรือขออนุญาตสิ่งใดๆ ถ้าครูบาท่านบอกอะไร หรือห้ามอะไร ลูกศิษย์ก็จะไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง

    ครูบา ท่านมี วาจาสิทธิ์ จริง ๆ


    รู้ไหม? ...รู้

    ครูบาขาวปี

    มีอยู่วันนึง นั่งอยู่กับ ครูบาบนศาลา ท่านรับแขกอยู่ มีคณะลูกศิษย์จากกรุงเทพ ถ้าจำไม่ผิด จะเป็นคณะของคุณเสริมศักดิ์...

    มากราบเรียนท่านว่า จะเอาผ้าป่าไปทอดที่วัดพระพุทธบาทผาหนาม อาจจะเลยไปทอดที่วัดบ้านปางด้วย แล้วค่อยกลับมาวัดห้วยต้ม

    ครูบาก็บอกว่า..ดี

    พอคนไปหมดแล้ว ผมเรียนถามท่านว่า...

    เวลามีคนไปทำบุญ ไปทอดผ้าป่า ให้ครูบาศรีวิชัยแบบนี้ ท่านจะรับรู้ไหม?(เพราะท่านมรณภาพไปแล้วนี่นา)

    ครูบาบอกว่า รู้

    ผมถามว่า ครูบาขาวหละ ท่านรู้ไหม?

    ครูบาตอบว่า รู้

    ถามท่านต่อว่า...แล้วเวลาลูกศิษย์ที่อยู่ที่อื่น พูดถึง หรือนึกถึงครูบาวงหละ รู้ไหม?

    ครูบาบอกว่า รู้

    ดังนั้นลูกศิษย์ทั้งหลายจะทำอะไรก็ระลึกถึงท่านไว้ ท่านก็คงรับรู้ตามที่ท่านบอกไว้

    ท่านก็คงมาสงเคราะห์ลูกหลานตามสมควร เวลาพวกเราทำบุญอะไรเกี่ยวเนื่องกับท่าน

    ครูบาท่านก็ย่อมรับรู้ตามที่ท่านบอกกับผมไว้เช่นกัน

    ทำกำลังใจของเราไว้ให้ดี...

    ระลึกถึงท่านตลอด


    เส้นผมที่เป็นพระธาตุ ....พระโพธิสัตว์ ก็เป็น

    พระอาจารย์นพดล

    ตอนบ่ายวันนึง ไปทำบุญที่ วัดพระบาทตะเมาะ เจอหลวงพี่นพดล ที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ

    ท่านเรียกมาดู ท่านบอกจะให้ดูของดี เคยเห็นไหม เป็นเส้นเกศาครูบา ที่กลายเป็นพระธาตุสีทับทิม เราก็โมทนาด้วย

    อีกครั้งนึงถ้าจำไม่ผิด

    รู้สึกจะเป็น อาจารย์ปฐม

    เอาแก้วมาก้อนนึง มีเส้นผมอยู่ข้างใน มาให้ท่านดู

    ครูบาบอกเป็นเส้นผมท่านในอดีต (ผมไม่ได้อยู่ด้วย ลูกศิษย์อีกคนบอกเรื่องนี้ให้ฟัง)

    พอมีโอกาสก็เลยเรียนถามท่านว่า เส้นผมที่เป็นพระธาตุ เกิดกับพระอรหันต์เหรอครับ

    ครูบาท่านบอก...พระโพธิสัตว์ ก็เป็น

    (ผมค่อยใจชื้นหน่อย) ผมเลยบ่นน้อยใจกับท่านว่า....

    แล้วเมื่อไรเส้นผมของครูบาที่อยู่กับผมจะเป็นสักที

    ครูบาท่านหัวเราะ...ท่านบอก

    เก็บเอาไว้ เดี๋ยวก็เป็น (พระธาตุ) เอง


    ดี ที่ไม่ได้ขอ

    เป็นที่ทราบกันดี เรื่องครูบา ท่านอธิษฐานขอพระธาตุ บางทีก็เทวดาให้ท่านมาบ้าง เหมือนภาพที่ลูกศิษย์เคยถ่ายไว้ ตอนแกะดอกบัวออกมาแล้วมีพระธาตุอยู่ข้างใน พระธาตุข้อพระหัตถ์ซึ่งมาแสดงที่พุทธมณฑล

    ตรงที่บริเวณครูบาสวดมนต์ท่านจะเก็บพระธาตุสำคัญต่างๆ ไว้ตรงตู้นั้น

    ก่อนครูบามรณภาพ ท่านให้ลูกศิษย์ถ่ายภาพเก็บไว้ แล้วให้จด ท่านกลัวคนภายหลังจะไม่ทราบ เรื่องหอพระเขี้ยวแก้วที่วัด ไม่ค่อยมีคนพูดถึง ลูกศิษย์ใหม่ๆ บางคนก็ไม่ทราบ

    ครูบาจะเก็บพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าไว้ที่นั่น

    ถ้าได้ไปวัด ก็จะอยู่ข้างเจดีย์ หลังรอยพระบาท เมื่อก่อนจะเปิดสรงน้ำพระธาตุปีละครั้ง

    ผมเคยนึกสนุก ขอพระเขี้ยวแก้วกับครูบา เรียนท่านว่า

    ครูบาครับผมอยากได้พระธาตุพระเขี้ยวแก้ว แบบที่ครูบาเอามาจากศรีลังกา ขอครูบาอธิษฐานเรียกขอให้ผมหน่อย

    ครูบาตอบยิ้มๆ...บ่ได้ มันแพง เพราะต้องขึ้นเครื่องบินมา

    ก็ดีแล้วที่ท่านไม่อธิษฐานขอให้

    เพราะได้มาคงลำบาก ของสูงไม่รู้จะเก็บไว้ที่ไหน


    พระเย็น ....พระร้อน

    เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก จะนิมนต์ครูบาท่านไปทำบุญสืบชะตาเขื่อนเป็นประจำ ตอนครั้งสุดท้ายที่ครูบายังแข็งแรง ครูบายังรับนิมนต์ไปที่เขื่อน หลวงพี่เต๋ชวนผมไปด้วย ทางเขื่อนจัดให้ครูบาพักที่บ้านพักรับรอง

    ผมเดินเล่นที่ด้านหน้าบ้านพัก เจอครูบาสร้อย วัดมงคลคีรีเขตร์ จังหวัดตาก (ท่านก็ได้รับนิมนต์มา) มายืนรอ...ท่านถามผมว่า ครูบาพี่ อยู่ไหม ผมบอกว่า อยู่ พอดีครูบาวงท่านเดินมา ครูบาสร้อยพอเห็นก็เข้ามากอดครูบาวง แล้วก็ไหว้ครูบาวง ครูบาวงท่านก็ยิ้ม

    ท่านคุยทักทายกันสักครู่ ครูบาสร้อยท่านเตรียมลูกประคำโลหะ (คล้ายๆ เหล็กไหล) มาถวายครูบาวง

    ครูบาท่านรับแล้วจะเอาใส่ในย่าม แต่ครูบาสร้อยไม่ยอม ท่านขอให้ครูบาวงคล้องไว้ที่คอ ครูบาก็เลยเอามาสวมไว้

    ตอนกลางคืนหลังครูบาสวดมนต์เสร็จ ผมนึกสนุก ลองเอาพระเครื่องเนื้อดินให้ท่านดู เคยเห็นลูกศิษย์คนอื่นชอบเอามาให้ท่านดู แล้วถามท่าน ผมถามท่านว่า...

    ครูบาครับ พระอะไร

    ครูบาเอามาใส่มือ แล้วบอกผมว่า พระของพระเจ้าตาก แล้วท่านก็ยื่นคืนให้

    ผมก็ไม่กล้าถามท่านต่อ นอนคุยกับหลวงพี่เรื่องครูบาจนหลับไป

    พอตอนเช้าเห็นเต่าสำลีครูบาวางไว้ 2-3 ตัว

    ไม่มีคนสนใจเก็บ ผมเลยเก็บเอาไว้

    หลวงพี่เต๋ชวนไปตรวจงานที่พระธาตุแก่งสร้อยกับครูบา ตอนนั้นแก่งสร้อยยังไม่ได้เริ่มบูรณะเลย แต่ผมไม่ได้ไปด้วยเพราะติดธุระ ลาครูบากลับก่อน

    ลูกศิษย์บางคน ก็ประเภทชอบจับพลัง ส่วนผมไม่ค่อยกล้ารบกวนท่าน ต้องดูสถานการณ์ให้ดีก่อน เดี๋ยวโดนท่านดุเอา

    พระร่วงหลังรางปืน

    (ไม่ใช่องค์ที่เล่าในเรื่อง)

    ตอนผมเจอครูบาครั้งแรก มีลูกศิษย์คนนึงเป็นทหารยศนายพันจากนครราชสีมา (สมัยนั้นการไปวัดห้วยต้มไม่สะดวกแบบนี้ โทรศัพท์วัดก็ไม่มี มือถือก็รับไม่ได้ รถก็เข้าไปลำบาก )

    พี่ทหารคนนี้เอาพระเครื่องมาองค์นึง ถ้าจำไม่ผิดเป็นพระร่วงหลังรางปืนมาให้ครูบาดู แล้วถามครูบาเสียงดัง (พี่ทหารคนนี้เป็นคนเสียงดัง) เค้าถาม..ครูบาครับพระอะไรครับ

    ครูบาบอก...พระองค์นี้สร้างตอนสงคราม มันร้อน

    สักครู่ท่านก็เรียกพี่คนนี้เข้าไปในห้องท่าน พอออกมา ครูบาคายหมากออกมาให้

    ท่านบอก เอานี่ไป

    พี่ทหารแบฝ่ามือรับชานหมาก มีพระรอดออกมาด้วย....

    พี่คนนั้นก็ถาม ครูบาให้ผมเหรอครับ

    ครูบาก็หัวเราะชอบใจ ท่านบอกอันนี้ของเย็น เอาไว้คู่กัน (กับพระที่พี่เค้าถาม)

    พี่ทหารคนนั้นก็พูด...สาธุครูบา สาธุครูบา ตลอด กราบครูบาใหญ่เลย

    เรื่องพี่ทหารคนนี้มีหลายเรื่อง ต้องค่อยๆ ทยอยเล่า

    ตอนผมเจอครูบาครั้งแรก

    ผมก็เจอเรื่องแปลก ของท่านแล้ว


    ขอลูก

    ตอนต้นปี 2536 เจอลูกศิษย์คนนึง เป็นทหาร มาทำบุญกับครูบาที่วัด ได้คุยกัน เค้าเล่าเรื่องครูบาให้ฟัง

    พี่คนนี้เจอครูบา ตอนสมัยเรียนโรงเรียนนายร้อย สักหลายสิบปีก่อน ได้มาเที่ยวกับเพื่อนที่ลำพูน เลยได้พบครูบา เล่าเรื่องอภินิหารหลายอย่างของครูบา เค้าบอกว่า..

    น้องโชคดีได้เจอครูบาสุดยอดแล้วนะ

    ตอนนั้นก็ฟังหูไว้หู สนุกดี

    เค้าบอกเค้ามีลูกยากมาก ทำทุกวิธีไม่ได้ลูกสักที มาขอครูบา ต่อมาภรรยาตั้งท้องคลอดออกมาเป็นลูกแฝด เค้าเลยคิดว่าได้ลูกเพราะครูบาช่วย วันนี้เค้าเลยมากราบขอบคุณครูบา

    ตอนหลังแม้ครูบาจะไม่อยู่แล้ว ผมก็เคยแนะนำคนอื่นที่มีลูกยากให้มากราบขอที่เจดีย์กับรอยพระบาท ในวัด บางคนก็ได้ลูกสมใจ


    ถ้าเคยทำบุญร่วมกับครูบามา ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหนก็ต้องมาพบกัน

    เกี่ยวกับวัตถุมงคลของครูบา มีเรื่องเล่าที่อาจจะเป็นประโยชน์....

    หลวงปู่บุญชุบ ทินฺนโก

    วัดเกาะวาลุการาม

    ครูบาท่านได้รับนิมนต์ไปพิธีพุทธาภิเษกที่วัดเกาะวาลุการาม จังหวัดลำปาง พ.ศ.2536เป็นวัดของครูบาชุบ  สหธรรมิกของท่าน ลูกศิษย์ก็ติดตามครูบาไป นั่งรถตู้ของวัดไป

    ระหว่างทาง ครูบาเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังหลายเรื่อง จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไรบ้าง (จำได้เลือนๆ เรื่องกวางคำ) ถึงวัดเกาะตอนบ่ายๆ ทางวัดให้ครูบาพักกุฎิหลังวัดติดแม่น้ำวัง

    ครูบาออกมารับแขกที่ศาลาในบริเวณวัด

    ที่ฝั่งนึงบนศาลา มีหลวงพ่ออีกรูปที่ได้รับนิมนต์มากำลังคุยกับญาติโยม มีคนรุมล้อมท่านเยอะ ท่านแจกวัตถุมงคลด้วย

    หลวงปู่แว่น ธนปาโล

    วัดถ้ำพระสบาย

    สอบถามคือ หลวงปู่แว่น วัดถ้ำพระสบาย (ตอนนั้นผมไม่รู้จักท่าน) ส่วนครูบามีลูกศิษย์มาทำบุญบ้าง ไม่มาก เหมือนบางคนไม่รู้จักท่านด้วยซ้ำไป ครูบานั่งสักครู่ก็กลับที่พัก

    ช่วงหัวค่ำท่านไปโบสถ์เพื่อร่วมพิธี เจ้าหน้าที่จัดให้ท่านนั่งบนธรรมาสน์มุมซ้าย ท่านนั่งข้างบน (ผมนั่งเฝ้าท่านด้านล่าง ถือไม้เท้าให้ท่าน )

    ตอนเริ่มพิธี พระที่เป็นพิธีกร (หรือเจ้าพิธีไม่แน่ใจ) พูดผ่านไมโครโฟนขอให้ครูบาสวดนำบทอะไรสักอย่าง (ผมฟังไม่ออก) ยื่นเอาไมค์มาให้ท่าน ครูบาบอกผ่านไมค์ เฮาสวดบ่จ้าง (สวดไม่เป็น)

    พระที่เป็นพิธีกรก็เลยให้องค์อื่นสวดแทน ครูบาท่านก็นั่งหลับตา อธิษฐานของท่านไป ไม่นานสักไม่เกิน 30นาที ท่านก็จะลงจากเก้าอี้

    ผมถามท่าน ครูบาทำเสร็จแล้วเหรอครับ

    ท่านบอก..เสร็จแล้ว

    (ตอนนั้นก็ได้แต่คิดในใจว่าทำไมท่านทำเร็วจัง) หลวงพ่อองค์อื่นๆ ยังอยู่กันเต็มพิธีเลย จนดึกดื่นบางรูปยังไม่ออกจากพิธีเลย

    พาท่านกลับไปพัก ตอนเดินพยุงท่านกลับมากุฎิรับรอง ทางวัดเปิดเทปเทศน์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำด้วย ผ่านลำโพงเสียงตามสายของวัด เลยถามครูบาว่า

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำตอนนี้อยู่ไหน

    ครูบา..ไม่ตอบ แต่เอานิ้วชี้ไปข้างบนฟ้า

    ผมถามท่าน..อยู่ข้างบนเหรอ

    ท่านยิ้มพยักหน้า

    เรื่องท่านเสกเป่าพระเครื่องแบบนี้ เคยพาคนรู้จักคนนึง (มีชื่อเสียง) หวังจะพาเค้าไปทำบุญกับครูบา เค้าเห็นญาติโยมที่มาวัดเอาวัตถุมงคลที่เช่าจากตู้มาให้ท่านมนต์อีก

    ส่วนใหญ่ท่านก็จะเป่าพรวดลงไป เพื่อนคนนี้เห็น เค้าบอก ครูบาไม่เก่ง ไม่ตั้งใจทำให้ ไม่เหมือนพระภาคกลางแถวบ้านเค้า ยิ่งตอนจะกลับให้ครูบาเอาเท้าเหยียบหัวให้ผม (ชอบคุยเล่นกับท่าน ให้ท่านเหยียบให้จมเหมือนหินเลย)

    เพื่อนคนนี้เห็น บอก ครูบาไม่สำรวม ทำไมเอาเท้ามาเหยียบหัวคน ผมเลยต้องรีบพากลับ เดี๋ยวจะบาปไปใหญ่

    ครูบาเคยบอกอันนี้แล้วแต่สายบุญ ถ้าไม่เคยทำบุญร่วมกันมา ยังไงก็ไม่อยากทำบุญด้วย ถ้าเคยทำบุญร่วมกับครูบามา ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหนก็ต้องมาพบกัน (กับท่าน)

    วัตถุมงคลที่ท่านทำ หรืออธิษฐานเพียงสักครู่ก็ยังดีแล้ว ดังนั้น วัตถุมงคลของวัดที่ท่านตั้งใจทำไว้ตอบแทนคนที่มาทำบุญช่วยสร้างวัด ก็น่าจะยิ่งดีกว่า

    เอารุ่นไหนก็ได้ ราคาถูกหรือแพง ก็เหมือนกัน ขอให้เป็นครูบาท่านทำ เช่าของทางวัด ถือว่าได้ร่วมทำบุญกับท่านด้วย


    แม้แต่พวกทำกรรมหนักมา (อนันตริยกรรม) ท่านก็โปรด

    ผมจดบันทึกเรื่องของครูบาท่าน ไว้อ่านเวลาระลึกถึงท่าน ค่อย ๆ ทยอยเขียนถ้ามีเวลา

    ตลอดเวลาที่เคยรับใช้ท่าน มีเรื่องราวมากมาย ต้องเข้าใจว่า หลวงพี่ หลวงพ่อทั้งหลาย หรือลูกศิษย์ใกล้ชิดที่วัด คงไม่ค่อยมีใครมาจดเอาไว้ เมื่อก่อนท่านบอกอะไรก็จำเอา

    บางครั้งโดนครูบาดุ ท่านสอนอะไร หรือบอกอะไรก็ตักเตือนกัน บางเรื่องท่านพูดไว้ ถ้าไปถามหลวงพี่ ท่านคงไม่พูด ท่านว่าจะเป็นการอวดครูบาอาจารย์ โอกาสที่ลูกศิษย์คนอื่นจะได้ใกล้ชิดได้ฟังอะไรจากท่านก็คงลำบาก

    เรื่องราวต่างๆ ของท่านจึงมีแต่ในหนังสือที่ลูกศิษย์พิมพ์ขึ้น ครูบาเองท่านก็เป็นพระป่า ท่านก็ใช้เวลาแต่ละวันเพื่อทำงานศาสนา ท่านโปรดลูกหลานทุกคน

    ท่านเคยบอกแม้แต่พวกทำกรรมหนักมา (อนันตริยกรรม) ท่านก็โปรด

    หวังว่าเรื่องราวของท่านจะมีประโยชน์กับลูกศิษย์บ้าง


    เรื่องพระสังฆราช ญาณสังวร..

    หลวงพ่อเกษม เขมโก

    พระสังฆราช ญาณสังวร ท่านเสด็จมาหาครูบาวง เคยถามท่านว่า พระญาณสังวร ท่านมาหาครูบา คุยอะไรกัน

    ครูบาตอบ.. เป็นเพื่อนกัน เพื่อนเป็นสังฆราช ตัวนี่ (ใช้นิ้วชี้ตัวท่าน) เป็นสังคโลก แล้วท่านก็หัวเราะ

    อีกครั้งนึง ถามครูบาว่า ครูบารู้จักหลวงพ่อเกษมที่ลำปางไหม

    ครูบาบอก..รู้จัก

    ถามว่า เคยเจอกันไหมครับ

    ท่านบอกว่า..เคยเจอกัน

    ถามว่า เจอกันได้ยังไง

    ครูบาบอก...พระสังฆราชมาหา มารับไปด้วย เลยเจอกัน

    ถามท่านต่อว่า หลวงพ่อเกษมดีไหมครับ

    ครูบาท่านบอกว่า..ดี

    เหตุการณ์ต่อเนื่องกัน เรื่องนี้วันหลัง มาคุยกับ หลวงพี่เต๋ ครูบาเราเคยเจอหลวงพ่อเกษมเหรอ บอกว่าครูบาเล่าให้ฟัง

    หลวงพี่บอกว่า วันนั้นได้ตามครูบาไปด้วย บอกว่าทั้งสามองค์พอเจอก็คุยสนทนากัน (พระสังฆราชญาณสังวร หลวงพ่อเกษม ครูบาวง)

    หลวงพี่บอก คุยภาษาบาลีกันตลอด โต้ตอบกันใหญ่

    ถามหลวงพี่ว่า คุยอะไรกัน

    หลวงพี่บอก ฟังไม่รู้เรื่องเลย

    เรื่องเดียวกัน มาย้อนถามครูบาท่าน ครูบาครับพูดภาษาบาลีเก่งไหมครับ (ไม่ค่อยเห็นท่านพูด)

    ครูบายิ้มแล้วตอบว่า...นะโม เฮายังสวดบ่จ้าง (ยังสวดไม่เป็น)

    ท่านคงถ่อมตัว


    ครูบาบุญทืม วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน

    ครูบาบุญทืม

    วัดจามเทวี จ.ลำพูน

    ...ตอนท่าน (ครูบาบุญทืม) มรณภาพ ครูบาวงท่านไปรื้อกุฏิ

    หลวงพี่เต๋ไปด้วย ได้เกศาครูบาศรีวิชัย และสิ่งของเกี่ยวกับครูบาศรีวิชัยที่ครูบาทืมเก็บไว้

    เคยถามครูบาเรื่องครูบาบุญทืม ถามท่านว่า ครูบาทืมเก่งไหม

    ครูบาตอบ..เก่ง

    ถามท่านว่า ครูบาทืมเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า

    ครูบาบอก...อือ

    ครูบาบุญทืมเป็นผู้ที่บอกหลวงพ่อฤาษีลิงดำให้มาเจอครูบา ครูบาเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง


    เจดีย์ชเวดากอง ที่ห้วยต้ม...

    เจดีย์ชเวดากอง

    พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย

    ได้บันทึก เรื่องเจดีย์ชเวดากองไว้ ข้อมูลที่ในหนังสือไม่ได้เขียนไว้

    จุดเริ่มต้นวันแรกของชเวดากอง

    วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2534 ครูบาพาลูกศิษย์ไปด้วยกันหลายคน บริเวณหลังวัด ตรงที่สร้างเจดีย์ทุกวันนี้

    (วันนั้นตุ๊นิกรไปด้วยกับครูบา ตอนนั้นยังเป็นเณรอยู่)

    ครูบามาอธิษฐานสร้างเจดีย์ ท่านมาหา น้ำบ่อน้อย ครูบาสวดมนต์อยู่นานเพื่อหาตำแหน่ง

    พอได้จุดที่จะสร้างเจดีย์ ครูบาเดินไปข้างๆ น้ำบ่อน้อย ท่านเหยียบรอยเท้าไว้บนหินด้วย

    (คุยกับตุ๊กร บอก วันที่ 14 ตุลา น่าจะเป็นวันเริ่มต้นของเจดีย์ชเวดากอง )

    เคยถามครูบาท่านบอก เทวดาขอให้ท่านสร้าง ครูบาท่านตั้งใจทำไว้ ท่านอธิษฐานขอสิ่งของที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์มาไว้ในเจดีย์

    ท่านเคยบอกลูกศิษย์ว่าท่านขอให้พระศรีอริยเมตไตรยมาที่เจดีย์นี้ในยุคที่ท่านมาโปรดบนโลก ให้เหมือนที่พม่า

    เคยได้ไปตรวจงานกับครูบาหลายครั้ง ตั้งแต่ตอนเริ่มก่อสร้าง เรื่องเจดีย์ชเวดากองมีรายละเอียดอื่นๆอีก

    ครูบาท่านบอกความหมายไว้หมด ต้องค่อยๆ ทยอยเล่า


    พระรอด ของครูบา....

    องค์นี้ท่านคายออกมาพร้อมคำหมากให้กับพระตุดี ท่านตุดีเคยได้มา 4 องค์ นี่เป็นหนึ่งใน 4

    ข้อมูลจากคุณคมกฤช โพสท์ในเวบ board.palungjit.com

    วันที่ 05-09-2007

    เรื่องนี้เป็นสิ่งที่มีคนอยากรู้ แต่ก็คลุมเครือ

    เนื่องจากเพราะลูกศิษย์มักไม่ค่อยพูดถึงกัน ก็มีเล่าสู่กันฟัง ส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยบอกใคร เรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับครูบาบางอย่างเลยไม่ค่อยมีคนนอกทราบ

    ตุ๊เต๋ (พระอาจารย์อ่อนแก้ว ชัยยะเสนโน)..บอกไม่กล้าพูด เดี๋ยวคนอื่นได้ยินจะว่าเป็นการ ยกอาจาร์ยเราเหนือคนอื่น เช่นเรื่องพระรอด

    ลูกศิษย์บางคนจะได้พระรอดจากชานหมากของท่าน บางคนได้ บางคนไม่ได้ บางคนขอท่านก็จะให้ บางคนขออย่างไรท่านก็ไม่ให้ ลูกศิษย์คนไหนไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียใจ

    เคยถามครูบาเรื่องนี้...ครูบาครับ ทำไมไม่เรียกพระอย่างอื่นมาบ้าง แบบพระสมเด็จ อะไรทำนองนี้

    พระอาจารย์ตุดี โฆสิตธัมโม

    วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม.

    ครูบาท่านบอก...ไม่ได้หรอก เจ้าของเค้าหวง ครูบาจะเรียกได้เฉพาะที่ (ท่าน) ทำไว้

    ภายหลังท่านยังบอก....บางคนที่เคยทำกับท่านไว้ ก็จะเรียกได้

    เคยมีคนรู้จัก มาขอให้พาไปกราบท่าน เค้าเคยได้ยินเรื่องพระรอดของท่าน ไปถึงก็กราบขอพระรอดจากท่าน มาที่วัดเพราะอยากได้พระอย่างเดียว ไม่ได้อยากมาทำบุญ

    เค้าบอกครูบา.. ผมอยากได้พระรอด เหมือนคนอื่นบ้าง

    ครูบามองหน้าแล้วตอบ... หมดแล้ว เอานี่ไปแทน (พระธาตุข้าว)

    เพื่อนคนนั้นก็ได้พระธาตุจากท่านไปแทน ประมาณ 1 กำมือ ท่านหยิบให้จากโถพลาสติกข้างๆ ที่นั่งของท่าน

    ตอนกลับจากวัด ผมไม่ทันสังเกตว่า เค้าเก็บพระธาตุไว้ที่ไหน ตอนจะลาจากกัน เค้าบอกทำพระธาตุท่านหาย ให้ผมช่วยหาบนรถยนต์ หาอย่างไรก็ไม่เจอ ไม่น่าเชื่อ หายไปหมด เค้าบอก เอาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ...

    ผมเพิ่งเข้าใจ ครูบาท่านคงทราบ ท่านจึงไม่ให้ไป หรืออาจจะไม่ได้ศรัทธาครูบาท่านจริงๆ

    เพราะเค้าอยากได้แต่พระรอด

    มีลูกศิษย์ที่สนิทกัน เป็นกระเหรี่ยงบ้านห้วยต้มชื่อ เสรี เมื่อก่อนตอนยังไม่เสียชีวิต จะช่วยครูบาหลายอย่าง เค้าเคยพูดตลกว่า...

    ดูซิ รับใช้ครูบาทุกอย่าง ทำให้ครูบาทุกอย่าง ครูบาไม่เคยให้พระรอดเลย ได้แต่เต่า (สำลี) ใส่ขี้หูบ้าง ขี้เล็บบ้าง

    เรื่องพระรอดนี้ ลูกศิษย์บางคนก็ได้ บางคนก็ไม่ได้ เล่าสู่กันฟัง ลูกศิษย์ที่ไม่ได้ก็ไม่ได้เสียใจ เพราะสิ่งที่สำคัญคือ การได้ทำบุญกับท่าน ได้ช่วยครูบา ได้รับใช้ครูบาก็มีความสุขแล้ว ยึดคำสั่งสอนของท่านไว้

    วัตถุมงคลของท่าน แบบไหนก็ได้ ท่านทำไว้ดีทั้งนั้น


    บันทึกไว้เรื่องพระรอด.... ๒

    ตอนที่ไปวัดบ้านปาง เพื่อไปหารอยเท้าท่านบนหิน ว่าจะยกกลับมาวัดห้วยต้ม เพราะไม่มีคนสนใจ ครูบาให้ไปแจ้งเจ้าอาวาสก่อน ตอนนั้นหลวงพ่อมหาจรูญ เป็นเจ้าอาวาส นั่งคุยกันเรื่องพระรอดครูบา มหาจรูญบอก...มีนายธนาคารคนนึง มาขอพระรอดจากครูบา แต่ท่านก็ไม่ได้ให้ไว้...

    อย่างที่ทราบ บางคนท่านก็ให้ บางคนท่านก็ไม่ได้ให้


    บันทึกไว้ เรื่องพระรอด.... ๓

    มีลูกศิษย์อีกคน มาเล่าเรื่องให้ฟัง ตอนประมาณปี 252.. กว่า เค้าบอกว่า ครูบารับนิมนต์ไปวัดที่ชลบุรี ถ้าจำไม่ผิด วัดนอก?? ไปงานพุทธาภิเษก เค้าบอกว่า หลังงานเสร็จ มีคนมาขอวัตถุมงคลจากท่าน ครูบาล้วงเอาพระเนื้อผงในย่ามแจก มีอยู่คนนึงมาขอ แต่พระของครูบาหมด ท่านหยิบส้มให้แทน เค้าเล่าว่า ครูบาบอก ลองดูซิ พระอาจจะอยู่ในส้ม โยมคนนั้นแกะส้มออกมา เจอพระรอดข้างในจริงๆ


    หลวงปู่ไม่ลาพุทธภูมิ

    สลับเรื่องลูกศิษย์ท่านอื่น เขียนลงหนังสือบ้าง

    จากหนังสือ พระชัยวงศาปูชนียาลัย

    ประมาณปี 2535 ในช่วงเวลานั้น หลวงปู่ครูบาวงศ์ ท่านยังมีสุขภาพแข็งแรง หลวงปู่มักจะมาโปรดลูกหลานที่วัดบุปผาราม ฝั่งธนบุรีอยู่บ่อยๆ

    มีพระภิกษุรูปนึงถามครูบาว่า "หลวงปู่ไม่ลา (พุทธภูมิ) หรือครับ"

    หลวงปู่ตอบพร้อมคายน้ำหมาก และพูดทีเล่นทีจริงว่า "ขี้เกียจลา"

    พระรูปนั้นถามต่อไปว่า "แล้วอีกนานไหมครับ กว่าจะถึงคิวหลวงปู่"

    หลวงปู่ตอบว่า "จะว่านาน ก็นาน เมื่อตอนอธิษฐานปรารถนาอย่างนี้ ไม่คิดว่ามันจะนาน ไม่อยากลา เดี๋ยวเสียสัจจะ"

    จากหนังสือ สรณะในดวงใจ หลวงปู่กล่าวว่า

    "พระโพธิสัตว์บางองค์ บารมีแก่ แต่ไปนิพพานยังไม่ได้ เพราะเป็นหนี้ลูกหลาน อย่างหลวงพ่อ จะไปนิพพานชาตินี้ ลูกๆ ขอเกาะชายผ้าเหลือง ปรารถนาจะไปนิพานร่วมกับหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อโปรด จะติดตามหลวงพ่อไปให้ได้

    หลวงพ่อก็ต้องอยู่เมตตาไปอย่างนี้ เพราะคนที่ขอติดตาม บารมีไม่เท่ากัน ก็ไปลำบาก ลูกๆ ทั้งหลายที่มีกิเลส มีกรรมมาก หลวงพ่อก็ต้องรอจนกว่าจะไปนิพพานได้ทั้งหมด แม้ว่าลูกศิษย์ที่ขอติดตามหลวงพ่อจะถูกจำคุกตลอดชีวิต หลวงพ่อก็จะคอย

    แต่หลวงพ่อจะไม่คอยสำหรับคนที่มีโทษประหาร"

    ที่ครูบาท่านย้ำเสมอคือ "ลูก ๆ ที่บารมีแก่แล้ว ใครไปได้ให้ไปก่อน ไม่ต้องคอยหลวงพ่อ มันช้า"

    ขอบารมีครูบาวง คุ้มครองลูกหลานทุกคน


    เรื่องรอยเท้าของครูบา..

    รอยเท้าครูบาที่วัดบ้านปาง

    ก็เป็นที่รู้กัน ว่าครูบาท่านประทับรอยเท้าของท่านไว้หลายที่หลายแห่ง เท่าที่ผมบันทึกไว้ก็หลายรอย รอยที่วัดบ้านปาง ดูจะมีคนทราบ

    เนื่องจากมีลูกศิษย์ถ่ายภาพเอาไว้ มีเรื่องเล่าเกี่ยวข้องกัน...

    เมื่อวันที่หลวงปู่ไปรับพระราชทานสมณศักดิ์ที่พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ ท่านได้แวะผักผ่อนที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

    และอาจารย์ปฐม พัวพันธ์สกุล ได้ถ่ายภาพขณะที่ท่านวัดรอยเท้าของท่านเองเมื่อครั้งท่านอายุได้ ๒๒ ปี ที่ท่านได้เคยประทับไว้บนก้อนหินก้อนนี้ ในขณะที่ท่านได้ไปทำธุระส่วนตัวในป่าข้างทาง

    หลังจากทำธุระเสร็จแล้วเทวดาได้ขอให้หลวงปู่ประทับรอยเท้าลงบนหินก้อนใหญ่ใต้ต้นไผ่หน้าประตูทางขึ้นวัดบ้านปาง เพื่อพวกเขาจะได้กราบไหว้บูชา

    ปัจจุบันหินก้อนนี้เจ้าอาวาสวัดบ้านปางได้นำขึ้นไปประดิษฐานไว้บนวัด (ใกล้ประตูทางเข้าเขตอุโบสถ)

    และได้ให้หลวงปู่ประทับรอยมือไว้บนหินก้อนดังกล่าว พร้อมทั้งสร้างมณฑปครอบไว้อย่างสวยงาม

    (จากหนังสือพระชัยวงศานุสสติ)

    เพิ่มเติมข้อมูล

    วันนึงผมได้เรียนถามท่านเรื่องรอยพระบาทครูบาวง ที่วัดบ้านปาง ว่า รอยเท้าบนหินของท่านอยู่ตรงไหน

    ครูบาท่านก็บอกตำแหน่งให้ผม ไปหาเจอสภาพในตอนนั้นเหมือนก้อนหินธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจ

    มณฑปที่วัดบ้านปาง ที่คุณหมอณพลเดช รักษ์บำรุง กับคณะศรัทธาร่วมกันสร้าง

    จึงนำความมาบอกครูบา บอกท่านว่า ไม่มีใครสนใจรอยเท้าของครูบาที่วัดบ้านปางเลย

    ท่านบอกผมว่า ถ้าไม่มีใครสนใจก็ให้ผมยกกลับมาไว้ที่ห้วยต้ม

    ผมก็ถามท่านว่า ไม่เป็นไรหรือ เทวดาที่ขอท่านจะว่าผมไหม

    ท่านบอก ไม่เป็นไร แต่ให้บอกขออนุญาตเจ้าอาวาสก่อน ถ้าเจ้าอาวาสอนุญาตก็ให้ยกมาได้

    ภายหลังได้มาวัดบ้านปางอีกครั้งจึงเรียนเจ้าอาวาสว่า จะขอยกก้อนหินที่ครูบาวงท่านประทับรอยเท้าไว้กลับห้วยต้ม

    ท่านเจ้าอาวาสไม่อนุญาต ผมจึงบอกท่านว่า ถ้าไม่ให้ยกกลับ ผมขอสร้างมณฑปครอบรอยเท้าอาจารย์ผม เพื่อจะได้เป็นที่สักการะสืบไป

    ได้กลับมาแจ้งให้ครูบาท่านทราบ

    ท่านก็บอกแล้วแต่ศรัทธาของผม มณฑปที่วัดบ้านปาง จึงได้ก่อสร้างด้วยความตั้งใจของผม ได้บริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้ทางวัดบ้านปางก่อสร้างร่วมกับศรัทธาจนแล้วเสร็จ ไว้เป็นที่สักการะแก่คนรุ่นหลังต่อไปในภายภาคหน้า

    สมตามความตั้งใจที่ได้ทำเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงครูบาท่าน


    เรื่อง รอยเท้าของครูบา.....

    บันทึกเอาไว้

    ผมถามครูบาว่า ครูบาทำไว้อย่างไร (อธิษฐานเหยียบรอยเท้า ไว้บนหิน)

    ครูบาบอก...ครูบาอาจารย์ สอนเอาไว้

    วันหลังมีโอกาสถามเรื่องนี้อีก คำถามเดิม

    ครูบาตอบแบบตลก...ใช้กำลังภายใน

    เรื่องการเหยียบรอยพระบาท รอยเท้าของครูบาท่าน คงเป็นอุปนิสัยแต่เดิมของท่าน ในประวัติแต่อดีตท่านก็ทำไว้

    ลูกศิษย์หลายคนชอบให้ท่านเอาเท้า เหยียบที่ศีรษะถือว่าเป็นมงคลกับตัวเอง

    รอยเท้าตามสถานที่ต่างๆ ก็จดบันทึกเอาไว้ เกรงว่าภายหลังจะไม่มีคนทราบ หรือบางคนอาจจะไปทำอันตรายกับรอยเท้าของท่าน จะเป็นบาป

    เมื่อก่อน การจะบอกเรื่องนี้ ก็เกรงจะไม่ดี ส่วนมากก็ทราบแต่ในลูกศิษย์บางคน


    นิ้วมือท่านครูบา

    บันทึกไว้ว่า..

    ตอนบ่ายวันนึง ก่อนครูบามรณภาพไม่นาน ในห้องนอนของท่าน นวดขาให้ครูบา ครูบาจะจำวัด

    นั่งมองเท้าของครูบา นิ้วเท้าท่านดูเท่ากันดี ไม่เหมือนเท้าของเราเลย เหมือนรอยที่ท่านเหยียบบนหิน

    คุยกับท่านเรื่องต่างๆ ถามครูบาว่า...นิ้วมือของพระพุทธเจ้าเท่ากันจริงหรือเปล่าครับ

    ครูบาท่านยิ้ม ๆ...แล้วก็ทำให้ดู ท่านนั่งแล้วเอามือมาซ้อนกัน

    ท่านบอก นิ้ว (พระพุทธเจ้า) เท่าแบบนี้ไง

    ผมก็มองบอกที่มือครูบาแล้วตอบท่านว่า

    "เท่ากันจริงๆด้วย เข้าใจแล้วครับครูบา"

    ครูบาท่านก็หัวเราะ ..

    ตอนนั้นดูเหมือน นิ้วมือท่าน เท่ากันจริงๆ


    บันทึกไว้เรื่องเต่าสำลี...

    เต่าสำลี ที่ครูบาทำกับมือ มีคนเล่าว่าบางตัวกระโดดติดตัวลูกศิษย์ บางคนเห็นมาเล่าให้ฟังว่า เคลื่อนตัวไปอยู่อีกที่ได้ (เหมือนมีชีวิต)

    ผมเคยถามท่านว่า "เต่าครูบานั้นดีอย่างไร"

    ท่านตอบว่า "น้ำตาตาก็บ่หื้อเสี้ยง"

    ผมฟังแล้วคงทำหน้างงๆ

    ท่านถามต่อว่า "เข้าใจไหม"

    ผมตอบท่านว่า "ไม่เข้าใจครับ"

    ท่านขยายความว่า "เต่านั้นเฝ้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะทรัพย์สิน เจ้าของ ไม่มีให้เจ้าของเสียน้ำตา"

    .....อันนี้ท่านบอกนะ แต่ได้ยินลูกศิษย์คนอื่นพูดถึงอานุภาพแบบอื่นๆเหมือนกัน

    เต่าสำลี เป็นเต่าที่ครูบาท่านปั้นจากสำลีที่ท่านเช็ดตา บางทีท่านทำแล้วก็ให้เลย บางทีก็ใส่เส้นเกศาบ้าง พระธาตุบ้าง หรืออื่นๆ แล้วแต่ เมื่อก่อนเป็นของราคาถูก ทางวัดมีให้เช่าบูชา แต่ตอนนี้มีลูกศิษย์อยากได้กัน

    มีวันนึงนั่งดูท่านปั้น ท่านทำคล่องแคล่วมาก

    เคยบอกท่านว่า อยากทำได้เหมือนครูบาจัง..ท่านหัวเราะ

    เอาสำลีที่เป็นแผ่นยังไม่ได้ปั้นมาลองดู พยายามจะทำ แต่ก็ทำไม่ได้ เลิกคิดจะทำ เลยเก็บแผ่นสาลีที่ท่านเช็ดน้ำตานั้นเอาไว้ แต่มีลูกศิษย์บางคนก็ปั้นได้เหมือนกัน


    เรื่องเต่าสำลี หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา

    โพสท์โดย มหาหิน เมื่อ 14-08-2007

    ตามรูปถ่ายที่ปรากฏ เป็นรูปถ่ายของเต่าสำลีองค์เดียวกัน

    ท่านเจ้าของ เต่าสำลี องค์นี้ คือ....

    คุณสมควร มณีรัตน์ ยอมเสียสละสิ่งที่ท่านเอง รัก และหวงแหน อย่างยิ่ง แต่ทว่า.. เพียงเพื่อสานปฏิปทาสาธารณประโยชน์ของหลวงปู่ฯ เพื่อเป็นการเดินตามรอยเท้าท่าน เพื่อเป็นกตเวทิตาต่อหลวงปู่ฯ และเป็นเครื่องยืนยันว่า มีความเคารพหลวงปู่ฯ มากกว่าของรัก ของหวงใด ๆ อันเป็นที่น่าโมทนายิ่ง....

    ได้ตัดสินใจ มอบ เต่าสำลี ให้โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อตอบแทนคุณความดี สำหรับท่านที่เสียสละ ช่วยเหลืองานผ้าป่าและทำให้ ศาลาชัยยะวงศาพัฒนา สำเร็จลุล่วง ไปโดยเร็วตามโครงการ ทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อนำรายได้ไปสร้างอาคารชัยยะวงศาพัฒนา มอบแด่สถานีอนามัย เป็นสาธารณะประโยชน์ ณ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ในวันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2550

    เต่าสำลี องค์นี้ คุณพี่สมควรฯ ได้รับจากมือของหลวงปู่ฯ ที่นั่งปั้นให้ ความจริง เต่า จะเป็นสำลีล้วน ๆ ที่หลวงปู่ฯ เช็ดตา แล้วปั้น ๆ ไปเรื่อย กว่าจะเสร็จสิ้น ก็ใช้เวลานานอยู่ (ไม่ได้เร่งรีบปั้น)

    หลังจาก ได้รับ เต่าสำลี มาจากหลวงปู่ฯ คุณพี่สมควรฯ ก็ได้เก็บบูชาที่โต๊ะหมู่บูชา ไว้นานนับ 10 ปี

    ก่อนหน้านี้ มีศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเกิดความศรัทธาต่อองค์หลวงปู่ฯ เคยได้ยินกิตติศัพท์ถึง เต่าสำลี ของหลวงปู่ฯ แล้วมีความรู้สึกว่า อยากจะได้มีไว้บูชา มาสอบถามผม ซึ่งในขณะนั้น ผมก็ไม่ทราบว่า ศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่ฯ ท่านใดบ้าง ที่มีอยู่

    ผมก็เลยแนะนำให้ไปสอบถามที่คุณมนต์สิทธิ์ ฤทธิชัย ภายหลัง จากนั้น คุณมนต์สิทธิ์ ก็แนะนำไปถึง คุณพี่สมควรฯ

    คุณพี่สมควรฯ จึงมอบให้ ด้วยเห็นว่า บุคคลนั้น มีความเคารพ ศรัทธา ต่อหลวงปู่ฯ โดยท่านนั้น ได้มอบเงิน เป็นค่าตอบแทน ซึ่งคุณพี่สมควร ก็ได้นำเงินส่วนนั้น ถวายไปที่ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม โดยไม่ได้นำมาใช้เป็นการส่วนตัวเลย....

    บัดนี้ คุณพี่สมควรฯ ก็อยากจะเห็นความสำเร็จของศาลาชัยยะวงศา เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ ตามรอยปฏิปทาของหลวงปู่ฯ จึงมาปรึกษาผม เรื่องแผนงานการทอดผ้าป่า....

    ผมก็แนะนำว่า ให้พวกเรา นำวัตถุมงคลของหลวงปู่ฯ ที่พวกเรามีอยู่ นำออกมา เพื่อตอบแทน เพื่อโมทนา กับคุณ ความดี กับท่านผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย

    คุณพี่สมควร ก็จึงไปค้นเพื่อหาวัตถุมงคล มาเข้าร่วมกองบุญ ตามที่ผมเสนอข้อคิดเห็น

    ปรากฏว่า เมื่อค้นหาวัตถุมงคลที่บ้าน ก็กลับ พบว่า....

    เต่าสำลี องค์นี้ ยังอยู่ที่บ้าน ก็เป็นที่แปลกประหลาดใจ อย่างยิ่ง....

    อย่างไรก็ดี ของยิ่งรัก ยิ่งหวง สามารถสละได้ย่อมยอดยิ่ง เป็นการตัดกิเลส ได้ดี และคุณพี่สมควรฯ ก็อยากจะให้โครงการนี้ เกิดความสำเร็จ จึงตัดสินใจนำเข้าร่วมกองบุญ ด้วยต้องตัดความรัก ความหวง ออกไป

    ก็ขอน้อมโมทนา ยิ่งนัก....

    ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่า เต่าสำลี องค์นี้ หลวงปู่ฯ ท่านย่อมเห็นภาพในอนาคตอยู่แล้ว ก็เป็นแน่

    การนำ เต่าสำลี มาตอบแทน ในครั้งนี้ คุณพี่สมควรฯ ก็บอกกับผมว่า.... ขอมอบให้ สำหรับท่าน ที่ร่วมงานบุญ ด้วยยอดเงินบุญพิเศษ ๆ

     

    ครั้งที่ 2 ที่เราคุยกัน เรื่องโครงการ....

    วันนั้น คุณพี่สมควรฯ ได้นำ เต่าสำลี มาให้ผมดู....

    เมื่อผมสัมผัส ก็รับรู้ถึงมาบางสิ่งที่แข็ง ๆ อยู่ภายใน....

    ทั้งพี่สมควรฯ และผมเอง ก็เพียงได้แค่เพียงเดาว่า อาจจะเป็น "พระธาตุ" แถมสายตา ผมก็มองเห็นเส้นเกศา ที่ทะลุออกมาเกือบพ้น เต่าสำลี ผมก็เลยใช้นิ้วแตะ ดันเบา ๆ ให้เส้นเกศา ถูกผลักกลับเข้าไปภายใน....

    ขณะนี้ เต่าสำลี องค์นี้ จึงอยู่ที่ผม เก็บรักษาไว้ชั่วคราว....

    เพื่อรอเจ้าของที่แท้จริงต่อไป....

    สาเหตุ ที่ผมเรียก เต่าสำลี ว่า องค์หนึ่ง แทน ตัวหนึ่ง.... เพราะว่า ผมก็สำนึกเอาเองว่า เต่าสำลี เป็นวัตถุอันเป็นมงคลยิ่ง ที่หลวงปู่ฯ เมตตาภาวนาไป ปั้นไป เศกไปเรื่อย ๆ จึงนับได้ว่า เป็นการทำพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ชื้นเดี่ยว คือ เต่าสำลี เท่านั้น ซึ่งท่านก็ปั้นได้เพียง ครั้งละ 1 องค์ เท่านั้น

    เท่าที่คุณพี่สมควรฯ เล่าให้ฟัง หลวงปู่ฯ ท่านก็ปั้นอยู่นาน จึงจะสำเร็จ เสร็จสิ้นได้ เพียง 1 องค์

    อย่างนี้ ผมจึงขอเรียกว่า เต่าสำลี 1 องค์ ตามความรู้สึกของผมเอง.

    ขอกราบในความมีมหาเมตตาของหลวงปู่ฯ เป็นอย่างที่สุด....

     

    ได้มีท่านหลายท่านสงสัย และยืนยันว่า....

    ได้เคยมีเต่าสำลี ในห้องวัตถุมงคลของทางวัดฯ ให้บูชา....

    ตัวผมเอง ได้ไปกราบหลวงปู่ฯ ก็เพียง 3-4 ปี ก่อนที่ท่านจะละลาขันธ์ 5

    ดังนั้น เรื่องแต่เก่า นานมา ก็ต้องสอบถามไปยังศิษย์เก่า ๆ หลายท่าน และ

    พระคุณเจ้า ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับวัตถุมงคลของทางวัด....

    พอได้ใจความว่า....

    หลังจากที่หลวงปู่ฯ ได้เมตตาปั้นเต่า และแจกให้แก่บรรดาศิษย์ทั้งหลาย

    เต่าสำลีชุบเทียน

    ที่ได้รับก็มี ก็ดีใจ ที่ไม่ได้รับ ก็มี ก็มีความรู้สึกว่า อยากจะมี อยากจะได้

    จึงจัดทำ เต่าสำลี เต่าชุบเทียน โดยด้านในตัวเต่า บรรจุพระธาตุข้าวบิณฑ์

    และบรรจุเกศาของหลวงปู่ฯ ไว้ด้วย

    จากนั้น ก็นำถวายให้หลวงปู่ฯ เมตตาทำพิธีให้ จึงมีจำหน่ายในห้องวัตถุมงคล

    แต่ทว่า ในปัจจุบันนี้ ที่ห้องวัตถุมงคล ไม่มีเหลือแล้ว.. หมดไปนานแล้ว....

    ดังนั้น เต่าสำลี จึงมี 2 กรณี คือ

    1. หลวงปู่ฯ ท่านปั้นเอง ทีละ 1 องค์ ปั้นไป ท่านก็เสกของท่านไป แล้วก็มอบให้ใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ

    2. ท่าน ทำพิธีครั้งเดียวหลาย ๆ องค์ แล้วก็แจกลูกหลาน และมีเหลือให้จำหน่าย ที่ห้องวัตถุมงคล


    เรื่องเต่าสำลี

    ...เต่าสำลีที่มีเส้นเกศาของครูบา เพื่อนบางคนเค้าบอกว่าท่าน ทำเพื่อให้พิจารณา "เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ" อย่าไปห้อยเฉยๆ ให้พิจารณากองสังขารด้วย


    รอยพระบาทที่วัดศรีดอนชัย

    อ้างอิง: ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ boontrongjamsri

    รอยบาทครูบา วัดที่ก่อนถึงวัดพระอาจารย์สนิท..วัดอะไรครับ ผมเคยถามพี่ไว้ที่กระทู้เก่า ตอนนี้เข้าไม่ได้แล้ว

    ขอโทษด้วยครับที่ไม่ได้ตอบ .... ผมเคยเขียนเรื่องครูบาไว้เล็กน้อยที่นึง แล้วก็ที่หน้านี้ของพี่มหาหิน

    รอยพระบาทที่ถามนั้น ใช่ข้างวัดผาหนามหรือเปล่าครับ ...

    วัดศรีดอนชัย (วัดผาปูน) ข้างวัดพระพุทธบาทผาหนาม อ.ลี้ จ.ลำปาง ถ้าไปจากวัดห้วยต้มจะอยู่ก่อนถึงวัดผาหนาม ประมาณ100เมตร ขับเข้าไปจากถนน เมื่อก่อนทางเป็นหลุมเป็นบ่อ เคยตามครูบาไปตั้งแต่วัดยังไม่ได้สร้างเลย ประมาณสักราวปี 2538 ถ้าจำไม่ผิด ท่านบอกให้ลูกศิษย์ที่ไปด้วย เรื่องรอยเท้าบนหินของท่าน ตอนนี้ทางวัดกำลังทำมณฑปครอบไว้


    เรื่องการติดตามพระอาจารย์

    ครูบาท่านเคยบอก..

    ปัจจุบันที่พวกเราทำบุญนี่หลวงพ่อองค์นั้นก็น่าติดตามองค์นี้ก็น่าติดตามเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณของเราทั้งหมด ที่จริงก็ดีหมดทุกองค์ อยู่ที่ไหนก็ขอไปทำบุญไปกราบไปไหว้ ขอบุญมาช่วยตัวใครตัวมัน ให้ได้ถึงพระนิพพานเร็วๆ

    แต่มันจะติดอยู่ว่า ปรารถนาร่วมขอไปติดตามหลวงปู่ด้วยนะ ขอเป็นลูกศิษย์ขอติดตามองค์นั้นองค์นี้ หลวงปู่ไป ก็ขอไปตาม ขึ้นฟ้าก็ขอขึ้น ตามเกิดก็เกิดด้วย อย่างนี้มันติดพันไปไม่ได้

    อย่างที่มานี้ มาติดตามหลวงปู่ ชอบหลวงปู่ ก็จะขอไปนิพพานกับหลวงปู่ มันช้า

    แต่ถ้ามาทำบุญนี่ ขอบุญจากหลวงปู่ช่วยให้หมดกิเลสเร็วๆ ขอให้ลูกได้ไปนิพพานเร็วๆ ไม่ต้องรอหลวงปู่ก็ได้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องรอหลวงพ่อ ได้บุญมาก ก็ไปเร็ว ไม่มาก ก็ไปช้า

    ปัจจุบันนี้ พวกลูกศิษย์ลูกหลานทั้งหลาย พวกลูกศิษย์ใครมันหวงลูกศิษย์ไว้ ไม่ต้องไปติดตามคนอื่นนะ ให้มาหาที่กูนี่ ไปที่อื่นไม่ได้ ไปทางโน้นทางนี้ก็ผิดใจ ไปทางนี้ทางโน้นก็ผิดใจ ห่วงแบบนี้ ยุ่งเรา ก็ไม่รู้จะติดตามองค์ใด องค์ใดจะเป็นพระจริงก็ไม่รู้ ที่มาทำบุญนี่ องค์ใดก็ไม่เป็นไร ดีทุกองค์ ขอเอาบุญริบรอมไว้ แต่ไม่ได้ปรารถนาร่วม ปรารถนาขอให้ตัวเองเป็นเศรษฐีมีข้าวมีของยิ่งดี สร้างเอาไว้ บุญไม่มี ก็ทุนไม่มี เท่าที่มีพอกินพอใช้เลี้ยงตัวเองได้ก็เพราะบุญที่สร้างไว้ ทำบุญไปเรื่อยๆ อย่าให้มีกิเลสแน่นหนา


    บันทึกไว้ เรื่องหลวงพ่อฤๅษี ลิงดำ..

    ตอนบ่าย ครูบานั่งรับแขกที่กุฏิ ผมนั่งข้างล่างช่วยครูบา เพื่ออำนวยความสะดวกญาติโยมที่มาทำบุญ พอหมดแขก ครูบานั่งพักผ่อน ผมมองเห็นรูปหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ข้างฝา ลูกศิษย์ท่านเอามาถวาย

    ถามครูบาว่า... ครูบาเคยเป็นอะไรกับหลวงพ่อฤาษี

    ครูบาท่านตอบ.... ตอนที่เจอกัน หลวงพ่อฤาษีบอก (ครูบา) ว่า ท่านเป็นพี่ ส่วนนี่ (ครูบา) เป็นน้อง

    ถามท่านต่อว่า.. เคยเกิดเป็นอะไรมาเยอะเหรอครับ

    ครูบาตอบ... ก็เยอะ (ทำเสียงเยอะ) ก็เวียนว่ายนับไม่ถ้วน

    ครูบาท่านชอบบอกว่า องค์นั้น องค์นี้บอกท่าน ครูบาจะไม่ตอบว่าท่านบอก บางครั้งบางเรื่องก็เคยทราบแล้ว แต่ก็ชอบถามครูบา บันทึกเอาไว้ เผื่อภายหลังครูบาไม่อยู่ จะได้เอามาอ่าน


    มีเรื่องบันทึกไว้ เกี่ยวกับ ร. 5

    ช่วงเดือนตุลา ไม่ได้ไปวัด หลังวันปิยะมหาราชไปที่วัด นั่งคุยลูกศิษย์ด้วยกันเล่าบอกว่า วันก่อนมีคณะผ้าป่ามาทำบุญกับครูบาถวาย ร.5 แล้วก็เดินหายออกไปหลังวัด หายไปหมด เค้าบอกสงสัยเป็นพวกเมืองลับแลมาทำบุญกับครูบา


    ไฟไหม้บ้าน....

    ตอนบ่ายวันหนึ่ง ได้ติดตามครูบาท่านไปตรวจงานตามที่ต่าง ๆ เป็นปกติ

    ระหว่างทาง พบเห็นไฟไหม้สถานที่แห่งนึง (ขออนุญาต ไม่บอกสถานที่) ครูบาฯ ท่านหันไปบอกลูกศิษย์อีกคน เป็นภาษากระเหรี่ยง ฟังไม่ออก ตอนลงรถถามเพื่อนคนนั้นว่า ท่านพูดอะไรให้ฟัง เค้าบอกว่า..

    ท่านพูด "พวกนี้ปลอมพระท่าน ไฟเลยไหม้บ้าน"

    เรื่องนี้ฝากให้เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับคนที่คิดจะทำพระปลอมของครูบา หรือ เอาพระปลอมครูบา มาหลอกขายคนอื่น ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มหัวอก ได้มาแล้ว รู้ว่าปลอม ก็จะรีบออกตัวไปให้คนอื่น รับเคราะห์ต่อ

    กรรมจะส่งผลให้เห็นในชาตินี้ทันตาเลย อย่าทำเลยเป็นบาปกรรม มันไม่คุ้มกับเงินทองเพียงเล็กน้อย

    วัตถุมงคลของวัดยังมีให้เช่าทำบุญอีกมากมาย ราคา 10 บาทก็มี เช่าจากวัด ได้ช่วยวัดทำบุญด้วย ศรัทธาครูบา รักครูบาจริง ทำสิ่งที่สมควร สิ่งที่ถูกต้องต่อครูบากันเถอะ


    เมืองลับแล....

    กัลยาณมิตรคนนึงที่วัด บอกว่าวันก่อนที่ผมจะเข้าไปวัดมีพวกเมืองลับแลมาถวายผ้าป่าครูบาตอนหัวค่ำ แล้วก็คณะผ้าป่าก็เดินหายไปหลังวัด

    วันหลังมีโอกาสถามท่านเรื่องนี้ ถามท่านว่า "ครูบาครับ เมืองลับแลมีจริงไหม "

    ครูบาท่านบอก "ตอนนั้น (สมัยหนุ่มๆ) เดินธุดงค์ไป เดินผ่านหมู่บ้าน เห็นรอยพระบาท (พระพุทธบาท) ที่ริมน้ำ พอเดินผ่านหันไปอีกที หมู่บ้านหายไปแล้ว"

    ท่านบอกว่า "วันหลังจะไปกราบก็หาไม่เจอ รอยพระบาทนี้อยู่ในหมู่บ้านพวกลับแล เค้าดูแลอยู่"

    ถามครูบาว่า "อยู่ที่ไหนครับ"

    ท่านชี้นิ้วบอก ไปหลังวัดห้วยต้ม "อยู่ทางโน้น"

    ...................................................................................

    มหาหิน เพิ่มเติม

    ที่ด้านหลังวัดฯ

    กำลังก่อสร้างเจดีย์ปู่แก้วมาเมือง สมเด็จองค์ปฐม พร้อมวิหารแก้ว อยู่ในเวลานี้

    พระอาจารย์ตุดี โฆสิตธัมโม

    วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม.

    โดย.. พระคุณเจ้าตุดีฯ ศิษย์ของหลวงปู่ฯ ตั้งแต่เป็นเด็กขโยม (เด็กวัด อยู่แบบต้องโกนหัว) ต่อมาบรรพชาเป็นสามเณร ปฏิบัติดูแลหลวงปู่ฯ และท่านได้สั่งกำชับไว้ ตั้งแต่เป็นสามเณร ว่า....

    "ให้อายุ 22 ปี ค่อยอุปสมบทเป็นพระภิกษุ"

    เหมือนท่านจะรู้ว่า เมื่อถึงเวลานั้น ท่านก็คงไม่ได้อยู่แล้ว....

    ก็เป็นจริงตามนั้น ปี 2543 หลวงปู่ฯ ก็จากไป

    สามเณรตุดีฯ ได้อุปสมบทในปี 2544

    เป็นพระภิกษุ ชุดแรกที่อุปสมบทในอุโบสถ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม

    ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันที่ตัดลูกนิมิต และฉลองอุโบสถ นั่นเอง


    ครูบา บิณฑบาตนอกวัด....

    ตอนครูบาท่านอายุมากแล้ว ท่านก็ไม่ได้ออกไปบิณฑบาต แต่ท่านก็จะเอาบาตรวางไว้ที่ศาลาด้านนอกให้พวกคนที่ศรัทธาได้ใส่บาตร

    ตอนสายๆพวกลูกศิษย์ก็จะยกบาตรเข้ามาถวายประเคนท่านที่กุฏิ ปกติท่านจะฉันอาหารที่แม่ครัวประจำทำให้ อาหารก็เป็นอาหารง่ายๆ พวกผัก จิ้มน้ำพริก ต้มผัก

    แต่ที่จะได้ยินอยู่เนืองๆ จากคนที่มาที่วัด ว่า เห็นครูบาท่านไปบิณฑบาตตามที่ต่างๆ หลายจังหวัด คนเฒ่าคนแก่บางคน คนรู้จักบางคนที่เล่าให้ผมฟังด้วยความตื่นเต้น เราก็พลอยตื่นเต้นไปกับคนที่เล่าด้วย

    คนที่เล่าให้ผมฟังแต่ละคนก็น่าเชื่อถือทั้งนั้น คนที่เล่าให้ผมฟังบอก พวกญาติเค้าและชาวนาแถวนั้นเห็นท่านเดินกลางทุ่งนา บางคนจำท่านได้จะวิ่งตามท่าน เค้าจะเข้าไปไหว้ท่าน เห็นท่านมารูปเดียว แต่ท่านเดินหายไปเลย

    วันที่พวกชาวบ้านกลุ่มนั้นเจอครูบา จริงๆ แล้วท่านอยู่ที่วัด ผมเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านฟัง

    ท่านก็ไม่พูดอะไร เลยไม่กล้าถามอะไรท่าน


    we are the vegetarian...

    ครูบาชัยลังก๋า

    พวกเรา ลูกหลาน ลูกศิษย์ ครูบา เป็น พวก ไม่ทานเนื้อสัตว์ พวกหมู่คนเฒ่าคนแก่ ที่ติดตามมาหลายรุ่นตั้งแต่สมัย ครูบาศรีวิชัย ครูบาขาวปี นำพาพวกลูกศิษย์รุ่นต่อมาไม่ทานเนื้อสัตว์กันไปด้วย หลายร้อยหลายพันคน เป็นหมู่คณะ พวกเราที่ตามครูบาวง ท่านก็นำพวกเรา ไม่ให้ทานเนื้อสัตว์ไปด้วย

    ครูบาท่านฉันมังสวิรัติ อย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 12 ปี ตอนไปอยู่กับครูบาชัยลังก๋า(อาจารย์องค์สำคัญของครูบา) ซึ่งท่านก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์เช่นกัน

    ถึงแม้ตอนเมื่อครั้งครูบาท่านยังเด็กเล็กสมัยยังไม่ได้บวช ท่านก็มีจิตนิยมในการไม่ทานเนื้อสัตว์ ท่านเล่าว่าท่านจะกินหัวกลอย หัวมัน ผักหญ้า มาตลอด

    ท่านให้เหตุผลว่า

    "สัตว์ทุกตัว มันก็รักชีวิตของมันเหมือนกัน เมื่อเราฆ่ามันตายเพื่อกินเนื้อมัน จิตของมันไปที่สำนักพญายม ก็จะฟ้องร้องว่าคนนั้นฆ่ามันตาย คนนี้กินเนื้อของมัน (ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่า) คนกินก็เป็นจำเลยด้วยก็ย่อมต้องได้รับโทษ(เช่นเดียวกับกฎหมายของบ้านเมือง) แต่จะออกมาในรูปของการเจ็บไข้ได้ป่วย และความไม่สบายต่างๆ ซึ่งเจ้าตัวไม่รู้สึก เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา"

    ครูบาวงศ์ ท่านได้อบรมพระเณร และชาวกระเหรี่ยงทั้งหลายที่มาอาศัยใบบุญของท่านให้กินมังสวิรัติไปด้วย โดยเฉพาะในบริเวณวัดพระพุทธบาทห้วยต้มถือเป็นพุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ปลอดการทานอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ครูบาท่านสอนว่าการไม่ทานเนื้อสัตว์จะทำให้การปฏิบัติกรรมฐานของเราได้ไวด้วย

    พวกลูกศิษย์สายตรง ที่เป็นหมู่คณะของครูบาชัยลังก๋า ครูบาศรีวิชัย ครูบาขาว ครูบาวงศ์ ก็ไม่ทานเนื้อสัตว์ตามรอยอาจารย์ของพวกเรา ชักชวนหมู่คณะญาติพี่น้องเพื่อนฝูงให้ไม่ทานเนื้อสัตว์ไปด้วย ทานเนื้อคนอื่นมาหลายชาติแล้ว เลิกมันเสียในชาตินี้

    ค่อยๆเพียรพยายามกันไปตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ของพวกเราไม่ว่าจะครูบาชัยลังก๋า ครูบาศรีวิชัย ครูบาขาวปี ครูบาวงศ์ ท่านก็ไม่ทานเนื้อสัตว์

    ตั้งใจกันให้ดี ตามรอยเท้าของครูบาวงศ์ ที่ท่านทำเป็นแบบอย่างเอาไว้


    งู มาขอส่วนบุญ...

    มีเด็กวัดที่เป็นกระเหรี่ยงสนิทกันดี เล่าให้ฟัง

    วันนั้นเค้าตามครูบาไปตรวจงาน ครูบาเดินเข้าไปในป่า เป็นพงหญ้า

    ท่านบอกว่า เดี๋ยวจะมีงูมาขอส่วนบุญ 2 ตัว พอเดินไป ก็มีงู เลื้อยมารอ จริงๆ

    เค้าเล่าว่า ท่านยืนอุทิศส่วนบุญให้ สักครู่ งู ก็เลื้อยไป

    เพื่อนคนนี้เล่าให้ฟัง แต่ก็ไม่ได้ไปรบกวนถามท่าน เพราะเรื่องราวพวกนี้ ศิษย์ที่ใกล้ชิด พบเจอกันเป็นประจำทกว้น จนไม่สามารถเล่ากันได้หมด เสมือนประหนึ่ง งานครูบา แต่วันละล้วนอุทิศให้กับการโปรดทั้งคน สัตว์ เทวดา ไม่เคยหยุด ทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดชีวิตของท่าน

    เป็นตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมได้บันทึกเอาไว้ในเรื่องของครูบาท่าน


    หลวงปู่บุดดาฯ กับครูบาวงศ์ฯ

    หลวงปู่บุดดา

    หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญ จ.สิงห์บุรีกับ ครูบาวงษ์ ท่านนับถือกัน สนิทสนมกันดี

    มีอยู่วันนึง ในงานบุญของวัดห้วยต้ม ผมก็คอยช่วยดูแลครูบาท่าน ตอนครูบาท่านทำพิธี แถวศาลพระอุปคุตข้างศาลาพรหมจักโก ในตอนนั้น ได้พบกับหลวงพ่อองค์นึงมาจากสิงห์บุรี ท่านมาคุยด้วย ท่านบอกว่าท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่บุดดา ก็เลยคุยกันหลายเรื่อง หลวงพี่องค์นั้นถามเรื่องเกี่ยวกับครูบาท่านหลายอย่าง คงเห็นว่าผมอยู่กับครูบา ผมก็เล่าให้ท่านฟัง ท่านก็เล่าเรื่องของหลวงปู่บุดดาเป็นการแลกเปลี่ยนบ้าง

    ท่านถามถึงเหตุการณ์ตอนก่อนหลวงปู่บุดดาจะมรณภาพ ที่หลวงปู่มาที่วัด ว่า ผมอยู่ในเหตุการณ์ หรือไม่

    ตอบท่านไปว่า วันนั้นไม่ได้อยู่

    เรื่องคือ หลวงปู่ฯ ท่านมางานบุญของวัดห้วยต้ม พวกชาวบ้านพวกกระเหรี่ยง แห่พวกหลวงพ่อ หลวงปู่ฯ ขึ้นเสลี่ยง ตอนที่อยู่บนเสลี่ยง หลวงปู่บุดดาท่านทำนิ้วชี้ไปบนท้องฟ้า ส่งสัญลักษณ์บางประการบอกครูบา คล้ายจะบอกครูบาท่าน

    หลวงพี่บอก หลวงปู่ฯ ท่านทำให้ครูบาฯ ดู...

    พวกคนในเหตุการณ์ก็ตีความกันไปต่างๆนาๆ บางคนก็บอกว่า ท่านบอกว่า ท่านจะไปข้างบนแล้วนะ บางคนก็บอกว่า อีก 1 ปีท่านจะไปข้างบนนะ

    ต่อมา หลวงปู่บุดดาฯ ท่านก็มรณภาพ เหมือนที่ท่านทำนิ้วชี้ไปบนฟ้า เหมือนในวันงาน

    ตอนเลิกงาน ครูบาฯ มานั่งพักที่กุฏิ อยู่กับท่านสองคน ถามครูบาว่า "หลวงปู่บุดดาฯ กับครูบาเป็นอะไรกันครับ"

    ครูบาบอก "หลวงปู่บุดดา บอกว่าท่าน (เคย) เป็นพี่ ส่วนนี่ เป็นน้อง"

    ถามท่านว่า "เคยเกิดกันมาหลายชาติเหรอครับ"

    ครูบาท่านยิ้ม ๆ บอก..อือ


    โคะพะโด๊ะ หรือ โฆ๊ะพะโด๊ะ

    พระเจดีย์โลกะวิทุ ที่ดอยโฆ๊ะพะโด๊ะ

    โคะพะโด๊ะ (โด๊ะบือ) เป็นชื่อดอยลูกหนึ่ง ตั้งอยู่ในหมู่บ้านแม่ตื๋นน้อย ต.แม่ตื๋น อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ บนยอดดอยแห่งนี้ เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท และพระเจดีย์เก่าแก่อยู่องค์หนึ่ง ชื่อเจดีย์โลกะวิทู หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนาเล่าว่า เจดีย์นี้สร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อครั้งพระองค์เสด็จมาประกาศศาสนาที่นี่

    เจดีย์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้าน หากฝนฟ้าไม่ต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านซึ่งเป็นชาวไร่ชาวนาก็จะไปขอฝน โดยการนำข้าวตอกดอกไม้และขนมข้าวต้มไปถวายองค์พระเจดีย์ หลังจากนั้นฝนจะตกตามที่ขอ นอกจากนี้ ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ชาวบ้านมักจะเห็นแสงพุ่งออกจากองค์พระเจดีย์เป็นประจำ

    คุณอมรา พวงชมพู

    สมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ได้สั่งให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และหลังจากที่หลวงปู่มรณภาพไปแล้ว ๒ ปี คุณอมรา พวงชมพูและคณะศรัทธาจากกรุงเทพได้นิมนต์หลวงพ่อสมชาย วัดป่าวิเวก จ.กาญจนบุรี เป็นองค์ประธาน พาคณะศรัทธามาสร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ครอบองค์เก่าเอาไว้ ซึ่งเดิมอยู่ในสภาพปรักหักพัง โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๗ แล้วเสร็จเมื่อปลายปี ๒๕๔๙

    ปัจจุบันที่ตั้งของพระเจดีย์อยู่ห่างจากปากทางเข้า เป็นระยะทาง ๑๙ กิโลเมตร ซึ่งได้ทำการลาดยางไปแล้ว ๒ กิโลเมตร เมื่อต้นปี ๒๕๕๐ โดยงบประมาณของกองบัญชาการทหารสูงสุด และจากปากทางเข้าจะมีหมู่บ้านอยู่ประมาณ ๖ หมู่บ้าน ได้แก่หมู่บ้านพะนอดี-เลเคาะ-เลอะกรา-บราโว-ทุ่งต้นงิ้ว และโด๊ะผะโด๊ะ

     (ข้อความต่อไปนี้โพสท์โดย hero_ultra ในเวบพลังจิต เมื่อ 23-05-2008)

    ตอนสมัยที่ครูบายังดำรง ขันธ์ 5 อยู่ ท่านเคยเล่า ให้ฟัง ว่าบนดอยแห่งนี้ มีสถานที่สำคัญของพระศาสนา ซ่อนอยู่ ถ้ามีบุญวาสนา ก็ให้ไปค้นหา และสร้างเจดีย์ไว้ และครูบาท่านก็อธิษฐานขอพระธาตุ (ไม่ทราบว่าพระธาตุอะไร เพราะไม่ได้ถามครูบาท่านไว้) ลักษณะสีเขียว มอบให้กับพระอาจารย์อ่อนแก้ว ไว้ ผมคิดเอาเองว่า ท่านคงมองเห็นในอนาคตแล้วว่า เจดีย์แห่งนี้คงได้ค้นพบ และได้สร้างสำเร็จตามที่ท่านสั่งไว้

    ในความจริงแล้ว ท่านบอกว่า....เจดีย์นี้ สร้างมาก่อนสมัยพระเจ้าอโศก เป็นเหมือน แม่แห่งพระเจดีย์ทั้งหลาย ในชมพูทวีป

    ครูบา ท่านชอบมีโจทย์ยากๆ ให้เราทำเสมอ การผจญภัย ค้นหา พระเจดีย์แห่งนี้ ก็เริ่มต้น ไปตามที่ท่านบอก การคมนามคมไม่ต้องพูดถึง ขนาดปัจจุบันยังไปมาลำบาก ถ้าครูบาท่านไม่บอกให้ไป คงไม่ไปกันแน่นอน (ขนาดชาวบ้าน แถวนั้น อยู่กันมาชั่วลูกหลาน ยังไม่ทราบ) สภาพเจดีย์ที่มองเห็นครั้งแรก เสมือนเนินดิน หรือจอมปลวก มองยังไง ก็คงไม่ทราบว่าเป็นเจดีย์เก่าแก่ จนคณะที่ไปค้นหา เจอซากก้อนอิฐ และลักษณะหลายๆ อย่างที่บ่งชี้ว่าเป็นเจดีย์ที่ค้นพบกัน ใต้ลงไปในฐานของเจดีย์ที่ค้นพบ มีพระธาตุสำคัญบรรจุไว้ภายใน เป็นการยืนยันว่า เป็นเจดีย์ที่เราค้นหาจริงๆ การก่อสร้างถาวรวัตถุ จึงได้เริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งเป็นงานที่ไม่ง่ายเลย เนื่องจากการคมนาคมลำบากมากที่สุด และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย

    ช่วงการก่อสร้าง ในช่วงแรก ปัญหาที่เจอคือ มีการต่อต้านจากหัวหน้าเผ่าของชาวเขาแถวนั้น เนื่องจากชาวบ้านซึ่งเป็นชาวเขา ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ด้วยบารมีครูบาทำให้ผ่านพ้นไปได้ดี เนื่องจากการขนส่งทำได้ลำบาก การหาแรงงานก็ต้องใช้แรงจากชาวบ้านแถวนั้นช่วย บ้างก็เป็นกระเหรี่ยงคริสต์ บ้างก็เป็นชาวเขาเผ่าอื่น มาช่วยกันสร้างวัด ขอโมทนาบุญกับเพื่อนต่างศาสนาทั้งหลาย ที่น้อมเข้ามาในพระศาสนาด้วยบารมีครูบา หันหน้ามาเข้าวัดทำบุญในเขตพระพุทธศาสนากัน

    พญานาค ปรากฏกาย

    ในช่วง 2 ปีแรก เนื่องจากการขนส่งลำบากมาก ต้องใช้ชาวบ้านช่วย พระที่ไปจำพรรษาไปรับคนงาน ชาวบ้านมาช่วย ก็โดนกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน ตามขึ้นมาต่อว่า เพราะเค้าไม่ค่อยพอใจ (คงกลัวชาวบ้านจะเปลี่ยนศาสนามานับถือพุทธ) ก็มาขนคนงานกลับหมด พออีกวันรุ่งขึ้น คนงานชุดใหม่มาทำงานแทน

    ประมาณ 10.00 น ตอนเช้า ได้ยินเสียงเด็กกระเหรี่ยงเล็กๆ ร้องเอะอะโวยวาย ว่า "อะไร อะไร" แล้วชี้ไปบนเจดีย์ที่สร้าง ขณะนั้นมีคนอยู่ประมาณ 40 คน มองที่บนเจดีย์ เห็นพญานาคตัวใหญ่เท่าพระเจดีย์ ทำการพัน เหมือนทักษิณาวัตร รอบพระเจดีย์ ประมาณ 15 นาที ทุกคนเห็นหมดพร้อมกัน ลักษณะพญานาคเหมือนที่บันไดทางขึ้นโบสถ์ เป็นสีเขียวสีแดง แสดงให้เห็น 15 นาที ก็เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า ทั้งชาวบ้านทั้งคนงาน ต่างก้มลงไหว้ทั่วกัน

    เหตุการณ์ในวันนั้นไม่มีกล้องบันทึกไว้ (ไม่เหมือนภาพดอกบัวบนท้องฟ้า ที่วัดห้วยต้ม) แต่มีคนในเหตุการณ์ที่เห็นด้วยตาเป็นพยานครบทุกคน ใครจะไปคิดว่าเรื่องเล่าที่เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก จะเป็นเรื่องจริง คิดทีไร ขนลุกทุกที หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ไม่มีชาวบ้านที่ต่อต้านอีกเลย และยังช่วยกันมาทำบุญที่วัดด้วย ผมคิดว่าบางอย่างที่เราทำ อย่าคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เค้าไม่รู้ไม่เห็น จริงๆ แล้วเค้ามองเราตลอด

    นอกเรื่องนิดนึง บริเวณวัดโลกะวิทู จะมีน้ำผุดบ่อน้อย ซึ่งเห็นมีคนว่าศักดิ์สิทธิ์ มีคนที่มาทำบุญเป็นเจ้าของกิจการโรงงานทอผ้าจากกรุงเทพ ซึ่งประสพปัญหา กิจการขาดทุน ไปอธิษฐานกราบไหว้ ขอให้กิจการดี ปรากฏว่ากิจการที่จะต้องปิด กลับมาเจริญรุ่งเรือง ได้คำสั่งซื้อ กำไรหลายล้าน ถ้าใครได้มีโอกาสขึ้นไปทำบุญบนวัด ก็ไปลองอธิษฐานกันดู ให้ชีวิตทางโลกประสพผลสำเร็จกันทุกคน

    พระอาจารย์อ่อนแก้ว

    บริเวณยอดดอยที่ตั้งของวัดโลกะวิทู นี้มองไปจะเห็นดอยอีกลูกซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน คือ หน่อการ่า ...ซึ่งใครติดตามอ่านกระทู้พี่มหาหิน คงได้ทราบกันไปบ้าง ดอยนี้ ท่านตุ๊ดี ลูกศิษย์อีกองค์ของครูบาเจ้าชัยยะวงศา ได้นำคณะศรัทธาไปช่วยกันสร้างไว้

    ที่เจดีย์โฆ๊ะพะโด๊ะ หรือโลกะวิทู แห่งนี้ ทุกวันนี้ยามค่ำคืน ก็จะปรากฏดวงไฟ เหมือนลูกแก้ว ลอยไปมา เห็นกันถ้วนหน้า อยู่เนืองๆ เป็นเรื่องจริงๆ ดั่งที่เค้าเล่ากันมา ทำให้เชื่อว่าสถานที่นี้คง มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ครูบาท่านถึงได้บอกให้มาค้นหา และสร้างทำไว้

    ครูบามาแนะนำตอนสร้างโบสถ์

    นึกเรื่องเกี่ยวกับโฆ๊ะพะโด๊ะได้ อย่างที่ทราบกัน พระเจดีย์แห่งนี้ได้สร้างหลังจากครูบาได้มรณภาพแล้ว ตอนระหว่างที่หลวงพี่เต๋ (พระอาจารย์อ่อนแก้ว) ต้องการจะสร้างพระอุโบสถ ก็ได้จัดการสร้างตามที่ตกลงกับพวกช่าง แต่ธรรมเนียมทางภาคเหนือ ก่อนการก่อสร้างหรือรื้อถอน จะมีการสวดถอน เนื่องจาก (พระอาจารย์อ่อนแก้วคิดว่าพระอุโบสถที่กำลังจะสร้างนี้) เป็นพระอุโบสถใหม่ หลวงพี่เต๋จึงไม่สวดถอน ก่อนการก่อสร้าง ครูบาวงท่านมาตำหนิ (ดุ) ในนิมิต "ทำไม ไม่สวดถอน" ตกลงคณะที่ก่อสร้างอุโบสถใหม่ จึงต้องทำการสวดถอน ตามที่ครูบาท่านมาบอกในนิมิต

    เรื่อง พญานาค ปรากฏด้วยกายเนื้อนั้น

    พระอาจารย์อ่อนแก้ว ชัยยะเสนโน (ตุ๊เต๋ฯ โทร. 089-998 5962) ท่านอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ท่านบอกว่า..

    หากท่านเห็นเพียงคนเดียว ท่านก็จะไม่พูด.. พูดไม่ได้..

    แต่ทว่า.. นี่ คนเข้าเห็นกัน ประมาณ 40 คน.. พยานมีมาก


    ครูบา กับวัดพระพุทธบาทตะเมาะ

     

    ครูบาเจ้าที่

    วัดพระพุทธบาทตะเมาะ

    มณฑปไม้ที่ครูบาวงศ์ได้พาศรัทธาสร้าง เมื่อปี ๒๕๐๐ ท่านบอกว่าเป็นการก่อสร้างที่ยากที่สุดในชีวิตของท่าน เพราะต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานับปการ การแกะสลักต่างๆ ส่วนมากเป็นฝีมือของท่านทั้งหมด

    ภาพและคำบรรยายจากเวบwww.wattamor.com

    ภาพนี้ (ภาพบน) ครูบา ถ่ายที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ (เต่าหมอบ) เป็นวัดที่ครูบาศรีวิชัย ครูบาขาวปี และครูบาวง ท่านเคยได้มาพักและจำพรรษา วัดนี้มีแท่นบรรทมของพระพุทธเจ้า (เมื่อครั้ง พระองค์เสด็จมาบริเวณนี้) และของพระอรหันต์สาวก

    ครูบาท่านชอบวัดนี้มาก เคยบอกว่า ถ้าไม่ได้อยู่ที่ห้วยต้ม จะมาอยู่ที่ตะเมาะ

    ว่ากันว่า ใครที่ชอบปฏิบัติให้มาที่วัดนี้ เพราะจะทำให้สงบได้เร็วขึ้น

    พระมหานพดล สิริวฑฺฒโน
    เจ้าอาวาสวัดพระบาทตะเมาะ
    พ.ศ. ๒๕๒๕-ปัจจุบัน (๒๕๕๓)

    อาคารที่เห็นในรูป (ด้านหลังครูบาเจ้า) เป็นอาคารที่ครูบาวงท่านสร้างโดยใช้วิธีเข้าลิ่มไม้ ไม่มีตะปู ผมไม่ทราบว่าอัจฉริยภาพทางด้านการก่อสร้างของท่านเริ่มตั้งแต่เมื่อไร ไม่ทราบว่าท่านเรียนทางการก่อสร้างและงานศิลปะต่างๆ จากอาจารย์องค์ไหน

    ความเชี่ยวชาญทางการก่อสร้างนี้เอง ครูบาศรีวิชัยถึงได้ไว้วางใจ ให้ท่านควบคุมงานสำคัญหลายแห่ง เคยอ่านว่านักวิทยาศาสตร์เอกของโลก ท่านเซอร์ไอแซค นิวตั้น ก็เคยสร้างสะพานไม้เล็กๆ แบบไม่ใช้ตะปูเลยคล้ายกันนี้ ในมหาวิทยาลัยอ๊อซฟอร์ด ที่อังกฤษ

    วัดพระบาทตะเมาะในปัจจุบันมีพระอาจารย์นพดล ซึ่งเป็นลูกศิษย์องค์หนึ่งของครูบาจำพรรษาอยู่ ซึ่งตรงกับคำทำนายที่ครูบาได้เคยบอกไว้ว่า "วัดนี้จะมีพระทางใต้ มาอยู่" (พระใต้ หมายถึงพระภาคกลาง)


    ความชำนาญในเชิงช่าง

    เจ้าแม่จามรี

    วัดพระธาตุดวงเดียว อ. ลี้

    ในรูปคือเจ้าแม่จามรี เจ้าเมืองลี้ ไม่ใช่เจ้าแม่จามเทวี คนละองค์กัน ครูบาท่านให้ช่างเขียนตามที่ท่านบอก รูปวาดจะอยู่ในกุฏิของท่าน ท่านจะตั้งใจมาก ให้แก้ไขแบบตามรูปจนท่านพอใจ 

    ครูบา ท่านมีความสามารถหลายอย่าง 

    ในงานช่างงานศิลป์ ช่วงบ่าย ๆ เวลาว่างจากญาติโยม และงานต่าง ๆ ท่านจะใช้เวลาออกแบบงานอาคารในวัด ซึ่งท่านทำได้ดีมากๆ เสียด้วย...

    รูปปั้นพระอุบาลี

    ส่วนภาพวาดเจ้าแม่จามรี ท่านให้ช่างแก้ไข และเขียนอยู่นาน ตอนแรกไม่เข้าใจว่าท่านให้เขียนภาพใคร ภายหลังจึงได้มีการสร้างรูปปั้นตามแบบภาพที่ท่านให้ช่างเขียน 

    ปกติลูกศิษย์มักจะเกรงใจและไม่ค่อยมีคนกล้ารบกวนท่าน

    มีอยู่ครั้งนึง ท่านเคยให้คนปั้นรูปพระอุบาลี เพื่อไปถวายวัดอุบาลีที่ศรีลังกา ครูบาท่านก็ควบคุมงานเอง ช่างปั้นก็ทำตามแบบที่ท่านแนะนำ นัยว่าหน้าตาพระอุบาลี เป็นแบบที่ครูบาบอก นั่นเอง

    (รูปพระอาจารย์อุบาลี เอามาจากเวปพุทธวงศ์


    ครูบา เรียกฝน ที่เขื่อนภูมิพล

    ตั้งแต่สมัยครูบาท่านเป็นเณร ได้ติดตามครูบาชัยยะลังก๋า กับ ครูบาศรีวิชัย ท่านก็อาศัยเดินทางเส้นทาง เหล่านี้ จวบจนบั้นปลาย ท่านได้ไปบูรณะวัดพระธาตุแก่งสร้อย ท่านก็ยังต้องนั่งเรือไปตรวจงานบ่อยๆ

    สมัยท่านยังดำรงขันธ์อยู่ เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าของทางเขื่อน จะนิมนต์ครูบาทุกปี เพื่อไปทำบุญ สืบชะตาเขื่อน ผมเคยได้ตามครูบาไปด้วย ได้สวดมนต์กับครูบา นอนเฝ้าท่านหน้าห้อง กับ หลวงพี่เต๋

    เรื่องนี้ มีลูกศิษย์มาเล่าให้ฟัง ตอนเริ่มแรก ปีนั้น น้ำในเขื่อนแห้ง ไม่รู้จะทำอย่างไร เจ้าหน้าที่เค้านิมนต์ครูบามาทำพิธี เค้าขอให้ท่านเรียกฝนให้ หลังครูบาอธิษฐานฝนก็ตก ตามที่เจ้าหน้าที่ขอไว้

    หลังจากนั้นมา เค้าก็นิมนต์ท่านมาทำพิธีสืบชะตาเขื่อนทุกปี

    เรื่องนี้ ไม่มีโอกาสได้ถามครูบา แต่บันทึกเอาไว้

    คิดถึงเรื่องครูบาเรียกฝนทุกครั้งที่ไปเที่ยวเขื่อน....

    ลูกศิษย์เล่าให้ฟังอีกที เห็นว่าแปลกดี


    วัว หลังวัด

    มีอยู่วันนึง เพื่อนมาบอกให้ไปทำบุญไถ่ชีวิตโค ก็เลยช่วยซื้อชีวิตโคฝูงนั้น แล้วก็เอาไปถวายครูบาที่วัด ครูบาท่านก็มารับโคฝูงนั้น ตอนแรกไปวัดระยะนั้น ยังเห็นท่านทำคอกให้วัวอยู่ พอมาระยะนึง ไม่เห็นแล้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจว่าวัวไปไหน

    ช่วงบ่ายไปนั่งคุยกับ ตุ๊กร ที่กุฏิท่านหลังวัด ก็เล่าเรื่องถวายวัวให้ตุ๊กรฟัง ตุ๊กรบอกว่า วัวที่ผมถวาย ครูบาเอาไปปล่อยให้หากินหลังวัด ครูบาจะอธิษฐานหินเป็นหลักเขตเอาไว้ วัวฝูงนั้นจะหากินอยู่ในเขตบริเวณที่ครูบาท่านทำไว้ ไม่ออกนอกเขตนั้น ไม่มีรั้วกั้น

    เคยมีขโมย พยายามจะลักวัวไป แต่ก็จะหลงหาทาง ไม่สามารถออกจากบริเวณที่ครูบาอธิษฐานไว้

    บันทึกเอาไว้ ครูบาท่านอธิษฐานก้อนหินเป็นหลักเขต ตอนนั้น อยากได้สัก 4 ก้อน เอาไปเป็นรั้วบ้าน ไม่มีโอกาสได้ขอท่าน


    เนื้องอกหายไปไหน?

    โพสท์ใน http://board.palungjit.com โดย ตามดูจิต เมื่อ 19-03-2007

    โดย มัลลิกา กาญจมาภรณ์

    มีลูกน้องของศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่ง ป่วยเป็นโรคเจ็บในช่องท้องน้อยมานาน บางครั้งปวดมากจนทนไม่ไหว จึงไปตรวจที่โรงพยาบาล ได้ตรวจเช็คอยู่หลายครั้ง จนหมอสรุปได้ชัดเจนว่าเป็นเนื้องอกที่ปีกมดลูก ต้องผ่าตัด และได้นัดผ่าตัดในราวกลางเดือนพฤษภาคม 2543

    ศิษย์ท่านนั้นจึงได้แนะนำว่า ก่อนจะไปผ่าตัด ให้หาโอกาสไปกราบหลวงพ่อครูบาชัยวงศ์ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้มสักครั้ง ขอให้ท่านผ่อนหนักเป็นเบา พอดีกำลังจะมีงานวันเกิดหลวงพ่อที่วัด ลูกน้องคนนั้นจึงได้ไปร่วมงาน เมื่อวันที่ 23-24 เมษายน 2543 แล้วได้บนกับท่านว่า ขอให้หลวงพ่อช่วยให้ หายจากโรคร้ายนี้ โดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยเถิด แล้วลูกจะช่วยงานบุญงานโรงครัวโรงทานที่วัดหลวงพ่อ

    หลังจากเสร็จงานกลับมาถึงบ้าน ตกกลางดึกก็ได้หลับและฝันไปว่า หลวงพ่อท่านมาหา ท่านได้ถามว่าลูกตั้งใจจะไปช่วยงานที่วัดจริงหรือ แล้วท่านได้ขึ้น ไปเหยียบที่ท้อง ในฝันนั้นเหมือนกับว่า ได้มี

    น้ำอะไรไม่รู้ไหลออกจาก ช่องท้องจนนองที่นอน จึงตกใจตื่นขึ้นมา ยังได้จับดูที่นอนว่าเปียกหรือมีน้ำอะไรหรือไม่ ปรากฏว่าที่นอนก็ไม่ได้เปียกเปื้อนน้ำอะไรเลย

    เมื่อถึงวันที่นัดผ่าตัด หมอได้ทำการตรวจเอ็กซเรย์อีกครั้งก่อนทำการผ่าตัด ปรากฏว่าเนื้องอกไม่พบ ที่แรกหมอไม่แน่ใจจึงได้นัดตรวจดูอีกครั้ง แต่ไม่พบเนื้องอก หมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ทั้งที่แปลกใจอย่างนั้น หาสาเหตุในทางการแพทย์ไม่ได้เลยว่าเป็นไปได้อย่างไร

    แสดงว่าหลวงพ่อครูบาชัยวงศ์ได้เมตตามาช่วยจริงๆ เหมือนในนิมิตฝัน คงเป็นอภินิหารของหลวงพ่อแน่ๆ เธอเชื่ออย่างนั้น จึงได้ตั้งใจว่าจะไปช่วยงานบุญ 100 วัน ที่ท่านมรณภาพ เพื่อเป็นการแก้บนและตอบแทนบุญคุณของหลวงพ่อ.............


    พระรอด....ครูบาเปลี่ยนชีวิตคนๆ หนึ่ง

    โดย ธรรมสานห์

    คุณพ่อของข้าพเจ้านั้นเป็นคนที่ศรัทธาครูบาชัยยะวงศามากและเจอประสบการณ์จากท่านมามากก็จะขอเล่าเรื่องพระรอด.....ครูบาเปลี่ยนชีวิตคนๆ หนึ่ง

    พ่อผมได้เดินทางไปภาคเหนือกับเพื่อนพ่อผม เพื่อนผมเล่าว่า ภรรยาเขาเปลี่ยนศาสนาคริสต์เป็นพุทธได้เพราะท่านครูบา เพื่อนพ่อผมได้พาภรรยาไปกราบครูบาวงศ์ที่วัดพระบาทห้วยต้ม ภรรยาเพื่อนพ่อผมเป็นคนที่ศาสนาคริสต์ เลยไม่ศรัทธาครูบา ครูบาท่านได้คายชานหมากออกมา และได้หยิบทิชชูและท่านก็นำชานหมากห่อทิชชูไว้ และกล่าวว่าว่า ห้ามเปิดห่อชานหมาก ภายใน 7 วันถึงเปิดได้ วันที่เจ็ด ภรรยาได้เปิดห่อชานหมากปรากฏว่าชานหมากของท่านได้กลายเป็นพระรอดชานหมาก หลังจากนั้นภรรยาเพื่อนพ่อผมจึงหันมาศรัทธาครูบาวงศ์ และเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ

    ครูบาวงศ์ท่่านมีเมตตามาก ขนาดช่วยคนให้มานับถือศาสนาพุทธได้อย่างอัศจรรย์


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×